ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
-
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
44 ตอน
2 วิจารณ์
16.98K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
40) กับดักที่วางไว้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“น้องรอง เจ้าแน่ใจหรือว่ากวางตัวนั้นอยู่แถวนี้” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้องอาจเปรยถาม พลางสอดส่ายสายตามองสัตว์ที่ต้องถูกล่า
เหตุที่ทำให้องค์ชายใหญ่ลี่หมิงทรงยอมรับกับการเข้าป่าออกล่าสัตว์แบบกะทันหันครั้งนี้ เป็นเพราะคำบอกเล่าจากองค์ชายรองลี่หยางว่ามีชาวบ้านพบเจ้ากวางเผือกลักษณะดีสมส่วนในป่าที่อยู่ไม่ไกลเมืองหลวง องค์ชายใหญ่จึงคิดเพียงว่า หากสามารถล่ากวางตัวนี้ถวายแด่ท่านอ๋องได้คงจะดีไม่น้อย
แม้บรรยากาศรอบข้างทั้งสองข้างเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม พื้นดินปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีเหมาะเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด แต่กลับยังไม่เห็นวี่แววว่าจะพบกวางตัวที่กล่าวถึง
“กวางตัวนั้นมันวิ่งเข้ามายังป่าเขตนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ข้าให้ทหารติดตามมันอยู่หลายวันแล้ว อย่างไรเสียวันนี้เสด็จพี่ต้องล่าเจ้ากวางมงคลตัวนี้ได้อย่างแน่นอน” น้องชายคอยยุยงพี่ชายไม่ให้คิดท้อใจไปเสียก่อน
“ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไกลจากจุดที่เรากำหนดมากเกินไปแล้ว สั่งทหารให้ออกตามจับในวันหน้าก็แล้วกัน” ทรงคิดว่าเดิมทีกำหนดระยะการล่าสัตว์ไม่เกินสิบลี้ แต่ตอนนี้คะเนดูแล้วเกือบยี่สิบลี้แล้วกระมัง
“แต่หากเสด็จพี่เป็นผู้จับมันได้ด้วยตนเอง เสด็จพ่อคงจะดีพระทัยมากกว่า ข้าว่าเรามุ่งหน้าไปทางนั้นอีกสักนิดคงจะเจอแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นน้องไม่ยอมให้ผู้เป็นพี่ถอดใจง่ายดายนักจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อม พลันชี้มือไปยังทิศทางเป้าหมายซึ่งเป็นอาณาเขตที่มีเนินเขาขนาบเส้นทางเดินไว้ทั้งสองฝั่ง
ทั้งองค์ชายใหญ่และทหารองครักษ์ไม่สามารถรู้ได้ว่าอาณาเขตที่กำลังก้าวย่างเข้าไปนั้นมีกลุ่มชายชุดดำเฝ้าจับตาดูอยู่ ต่างถือคันธนูเตรียมง้างและยิงลงมายังขบวนม้าหลายตัวที่เคลื่อนที่เนิบนาบ
องค์ชายรองที่ควบม้าตามมาห่างๆ มองหาตำแหน่งที่ชายชุดดำหลบซ่อนอยู่ ครั้นเหลือบสายตามองเห็นเงาตะคุ่มๆ ที่เนินหินก็แน่ใจว่า ‘ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ จึงทรงชะลอม้าให้หยุดเดินเพื่ออยู่ห่างจากขบวนขององค์ชายใหญ่ให้มากที่สุด
“เฟี้ยว!.....” เสียงลูกธนูหลายดอกแหวกอากาศพุ่งเป้าไปยังผู้บังคับม้าต้นขบวน
“องค์ชายใหญ่! ระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงตะโกนจากองครักษ์ติดตามที่เหลือบเห็นวัตถุแปลกปลอมลอยมาทำให้องค์ชายใหญ่รู้สติได้ ทรงเอี้ยวตัวหลบลูกธนูดอกแรกได้อย่างหวุดหวิด
“มีคนร้าย อารักขาองค์ชายใหญ่!” องครักษ์ชักดาบขึ้นมาปัดป้องลูกธนูที่ลอยมาจากหลายทิศทาง บางคนก็เอาตัวเข้ารับอันตรายนั้นแทน แม้จะได้รับบาดเจ็บก็ไม่มีวันที่จะปล่อยให้องค์ชายใหญ่เป็นอันตราย!
“นี่มันอะไรกัน! คนร้ายเหล่านี้เป็นใคร...น้องรอง! เจ้าระวังตัวด้วย!”
ในยามคับขันก็ไม่วายที่จะเป็นห่วงน้องชาย
แต่หากละสายตาจากลูกธนูที่ลอยมาทั้งสองฝั่งและหันไปมองด้านหลังได้ดั่งใจแล้วล่ะก็ พระองค์จะทรงเห็นสายตาอันเฉยชาของน้องชายที่รักยิ่งทอดมองอาณาบริเวณที่ท่วมท้นเต็มไปด้วยอันตรายอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
“หนีไปพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์คนหนึ่งใช้ไหวพริบโดยการตบบั้นท้ายม้าดัง‘เพี๊ยะ’เพื่อเร่งเร้าให้มันทะยานออกจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ทันกับคันธนูของใครบางคนที่จ่อยิงและเล็งมาที่เป้าหมายสำคัญ
ก่อนที่ม้าจะควบออกไปไกล ลูกธนูดอกนั้นพุ่งตรงมาถากเข้าที่ไหล่ซ้ายขององค์ชายใหญ่เสียแล้ว
“โอ๊ย!!!” เสียงร้องดังขึ้นทันที
ทั้งที่ไม่ถูกจุดสำคัญแต่เหตุใดกลับสร้างความเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้
ด้วยทักษะการขี่ม้าที่ฝึกตั้งแต่อยู่ชายแดนใต้ร่วมปีถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย แต่พระองค์ยังคงสามารถทรงตัวบนอานม้าได้ ทรงใช้มือเพียงข้างเดียวสะบัดบังเหียนให้ม้าวิ่งเต็มกำลัง
“ย่าห์!!”
ชายชุดดำผู้ที่ยิงธนูโดนเป้าหมายยืนขึ้นโดดเด่นอยู่เหนือเนินดิน ลักษณะท่าทางที่ดูขึงขังกว่าทุกคนในกลุ่มแสดงให้เห็นว่าต้องเป็นผู้นำในการลอบสังหารนี้อย่างแน่นอน เขาเปิดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้าคมสันชะเง้อมองด้วยความเจ็บใจที่เป้าหมายหนีไปได้
“ท่านรองแม่ทัพ เอาอย่างไรต่อดีขอรับ” ลูกน้องหันไปถามและรอฟังคำสั่งหัวหน้า
‘รองแม่ทัพ’ ที่กล่าวถึงไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือรองแม่ทัพเหอไป่เฉินแห่งแคว้นม่งอู๋ ผู้เป็นหัวหน้าในการลอบปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่ลี่หมิงแห่งแคว้นตงเยว่
การกระทำอันอุกอาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครระแคะระคายก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากองค์ชายรองลี่หยางที่ยอมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างลับๆ
“ตามไป!” เหอไปเฉินสั่งการด้วยความย่ามใจ ทั้งที่แผ่นดินที่เหยียบย่ำอยู่นี้เป็นแผ่นดินแคว้นตงเยว่แต่รองแม่ทัพต่างแคว้นเช่นเขากลับไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว แผนการแยบยลเช่นนี้อย่างไรเสียก็ไม่มีใครมาขัดขวางได้ทัน
ในขณะที่อันตรายเกิดขึ้นกับองค์ชายใหญ่ลี่หมิง หวางชุนเทียนและทหารส่วนหนึ่งเร่งควบม้าไปยังทิศทางตามคำบอกของทหารชั้นประทวนที่เฝ้าที่ประทับชั่วคราวอยู่เพียงสองสามนาย
ขบวนของแม่ทัพหวางยังไม่ทันจะถึงสถานที่เกิดเหตุ กองสอดแนมที่องค์ชายรองลี่หยางวางไว้ทั่วบริเวณรีบมาบอกข่าวการมาของหวางชุนเทียนให้องค์ชายรองรู้
“ช่างรู้เรื่องเร็วเสียจริง! ทุกคนรีบหลบไปข้างทางก่อนอย่าให้แม่ทัพหวางรู้ว่าเราอยู่ที่นี่!”
องค์ชายลี่หยางไม่ทันได้เตรียมการหนีไว้ล่วงหน้า ทำได้เพียงสั่งให้เหล่าทหารหลบเข้าซ่อนตามพุ่มไม้หนาทึบ
เป็นจริงอย่างที่ทหารสอดแนมรายงาน เมื่อหลบซ่อนอยู่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งใกล้เข้ามา
“กับๆๆ” กลุ่มอาชาหลายตัว นำหน้าด้วยแม่ทัพหนุ่มที่ควบม้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมาจนถึงสถานที่เกิดเหตุ หวางชุนเทียนไม่อยากจะเชื่อสายตาเมื่อเห็นร่างทหารองครักษ์หลายนายนอนแน่นิ่งบนพื้นหญ้าที่มีลูกธนูระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด บางส่วนปักอยู่กับร่างขององครักษ์ อีกหลายดอกปักอยู่ลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้รอบบริเวณ
“หยุด!” เสียงทหารหัวขบวนตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาชะลอม้า
“มีคนลอบทำร้ายองค์ชายใหญ่! ทหารค้นหาให้ทั่ว” ความคิดเดียวที่ได้ตอนนี้คือเร่งหาร่างองค์ชายใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก แต่เมื่อทหารกลับมารายงานว่าไม่พบร่างของพระองค์ จึงรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างและคิดว่าอาจทรงหนีไปได้
ใบหน้าคมเข้มเดินเข้าสู่อาณาบริเวณที่รายล้อมไปด้วยร่างองครักษ์ที่นอนกองอยู่กับพื้น หันซ้ายขวามองหาเบาะแสที่คาดว่าเป็นทิศทางที่องค์ชายใหญ่มุ่งหน้าไป พลันเห็นพื้นหญ้าที่แบนราบเป็นทางจากการถูกม้าหลายตัวเหยียบย่ำตรงไปทิศตะวันตกซึ่งเป็นเส้นทางป่าลึก บ่งบอกว่าต้องมีกลุ่มคนมุ่งตรงไปตามเส้นทางนี้อย่างแน่นอน และเป็นไปได้ว่าองค์ชายใหญ่กำลังถูกตามล่า!
เขาไม่ลืมที่จะสั่งการทหารเก็บลูกธนูไว้เป็นหลักฐานก่อนที่มือหนาจะสะบัดบังเหียนบังคับให้ม้าวิ่งไปตามทางที่คาดเดา
เพียงไม่กี่อึดใจ กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เห็นว่าขบวนของแม่ทัพหวางควบม้าออกจากพื้นที่แห่งนี้ไปแล้ว
“หวางชุนเทียน! เจ้ารนหาที่ตายเองนะ” ทรงสบทอย่างเดือดดาล หากหวางชุนเทียนตามไปช่วยองค์ชายใหญ่ได้ทันท่วงที สิ่งที่เตรียมการมาทั้งหมดก็ไร้ความหมาย ดังนั้นจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้
“พวกเจ้าจงรออยู่ที่นี่ อย่าลืมแจ้งตำแหน่งกับดักที่วางไว้ตามเส้นทางให้รองแม่ทัพเหอรู้ด้วย ส่วนสองคนนั้น...จะปล่อยให้รอดกลับไปไม่ได้!” น้ำเสียงสั่งการอย่างเฉียบขาด
แม้นรองแม่ทัพเหอไป่เฉินจะจัดการทั้งสองไม่สำเร็จอย่างน้อยกับดักที่วางไว้รายทางก็ย่อมเป็นอุปสรรคทำให้ต้องได้รับบาดเจ็บหรือสิ้นชีวิตได้อย่างแน่นอน
ทรงไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะกำจัดบุคคลสำคัญอย่างเช่นองค์ชายใหญ่และแม่ทัพหวางชุนเทียนหลุดลอยไปเด็ดขาด!
ณ ป่าลึกฝั่งตะวันตก องค์ชายใหญ่ไม่เหลือผู้ใดที่คอยอารักขาอีกต่อไปเมื่อองครักษ์คนสุดท้ายถูกมีดดาบของศัตรูฟันเข้ากลางอกจนสิ้นใจไปต่อหน้า
ด้านหลังห่างไปไม่กี่ก้าวก็เป็นหุบเหวที่เบื้องล่างเป็นสายธารน้ำกว้างขวาง แม้ทรงมองไปทั่วทุกทิศเพื่อหาช่องทางหนีแต่สถานการณ์ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรูเช่นนี้จึงเป็นไปได้ยากยิ่ง ถึงกระนั้นองค์ชายใหญ่ยังถือดาบคู่ใจยืนหยัดพร้อมต่อสู้ป้องกันตนเอง
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับกลุ่มคน ทั้งยังรู้สึกปวดหนึบบาดแผลที่ไหล่ซ้ายทำให้กำลังถดถอย ความเพลี่ยงพล้ำต่อกำลังของศัตรูย่อมเกิดขึ้นเมื่อทรงฟาดฟันกับชายชุดดำผู้หนึ่งที่ดูมีวรยุทธ์เหนือกว่าทุกคนในที่นี้ จนทำให้ดาบในมือกระเด็นตกพื้น
“พวกเจ้าเป็นใคร! เหตุใดจึงกล้ากระทำการเช่นนี้” แววตาท้าทายมองไม่กลัวเกรงทั้งที่ตนเองนั้นไร้อาวุธในมือ
“พวกข้าเป็นใคร ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะพวกข้าได้” น้ำเสียงเหี้ยมของเหอไป่เฉินภายใต้ผ้าคลุมปิดปังใบหน้าเห็นเพียงแววตาดุดัน แขนที่ถือดาบอยู่นั้นเหยียดตึงบ่ายหน้าไปจ่อที่คอหอยขององค์ชายใหญ่
รองแม่ทัพหนุ่มยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ ตอนนี้เพียงแค่ขยับปลายดาบไปอีกเพียงนิดก็จะสามารถบั่นคอขององค์ชายใหญ่ลี่หมิงแห่งแคว้นตงเยว่ได้แล้ว
“ฟึ่บ!” ยังไม่ทันได้ลงมือพลันมีมีดสั้นลอยแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้เหอไป่เฉินต้องหันมาตวัดดาบปัดมีดที่บินมาจากที่ลึกลับ
“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจทำร้ายองค์ชายใหญ่ จงถอยไปให้ห่างเดี๋ยวนี้!”
เสียงทุ้มเข้มของผู้ที่เป็นเจ้าของมีดบินเล่มนั้นตวาดขึ้น พร้อมกับกิริยาก้าวย่างอย่างมั่นคงและหนักแน่นฝ่าวงล้อมชายชุดดำโดยมีทหารติดตามเข้าร่วมปะทะ
“หึ...มาจนได้นะหวางชุนเทียน” น้ำเสียงเหี้ยมห้าวดังขึ้นอย่างขัดใจ
ใบหน้าคมคร้ามของแม่ทัพหวางขมวดคิ้วแน่นรู้สึกคุ้นหูกับน้ำเสียงนั้นเสียเหลือเกิน แต่ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ต้องได้รับโทษตายให้สาสมกับที่บังอาจลอบทำร้ายองค์ชายใหญ่
เหอไป่เฉินตวัดดาบจ่อที่คอองค์ชายลี่หมิงอีกครั้งเป็นการข่มขู่
องค์ชายใหญ่ยืนนิ่งเหลือบตามองเจ้าของดาบแหลมคมที่ยืนข้างกาย ทรงคิดหาหนทางเอาตัวรอดจากคนร้ายผู้นี้ให้ได้ พลันฉวยจังหวะที่ต่างฝ่ายต่างจ้องมองระแวงซึ่งกันและกัน พระองค์ทรงใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ข้อมือของคนร้ายหวังให้ดาบเล่มนี้ตกหล่นไปเสียจะได้เป็นการช่วยให้แม่ทัพหวางไม่ลังเลที่จะเข้าประชิดตัว
แต่ความพยายามนั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่องค์ชายลี่หมิงคาดไว้ เมื่อแม่ทัพเหอที่มีกำลังมากกว่าสะบัดมือออกได้ทันและฟันเข้าที่กลางลำตัวจนร่างหนาถลันร่วงลงที่ขอบเหว
“องค์ชายใหญ่!!” หวางชุนเทียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
โชคยังดีที่องค์ชายใหญ่มีสติใช้มือจับโขดหินและพยายามยึดตัวอยู่ปากขอบเหวไว้ได้ หวางชุนเทียนถลันเข้ามาเพื่อเอื้อมคว้ามือขององค์ชายใหญ่แต่ก็ถูกเหอไป่เฉินเข้าขัดขวาง
“อ๊าก!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไหล่ซ้ายและที่หน้าอก ร่างนั้นจวนจะรับไม่ไหวใกล้จะตกจากเหวอยู่รอมร่อ
หวางชุนเทียนเห็นเช่นนั้นก็ไม่มีสมาธิในการต่อสู้ พยายามถลันตัวไปที่ขอบเหวทุกครั้งที่มีโอกาส จนสามารถดึงมือขององค์ชายใหญ่ไว้ได้ และตอนนี้เขาก็อยู่ในท่าทางที่ไม่พร้อมต่อสู้
“แม่ทัพหวาง...ปล่อยมือข้าแล้วจับคนร้ายผู้นี้มาลงโทษให้ได้” เสียงอ่อนแรงเอ่ยจากเบื้องล่างขอให้เจ้าของมือหนาหันกลับไปต่อสู้ดีกว่าจะคอยมาช่วยเหลือตนเองในขณะนี้
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด” เขาปฏิเสธคำขอนั้น เพราะด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บขององค์ชายใหญ่หากตกลงสู่สายธารลึกเบื้องล่างก็คงไม่มีกำลังพอที่จะเอาชีวิตรอดได้แน่
“ตายเสียเถอะ หวางชุนเทียน!” ร่างในชุดดำเงื้อดาบขึ้นพร้อมที่ฟัน
ในสถานการณ์อันคับขัน แม่ทัพหนุ่มพลันคิดขึ้นได้ว่าหากจะช่วยองค์ชายใหญ่ ตัวเขาเองจะได้รับบาดเจ็บไม่ได้เด็ดขาด
ชายหนุ่มตัดสินใจเด็ดเดี่ยวขอยอมกระโดดลงสู่หุบเหวไปพร้อมกับองค์ชายใหญ่!
เหตุที่ทำให้องค์ชายใหญ่ลี่หมิงทรงยอมรับกับการเข้าป่าออกล่าสัตว์แบบกะทันหันครั้งนี้ เป็นเพราะคำบอกเล่าจากองค์ชายรองลี่หยางว่ามีชาวบ้านพบเจ้ากวางเผือกลักษณะดีสมส่วนในป่าที่อยู่ไม่ไกลเมืองหลวง องค์ชายใหญ่จึงคิดเพียงว่า หากสามารถล่ากวางตัวนี้ถวายแด่ท่านอ๋องได้คงจะดีไม่น้อย
แม้บรรยากาศรอบข้างทั้งสองข้างเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวชอุ่ม พื้นดินปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีเหมาะเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด แต่กลับยังไม่เห็นวี่แววว่าจะพบกวางตัวที่กล่าวถึง
“กวางตัวนั้นมันวิ่งเข้ามายังป่าเขตนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ข้าให้ทหารติดตามมันอยู่หลายวันแล้ว อย่างไรเสียวันนี้เสด็จพี่ต้องล่าเจ้ากวางมงคลตัวนี้ได้อย่างแน่นอน” น้องชายคอยยุยงพี่ชายไม่ให้คิดท้อใจไปเสียก่อน
“ถึงอย่างนั้น นี่ก็ไกลจากจุดที่เรากำหนดมากเกินไปแล้ว สั่งทหารให้ออกตามจับในวันหน้าก็แล้วกัน” ทรงคิดว่าเดิมทีกำหนดระยะการล่าสัตว์ไม่เกินสิบลี้ แต่ตอนนี้คะเนดูแล้วเกือบยี่สิบลี้แล้วกระมัง
“แต่หากเสด็จพี่เป็นผู้จับมันได้ด้วยตนเอง เสด็จพ่อคงจะดีพระทัยมากกว่า ข้าว่าเรามุ่งหน้าไปทางนั้นอีกสักนิดคงจะเจอแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เป็นน้องไม่ยอมให้ผู้เป็นพี่ถอดใจง่ายดายนักจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อม พลันชี้มือไปยังทิศทางเป้าหมายซึ่งเป็นอาณาเขตที่มีเนินเขาขนาบเส้นทางเดินไว้ทั้งสองฝั่ง
ทั้งองค์ชายใหญ่และทหารองครักษ์ไม่สามารถรู้ได้ว่าอาณาเขตที่กำลังก้าวย่างเข้าไปนั้นมีกลุ่มชายชุดดำเฝ้าจับตาดูอยู่ ต่างถือคันธนูเตรียมง้างและยิงลงมายังขบวนม้าหลายตัวที่เคลื่อนที่เนิบนาบ
องค์ชายรองที่ควบม้าตามมาห่างๆ มองหาตำแหน่งที่ชายชุดดำหลบซ่อนอยู่ ครั้นเหลือบสายตามองเห็นเงาตะคุ่มๆ ที่เนินหินก็แน่ใจว่า ‘ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ จึงทรงชะลอม้าให้หยุดเดินเพื่ออยู่ห่างจากขบวนขององค์ชายใหญ่ให้มากที่สุด
“เฟี้ยว!.....” เสียงลูกธนูหลายดอกแหวกอากาศพุ่งเป้าไปยังผู้บังคับม้าต้นขบวน
“องค์ชายใหญ่! ระวังพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงตะโกนจากองครักษ์ติดตามที่เหลือบเห็นวัตถุแปลกปลอมลอยมาทำให้องค์ชายใหญ่รู้สติได้ ทรงเอี้ยวตัวหลบลูกธนูดอกแรกได้อย่างหวุดหวิด
“มีคนร้าย อารักขาองค์ชายใหญ่!” องครักษ์ชักดาบขึ้นมาปัดป้องลูกธนูที่ลอยมาจากหลายทิศทาง บางคนก็เอาตัวเข้ารับอันตรายนั้นแทน แม้จะได้รับบาดเจ็บก็ไม่มีวันที่จะปล่อยให้องค์ชายใหญ่เป็นอันตราย!
“นี่มันอะไรกัน! คนร้ายเหล่านี้เป็นใคร...น้องรอง! เจ้าระวังตัวด้วย!”
ในยามคับขันก็ไม่วายที่จะเป็นห่วงน้องชาย
แต่หากละสายตาจากลูกธนูที่ลอยมาทั้งสองฝั่งและหันไปมองด้านหลังได้ดั่งใจแล้วล่ะก็ พระองค์จะทรงเห็นสายตาอันเฉยชาของน้องชายที่รักยิ่งทอดมองอาณาบริเวณที่ท่วมท้นเต็มไปด้วยอันตรายอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
“หนีไปพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์คนหนึ่งใช้ไหวพริบโดยการตบบั้นท้ายม้าดัง‘เพี๊ยะ’เพื่อเร่งเร้าให้มันทะยานออกจากบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ทันกับคันธนูของใครบางคนที่จ่อยิงและเล็งมาที่เป้าหมายสำคัญ
ก่อนที่ม้าจะควบออกไปไกล ลูกธนูดอกนั้นพุ่งตรงมาถากเข้าที่ไหล่ซ้ายขององค์ชายใหญ่เสียแล้ว
“โอ๊ย!!!” เสียงร้องดังขึ้นทันที
ทั้งที่ไม่ถูกจุดสำคัญแต่เหตุใดกลับสร้างความเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อเช่นนี้
ด้วยทักษะการขี่ม้าที่ฝึกตั้งแต่อยู่ชายแดนใต้ร่วมปีถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย แต่พระองค์ยังคงสามารถทรงตัวบนอานม้าได้ ทรงใช้มือเพียงข้างเดียวสะบัดบังเหียนให้ม้าวิ่งเต็มกำลัง
“ย่าห์!!”
ชายชุดดำผู้ที่ยิงธนูโดนเป้าหมายยืนขึ้นโดดเด่นอยู่เหนือเนินดิน ลักษณะท่าทางที่ดูขึงขังกว่าทุกคนในกลุ่มแสดงให้เห็นว่าต้องเป็นผู้นำในการลอบสังหารนี้อย่างแน่นอน เขาเปิดผ้าคลุมหน้าออก ใบหน้าคมสันชะเง้อมองด้วยความเจ็บใจที่เป้าหมายหนีไปได้
“ท่านรองแม่ทัพ เอาอย่างไรต่อดีขอรับ” ลูกน้องหันไปถามและรอฟังคำสั่งหัวหน้า
‘รองแม่ทัพ’ ที่กล่าวถึงไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือรองแม่ทัพเหอไป่เฉินแห่งแคว้นม่งอู๋ ผู้เป็นหัวหน้าในการลอบปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่ลี่หมิงแห่งแคว้นตงเยว่
การกระทำอันอุกอาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีใครระแคะระคายก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากองค์ชายรองลี่หยางที่ยอมเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างลับๆ
“ตามไป!” เหอไปเฉินสั่งการด้วยความย่ามใจ ทั้งที่แผ่นดินที่เหยียบย่ำอยู่นี้เป็นแผ่นดินแคว้นตงเยว่แต่รองแม่ทัพต่างแคว้นเช่นเขากลับไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว แผนการแยบยลเช่นนี้อย่างไรเสียก็ไม่มีใครมาขัดขวางได้ทัน
ในขณะที่อันตรายเกิดขึ้นกับองค์ชายใหญ่ลี่หมิง หวางชุนเทียนและทหารส่วนหนึ่งเร่งควบม้าไปยังทิศทางตามคำบอกของทหารชั้นประทวนที่เฝ้าที่ประทับชั่วคราวอยู่เพียงสองสามนาย
ขบวนของแม่ทัพหวางยังไม่ทันจะถึงสถานที่เกิดเหตุ กองสอดแนมที่องค์ชายรองลี่หยางวางไว้ทั่วบริเวณรีบมาบอกข่าวการมาของหวางชุนเทียนให้องค์ชายรองรู้
“ช่างรู้เรื่องเร็วเสียจริง! ทุกคนรีบหลบไปข้างทางก่อนอย่าให้แม่ทัพหวางรู้ว่าเราอยู่ที่นี่!”
องค์ชายลี่หยางไม่ทันได้เตรียมการหนีไว้ล่วงหน้า ทำได้เพียงสั่งให้เหล่าทหารหลบเข้าซ่อนตามพุ่มไม้หนาทึบ
เป็นจริงอย่างที่ทหารสอดแนมรายงาน เมื่อหลบซ่อนอยู่เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งใกล้เข้ามา
“กับๆๆ” กลุ่มอาชาหลายตัว นำหน้าด้วยแม่ทัพหนุ่มที่ควบม้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมาจนถึงสถานที่เกิดเหตุ หวางชุนเทียนไม่อยากจะเชื่อสายตาเมื่อเห็นร่างทหารองครักษ์หลายนายนอนแน่นิ่งบนพื้นหญ้าที่มีลูกธนูระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด บางส่วนปักอยู่กับร่างขององครักษ์ อีกหลายดอกปักอยู่ลำต้นและกิ่งก้านของต้นไม้รอบบริเวณ
“หยุด!” เสียงทหารหัวขบวนตะโกนดังขึ้นเมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาชะลอม้า
“มีคนลอบทำร้ายองค์ชายใหญ่! ทหารค้นหาให้ทั่ว” ความคิดเดียวที่ได้ตอนนี้คือเร่งหาร่างองค์ชายใหญ่ก่อนเป็นอย่างแรก แต่เมื่อทหารกลับมารายงานว่าไม่พบร่างของพระองค์ จึงรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างและคิดว่าอาจทรงหนีไปได้
ใบหน้าคมเข้มเดินเข้าสู่อาณาบริเวณที่รายล้อมไปด้วยร่างองครักษ์ที่นอนกองอยู่กับพื้น หันซ้ายขวามองหาเบาะแสที่คาดว่าเป็นทิศทางที่องค์ชายใหญ่มุ่งหน้าไป พลันเห็นพื้นหญ้าที่แบนราบเป็นทางจากการถูกม้าหลายตัวเหยียบย่ำตรงไปทิศตะวันตกซึ่งเป็นเส้นทางป่าลึก บ่งบอกว่าต้องมีกลุ่มคนมุ่งตรงไปตามเส้นทางนี้อย่างแน่นอน และเป็นไปได้ว่าองค์ชายใหญ่กำลังถูกตามล่า!
เขาไม่ลืมที่จะสั่งการทหารเก็บลูกธนูไว้เป็นหลักฐานก่อนที่มือหนาจะสะบัดบังเหียนบังคับให้ม้าวิ่งไปตามทางที่คาดเดา
เพียงไม่กี่อึดใจ กลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เห็นว่าขบวนของแม่ทัพหวางควบม้าออกจากพื้นที่แห่งนี้ไปแล้ว
“หวางชุนเทียน! เจ้ารนหาที่ตายเองนะ” ทรงสบทอย่างเดือดดาล หากหวางชุนเทียนตามไปช่วยองค์ชายใหญ่ได้ทันท่วงที สิ่งที่เตรียมการมาทั้งหมดก็ไร้ความหมาย ดังนั้นจะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้
“พวกเจ้าจงรออยู่ที่นี่ อย่าลืมแจ้งตำแหน่งกับดักที่วางไว้ตามเส้นทางให้รองแม่ทัพเหอรู้ด้วย ส่วนสองคนนั้น...จะปล่อยให้รอดกลับไปไม่ได้!” น้ำเสียงสั่งการอย่างเฉียบขาด
แม้นรองแม่ทัพเหอไป่เฉินจะจัดการทั้งสองไม่สำเร็จอย่างน้อยกับดักที่วางไว้รายทางก็ย่อมเป็นอุปสรรคทำให้ต้องได้รับบาดเจ็บหรือสิ้นชีวิตได้อย่างแน่นอน
ทรงไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะกำจัดบุคคลสำคัญอย่างเช่นองค์ชายใหญ่และแม่ทัพหวางชุนเทียนหลุดลอยไปเด็ดขาด!
ณ ป่าลึกฝั่งตะวันตก องค์ชายใหญ่ไม่เหลือผู้ใดที่คอยอารักขาอีกต่อไปเมื่อองครักษ์คนสุดท้ายถูกมีดดาบของศัตรูฟันเข้ากลางอกจนสิ้นใจไปต่อหน้า
ด้านหลังห่างไปไม่กี่ก้าวก็เป็นหุบเหวที่เบื้องล่างเป็นสายธารน้ำกว้างขวาง แม้ทรงมองไปทั่วทุกทิศเพื่อหาช่องทางหนีแต่สถานการณ์ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรูเช่นนี้จึงเป็นไปได้ยากยิ่ง ถึงกระนั้นองค์ชายใหญ่ยังถือดาบคู่ใจยืนหยัดพร้อมต่อสู้ป้องกันตนเอง
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับกลุ่มคน ทั้งยังรู้สึกปวดหนึบบาดแผลที่ไหล่ซ้ายทำให้กำลังถดถอย ความเพลี่ยงพล้ำต่อกำลังของศัตรูย่อมเกิดขึ้นเมื่อทรงฟาดฟันกับชายชุดดำผู้หนึ่งที่ดูมีวรยุทธ์เหนือกว่าทุกคนในที่นี้ จนทำให้ดาบในมือกระเด็นตกพื้น
“พวกเจ้าเป็นใคร! เหตุใดจึงกล้ากระทำการเช่นนี้” แววตาท้าทายมองไม่กลัวเกรงทั้งที่ตนเองนั้นไร้อาวุธในมือ
“พวกข้าเป็นใคร ท่านไม่จำเป็นต้องรู้ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะพวกข้าได้” น้ำเสียงเหี้ยมของเหอไป่เฉินภายใต้ผ้าคลุมปิดปังใบหน้าเห็นเพียงแววตาดุดัน แขนที่ถือดาบอยู่นั้นเหยียดตึงบ่ายหน้าไปจ่อที่คอหอยขององค์ชายใหญ่
รองแม่ทัพหนุ่มยิ้มมุมปากด้วยความสะใจ ตอนนี้เพียงแค่ขยับปลายดาบไปอีกเพียงนิดก็จะสามารถบั่นคอขององค์ชายใหญ่ลี่หมิงแห่งแคว้นตงเยว่ได้แล้ว
“ฟึ่บ!” ยังไม่ทันได้ลงมือพลันมีมีดสั้นลอยแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้เหอไป่เฉินต้องหันมาตวัดดาบปัดมีดที่บินมาจากที่ลึกลับ
“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจทำร้ายองค์ชายใหญ่ จงถอยไปให้ห่างเดี๋ยวนี้!”
เสียงทุ้มเข้มของผู้ที่เป็นเจ้าของมีดบินเล่มนั้นตวาดขึ้น พร้อมกับกิริยาก้าวย่างอย่างมั่นคงและหนักแน่นฝ่าวงล้อมชายชุดดำโดยมีทหารติดตามเข้าร่วมปะทะ
“หึ...มาจนได้นะหวางชุนเทียน” น้ำเสียงเหี้ยมห้าวดังขึ้นอย่างขัดใจ
ใบหน้าคมคร้ามของแม่ทัพหวางขมวดคิ้วแน่นรู้สึกคุ้นหูกับน้ำเสียงนั้นเสียเหลือเกิน แต่ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ต้องได้รับโทษตายให้สาสมกับที่บังอาจลอบทำร้ายองค์ชายใหญ่
เหอไป่เฉินตวัดดาบจ่อที่คอองค์ชายลี่หมิงอีกครั้งเป็นการข่มขู่
องค์ชายใหญ่ยืนนิ่งเหลือบตามองเจ้าของดาบแหลมคมที่ยืนข้างกาย ทรงคิดหาหนทางเอาตัวรอดจากคนร้ายผู้นี้ให้ได้ พลันฉวยจังหวะที่ต่างฝ่ายต่างจ้องมองระแวงซึ่งกันและกัน พระองค์ทรงใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ข้อมือของคนร้ายหวังให้ดาบเล่มนี้ตกหล่นไปเสียจะได้เป็นการช่วยให้แม่ทัพหวางไม่ลังเลที่จะเข้าประชิดตัว
แต่ความพยายามนั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่องค์ชายลี่หมิงคาดไว้ เมื่อแม่ทัพเหอที่มีกำลังมากกว่าสะบัดมือออกได้ทันและฟันเข้าที่กลางลำตัวจนร่างหนาถลันร่วงลงที่ขอบเหว
“องค์ชายใหญ่!!” หวางชุนเทียนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
โชคยังดีที่องค์ชายใหญ่มีสติใช้มือจับโขดหินและพยายามยึดตัวอยู่ปากขอบเหวไว้ได้ หวางชุนเทียนถลันเข้ามาเพื่อเอื้อมคว้ามือขององค์ชายใหญ่แต่ก็ถูกเหอไป่เฉินเข้าขัดขวาง
“อ๊าก!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไหล่ซ้ายและที่หน้าอก ร่างนั้นจวนจะรับไม่ไหวใกล้จะตกจากเหวอยู่รอมร่อ
หวางชุนเทียนเห็นเช่นนั้นก็ไม่มีสมาธิในการต่อสู้ พยายามถลันตัวไปที่ขอบเหวทุกครั้งที่มีโอกาส จนสามารถดึงมือขององค์ชายใหญ่ไว้ได้ และตอนนี้เขาก็อยู่ในท่าทางที่ไม่พร้อมต่อสู้
“แม่ทัพหวาง...ปล่อยมือข้าแล้วจับคนร้ายผู้นี้มาลงโทษให้ได้” เสียงอ่อนแรงเอ่ยจากเบื้องล่างขอให้เจ้าของมือหนาหันกลับไปต่อสู้ดีกว่าจะคอยมาช่วยเหลือตนเองในขณะนี้
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด” เขาปฏิเสธคำขอนั้น เพราะด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บขององค์ชายใหญ่หากตกลงสู่สายธารลึกเบื้องล่างก็คงไม่มีกำลังพอที่จะเอาชีวิตรอดได้แน่
“ตายเสียเถอะ หวางชุนเทียน!” ร่างในชุดดำเงื้อดาบขึ้นพร้อมที่ฟัน
ในสถานการณ์อันคับขัน แม่ทัพหนุ่มพลันคิดขึ้นได้ว่าหากจะช่วยองค์ชายใหญ่ ตัวเขาเองจะได้รับบาดเจ็บไม่ได้เด็ดขาด
ชายหนุ่มตัดสินใจเด็ดเดี่ยวขอยอมกระโดดลงสู่หุบเหวไปพร้อมกับองค์ชายใหญ่!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ