โอรีเวีย 2 ( ล่มสลาย )
2) ขบวนเกวียน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในวันที่แดดจัดสองพ่อลูกจะออกไปกลางทุ่งหญ้าตัดหญ้าลงเป็นกองๆ ตากแดดเอาไว้จนแห้งดีแล้วจึงขนมารวมกันไว้ในโรงนา ยามเช้านั้นหมอกหนาหญ้าก็เปียกชื้นพวกเขาก็ช่วยกันตัดหญ้า เวลาบ่ายคล้อยแดดจัดหญ้าแห้งดีพวกเขาเลือกกองที่แห้งแล้วจริงๆ ขนไปไว้ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาทุกๆ วันมีงานไม่ว่างเว้น
ส่วนคาโอเรียกับแม่นั้นง่วนอยู่ในครัวผลผลิตปีนี้มีมากมาย พวกเขาต้องช่วยกันเก็บรักษาให้คงอยู่เป็นเสบียงไปจนพ้นฤดูหนาว ของบางอย่างต้องตากแห้งในขณะที่บางอย่างต้องหมักดอง ห้องใต้ดินจึงมีของกินมากมายเนยแข็งวางเป็นตั้งๆ บนชั้นกระสอบใส่มันและหัวผักกาด ถังไม้โอ๊คบรรจุของหมักดอง โชคดีที่อาเธอร์ขุดห้องนี้ไว้กว้างใหญ่ แต่เวลานี้กลับคับแคบเพราะเต็มไปด้วยเสบียงจนคาโลไรน์ทักท้วงว่ากะจะเก็บไว้กินยันปีหน้าหรือไร อาเธอร์ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าพวกเราคงไม่โชคดีไปตลอด เมื่อหวนคิดถึงคืนวันอันโหดร้ายในซีนาร์ยเมื่อผลผลิตถูกทำลายจนหมดสิ้น เขาได้แต่หวังว่าที่เก็บไว้ตอนนี้จะเพียงพอ
แต่ละวันที่ผ่านไปมีแต่งานกับงาน ฟิโลโซเฟอร์ก้มหน้าทำแทบไม่หยุดพัก ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนขยันถึงเพียงนั้นเพียงแต่ต้องการหยุดความคิดฟุ้งซ่าน หากมีเวลาว่างก็ซ้อมฟันดาบและฝึกยิงธนูทุกวันนี้เขาทำได้ดีขึ้นมาก บางวันแทบไม่คุยกับใครจนผู้เป็นบิดาแอบเป็นกังวลว่าเขาจะหมกมุ่นเกินไป พอหมดวันเขาก็แทบคลานขึ้นไปนอนบนห้องใต้หลังคา แต่ยังไม่วายหยิบดาบสีเงินออกมาเช็ดถูทำความสะอาดจากนั้นจึงวางไว้ข้างเตียง พลางคิดถึงเจ้าของดาบว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน เขาจ้องอยู่อย่างนั้นจนหลับไปพร้อมกับความฝันที่วุ่นวายสับสน มันมีทั้งหน้าผาสูงชัน เปลวไฟที่ร้อนแดง ร่างเงาบิดเบี้ยวแปลกประหลาดและแสงสีแดงสุดอำหิต
ในตอนสายของวันหนึ่งขณะที่เด็กชายชาวซีนาร์ยกำลังช่วยผู้เป็นบิดาตัดหญ้า ได้มีขบวนเกวียนขบวนหนึ่งมุ่งหน้ามาที่บ้านของเขา นั่นเป็นเหตุการณ์แปลกประหลาดเพราะบ้านน้อยหลังนี้ไม่ค่อยมีแขก โดยเฉพาะที่แห่กันมาหลายสิบคนยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
พวกเขาทั้งสองจึงวางมือจากงานที่ทำอยู่ กระโดดขึ้นม้าแล้วควบกลับไปยังบ้านหลังน้อย ด้วยความสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
เมื่อไปถึงจึงพบว่าแขกที่มานั้นมิใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นเหล่าเพื่อนๆ ทั้งสี่ของฟิโลโซเฟอร์นั่นเองและเป็นเพราะฟีไลร่ามีคนคุ้มกันมาด้วย ขบวนเกวียนที่เดินทางมาจึงใหญ่โตพอสมควร
อาเธอร์รู้โดยสัญชาตญาณ ว่าเหล่าผู้ติดตามของเด็กหญิงผมสีเงินคนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นทหารรับจ้างฝีมือดี เขาได้เก็บความประหลาดใจเอาไว้พร้อมกับคาดเดาว่าตระกูลของนางคงร่ำรวยไม่น้อย
“ ไง เจ้าเด็กบ้านทุ่งสบายดีหรือ คงไม่สินะ ทำงานหนักในไร่ตามลำพังแบบนี้คงคิดถึงพวกเราสิท่า ”
โลธอร์ร้องทักขึ้นก่อน
“ ก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยกล่าวยิ้มๆ
“ ข้าชวนแล้วเจ้าไม่ไปเองโทษใครไม่ได้นะเลยพลาดเรื่องสนุกเลย ”
เด็กร่างอ้วนคนนั้นว่า
“ พวกเราไปงานศพ ”
อีเลียสพูดเสียงรอดไรฟัน
“ อย่าทำเหมือนงานรื่นเริง ไร้มารยาทสิ้นดี ”
โลธอร์คอตก
พลางทำเสียงอุบอิบ
“ ใช่เละไม่เป็นท่าเลย งานศพเกือบจะกลายเป็นงานสยองไปเสียแล้ว ข้าจะทำท่าเช่นไรก็ไม่สำคัญหรอก ”
เขากล่าว
“ พูดอะไรของเจ้าน่ะโลธอร์พิลึกจริง หรือผิดหวังที่ไม่ได้ไปงานสมรส ส่วนข้าน่ะภาระเยอะเจ้าเองก็รู้ถึงอยากไปแทบตายก็ทำตามใจตนเองไม่ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
ในช่วงปิดภาคเรียนนี้เอง ฟีไลร่ากับอีเลียสได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีฝังพระศพของเจ้าหญิงลูเซียน่าที่อันดอรีสอันเป็นเมืองเกิด โลธอร์นั้นได้ติดตามเพื่อนๆ ไปแม้เขาจะเป็นแค่บุตรชายคนเดียวของหัวหน้าเผ่าที่ห่างไกล แต่ก็เทียบเท่าได้กับรัชทายาทแห่งกษัตริย์ ส่วนฟีไลร่าก็เป็นทายาทตระกูลค้าขายที่มั่งคั่งที่สุดในไอโอเนียและอีเลียสก็เป็นหลานชายของที่ปรึกษาแห่งกษัตริย์ผู้โด่งดัง
เด็กชายชาวซีนาร์ยคนนี้เป็นแค่ลูกชาวนาฐานะยากจน โชคดีที่มีถุงทองของคุณปู่ช่วยเอาไว้ทำให้พอมีพอกินขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนๆ แล้วก็ยังเป็นยาจกอยู่ดี ดังนั้นงานพิธีที่ยิ่งใหญ่นั้นต่อให้อยากไปเพียงใด ก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“ เด็กๆ จ๊ะ หิวกันหรือยังที่นี่มีเสบียงเพียงพอ แต่ในเมื่อมีคนมามากมายเช่นนี้ เกรงว่าข้าคงต้องการคนช่วยทำครัว ”
คาโลไรน์เอ่ยขึ้น
ทำให้ฟิโลโซเฟอร์ที่กำลังจะเอ่ยถามถึงดารีล
ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน
เด็กๆ ต่างเข้าไปในครัว
ทำให้ครัวที่เล็กอยู่แล้วกลับแคบลงไปอีก
แต่พวกเขาก็สนุกสนานกัน
ในการร่วมกันเตรียมอาหารกลางวัน
“ พวกเราหิวกันมากเลย ”
โลธอร์เอ่ยขึ้นในคราวหนึ่ง
“ รู้สึกว่ากินอะไรก็ไม่อิ่มสบายท้องเท่าอาหารที่นี่ ”
คำพูดนั้นทำเอาคาโลไรน์ยิ้มแก้มปริ
“ เจ้ามันตะกละ เห็นกินที่ไหนก็หมดชามทั้งนั้นแล้วยังมาบ่นว่าหิว ”
สหายร่างผอมของเขาประณาม
“ แล้วไปไงมาไง ถึงมีทหารตามอารักขาขนาดนี้ ”
คาโอเรียถามขึ้นบ้าง
นางกำลังสาละวนกับการปอกเปลือกมันฝรั่ง
“ แหมก็คนสำคัญเช่นข้าจะเดินทางไกลทั้งทีไม่อลังการได้หรือ ”
โลธอร์ว่า
พลางเดินเข้าไปยืนในท่าที่คิดว่าสง่างามที่สุด
ต่อหน้านาง
ทำเอาเด็กหญิงผมทองหัวเราะร่า
“ สำคัญตายล่ะ ”
อีเลียสค้อนเข้าให้
ฟีไลร่าได้แต่ยิ้มๆ แล้วไม่พูดอะไร
ส่วนลูกพี่ลูกน้องผิวเข้มคนนั้น
ก็ส่ายหน้าแล้วทำงานในส่วนของตนเองต่อไป
การทำอาหารเลี้ยงเด็กๆ ทั้งหกก็มากมายแล้ว
เมื่อนับรวมผู้ติดตามเข้าไปอีก
ก็ราวกับงานเลี้ยงขนาดย่อมเลยทีเดียว
“ บ้านของพวกเจ้าสุขสบายเหลือเกิน ”
ฟีไลร่ากล่าวชมด้วยความจริงใจ
พวกเขารับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว
และกำลังออกเดินเที่ยวเล่นในทุ่งหญ้า
“ ไม่รู้สิ แต่ข้าว่าข้าชอบในเมืองมากกว่า ข้าไม่ได้หมายถึงบ้านเจ้าไม่ดีนะ ”
อีเลียสว่า
“ ข้าเข้าใจ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
“ แต่ข้าชอบทั้งหมด ทุกที่ล้วนมีมุมดีๆ เป็นของตนเอง มนุษย์เองก็เช่นกันมีทั้งด้านสว่างและมืดมิด ถ้าเรายอมรับทั้งหมดได้ก็ง่านที่จะเปิดใจรับใครสักคน ”
เด็กร่างอ้วนว่า
“ แต่ข้าชอบที่นี่ มันมีอิสระราวกับว่าข้าจะสามารถโบยบินได้ ”
ฟีไลร่าพูด
นางวิ่งฝ่าไปในทุ่งหญ้า
ท่ามกลางสายลมและแสงแดด
งดงามอ่อนหวานราวกับผีเสื้อโบยบิน
เด็กหญิงผมสีเงินดูเป็นสุขอย่างแท้จริง
“ เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่สิอยู่นานๆ เลยก็ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอก
“ พูดจริงหรือเปล่า ”
นางตะโกนกลับมาถาม
“ จริงสิ ”
เด็กชายยืนยัน
“ เจ้าใจดีที่สุดในโลกเลย ”
ฟีไลร่าวิ่งกลับมา
พร้อมกับดอกหญ้าสีสดในมือ
ยื่นไปให้เขา
เด็กชายร่างอ้วนทำตาโต
แต่คู่หูของเขาผลักให้เขาหันหน้าไปทางอื่น
พลางบ่นบางอย่างออกมา
คาโอเรียยกมือปิดตาให้กระต่ายลู
“ เอางี้เลยหรือ ”
นางว่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ