ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก
เขียนโดย ณรีนิน
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
41) ตามหาองค์ชายใหญ่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อุ๊ย!” เสียงอุทานของเหม่ยหลินดังขึ้นด้วยตกใจกับบางสิ่งบางอย่างที่ตกลงมากระทบศีรษะ มือเรียวยาวยกขึ้นปัดที่เส้นผมเบาๆ จึงสัมผัสได้ว่าเจ้าสิ่งนั้นเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กๆ
ดวงหน้างามเงยขึ้นมองหาต้นตอ จนกระทั่งได้ยินเสียงกระพือปีกเคลื่อนที่ตรงไปยังกิ่งไม้ที่อยู่ตอนล่างของลำต้น ที่แท้ก็คือเจ้านกพิราบขนสีขาวปลอดทั้งตัว ดวงตาของมันเป็นสีดำสนิท หัวเล็กๆของเจ้านกน้อยผงกขึ้นลงตามสัญชาตญาณ
หญิงสาวคิดว่าต้องเป็นเจ้านกขนสีขาวตัวนี้แน่ๆที่ปล่อยกิ่งไม้ในกรงเล็บให้ร่วงหล่นลงมา ช่างเกเรนักนะเจ้านกน้อย แล้วดูสิในปากคาบอะไรไว้ด้วย
“คุณหนูมองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” จูผิงที่เดินดิ่งมาหา ในมือถือตะกร้าเครื่องปักซึ่งเป็นงานอดิเรกของคุณหนูทำในยามว่างมาด้วย
“นกตัวนั้นไง มันคาบอะไรไว้ในปาก เหมือนดอกไม้หรืออะไรสักอย่าง”
“ไหนเจ้าคะ...อ๋อ...ใช่แล้ว นั่นมันดอกกุ้ยฮวานี่เจ้าคะ นกตัวนี้มันคงเด็ดดอกกุ้ยฮวามาจากต้นที่ปลูกในสวนฝั่งตะวันตกแน่ๆเลย”
จูผิงมั่นใจว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้อง ช่อดอกกุ้ยฮวาดอกเล็กนั้นยังคงดูสดใหม่แสดงว่าเพิ่งถูกเด็ดได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นจะเป็นที่ใดไม่ได้นอกจากต้นกุ้ยภายในสวนของจวนแม่ทัพแห่งนี้เท่านั้น
“ต้นกุ้ยในสวน...นี่ถึงฤดูออกดอกแล้วหรือ” หญิงสาวเปรยเสียงเบา
สายลมพัดเอื่อยเข้ามากระทบเจ้าของร่างบางที่ยืนนิ่งกอดอกตัวเองหลวมๆ คิดย้อนถึงวันแรกที่ตื่นขึ้นท่ามกลางต้นกุ้ยหลายต้นที่หมู่บ้านหนิงอัน ‘ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็เกือบปีแล้วสินะ’
หญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าช่วงเวลาที่ดอกกุ้ยฮวาเบ่งบานขึ้นเช่นนี้ เป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่ต้นหอมหมื่นลี้หลังบ้านที่จังหวัดเชียงใหม่เบ่งบานเช่นเดียวกัน มือน้อยลูบที่ต้นแขนตนเองเบาๆ เมื่อรู้สึกโหยหา ‘บ้านเกียรติสรณ์’
คิดถึงทุกคนที่บ้านเหลือเกิน แต่คิดถึงมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงแค่คิดถึง เพราะสุดท้ายแล้วก็ยังหาหนทางกลับบ้านไม่ได้เสียที นี่เราอยู่ที่แห่งนี้นานไปหรือเปล่า นานมากเสียจนตอนนี้ชักเริ่มคุ้นชินกับผู้คนและการใช้ชีวิตที่นี่มากเสียจนจะกลายเป็นคนยุคโบราณไปแล้ว
เหม่ยหลินยืนนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ได้ไม่นาน เสียงเอะอะของทหารประจำจวนสองสามนายดังขึ้นพร้อมวิ่งกรูกันเข้ามา
“โน่นไง! มันอยู่บนนั้น รีบตามไปจับเร็ว” เหล่าทหารเงยหน้ามองเป้าหมายที่เกาะอยู่บนต้นไม้ ในมือของทหารนายหนึ่งถือกรงที่ว่างเปล่ามาด้วยทำให้เดาได้ไม่ยากว่ากำลังตามจับนกพิราบตัวเดียวกันกับที่เหม่ยหลินและจูผิงจ้องมองอยู่
เจ้านกพิราบตัวดีกระพือเพื่อจะปีกบินหนีอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามันคายช่อดอกกุ้ยฮวาออกจากปากให้ร่วงหล่นสู่พื้นตกลงตรงหน้าของเหม่ยหลินพอดี ทหารเห็นดังนั้นก็วิ่งหน้าเริดตามนกตัวนั้นไปไม่ลดละ
“เดี๋ยวก่อน เหตุใดพวกเจ้าต้องตามนกพิราบตัวนั้นด้วย” เหม่ยหลินเรียกทหารนายหนึ่งที่วิ่งอยู่หลังสุดมาไถ่ถาม
“มันคือนกพิราบสื่อสารของท่านแม่ทัพขอรับ เมื่อสักครู่เห็นว่ามันกระพือปีกบินไปทั่วกรงราวกับตกใจอะไรบางอย่างจึงเปิดกรงดู แต่ไม่ทันไรมันก็บินหลุดจากกรงออกมาขอรับ ถ้าท่านแม่ทัพรู้ว่ามันหายไปพวกข้าอาจต้องรับโทษกันหมด” พูดจบแล้วทหารนายนั้นก็ขอตัวรีบวิ่งตามนกพิราบตัวสำคัญไปอย่างเร่งรีบ
‘นกพิราบของท่านแม่ทัพ...อือ...ตอนนี้ท่านแม่ทัพทำสิ่งใดอยู่นะ’ อยู่ๆก็รู้สึกคิดถึงแม่ทัพหวางชุนเทียนเจ้าของจวนขึ้นมา ท่านแม่ทัพต้องออกไปอารักขาองค์ชายใหญ่ตามหน้าที่ ขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงอันใดเกิดขึ้นเลย...
เหม่ยหลินหลุบสายตาลงมองพื้นก่อนจะก้มลงเก็บช่อดอกกุ้ยฮวาที่เจ้านกน้อยทิ้งไว้ นกแสนรู้ที่เลี้ยงไว้บินหนีไปเช่นนี้ ถ้าหากท่านแม่ทัพรู้เข้าคงเสียใจแย่เลย
“นี่จูผิง เจ้าว่านกตัวนั้นมันจะบินไปไหน ที่จวนแม่สกุลหวางแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นบ้านของมันไม่ใช่หรือ เหตุใดมันยังบินหนีออกไปที่อื่นอีก” หันไปเอื้อนเอ่ยกับสาวใช้
“มันคงอยากเป็นอิสระกระมังเจ้าคะ หรือไม่แน่ว่าระหว่างที่มันทำหน้าที่เป็นนกพิราบสื่อสารอยู่ในโลกกว้าง มันอาจจะมีรังอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
“ถ้ามันมีรังอยู่ที่อื่นจริงๆ แสดงว่ามันกำลังบินกลับบ้านน่ะสิ เฮ้อ...เกิดเป็นนกมันดีอย่างนี้นี่เองอย่างน้อยก็รู้ทางกลับบ้าน”
เหม่ยหลินพูดราวกับอิจฉาเจ้านกน้อยตัวนั้นเสียเต็มประดา เธอเสียอีกที่ไม่มีทางรู้หนทางกลับบ้านตนเอง
กัวเสี่ยนหรงนำทหารออกตามหาองค์ชายใหญ่ เผอิญได้พบกับทหารติดตามของหวางชุนเทียนที่เหลือเพียงไม่กี่นายซึ่งต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า เขารีบตรงเข้าไปสอบถามทหารเหล่านั้นทันที
“เหตุใดพวกเจ้าจึงวิ่งหนีกันมาเช่นนี้ แล้วท่านแม่ทัพหวางชุนเทียนหายไปไหนเสียเล่า?”
“ท่านแม่ทัพ...ท่านแม่ทัพตกหน้าผาไปพร้อมองค์ชายใหญ่แล้วขอรับ” ทหารคนหนึ่งเปล่งเสียงพูดออกมาพร้อมอาการหอบเหนื่อย
“ห๊ะ!! เจ้าว่าอะไรนะ พวกเจ้าได้ลงไปค้นหาใต้หน้าผาแล้วหรือยัง!”
“ใต้หน้าผานั้นเป็นลำธารขอรับ พวกข้าน้อยพยายามจะลงไปค้นหาแต่ก็ถูกกลุ่มคนร้ายขัดขวางไว้ พวกมันไล่ต้อนพวกเราให้ติดกับดักอันตรายมากมายจนพวกเราเหลือกันเพียงไม่กี่คน”
‘กับดัก!!’ เหตุใดจึงมีกับดักในวันที่องค์ชายใหญ่ออกล่าสัตว์เช่นนี้ กลุ่มผู้ร้ายคิดลอบปลงพระชนม์องค์ชายใหญ่อย่างที่แม่ทัพหวางชุนเทียนคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ
ด้วยความเป็นห่วงองค์ชายใหญ่และแม่ทัพหวางมากจนคิดจะตามไปโดยไม่คำนึงถึงอันตราย แต่ครั้นเห็นกับดักที่มีอยู่ทั่วทุกมุมทำให้นายกองหนุ่มจำต้องชั่งใจคิดอยู่นาน
ทหารนายหนึ่งนึกขึ้นได้รีบส่งมอบลูกธนูให้แก่กัวเสี่ยนหรง
“องครักษ์ติดตามองค์ชายใหญ่ล้วนตายเพราะถูกธนูยิง ท่านแม่ทัพจึงสั่งให้เก็บไว้เป็นหลักฐานขอรับ”
นายกองหนุ่มนั่งบนหลังม้าก้มลงรับลูกธนูขึ้นมา มือกำลูกธนูไว้แน่นสองจิตสองใจว่าจะกระทำสิ่งใดต่อไปดี หนทางข้างหน้าก็เสี่ยงที่จะติดกับดักและเหล่าคนร้ายที่อาจสุ่มโจมตี ผลีผลามนำทหารไม่กี่สิบคนฝ่าไปเช่นนี้จะพลอยทำให้ทหารบาดเจ็บเสียชีวิตไปเปล่าๆ แต่หากต้องการควบม้าผ่านเส้นทางนี้อย่างปลอดภัยจำเป็นต้องเก็บกวาดกับดักเหล่านี้ให้หมดสิ้นเสียก่อน ซึ่งต้องใช้สรรพกำลังทหารค่อนข้างมากทีเดียว
เขาพยายามคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยลำธารเบื้องล่างก็เป็นเส้นทางที่สามารถหนีทั้งคนร้ายและกับดักเหล่านี้ ท่านแม่ทัพหวางอาจจะใช้โอกาสเดียวที่จะช่วยให้องค์ชายใหญ่รอดชีวิตโดยการจงใจกระโดดจากหน้าผาก็เป็นได้
ในที่สุด กัวเสี่ยนหรงก็สั่งการให้ทหารที่บาดเจ็บรออยู่ที่นี่ ส่วนเขารีบหันหลังตะบึงควบม้ากลับสู่เมืองหลวงเพื่อกราบทูลท่านอ๋องให้เร่งส่งทหารมาโดยเร็ว
ท่านอ๋องทรงทราบว่าองค์ชายรองลี่หยางเสด็จกลับเข้าเมืองหลวงด้วยอาการบาดเจ็บและขณะนี้ให้หมอหลวงทำการรักษาอยู่ เจ้าผู้ครองแคว้นร้อนใจเป็นอย่างมากจึงทรงเดินทางมาเยี่ยมอาการของบุตรชายที่ตำหนักเฟิ่งหวงด้วยตนเอง
“หมอหลวง ลี่หยางเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงร้อนรนดังขึ้นทันทีที่ถึงจุดหมาย
หมอหลวงที่ยืนรอรับเสด็จอยู่หน้าห้องบรรทมโค้งคารวะก่อนที่จะรายงานอาการขององค์ชายรองตามที่ซักซ้อมไว้
“เอ่อ...กระหม่อมรักษาบาดแผลให้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทรงปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ” ทูลตอบโดยไม่สบสายตาด้วยเกรงจะถูกจับได้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการขององค์ชายรองลี่หยางทั้งสิ้น!
“หากลี่หยางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ว่าแต่...ลี่หมิงเองก็คงจะบาดเจ็บเช่นเดียวกัน หมอหลวงเจ้าได้ตรวจอาการของลี่หมิงแล้วหรือยัง” ทรงถามด้วยท่าทีกระวนกระวายโดยที่ไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตไม่ได้กลับมาด้วย
ทันทีที่ได้ยินผู้เป็นพ่อทรงเอ่ยนามขององค์ชายลี่หมิง คนบาดเจ็บในห้องบรรทมก็เอ่ยเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ...เสด็จพ่อ”
ท่านอ๋องได้ยินเสียงเรียกเช่นนั้นจึงรีบก้าวเท้าเข้าห้องบรรทม ภาพที่ปรากฏคือร่างของบุตรชายคนรองในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนที่แท่นบรรทม ผ้าพันแผลสีขาวพันรอบพระวรกายบ่งบอกให้รับรู้ถึงบาดแผลที่ได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งที่ขอบเตียงถามไถ่อาการ
“บาดแผลเพียงเท่านี้ลูกทนได้พ่ะย่ะค่ะ แต่...เสด็จพี่ลี่หมิงทรงถูกคนร้ายไล่ต้อนเข้าไปในป่า ไม่ทราบชะตากรรมพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองแสร้งทำหน้าเศร้าแสดงความโศกาให้บิดาเห็นใจ
“อะไรนะ!” ผู้เป็นพ่อทำสีหน้าตระหนก อกจุกเกร็งตกใจกับคำบอกเล่าที่น่าหวั่นวิตกนั้น แม้อยากจะต่อว่าที่ไม่แจ้งเรื่องด่วนให้เร็วกว่านี้แต่เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บของบุตรชายรองก็หนักเอาการอยู่ จึงพยายามสกัดกั้นอารมณ์
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นายกองกัวเสี่ยนหรงมีเรื่องด่วนเกี่ยวกับองค์ชายใหญ่มากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีร่างผอมบางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากราบทูลถึงห้องบรรทม ทำให้ทั้งท่านอ๋องและองค์ชายรองต่างมองหน้ากันเพราะไม่คุ้นชื่อนายกองตำแหน่งต่ำต้อยผู้นี้
“นายกองผู้นี้เป็นคนสนิทของแม่ทัพหวางชุนเทียนพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างหนาลุกพรวดเดินออกจากห้องบรรทมทันทีที่ได้ยินชื่อหวางชุนเทียน แสดงว่าแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ได้สั่งการสิ่งใดสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายใหญ่ให้นายกองผู้นี้กระทำเป็นแน่...
แล้วก็เป็นจริงดั่งที่ประมุขแห่งแคว้นคาดไว้ เมื่อได้ทรงทราบว่าแม่ทัพหวางได้พยายามช่วยเหลือองค์ชายใหญ่จนต้องตกหน้าผาลงไปพร้อมกัน ส่วนเบาะแสของคนร้ายก็คือลูกธนูที่อยู่ตรงหน้าเพราะมันคืออาวุธสังหารเหล่าองครักษ์ติดตามทั้งหลาย
“อภัยให้กระหม่อมที่ไม่สามารถตามหาองค์ชายใหญ่ได้ทันที กับดักในป่ามีมากมายเหลือเกิน กระหม่อมกลัวว่าหากฝืนเดินหน้าต่อไปแล้วจะไม่มีโอกาสกลับมากราบทูลความจริงต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
กัวเสี่ยนหรงก้มหัวติดพื้น ในใจหวังให้ท่านอ๋องทรงเข้าใจการกระทำของเขาในครั้งนี้
ในขณะที่ประมุขแห่งแคว้นยังยืนอึ้งฟังเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น หมอหลวงที่ยืนอยู่ไม่ห่างเหลือบมองไปเห็นแววตาที่แฝงไปด้วยแผนการจ้องเขม็งขององค์ชายรอง ทรงมองเชิงส่งสัญญาณให้หมอหลวงดำเนินการตามแผน
“ลูกธนูนั้นเคลือบยาพิษ!” เสียงของหมอหลวงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“หมอหลวง เจ้าแน่ใจหรือ?” ท่านอ๋องเบิกตาโตเมื่อได้ยินคำว่ายาพิษ
“พิษนี้ไม่ใช่พิษธรรมดาเป็นพิษที่ปรุงจากพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นเฉพาะดินแดนทางใต้เท่านั้น หากเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่ได้รับยาถอนพิษจะมีชีวิตรอดไม่เกินสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
“ดินแดนทางใต้ในแคว้นตงเยว่มียาพิษที่รักษาไม่ได้ด้วยหรือ ข้าไม่เชื่อ!”
“หากพืชชนิดนี้อยู่ในอณาเขตแคว้นตงเยว่ กระหม่อมย่อมหาหนทางปรุงยาถอนพิษได้แน่นอน แต่หากเป็นดินแดนทางใต้ที่ไกลออกไปอย่างเช่น...แคว้นฟู่เฉิง คงยากที่จะหายามารักษาได้ทันพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองนั่งฟังอยู่เงียบๆ ยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะปรับสีหน้าเสียใหม่ให้ดูเหมือนตระหนกตกใจกับสิ่งที่หมอหลวงพูด
“แสดงว่าคนร้ายมาจากแคว้นฟู่เฉิง กระหม่อมได้ยินเสด็จพี่เล่าให้ฟังว่าชายแดนใต้ของเราไม่ปลอดภัยเพราะแคว้นฟู่เฉิงจ้องจะรุกรานอยู่บ่อยครั้ง” ลี่หยางรีบอ้าปากออกความเห็น ทรงพยายามกล่าวโทษไปที่คนของแคว้นฟู่เฉิงเพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้บิดาจับได้ว่าคนร้ายที่แท้จริงคือรองแม่ทัพเหอไป่เฉินแคว้นม่งอู๋!
พอทรงคิดว่าหากลี่หมิงถูกยิงด้วยธนูอาบยาพิษนี้คงเหลือเวลาในการรักษาอีกไม่เกินสามวัน ขาของท่านอ๋องก็อ่อนแรงลงจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ยังดีที่ขันทีและหมอหลวงเข้ามาพยุงไหล่ทั้งสองข้างไว้
ทรงโบกมือเบาๆ และฝืนยืนตรงอีกครั้งก่อนที่จะให้ขันทีไปเรียกทหารองครักษ์เข้ามาเพื่อสั่งให้ออกปฏิบัติการเก็บกวาดกับดักในป่าและออกตามหาองค์ชายลี่หมิงทันที
“ต่อให้ต้องใช้ทหารทั้งกองทัพก็ต้องออกตามหาองค์ชายลี่หมิงให้พบโดยเร็วที่สุด!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ