ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) วิหคเหินลม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทหารรักษาประตูจวนสกุลหวางหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจที่วันนี้นายกองกัวเสี่ยนหรงมาถึงจวนตั้งแต่ยามอิ๋น เขากระโดดลงจากหลังม้าและก้าวเข้าสู่ภายในจวนอย่างเร่งรีบ และมุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของแม่ทัพหวางชุนเทียนทันที
“ท่านแม่ทัพขอรับ! ตื่นเถิดขอรับ ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับองค์ชายใหญ่มารายงานขอรับ” ไม่พูดเปล่า ยังเคาะประตูดังปังๆ เพื่อเรียกให้หวางชุนเทียนตื่นให้เร็วที่สุด เรื่องที่จะรายงานนี้ถือเป็นสำคัญจนไม่อาจรั้งรอได้
ไม่กี่อึดใจ หวางชุนเทียนที่ยังอยู่ในชุดนอนผ้าป่านสีขาวรีบเปิดประตูเพื่อพบหน้าลูกน้องที่มาเคาะเรียกตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นเช่นนี้
และแล้วก็เป็นเรื่องด่วนอย่างที่คิดไว้...
“อะไรนะ! องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเสด็จออกล่าสัตว์ด้วยกัน เหตุใดจึงกะทันหันเช่นนี้” น้ำเสียงตกใจที่ได้ฟังข่าว
ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งได้ไปเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด เพียงแค่ข้ามคืนกลับมีพระประสงค์จะออกล่าสัตว์ จะเป็นไปได้หรือ
“ข้าได้ยินองครักษ์ที่ติดตามองค์ชายใหญ่พูดคุยกัน การออกล่าสัตว์ครั้งนี้เป็นคำเชิญชวนจากองค์ชายรองขอรับ”
“ที่แท้เป็นความคิดขององค์ชายรองนี่เอง แล้วทหารองครักษ์ที่ติดตามไปมีจำนวนเท่าใด”
“ประมาณดูแล้ว มีไม่ถึงยี่สิบนายขอรับ”
หวางชุนเทียนเบิกตากว้างแปลกใจเป็นอย่างมาก จำนวนองครักษ์ที่ติดตามไปช่างน้อยนัก ค่ายทหารที่อยู่นอกเมืองก็มีทหารฝีมือดีอยู่ตั้งมากมาย หากเกิดเหตุอันตรายที่คาดไม่ถึงขึ้นมา องครักษ์ติดตามเพียงหยิบมือจะปกป้ององค์ชายใหญ่ได้อย่างไรกัน!
“นั่นเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่องค์ชายรองทรงกำหนดไว้ขอรับ ทรงกำชับว่าการไปครั้งนี้เป็นการส่วนตัวไม่อยากให้เอิกเกริก ขันทีและนางกำนัลที่ติดตามไปส่วนใหญ่ก็เป็นคนของตำหนักเฟิ่งหวงทั้งสิ้นขอรับ องค์ชายใหญ่ทรงไว้ใจองค์ชายรองมาก จนไม่ทรงคัดค้านสิ่งใดเลย เราควรทำเช่นไรดีขอรับ”
สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มที่เคร่งขรึมอยู่แล้วก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก องค์ชายรองประสงค์สิ่งใดกันแน่
ทั้งที่การออกล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่รอไม่ได้และไม่ใช่ความลับถึงขนาดที่ไม่ยอมบอกแก่ผู้ใด ทุกอย่างแปลกไปหมดราวกับว่าเตรียมการมาก่อนแล้ว
“เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงทรงประมาทเช่นนี้” เสียงทุ้มต่ำของแม่ทัพหวางแฝงแววทอดถอนใจ ทรงมีความรักใคร่ต่อน้องชายต่างมารดาอย่างยิ่งจนไม่คิดระแวงสงสัยในตัวองค์ชายรองเลยกระนั้นหรือ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ประทับชั่วคราวนอกเมืองอยู่ทิศทางใด” เงยหน้าขึ้นถามลูกน้อง หลังจากที่ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นาน
“ไม่มีใครทราบนอกจากองค์ชายรองขอรับ ทหารองครักษ์รู้เพียงว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้จำกัดพื้นที่ไม่เกินสิบลี้ เป็นไปได้ว่าที่ประทับชั่วคราวก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่เกินสิบลี้เช่นกันขอรับ”
“ดี! ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปเตรียมทหารฝีมือดีไว้และแยกย้ายกันออกติดตามในระยะสิบลี้จนกว่าจะพบองค์ชายใหญ่ หากเจ้าพบก่อนให้ส่งทหารมาแจ้งข้าโดยด่วน”
“แต่หากว่าเราพาทหารติดตามไป จะไม่เป็นการขัดพระประสงค์ขององค์ชายรองงั้นหรือขอรับ”
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี แต่ข้ายอมทนอยู่เฉยไม่ได้ เจ้ารีบไปทำตามที่บอกเถิด ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”
หวางชุนเทียนผู้ที่ไม่หวั่นเกรงอำนาจขององค์ชายรอง เขาคิดเพียงว่าการปกป้องว่าที่องค์รัชทายาทเป็นหน้าที่ที่แม่ทัพเช่นเขาสมควรกระทำอย่างยิ่ง...
เสียงสนทนาภายในห้องนอนของหวางชุนเทียนปลุกให้เหม่ยหลินงัวเงียตื่นขึ้นมา
‘ทำไมคุยกันเสียงดังจัง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไงนะ’ คิ้วเรียวบางค่อยๆขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
ฟังดูแล้วเสียงคุ้นหูนั้นคงจะเป็นเสียงของกัวเสี่ยนหรง ถึงขนาดบุกเข้ามารายงานในห้องส่วนตัวของท่านแม่ทัพ อย่างนี้ต้องเป็นเรื่องด่วนแน่ๆ
หญิงสาวพลันหยิบเสื้อผ้ามาใส่สวมทับชุดนอน เดินมาแง้มเปิดประตูอย่างเบามือและพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของสองชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งใดอีก
จนกระทั่งสายตาเห็นร่างของผู้ที่ออกมาจากประตูก่อนเป็นคนแรกคือกัวเสี่ยนหรงกำลังสาวเท้าเดินผ่านหน้าห้องของเหม่ยหลินเพื่อจะไปเตรียมตัวรวบรวมทหารตามคำสั่งแม่ทัพหวาง หญิงสาวจึงไม่รีรอที่จะออกไปสอบถามทันที ทำให้ได้รู้ว่าแม่ทัพหวางกำลังจะเดินทางไปอารักขาองค์ชายใหญ่ที่นอกเมือง เหตุผลเพราะไม่ไว้ใจองค์ชายรอง
“ตายจริง! เป็นไปได้หรือที่องค์ชายรองจะคิดร้ายต่อองค์ชายใหญ่ ท่านแม่ทัพคิดมากไปหรือเปล่า”
“เรื่องเช่นนี้ต้องระมัดระวังไว้ก่อนขอรับ เพราะหากองค์ชายใหญ่ทรงเป็นอะไรไปตำแหน่งองค์รัชทายาทจะเปลี่ยนเป็นขององค์ชายรองทันที เป็นธรรมดาที่ท่านแม่ทัพจะไม่วางใจการออกล่าสัตว์ครั้งนี้ อีกอย่างคือพวกเราเป็นทหารต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อราชบัลลังก์ขององค์รัชทายาทขอรับ”
สีหน้าดูเป็นกังวลของกัวเสี่ยนหรงและคำบอกเล่านั้นทำให้เหม่ยหลินอดคิดมากไม่ได้ หากจะกล่าวถึงองค์ชายรองผู้นั้น ดูเป็นคนมีนิสัยเอาแต่ใจก็ว่าแย่แล้ว แต่ยังจะมีความคิดชั่วร้ายถึงขั้นที่ไม่อาจมองข้ามทุกการกระทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ
‘ต้องเอาชีวิตเข้าแลก...หากเกิดเหตุร้ายขึ้นมาจริงๆ ท่านแม่ทัพจะเป็นอะไรไหมนะ น่าเป็นห่วงจัง’
ร่างสูงของหวางชุนเทียนในชุดเกราะสีเงินก้าวออกมาจากประตูบ่ายหน้าไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาว ครั้นเหลือบตามองที่ประตูห้องข้างๆ คิดในใจว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าหากได้เห็นดวงหน้าหวานของหญิงสาวก่อนที่จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญ แต่ก็กลัวจะเป็นการรบกวนนางมากเกินไปจึงตัดใจเดินหน้าต่อ
หลังเสียงฝีเท้าดังตึกตึกพ้นไปจากหน้าห้องไปแล้ว มือเรียวบางของเจ้าของห้องก็ค่อยๆเปิดบานประตูอย่างเบามือที่สุด หัวเล็กๆโผล่พ้นประตูชะโงกหน้ามองแผ่นหลังภายใต้เสื้อเกราะของแม่ทัพหนุ่มด้วยสายตาแสดงความห่วงใย
ต่อให้เบามือแค่ไหนเสียงเอี๊ยดแอ๊ดของบานพับก็ดังให้ได้ยินอยู่ดี ประสาทสัมผัสของหวางชุนเทียนรู้สึกได้ว่ากำลังถูกแอบมอง เขาหยุดเดินแล้วเหลียวหลังกลับมา
‘อุ๊ย! รู้ว่าเรามองอยู่ด้วยเหรอ’ เธอตกใจกับสายตาคมจึงรีบปิดประตูผลุบหัวกลับเข้าห้องทันที
หญิงสาวยืนคิคอยู่เพียงประเดี๋ยวก็สะดุ้งกับเสียงทุ้มที่ดังมาจากภายนอกเอ่ยขึ้น
“เหม่ยหลิน ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว”
ร่างบางยังยืนรั้งรออยู่ภายในห้องกล้าๆกลัวๆที่จะพบหน้าเขา ใจหนึ่งก็ยังรู้สึกอายจากเรื่องเมื่อวาน อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเป็นห่วงที่ท่านแม่ทัพต้องออกไปอารักขาองค์ชายใหญ่วันนี้
ถึงแม้ไม่มีเสียงตอบกลับแต่เขารู้สึกได้ว่าหญิงสาวยืนอยู่หลังบานประตู จึงพูดหยั่งเชิงออกไป
“วันนี้ข้ามีธุระสำคัญไม่รู้จะได้กลับเวลาใด หากเจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้า...ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”
สิ้นเสียงจากคนด้านนอกจนเกิดเป็นความเงียบ แสดงว่าคงไปแล้วจริงๆ
คนตัวเล็กหลังบานประตูรู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่เขาเดินจากไปเร็วนัก ใบหน้าเศร้าก้มลงมองผ้าคลุมไหล่สีดำเนื้อดีพาดอยู่ที่แขนบอบบาง เธอใช้เวลากับการปัก ‘ลายวิหคเหินลม’ ลงบนผ้าคลุมไหล่ผืนนี้มาหลายวันแล้ว
แม้ว่าจะไม่สวยเหมือนอย่างที่ช่างปักฝีมือดีทั้งหลายทำกัน แต่ก็เป็นความตั้งใจที่อยากจะมอบให้แก่แม่ทัพหนุ่ม ยิ่งพอรู้ว่าวันนี้เขาต้องออกไปเสี่ยงอันตรายก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่มีโอกาสให้
‘จริงสิ นำไปฝากไว้กับนายกองกัวก็ได้นี่นา’ พลันนึกขึ้นได้ว่ากัวเสี่ยนหรงน่าจะยังอยู่ภายในจวน
ร่างเล็กเปิดประตูพรวดออกมาอีกครั้ง แต่กลับปรากฏร่างกำยำยืนกอดอกและพิงเสาหน้าห้องรอเธออยู่อย่างจงใจ เป็นเพราะอยากจะรอดูว่าหญิงสาวจะใจแข็งไม่ยอมสู้หน้าเขาอีกจริงหรือไม่
“ไหนบอกว่าไปแล้ว นี่ท่านแกล้งหลอกข้า” ใบหน้าตกใจเปลี่ยนเป็นทำหน้าเหวี่ยงใส่
“ข้าน่ะหรือจะแกล้งเจ้าได้...ข้าก็แค่รอเจ้าเหมือนที่เจ้ารอข้า” ริมฝีปากหนาของชายหนุ่มเหยียดยิ้มบางๆ อย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรอเขาอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“ว่าอย่างไร ยอมรับหรือไม่ว่าเจ้ารอพบข้า เป็นห่วงข้าก็บอกมาตรงๆ” พูดพลางเดินเข้าประชิดตัว
“ก็ได้ๆ ข้ายอมรับว่ารอท่านก็ได้เจ้าค่ะ ข้าได้ยินว่าท่านจะออกไปอารักขาองค์ชายใหญ่ เวลาในยามนี้อากาศหนาวเย็นลงมาก ข้าอยากให้ท่านสวมผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ไปด้วยก็เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มพลันยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ฟังคำยอมรับที่ยาวเหยียด แล้วหลุบสายตามองผ้าคลุมไหล่ที่พาดอยู่กับแขนหญิงสาว เขาจ้องที่ลายปักด้วยดิ้นสีทองตัดกับผืนผ้าสีดำนั้นอย่างสงสัย จนทำให้เหม่ยหลินคิดว่าลายปักฝีมือของเธออาจยังไม่ดีพอ
“ลายปักวิหคเหินลมนี้ข้าทำเองกับมือ ถ้าหากท่านแม่ทัพคิดว่าไม่เหมาะสมกับท่าน ไม่ต้องรับไปก็ได้เจ้าค่ะ”
พูดอย่างไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง มือทั้งสองยกขึ้นกอดผ้าคลุมไหล่นี้แนบไว้กับตัว
“ใครบอกว่าจะไม่รับ ข้าอยากให้เจ้าสวมให้ข้าด้วยต่างหาก เร็วเข้าสิข้าต้องรีบไป”
น้ำเสียงพูดราวกับคำสั่งทำให้เธอไม่อาจขัดใจได้นั้นฟังดูน่าหมั่นไส้เสียจริง แต่เหม่ยหลินก็ต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้
หญิงสาวเงยหน้าตวัดผ้าคลุมสวมบนไหล่ให้กับร่างสูงสง่าที่โน้มลงรอรับแต่โดยดี มือเรียวยาวบรรจงผูกสายมัดที่อยู่เหนือหน้าอกของชายหนุ่ม
มือน้อยเริ่มสั่นประหม่าเมื่อเห็นว่าเขาประชิดตัวเข้าใกล้ขึ้นอีก ไหนจะแววตาลุ่มลึกที่เอาแต่จ้องดวงหน้ารูปไข่คิ้วดำเรียวสวย ยิ่งทำให้หญิงสาวใจเต้นตึกตัก
แพขนตางอนยาวกะพริบขึ้นลงหลายครั้งไม่กล้าสบตากับชายหนุ่มตรงๆ แต่ก็ไม่วายเผลอช้อนสายตาขึ้นมองริมฝีปากหยักได้รูปตรงหน้า
จู่ๆก็นึกถึงรอยจูบที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ขึ้นมา พวงแก้มขาวใสพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
เหม่ยหลินสั่นหัวเล็กน้อยพยายามสลัดความคิดที่ทำให้ปั่นป่วนหัวใจออกไปให้ได้
ชายหนุ่มอมยิ้มกับกิริยาขวยเขินนั้น มือหนายกขึ้นเพื่อจะสัมผัสกับมือนุ่ม แต่ร่างบางกลับรีบผละตัวออกห่างไปยืนอีกฝั่งอย่างน่าเสียดาย
“ข้าผูกเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“อ่อ...เสร็จแล้วรึ” มือหนาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นยกขึ้นขยับผ้าคลุมไหล่ไปมา บังเกิดความอิ่มเอมใจกับของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับจากหญิงสาว
“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้วจริงๆ เจ้าอยู่จวนดีๆนะ”
ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันก่อนที่จะหันมาสนใจคำพูดของเหม่ยหลิน ประโยคที่นางกล่าวออกมาหมายถึงความห่วงใยในตัวเขาใช่หรือไม่
“ลายปักวิหคเหินลมบนผ้าคลุมไหล่ที่ท่านสวมอยู่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก ข้าจะรอท่านนำมันกลับมาคืนให้แก่ข้า ตกลงไหมเจ้าคะ”
คิ้วที่ขมวดเป็นปมพลันคลายออกจากกันก่อนที่จะพยักหน้าน้อยๆ ยอมจำนนกับคำพูดอ้อมค้อมนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเอ่ยคำว่า ‘เป็นห่วง’ นางกลับสรรหาถ้อยคำอื่นมาทดแทน
แต่ก็เอาเถิด เพียงเท่านี้ก็นับว่าดีมากแล้วสำหรับผู้หญิงปากแข็งเช่นนาง...
“ตกลง...ข้าต้องกลับมาแน่นอน เจ้ารอข้านะเหม่ยหลิน”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ