โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) มังกรไฟ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงหนึ่งกรีดร้องขึ้นเหนือท้องฟ้าปลุกให้อาเธอร์ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก เสียงนั้นเย็นยะเยือกแหลมบาดลึกอย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มผืนบางออกจากร่างเสียงร้องเชือดเฉือนนั้นมลายไป กลายเป็นเสียงโหวกเหวกโวยวายแทรกเข้ามาแทนที่
ชายหนุ่มมองไปรอบๆ แสงจากคบเพลิงมากมายที่ปักอยู่รายรอบ ทำให้รู้ว่าตนเองนั้นอยู่ท่ามกลางคนมากมายในหุบเขาที่ดำมืดแห่งหนึ่ง ความงุนงงระคนความตื่นตระหนกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เขาก็สู้อดกลั้นไว้ ภาพที่เห็นพร่าเลือนเหมือนความฝันแต่แจ่มชัดยิ่งในความทรงจำ
“ ท่านขุนพลเมอร์ธอธพวกเราถูกลอบโจมตี ”
ทหารนายหนึ่งวิ่งระหืดกระหอบเข้ามารายงานร่างของเขานั้นโชกไปด้วยเลือด
“ เจ้าเห็นผู้บุกรุกหรือไม่ ”
เสียงเคร่งขรึมดังมาจากกระโจมใกล้ๆ ชายร่างบึกบึนผมสองสีก้าวออกมา
เขาคนนั้นสวมเพียงเกราะอ่อนครึ่งท่อน
“ มีบางสิ่งไต่ขึ้นมาตามรอยแตกของหน้าผา ข้าเห็นไม่ชัดแต่รู้ว่ามันมีกรงเล็บที่แหลมคม พวกมันเข้าโจมตีหน่วยลาดตระเวนและกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ”
“ มีมากเท่าใด ”
“ ข้าไม่แน่ใจแต่คิดว่ามากพอสมควร พวกมันเคลื่อนไหวไม่เร็วนัก แต่ซ่อนเร้นในความมืดยากแก่การรับมือ ”
ทหารลาดตระเวนคนนั้นตอบ
“เจ้าคิดว่าอย่างไรอาเธอร์มันเป็นผีหรือสัตว์ปีศาจ ”
“ มีตำนานมากมายเกี่ยวกับหุบเขานี้และทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย ในเมื่อพวกเรามาถึงปากเหวนรกแล้วย่อมไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าอะไรเป็นอะไร มันมาอยู่ตรงหน้าเราก็ฆ่ามันหรือมันฆ่าเรา ทางให้เลือกมีเพียงเท่านี้ ”
อาเธอร์ตอบ
แม้มีอันตรายใกล้ถึงตัวแต่เขาก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่น
นั่นอาจเป็นเพราะเขาได้เตรียมใจมาแล้ว
“ เจ้าคนลาดตระเวนไปพาคนของเจ้ามา พวกเราจะตั้งรับมันที่นี่ บอกพวกข้างนอกก่อไฟให้สว่างเข้าไว้ ”
ท่านขุนพลเมอร์ธอธสั่งการ
“ ขออภัยข้านึกว่าได้เรียนท่านแล้ว หลังจากการถูกลอบโจมตี หน่วยลาดตระเวนสูญหายทั้งหมด มีเพียงข้าที่สามารถย้อนกลับมารายงานท่านได้ ”
ทหารลาดตระเวนรายงานตามตรง
“ บัดซบที่สุดตอนนี้เราเหลือกำลังคนเท่าไร ”
เขาหันไปถามทหารที่ยืนข้างๆ
“ เรียนนายท่านตอนเราเริ่มเดินทางมีทหารร่วมสามร้อยนาย ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแต่เรายังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย เกรงว่าภารกิจนี้ของเราจะ ”
“ หุบปาก ”
ท่านขุนพลตวาด
“ คนอย่างข้าทำงานไม่เคยพลาด คราวนี้เป็นเพราะมีลูกน้องกระจอกติดตามมามากเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ ”
สิ้นเสียงของเขาลูกน้องต่างก้มหน้า
สายลมหนาวพัดกระโชกเสียงประหลาดก็ดังอื้ออึงขึ้น
เหล่าทหารน้อยใหญ่ต่างสะดุ้งตกใจ
บางคนถึงกับกระชากดาบออกจากฝัก
“ ป่านนี้แล้วพวกเจ้ายังไม่ชินกันอีกหรือ ”
อาเธอร์ส่ายหน้าช้าๆ ใจหนึ่งก็ระอาใจหนึ่งก็รู้สึกผิด
พวกเขาทั้งหลายเดินทางมาที่นี่เพื่อหวังอนาคตที่ดี
แต่ดูเหมือนความตายต่างหากที่รออยู่
อาเธอหลับตาครุ่นคิดอย่างหนัก
เมฆดำเคลื่อนมาปิดแสงจันทร์หุบเขาแห่งนี้ยิ่งดูมืดและลึกลับเข้าไปอีก
“ ข้าจะออกไปข้างนอกใครจะไปกับข้า ”
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
แต่ประโยคเมื่อครู่ของอาเธอร์ทำเหล่าทหารที่ได้ยินมองหน้ากันเลิกลัก
“ ข้างนอก! ตอนนี้เราอยู่กลางแจ้งอาเธอร์ จะมีที่ใดนอกไปกว่านี้อีก ”
ท่านขุนพลเมอร์ธอธว่า
ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มมุมปาก
ทหารนายหนึ่งวิ่งออกไปจากตรงนั้น
“ ไม่ได้อาเธอร์เจ้าเป็นมือขวาของข้าจะห่างกายข้าได้อย่างไร ”
“ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องรับหน้าแทนท่านตัดกำลังมันก่อนที่จะมาถึงค่าย คนของท่านเองก็มีมากฝีมือท่านก็ไม่เป็นรองใคร ข้าว่าท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยเอาเวลาไปสวมชุดเกราะให้เรียบร้อยเสียเถอะ ”
นายทหารคนนั้นวิ่งกลับมา
“ ข้าหาคนให้ท่านได้หกคนรวมข้าด้วย ”
“ ดีแล้วบอกพวกเขาหยิบของที่จำเป็นแล้วตามข้ามา ”
“ ข้าให้คบเพลิงพวกเจ้าแค่สองอันเพราะที่นี่จำเป็นมากกว่า ”
ขุนพลเมอร์ธอธตะโกนตามหลัง
“ เจ้าบ้านี่ข้าเคยได้ยินว่ามันเป็นทหารแตกแถวดูเหมือนจะไม่ผิดจริงๆ ”
อาเธอร์กับทหารหกนายกำลังหันหลังชนกันพวกเขาต่างหันปลายดาบเข้าสู่ความมืด
เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองดังกังวานขึ้นเหนือหัว
เหล่าทหารต่างระส่ำระสายเพราะความหวาดกลัว
“ เสียงเตือนจากเคอร์คารอลมันบินอยู่ข้างบน ”
ทหารนายหนึ่งพูดเสียงสั่น
“ นั่นเป็นแค่เสียงมายาฟังสิมันดังก้องในหัวเราเท่านั้น ”
อาเธอร์ว่า
“ พวกมันมีมากเกินไปพวกเราต้องตายอยู่ที่นี่แน่ ”
ทหารอีกคนพูด
“ ตายอย่างมีเกรียติ นั่นคือวิถีแห่งเราจงลุกขึ้นทหารของข้า ปีศาจร้ายพวกนั้นจะต้องหลั่งเลือดเป็นอย่างมากหาคิดจะผ่านเราไป ”
สายลมพัดหวีดหวิวทันใดเมฆหมอกก็จางลงแสงจันทร์กระจ่างชัดขึ้น
บนเงื้อมผาเหนือหัวของพวกเขาปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวมากมายกำลังจ้องลงมา
ท่ามกลางเสียงสายลมพวกเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
เสียงร่ำให้อย่างน่าเวทนาและเสียงก่นด่าสาปแช่ง
“ ปีศาจร้ายๆ วิญญาณหุบเขา พวกเราไม่รอดแน่มันจะฉีกเราออกเป็นชิ้นๆ ข้าจะไม่ยอมตายในเงื้อมมือของมัน ”
ทหารคนหนึ่งชักดาบขึ้นเชือดคอตัวเองแล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจ
“ ตั้งสติไว้สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริงมันเป็นแค่ภาพหลอน ”
แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจครืดคราดดังใกล้เข้ามาจากรอบทิศ
“ มันหาเราพบแล้วเราคงต้านจนถึงสว่างไม่ไหว ”
“ จับดาบขึ้นสู้ตัดหัวพวกมันให้เกลี้ยง ”
อาเธอร์ตะโกน
แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเหล่าทหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดตอนนี้เสียขวัญอย่างที่สุด
ท่ามกลางความสิ้นหวังและความตายห่างออกไปเพียงเอื้อมมือเขาเห็นเปลวไฟลุกขึ้น
เพียงชั่วครู่ไฟก็โหมลุกลามอย่างรุนแรง
ท่ามกลางแสงจากกองเพลิงเขามองเห็นร่างแห้งเหี่ยวขาวโพลนดังโคลงกระดูก
กำลังดิ้นพลาดๆ ในเปลวไฟ
“ มีคนมาช่วยแล้ว พวกเรารอดแล้ว ”
ทุกอย่างพลิกผันชั่วพริบตาแม้จะงุนงงแต่ก็อดโล่งใจไม่ได้
เขาเห็นเงาดำร่างหนึ่งวิ่งผ่านไปตามซอกหินเขาไม่รอช้าจึงไล่ตามไป
“ ออกมาจากที่ซ่อนเดี๋ยวนี้ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าแอสเธอลาส”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ สวัสดีพี่ชาย ”
เจ้าของร่างปราดเปรียวตอบมาจากชะง่อนผาที่อยู่สูงขึ้นไปมาก
“ผู้พิทักษ์หน้ากากทองเช่นเจ้ามาทำอะไรที่หุบเขาแห่งนี้ ที่ของเจ้าคือโอรีเวีย คอยรับใช้ข้างกายท่านจอมเวทวาลานมิใช่หรือ ”
“ เหตุการณ์เมื่อครู่คือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่พี่ชาย และข้าขอเตือนท่านเรื่องหนึ่ง ความรู้เกี่ยวกับผู้พิทักษ์หน้ากากทองของท่านนั้นน้อยนัก ทีหลังอย่าเที่ยวปากดีเรื่องนี้อีก ”
“ แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำผิดกฎและโทษคือไล่ออก ”
“ ข้าไม่เคยสนใจตำแหน่งนี้ ที่ข้าสนใจคือ พี่ชายคนเดียวของข้ามาทำอะไรที่หุบเขาต้องสาป ”
“ ข้าและกองทัพกำลังทำภารกิจลับและไม่ใช่กงการของเจ้า ”
“ ไม่จริงหรอกพวกท่านทั้งหมดกำลังฆ่าตัวตาย ไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตจากหุบเขาแห่งนี้ เพราะที่นี่คือประตูสู่นรก ”
“ เจ้าผิดแล้วแอสเธอลาสข้ากำลังสร้างประหวัติศาสตร์ต่างหากล่ะ ”
“ จะมีประโยชน์อะไรเมื่อท่านตายแล้ว ”
“ เมื่อข้าตายร่างข้าจะฝังในสุสานที่ยิ่งใหญ่ ”
“ ท่านต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือเพื่ออะไรกันล่ะ ”
“ ข้าทำทั้งหมดเพื่อตระกูลของเรา บรรพบุรุษของเราล้วนมีชื่อเสียงและมีเกรียติ เจ้ามองดูตอนนี้สิว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเรา และข้านี่แหละจะทวงคืนสิ่งที่เคยเสียไป ”
ทันใดก็มีเสียงกรีดแหลมดังขึ้นอีก
มันเย็นบาดลึกจับขั้วหัวใจ
“ เสียงมายา ”
ถึงจะบอกไปแบบนั้น
แต่น้ำเสียงของแอสเธอลาสก็เจือความวิตกกังวล
“ ท่านอย่าตามมันไปมันจะลวงท่าน ”
“ ข้ารู้แล้วน่าเจ้าไม่ต้องทำเป็นสอนข้า ”
“ ท่านก็เป็นอย่างนี้แหละพี่ชาย รู้ทั้งรู้แต่หลงกลทุกที ”
ตอนใกล้รุ่งของเช้าวันใหม่ในขณะที่ผู้คนกำลังหลับใหลเสียงหนึ่งกรีดร้องดังขึ้นเหนือฟากฟ้า อะไรบางอย่างได้ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนมันเหินข้ามบ้านไม้ซุงหลังน้อยไป คาโอเรียผุดขึ้นนั่งใครบางคนเอื้อมมือมาปิดปากนางไว้ทันก่อนที่นางจะส่งเสียงใดๆ ออกมาพวกมังกรดำหูไวอยู่เหมือนกัน ถ้ามังกรดำได้ยินเสียงเล็กๆ จากพื้นดินมันอาจบินโฉบลงมาก็ได้
ฟิโลโซเฟอร์ตวัดผ้าห่มออกจากร่าง เขาเพ่งมองเข้าไปในความมืด เสียงเมื่อกี้กระแทกความทรงจำของเขาเหมือนกับว่าเขาจะเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว หากแต่คราวนี้ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงร้องรับเซ็งแซ่
ชายชราผลักประตูออกไปโดยมีเด็กชายวิ่งไปติดๆ เขาไม่ลืมที่จะคว้าธนูออกไปด้วย อาเธอร์อยากจะตะโกนบอกบุตรชายให้หลบอยู่ในบ้านแต่เขาไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะนั่นไม่ส่งผลดีเลย เขาจึงทำได้เพียงมองตามหลังอย่างเป็นห่วงในเมื่อคาโอเรียยังคงขดอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือทาทาบด้วยแสงสีแดง เสียงกรีดแหลมชวนขนพองสยองเกล้ายังแว่วมาเป็นระยะ ผู้เฒ่าชาโคลยืนมองไปที่ขอบฟ้าด้วยอาการอันสงบ
ฟิโลโซเฟอร์หยุดยืนอยู่ข้างเขา
ชายชรายื่นนิ้วไปแตะปากเขาเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เงียบๆ ไว้
“ นั่นฝีมือมันล่ะพวกมังกรไฟ ”
ชายชรากระซิบบอก
“ พวกมันต้องการอะไรหรือ ”
เด็กชายสงสัย
“ ไม่รู้สิ บางทีพวกมันอาจจะเบื่อเนื้อสดแล้วก็ได้ดูจากเส้นสีแดงที่ขอบฟ้าพวกนั้น ข้าเชื่อว่ามันกำลังเผาเมืองกัลป์ทีลอทอยู่โชคดีที่พวกมันมองข้ามกระท่อมน้อยๆ ของเราไป ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราทั้งหมดถ้าไม่สุกก็คงเกรียม ”
เขาพูดติดตลกแต่ใบหน้าเรียบเฉย
“ นั่นมันอะไรกัน ”
อาเธอร์ถึงกับผงะเมื่อเขาเห็นเส้นขอบฟ้าสีแดงเข้ม
เขาเพิ่งตามออกมาเมื่อเห็นว่าคาโอเรียคลายความหวาดกลัวลงแล้ว
“ ถ้าเดาไม่ผิดมันคงกำลังประกาศสงคราม ความจริงเจ้าพวกนี้มันฉลาดแต่ต้องมีเจ้านายข้าอยากรู้นักอะไรไปกระตุ้นให้มันแสดงออกอย่างนี้ จริงอยู่พวกมันล่ามนุษย์เป็นอาหารแต่การเผาเมืองไม่ใช่วิสัยของมันแน่ ”
ชายชราตอบ
“ มันเคยพยายามจะทำสิ่งนี้กับอันดอรีสมาแล้วพ่อมดคนหนึ่งบอกข้าเช่นนั้น ”
อาเธอร์เล่าแล้วถามความเห็นต่อ
“ ท่านคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังพวกมันอย่างนั้นหรือ ”
“ มังกรดำมันสวามิภัคต่อเมืองคาเลอย่างเหนียวแน่น ข้าไม่นึกว่าจะมีใครชักจูงมันได้อีก มันอาจจะฉลาดกว่าที่เราคิดไว้ ยิ่งไอ้ตัวประหลาดที่ได้ชื่อว่าเคอร์คารอล บางทีเราอาจจะรู้จักมันน้อยเกินไป ”
เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงท้องฟ้าก็สว่างเรื่อเรือง
ควันดำทะมึนยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อมันพุ่งเป็นลำขึ้นไปตัดกับสีท้องฟ้า
“ มังกรพวกมันไม่กลับไปที่หุบเขา ข้าได้ยินเสียงพวกมันบินกระจายกันออกไป อาจจะมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ในเมืองและเมืองกัลป์ทีลอทเองคงวอดวายไปแล้ว พวกเจ้าคงไม่ปรอดภัยหากยังดันทุรังจะใช้เส้นทางเดิม ”
ชายชราเอ่ยขึ้นขณะช่วยอาเธอร์เตรียมข้าวของก่อนออกเดินทาง
อาเธอร์ฟังแล้วได้แต่นิ่ง
ใจหนึ่งก็นึกดีใจที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองตอนที่ไฟไหม้
“ แต่เราก็ย้อนกลับไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นคือฝ่าไปให้ถึงโอรีเวีย เพราะที่นั่นปรอดภัยที่สุดสำหรับลูกๆ ของข้า ”
อาเธอร์บอก
ชายชราพยักหน้าเห็นด้วย
“ ข้อนั้นข้าไม่เถียง แต่ปัญหามีอยู่ว่าเจ้าจะพาลูกเมียเดินทางไปยังไง จึงจะพ้นกรงเล็บฝูงมังกรบ้าเลือดพวกนั้น ”
“ ข้าไม่รู้ ”
ชายชราตบไหล่อาเธอร์เบาๆ
“ ข้ามีข้อเสนอเจ้าไม่ลองเดินตัดป่าซีดาร์แล้วข้ามเทือกเขาไป โอรีเวียก็แค่อยู่อีกฟากหนึ่งเท่านี้เอง ”
“ แต่นั่นมันเทือกเขาเงาปีศาจเชียวนะ เราจะข้ามไปได้อย่างไร ในเมื่อที่นั่นเป็นรังของมังกรดำ ”
คาโลไรน์ตกใจ
“ แน่นอนคุณผู้หญิง แต่ตอนนี้มังกรพวกนั้นมันออกไปเทียวเล่นถ้าเราจะขออาศัยรังของมันเป็นทางผ่านเสียตอนนี้ข้าเชื่อว่าอย่างมากที่พวกมันจะทำได้ก็แค่บ่นไล่หลังเท่านั้นล่ะขอรับ อีกอย่างในหุบเขามีร่องแตกและรอยแยกมากมายซึ่งสามารถใช้เป็นที่กำบังจากพวกมันได้ ข้อนี้อาเธอร์เจ้ารู้ดีมิใช่หรือ ”
“ จริงอย่างท่านว่า ที่แบบนั้นซ่อนตัวได้ดีกว่ากลางทุ่งโล่ง และการเดินทางสู่กัลป์ทีลอทก็คือการเดินตรงเข้าสู่ความตายโดยแท้ แต่เทือกเขาเงาอสูรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เชื่อเสียงของเทือกเขานั่นใครๆ ก็รู้ ”
อาเธอร์ว่า
เขารู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก
เหตุไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นราวกับมีบางสิ่งกำลังขัดขวางการเดินทางของพวกเขา
เหมือนว่ากำลังถูกจับตามองและไล่ต้อนอย่างหมาล่าเหยื่อ
สุดท้ายทั้งหมดอาจจบลงที่ขอบเหวลึก
“ กาลเวลาผ่านไปหลายสิ่งก็เปลี่ยนแปลง ข้ารู้สึกว่าเทือกเขานั่นจะเหลือเพียงชื่อที่คงความน่ากลัว ช่วงหลังสิบปีมานี้ข้าวนเวียนอยู่รอบหุบเขา เห็นคนหลายคนข้ามผ่านหุบเขาแห่งนี้อย่างลับๆ นั่นแสดงว่าการเดินทางบนถนนเส้นนี้เป็นไปได้ บางทีสิ่งน่ากลัวที่สุดในหุบเขาอาจเป็นมังกรดำพวกนั้น ”
“ แล้วพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปทำอะไรในหุบเขา ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ ล่าสมบัติอย่างไรล่ะ ”
ผู้เฒ่าชาร์โคลตอบทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“ ที่อัปมงคลอย่างนั้นนะมีสมบัติได้อย่างไร ”
ประโยคนั้นทำเอาผู้เฒ่าถึงกับประหลาดใจ
“ ไม่น่าเชื่อ ยังมีคนที่ไม่รู้เรื่องนี้อยู่ หรือข้าต้องเล่านิทานเรื่องซาเหวจลอร์ดให้ฟัง ”
“ ข้ารู้แล้วว่าซาเหวจลอร์ดฆ่าเผาทำลายมนุษย์ และเทือกเขาเงาอสูรคือบ้านของเขา แต่สมบัติประเภทไหนล่ะที่อยู่ในนั้น ”
เด็กชายว่า
“ คนที่ดันทุรังเข้าไปต้องเสียสติเป็นแน่ที่แห่งนั้นมีอีกชื่อคือประตูแห่งนรก ”
“ ดูเหมือนข้อมูลของเจ้าจะตกหล่นไปนะเด็กน้อยเพราะเขาคนนั้นปล้นสะดมด้วย สมบัติมากมายจากทั่วสารทิศถูกขนมาที่นี่ แต่คงเป็นเรื่องอัปมงคลอย่างเจ้าว่าผู้คนที่เคยผ่านไปมาต่างปิดปากเงียบ ล้วนไม่โอ้อวดวีรกรรมของตนเอง ทั้งที่เป็นเรื่องควรคุยโวได้ชั่วลูกชั่วหลาน ”
“ แต่ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามาถกเรื่องสมบัติกันนะปัญหาของเราคือจะไปต่อได้อย่างไร ”
คาโลไรน์ว่า
นางรู้สึกวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก
การเดินทางที่ไม่เป็นไปตามแผน
น่าสะพรึงมากสำหรับสตรีเช่นนาง
“ หรือพวกเจ้าจะย้อนกลับไป ”
ผู้เฒ่าชาร์โคลเสนอ
คาโลไรน์กับอาเธอร์หันมองหน้ากัน
แล้วอาเธอร์ก็ถอนหายใจ
“ ท่านชาร์โคลถ้าที่นั่นอาศัยอยู่ได้พวกเราจะดั้นด้นไปเพื่อ ”
“ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องฝ่าต่อไปถ้าโชคดีก็ถึงที่หมาย ”
“ แน่นอนพวกเราต้องไปต่อ ”
อาเธอร์กล่าว
“ ดังนั้นพวกเจ้าก็เหลือทางเลือกแค่สอง คือจะมุ่งไปทางเมืองกัลป์ทีลอทที่เต็มไปด้วยมังกรกระหายเลือด หรือจะเลี้ยวไปอีกทาง เพื่อข้ามเขาที่เต็มไปด้วยตำนานกระหายเลือด ”
“ ท่านพ่อข้าขออนุญาตออกความเห็น ”
ฟิโลโซเฟอร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้น
“ ว่ามาสิ ”
“ คิดๆ ดูแล้วเราน่าจะเลือกข้ามเขา เพราะหากตำนานเป็นแค่เรื่องเล่าเรายังพอมีลุ้น แต่ถ้าเราเลือกผ่านเมืองนั่นไปเราเจอของจริงแน่ ท่านผู้เฒ่าเองก็บอกว่ามีคนเคยข้ามมาได้อย่างปรอดภัย เราก็ควรมีโอกาสเช่นกัน ”
“ ฉลาดมากเด็กน้อยที่เลือกกลัวความจริงมากกว่าความเชื่อ แต่ข้าขอเตือน ข้ามเขาลูกนั้นน่ะไม่ง่ายเหมือนตอนเจ้าข้ามทุ่งหญ้าหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดคำเล่าลืออย่างนั้นหรอก ”
ชายชราว่า
“ แล้วท่านผู้เฒ่าเคยข้ามมันหรือไม่ เทือกเขานั้นน่ะ ”
เสียงใสๆ ของคาโอเรียถามขึ้น
ชายชรายิ้มมุมปากด้วยประกายตาลึกลับ
“ ถ้าข้าตอบว่าเคยเจ้าจะหาว่าข้าคุยโวโอ้อวดหรือไม่ ”
“ ไม่หรอก ถ้ารู้ว่าท่านเคยข้าแค่อยากจะถามทางท่าน ”
นางว่า
“ หุบเขานั่นไม่มีถนน ทำได้แต่เดินลัดเลาะไป เส้นทางมีมากมายแต่ยากที่จะจดจำ ”
ชายชราตอบพลางลูบผมเด็กหญิง
“ ตกลงเราต้องไปที่นั่น ”
คาโลไรน์ถามหวาดๆ
“ หรือเจ้ามีหนทางอื่น ”
อาเธอร์ถามเสียงอ่อนโยน
นางไม่ตอบ
แม้หวาดกลัวแต่ก็ต้องยอมจำนน
“ ยังมีปัญหาอีกข้อ จากตรงนี้เราต้องเดินทางผ่านป่าซีดาร์เราคงจะขับเกวียนบุกเข้ากลางป่าไม่ได้หรอก ยิ่งตอนปีนเขาถ้าไม่รู้ทางนี่คงลำบากมากที่จะเอาทั้งเกวียนและม้าไปด้วย ”
อาเธอร์มองไปทางชายชราเป็นเชิงขอความเห็น
“ จะเป็นเกียติรยิ่งถ้าพวกเจ้าจะฝากม้าสองนี้ไว้ที่นี่ ส่วนเกวียนเล่มนี้ข้าสัญญาจะรักษาไว้เป็นอย่างดี เส้นทางนี้อาจจะทุรกันดารแด่ระยะทางใกล้กว่ามากนักหากเทียบกับเส้นทางเดิม พวกเจ้าเดินตัวเปล่าน่าจะสะดวกกว่า ”
“ แต่เด็กๆ จะเดินเท้าข้ามป่าข้ามเขาได้อย่างไรกัน ”
คาโลไรน์แย้ง
“ ท่านแม่พวกเราเดินกันได้ บางทีอาจจะดีกว่านั่งแช่อยู่ในเกวียน ข้าแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้วจริงไหมคาโอเรีย ”
ฟิโลโซเฟอร์พูด
เขาอยากใช้เส้นทางที่น่าตื่นเต้นเด็กชายยังเด็กและคะนองเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าอันตราย
คาโอเรียได้แต่ทำตาปริบๆ นางรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
“ มันท้าทายก็จริง แต่อาจจะไม่สนุกอย่างที่คิดก็ได้นะเด็กๆ ทางที่ดีเชื่อฟังพ่อแม่ของพวกเจ้าไว้ให้มากจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียใจไปอีกนาน ”
ชายชราเตือน
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรื้อห่อของออกจัดใหม่
โดยเลือกแต่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เก็บใส่ห่อผ้า
คาโลไรน์ม้วนชายผ้าขึ้นอย่างประณีตก่อนจะผูกปลายเข้าด้วยกัน
ห่อผ้าของคาโอเรียมีขนาดเล็กสุดแม้ในตอนแรกจะไม่มีใครต้องการให้นางถือห่อสัมภาระ
แต่นางได้แสดงเจตนาอย่างดื้อดึงว่าถึงอย่างไรนางต้องได้ช่วยถืออะไรบ้าง
“ พร้อมออกเดินทางกันแล้วสิ ”
ชายชราพูดขึ้นพลางมองฟิโลโซเฟอร์ที่กำลังควงธนูในแบบที่ใครๆ เรียกว่าห่างไกลความชำนาญ
“ ข้าน่ะเกลียดธนูของเจ้ายิ่งนัก มันทำให้เจ้าไม่ได้ฝึกฝีมือ แต่เอาเถอะมันจะช่วยพวกเจ้าเป็นอย่างมากในการเดินทางครั้งนี้ ”
เด็กชายได้แต่ก้มมองอาวุธในมือด้วยความงุนงงเขายังไม่เข้าใจความหมายนั้น
และแล้วเกวียนก็เคลื่อนตัวออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนคนขับ อาเธอร์ขึ้นนั่งหลังเกวียนเขาวางดาบบนตักในท่าเตรียมพร้อม
ฟิโลโซเฟอร์มองมันอย่างชื่นชม เขารู้ว่าดาบเล่มนี้เคยเป็นของกษัตริย์องค์หนึ่งของโอลีออน ทรงประทานให้แก่ปู่ทวดของเขาก่อนจะตกทอดมาเรื่อยๆ จนถึงบิดาของเขา
เนื้อดาบเป็นเหล็กกล้าชั้นดี ดาบเล่มนี้แม้อาเธอร์จะละเลยมันไปนาน แต่ก็ยังคงความคมวาวทุกครั้งที่ชักออกจากฝัก
มันเป็นดาบที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เคยผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้มาไม่น้อย อาเธอร์เชื่อมั่นในดาบเล่มนี้มาก
ในกาลก่อน เขาเคยร่วมรบครั้งแรกกับกองทัพตั้งแต่สมัยยังเรียนไม่จบ ในครั้งที่เขากับเพื่อนๆ นักเรียนแยกออกจากกองทหาร เพื่อไปถล่มค่ายของชนป่าเถื่อนเผ่าบารัดจนสำเร็จ
บิดาของเขาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ให้ พร้อมกับฝากความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่แล้วเขาก็ทำลายมันลงด้วยการหันหลังให้ยศถาบรรดาศักดิ์ ผันตัวเองไปเป็นชาวนาชาวไร่ ซึ่งนั่นเองที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับบิดาของเขาเป็นอย่างมาก แต่น่าประหลาดที่บิดาของเขามิได้ยึดดาบกลับไป
พวกเขานั่งเบียดกันทั้งที่ในเกวียนยังมีที่ว่างอีกมาก เกวียนวิ่งโขยกเขยกไปตามทุ่งหญ้าที่รกชัน ม้าทั้งคู่บุกเข้าไปในพงหญ้าด้วยท่าทีคึกคัก หลังจากผ่านแผ่นดินตายซากมาได้มันพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้วิ่งในทุ่งหญ้าแบบนี้ แม้ว่าหญ้าจะสูงเกินไปสักหน่อยก็ตาม
แนวป่าที่เห็นเป็นเพียงเงาดำเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งหลายมุ่งหน้าใกล้เข้าไป ม้าคู่สีน้ำตาลเข้มพร้อมเกวียนลำเล็กพุ่งตรงไปข้างหน้า แต่พอใกล้ถึงราวป่าม้าทั้งสองเริ่มได้กลิ่นอันตราย มันพยายามฝืนตัวจะหนีไปทางอื่น ชายชราต้องออกแรงบังคับเพื่อจะรักษาเส้นทางเดิมไว้
ภายใต้หญ้ารกครึ้มที่ๆ สายตาลอดผ่านไม่ถึง ชายชรารู้ดีว่าข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยโคลงกระดูกที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด บางครั้งล้อเกวียนก็สะดุดกับโคลงกระดูกเก่าๆ เข้า แต่คนบนเกวียนที่ยังไม่รู้อะไรก็คิดไปว่านั่นเป็นเศษไม้หรืออาจจะเป็นแค่ก้อนหิน มีเพียงชายชราเท่านั้นที่รู้และเขายังรู้อีกว่ากระดูกเหล่านี้เป็นของชาวบ้านที่ถูกมังกรดำลักตัวมาฉีกทึ้งเป็นอาหาร ก่อนจะทิ้งกระดูกเอาไว้กลางทุ่งใกล้ๆ แนวป่าและทุ่งแห่งนี้สะสมกระดูกมาเกือบสิบปีแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงชายป่าซีดาร์ และพบว่ามันเป็นป่ารกทึบหญ้าบริเวณนั้นแข็งยาวแต่ทิ้งตัวราบลงบนพื้น ผู้เฒ่าชาโคลจอดเกวียนเขาพาตัวเองมายังท้ายเกวียนเพื่อคอยรับผู้หญิงและเด็ก
คาโอเรียอุ้มกระต่ายลูมาตลอดทางแม้ในขณะนี้ก็ยังคงอุ้มอยู่ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดกระต่ายของนางจึงมีท่าทีตื่นกลัวนัก เช่นเดียวกับม้าทั้งคู่มันดูโล่งใจที่ได้หยุดอยู่แค่ชายป่า แต่ดูเหมือนลูจะไม่โชคดีเช่นนั้น
อาเธอร์มองไปข้างหน้า สายตาของเขาจ้องเลยป่าแห่งนี้ไกลไปจนถึงเทือกเขาที่ทอดตัวยาวถัดจากป่านี้ ในพลันความครั่นคร้ามก็วิ่งเข้ามากระทบใจของเขาจนไหวเยือก เทือกเขาสูงสง่าตั้งตระหง่านน่าเกรงขามแต่ทว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยความมืด และในความมืดนั้นเองใบหน้าลึกลับนับร้อยกำลังจดจ้องมา
ถัดจากป่าแห่งนี้ไปพวกเขายังต้องปีนเขาอีก ช่วงเวลานี้เองอาเธอร์เริ่มเกิดความไม่แน่ใจ ลำพังเขาคนเดียวจะปีนข้ามไปยังยาก ชั่วชีวิตที่ผ่านมาของเขาเคยใช้เส้นทางผ่านหุบเขานี้เพียงครั้งเดียว ในสมัยที่เขาต้องทำภารกิจลับบางอย่างซึ่งในตอนนั้นเขาเป็นถึงผู้ช่วยคนสำคัญของขุนพลเมอร์ธอธ เขานำเหล่าผู้กล้าตายจากโอรีเวียมายังหุบเขาแห่งนี้ไป แม้ในตอนนั้นเขาจะเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมแต่กระนั้นก็ยังรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ถาโถมลงมา จากวันนั้นถึงวันนี้แม้สงครามจะสิ้นสุดลงนับสิบปีแต่ความน่าสะพรึงกลัวก็ไม่ได้ลดลงเลย หากแต่ยังมีพลังลึกลับแอบแฝงอยู่ในนั้นอีกด้วย
“ ท่านไม่ไปกับเราจริงๆ หรือจ๊ะ ”
คาโอเรียถามพลางเขย่ามือชายชรา
ผู้เฒ่าชาโคลทรุดกายลงนั่งเขาจับไหล่คาโอเรียบีบเบาๆ
“ ข้าตัวคนเดียวแบบคนไร้ญาติจะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก เจ้าเป็นห่วงตัวเองเสียเถอะจากนี้ไปถึงโอรีเวียเส้นทางไกลไม่น้อย เจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ ”
“ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องกล่าวลาท่านแล้ว จะรั้งรอต่อไปก็เปล่าดายหากโชคชะตาไม่โหดร้ายเกินไปเราคงได้พบกันอีก ”
อาเธอร์ว่า
“ ยังไงพวกเจ้าต้องกลับมาให้ได้ ลืมม้าสองตัวนี่แล้วหรือ ถ้าขืนฝากไว้นานข้าคงต้องคิดราคา ”
ชายชราบอกพลางลุกขึ้นเขายื่นมือให้อาเธอร์จับ
คาโลไรน์โค้งตัวลงมือข้างหนึ่งประทับลงตรงหัวใจ
“ เรารบกวนท่านมากเหลือเกิน ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ได้แต่ขอพรเทพแห่งแสงอาทิตย์ให้คุ้มครองท่าน ”
นางกล่าวด้วยแววตาสุดซาบซึ้ง
ชายชราก้มหัวให้อย่างสุภาพครั้นแล้วเขาก็ดึงเด็กทั้งสองมากอดแน่น
“ ระลึกถึงข้าบ้างนะไม่ว่าอย่างไรขอจงเดินทางถึงโอรีเวียอย่างปรอดภัย ขอให้พื้นแผ่นดินปกป้องพวกเจ้าไปสุดทางอย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่หินก้อนน้อยๆ ก็อย่าได้ร่วงใส่ ขอให้สายลมจงนำทางเจ้าจนถึงที่หมายไม่มีเหตุให้พลัดหลง ส่วนข้าจะรอพวกเจ้ากลับมาและจะดูแลสมบัติของพวกเจ้าเป็นอย่างดี ”
“ ม้าคู่นี้ชื่อเบตตี้กับเบตเตอร์ ข้าไม่คิดจะฝากท่านเอาไว้หรอก เพราะมันจะเป็นของท่านนับแต่วันนี้เป็นต้นไปข้ายังไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดีกับเรื่องเมื่อคืนนี้ ”
อาเธอร์พูด
“ อย่าไปสนใจเลยเรื่องเล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือพวกเจ้าต้องกลับมา พวกเจ้าเป็นชาวซีนาร์ยนี่นะ ข้าได้ยินมาว่าคนเมืองนี้จะไม่ละถิ่นไปนาน ”
“ เราจะกลับมา ”
อาเธอร์รับปาก
“ แน่นอนว่าเราจะต้องกลับมา บ้านเกิดของเราอยู่เบื้องหลัง อย่างไรเราต้องกลับมาทางนี้อยู่แล้วและพวกเราจะแวะหาท่าน ”
คาโลไรยืนยัน
ถึงอย่างไรนางไม่คิดจะต้องอยู่โอรีเวียไปตลอด
“ ใช่แล้ว! พวกเรากลับมาต่อให้ไม่เหลือแผ่นดินให้เหยียบข้าก็จะหาทางมาให้ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกพลางหัวเราะชอบใจ
“ อย่าพูดเป็นลางสิเจ้าหนู ”
ชายชราเสียงดุแต่เขาก็หัวเราะไปกับเด็กน้อย
“ ข้าน่ะแก่แล้ว พูดอะไรไปก็เท่านั้น ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนนี่แหละชีวิต สิ่งที่ข้าพูดเจ้าอย่าได้ใส่ใจนัก วันนี้ฟังข้าพูดอย่างหนึ่งพรุ่งนี้ข้าอาจเปลี่ยนไป เชื่อใจคนอื่นมันก็ดีแต่ดีที่สุดคือเชื่อใจตัวเอง ”
“ แล้วพรุ่งนี้ท่านอาจเปลี่ยนเป็นสิ่งใด ”
คาโอเรียถามเสียงซื่อ
“ โถ ข้าอายุปูนนี้จะเปลี่ยนเป็นอะไรได้ล่ะถ้าไม่เป็นดินก็นอนเป็นผัก ”
“ เอ๋ ท่านแปลงร่างเป็นผักได้ ทำไมไม่ลองแปลงร่างเป็นอย่างอื่นบ้างล่ะ อย่างเช่นนกหรือผีเสื้อแล้วบินไปตามใจปรารถนา ”
“ แล้วกันคาโอเรียอย่าไปซักท่านชาโคลแบบนั้นสิ ”
คาโลไรน์ปราม
นางเข้าใจความหมายนั้นแต่ไม่อยากอธิบายกับบุตรสาว
“ พวกเราต้องไปกันแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมังกรจะกลับมาเมื่อไหร่แต่คงอีกไม่นาน ถ้าอยู่ช้ากว่านี้คงได้เจอกับมันแน่ ”
อาเธอร์กล่าว
“ จงมุ่งไปข้างหน้าอย่าหยุดยั้ง ชักดาบออกจากฝักเสียพ่อหนุ่มถึงเวลาออกศึกแล้ว ข้ามีคำเตือนสองข้อเวลาที่อยู่ในหุบเขา หนึ่งคืออย่าออกจากเงามืดสองจงอย่าส่งเสียงดัง เอาล่ะขอให้โชคดีจนกว่าจะพบกันใหม่ ”
ชายชราถอยไปยืนพิงหลังเกวียนขณะมองพวกเขาจากไปครั้นแล้วเขาก็ตะโกนขึ้น
“ เจ้าเด็กคนนั้นน่ะ ฟิโลโซเฟอร์คือชื่อของเจ้าใช่ไหม ข้าชอบใจเจ้าเด็กน้อยผู้กล้าหาญ เจอกันครั้งหน้าข้าคงได้เห็นฝีมือการยิงธนูของเจ้า ”
เด็กชายหันมายิ้มและโบกคันธนูให้
เขาวิ่งพลางกระโดดพลางตามหลังอาเธอร์ไป
ชายชรามองตามแล้วส่ายหน้า
ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
เด็กหนอเด็กเจ้าคิดหรือเปล่าว่าต้องเข้าไปพบกับอะไร
เกวียนเคลื่อนตัวกลับไปตามรอยทางที่มันมา เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านไม้ซุงหลังเก่าและซอมซ่อ ม้ายังเป็นม้าคู่เดิมเกวียนก็ยังเป็นเกวียนลำเดิม แต่มันจะรู้ไหมว่ามันถูกเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว นายคนเดิมของมันได้เดินหายเข้าไปในแนวป่าดินแดนที่ไม่แทบมีไครกล้าเข้าใกล้ ส่วนพวกมันกลับหันหลังไปอีกทางและมุ่งหน้าไปคนละทิศ เกวียนสั่นโยกเยกเบาๆ เมื่อมันเคลื่อนตัวอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ จมหายเข้าไปในพงหญ้า
ชายหนุ่มมองไปรอบๆ แสงจากคบเพลิงมากมายที่ปักอยู่รายรอบ ทำให้รู้ว่าตนเองนั้นอยู่ท่ามกลางคนมากมายในหุบเขาที่ดำมืดแห่งหนึ่ง ความงุนงงระคนความตื่นตระหนกก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่เขาก็สู้อดกลั้นไว้ ภาพที่เห็นพร่าเลือนเหมือนความฝันแต่แจ่มชัดยิ่งในความทรงจำ
“ ท่านขุนพลเมอร์ธอธพวกเราถูกลอบโจมตี ”
ทหารนายหนึ่งวิ่งระหืดกระหอบเข้ามารายงานร่างของเขานั้นโชกไปด้วยเลือด
“ เจ้าเห็นผู้บุกรุกหรือไม่ ”
เสียงเคร่งขรึมดังมาจากกระโจมใกล้ๆ ชายร่างบึกบึนผมสองสีก้าวออกมา
เขาคนนั้นสวมเพียงเกราะอ่อนครึ่งท่อน
“ มีบางสิ่งไต่ขึ้นมาตามรอยแตกของหน้าผา ข้าเห็นไม่ชัดแต่รู้ว่ามันมีกรงเล็บที่แหลมคม พวกมันเข้าโจมตีหน่วยลาดตระเวนและกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ”
“ มีมากเท่าใด ”
“ ข้าไม่แน่ใจแต่คิดว่ามากพอสมควร พวกมันเคลื่อนไหวไม่เร็วนัก แต่ซ่อนเร้นในความมืดยากแก่การรับมือ ”
ทหารลาดตระเวนคนนั้นตอบ
“เจ้าคิดว่าอย่างไรอาเธอร์มันเป็นผีหรือสัตว์ปีศาจ ”
“ มีตำนานมากมายเกี่ยวกับหุบเขานี้และทั้งหมดเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้าย ในเมื่อพวกเรามาถึงปากเหวนรกแล้วย่อมไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าอะไรเป็นอะไร มันมาอยู่ตรงหน้าเราก็ฆ่ามันหรือมันฆ่าเรา ทางให้เลือกมีเพียงเท่านี้ ”
อาเธอร์ตอบ
แม้มีอันตรายใกล้ถึงตัวแต่เขาก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่น
นั่นอาจเป็นเพราะเขาได้เตรียมใจมาแล้ว
“ เจ้าคนลาดตระเวนไปพาคนของเจ้ามา พวกเราจะตั้งรับมันที่นี่ บอกพวกข้างนอกก่อไฟให้สว่างเข้าไว้ ”
ท่านขุนพลเมอร์ธอธสั่งการ
“ ขออภัยข้านึกว่าได้เรียนท่านแล้ว หลังจากการถูกลอบโจมตี หน่วยลาดตระเวนสูญหายทั้งหมด มีเพียงข้าที่สามารถย้อนกลับมารายงานท่านได้ ”
ทหารลาดตระเวนรายงานตามตรง
“ บัดซบที่สุดตอนนี้เราเหลือกำลังคนเท่าไร ”
เขาหันไปถามทหารที่ยืนข้างๆ
“ เรียนนายท่านตอนเราเริ่มเดินทางมีทหารร่วมสามร้อยนาย ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแต่เรายังไปไม่ถึงครึ่งทางเลย เกรงว่าภารกิจนี้ของเราจะ ”
“ หุบปาก ”
ท่านขุนพลตวาด
“ คนอย่างข้าทำงานไม่เคยพลาด คราวนี้เป็นเพราะมีลูกน้องกระจอกติดตามมามากเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่เป็นแบบนี้ ”
สิ้นเสียงของเขาลูกน้องต่างก้มหน้า
สายลมหนาวพัดกระโชกเสียงประหลาดก็ดังอื้ออึงขึ้น
เหล่าทหารน้อยใหญ่ต่างสะดุ้งตกใจ
บางคนถึงกับกระชากดาบออกจากฝัก
“ ป่านนี้แล้วพวกเจ้ายังไม่ชินกันอีกหรือ ”
อาเธอร์ส่ายหน้าช้าๆ ใจหนึ่งก็ระอาใจหนึ่งก็รู้สึกผิด
พวกเขาทั้งหลายเดินทางมาที่นี่เพื่อหวังอนาคตที่ดี
แต่ดูเหมือนความตายต่างหากที่รออยู่
อาเธอหลับตาครุ่นคิดอย่างหนัก
เมฆดำเคลื่อนมาปิดแสงจันทร์หุบเขาแห่งนี้ยิ่งดูมืดและลึกลับเข้าไปอีก
“ ข้าจะออกไปข้างนอกใครจะไปกับข้า ”
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้
แต่ประโยคเมื่อครู่ของอาเธอร์ทำเหล่าทหารที่ได้ยินมองหน้ากันเลิกลัก
“ ข้างนอก! ตอนนี้เราอยู่กลางแจ้งอาเธอร์ จะมีที่ใดนอกไปกว่านี้อีก ”
ท่านขุนพลเมอร์ธอธว่า
ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแค่ยิ้มมุมปาก
ทหารนายหนึ่งวิ่งออกไปจากตรงนั้น
“ ไม่ได้อาเธอร์เจ้าเป็นมือขวาของข้าจะห่างกายข้าได้อย่างไร ”
“ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องรับหน้าแทนท่านตัดกำลังมันก่อนที่จะมาถึงค่าย คนของท่านเองก็มีมากฝีมือท่านก็ไม่เป็นรองใคร ข้าว่าท่านอย่าคิดเล็กคิดน้อยเอาเวลาไปสวมชุดเกราะให้เรียบร้อยเสียเถอะ ”
นายทหารคนนั้นวิ่งกลับมา
“ ข้าหาคนให้ท่านได้หกคนรวมข้าด้วย ”
“ ดีแล้วบอกพวกเขาหยิบของที่จำเป็นแล้วตามข้ามา ”
“ ข้าให้คบเพลิงพวกเจ้าแค่สองอันเพราะที่นี่จำเป็นมากกว่า ”
ขุนพลเมอร์ธอธตะโกนตามหลัง
“ เจ้าบ้านี่ข้าเคยได้ยินว่ามันเป็นทหารแตกแถวดูเหมือนจะไม่ผิดจริงๆ ”
อาเธอร์กับทหารหกนายกำลังหันหลังชนกันพวกเขาต่างหันปลายดาบเข้าสู่ความมืด
เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองดังกังวานขึ้นเหนือหัว
เหล่าทหารต่างระส่ำระสายเพราะความหวาดกลัว
“ เสียงเตือนจากเคอร์คารอลมันบินอยู่ข้างบน ”
ทหารนายหนึ่งพูดเสียงสั่น
“ นั่นเป็นแค่เสียงมายาฟังสิมันดังก้องในหัวเราเท่านั้น ”
อาเธอร์ว่า
“ พวกมันมีมากเกินไปพวกเราต้องตายอยู่ที่นี่แน่ ”
ทหารอีกคนพูด
“ ตายอย่างมีเกรียติ นั่นคือวิถีแห่งเราจงลุกขึ้นทหารของข้า ปีศาจร้ายพวกนั้นจะต้องหลั่งเลือดเป็นอย่างมากหาคิดจะผ่านเราไป ”
สายลมพัดหวีดหวิวทันใดเมฆหมอกก็จางลงแสงจันทร์กระจ่างชัดขึ้น
บนเงื้อมผาเหนือหัวของพวกเขาปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวมากมายกำลังจ้องลงมา
ท่ามกลางเสียงสายลมพวกเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
เสียงร่ำให้อย่างน่าเวทนาและเสียงก่นด่าสาปแช่ง
“ ปีศาจร้ายๆ วิญญาณหุบเขา พวกเราไม่รอดแน่มันจะฉีกเราออกเป็นชิ้นๆ ข้าจะไม่ยอมตายในเงื้อมมือของมัน ”
ทหารคนหนึ่งชักดาบขึ้นเชือดคอตัวเองแล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจ
“ ตั้งสติไว้สิ่งที่เห็นไม่ใช่ความจริงมันเป็นแค่ภาพหลอน ”
แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจครืดคราดดังใกล้เข้ามาจากรอบทิศ
“ มันหาเราพบแล้วเราคงต้านจนถึงสว่างไม่ไหว ”
“ จับดาบขึ้นสู้ตัดหัวพวกมันให้เกลี้ยง ”
อาเธอร์ตะโกน
แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเหล่าทหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดตอนนี้เสียขวัญอย่างที่สุด
ท่ามกลางความสิ้นหวังและความตายห่างออกไปเพียงเอื้อมมือเขาเห็นเปลวไฟลุกขึ้น
เพียงชั่วครู่ไฟก็โหมลุกลามอย่างรุนแรง
ท่ามกลางแสงจากกองเพลิงเขามองเห็นร่างแห้งเหี่ยวขาวโพลนดังโคลงกระดูก
กำลังดิ้นพลาดๆ ในเปลวไฟ
“ มีคนมาช่วยแล้ว พวกเรารอดแล้ว ”
ทุกอย่างพลิกผันชั่วพริบตาแม้จะงุนงงแต่ก็อดโล่งใจไม่ได้
เขาเห็นเงาดำร่างหนึ่งวิ่งผ่านไปตามซอกหินเขาไม่รอช้าจึงไล่ตามไป
“ ออกมาจากที่ซ่อนเดี๋ยวนี้ข้ารู้ว่าเป็นเจ้าแอสเธอลาส”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ สวัสดีพี่ชาย ”
เจ้าของร่างปราดเปรียวตอบมาจากชะง่อนผาที่อยู่สูงขึ้นไปมาก
“ผู้พิทักษ์หน้ากากทองเช่นเจ้ามาทำอะไรที่หุบเขาแห่งนี้ ที่ของเจ้าคือโอรีเวีย คอยรับใช้ข้างกายท่านจอมเวทวาลานมิใช่หรือ ”
“ เหตุการณ์เมื่อครู่คือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่พี่ชาย และข้าขอเตือนท่านเรื่องหนึ่ง ความรู้เกี่ยวกับผู้พิทักษ์หน้ากากทองของท่านนั้นน้อยนัก ทีหลังอย่าเที่ยวปากดีเรื่องนี้อีก ”
“ แต่ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังทำผิดกฎและโทษคือไล่ออก ”
“ ข้าไม่เคยสนใจตำแหน่งนี้ ที่ข้าสนใจคือ พี่ชายคนเดียวของข้ามาทำอะไรที่หุบเขาต้องสาป ”
“ ข้าและกองทัพกำลังทำภารกิจลับและไม่ใช่กงการของเจ้า ”
“ ไม่จริงหรอกพวกท่านทั้งหมดกำลังฆ่าตัวตาย ไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตจากหุบเขาแห่งนี้ เพราะที่นี่คือประตูสู่นรก ”
“ เจ้าผิดแล้วแอสเธอลาสข้ากำลังสร้างประหวัติศาสตร์ต่างหากล่ะ ”
“ จะมีประโยชน์อะไรเมื่อท่านตายแล้ว ”
“ เมื่อข้าตายร่างข้าจะฝังในสุสานที่ยิ่งใหญ่ ”
“ ท่านต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือเพื่ออะไรกันล่ะ ”
“ ข้าทำทั้งหมดเพื่อตระกูลของเรา บรรพบุรุษของเราล้วนมีชื่อเสียงและมีเกรียติ เจ้ามองดูตอนนี้สิว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลของเรา และข้านี่แหละจะทวงคืนสิ่งที่เคยเสียไป ”
ทันใดก็มีเสียงกรีดแหลมดังขึ้นอีก
มันเย็นบาดลึกจับขั้วหัวใจ
“ เสียงมายา ”
ถึงจะบอกไปแบบนั้น
แต่น้ำเสียงของแอสเธอลาสก็เจือความวิตกกังวล
“ ท่านอย่าตามมันไปมันจะลวงท่าน ”
“ ข้ารู้แล้วน่าเจ้าไม่ต้องทำเป็นสอนข้า ”
“ ท่านก็เป็นอย่างนี้แหละพี่ชาย รู้ทั้งรู้แต่หลงกลทุกที ”
ตอนใกล้รุ่งของเช้าวันใหม่ในขณะที่ผู้คนกำลังหลับใหลเสียงหนึ่งกรีดร้องดังขึ้นเหนือฟากฟ้า อะไรบางอย่างได้ส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนมันเหินข้ามบ้านไม้ซุงหลังน้อยไป คาโอเรียผุดขึ้นนั่งใครบางคนเอื้อมมือมาปิดปากนางไว้ทันก่อนที่นางจะส่งเสียงใดๆ ออกมาพวกมังกรดำหูไวอยู่เหมือนกัน ถ้ามังกรดำได้ยินเสียงเล็กๆ จากพื้นดินมันอาจบินโฉบลงมาก็ได้
ฟิโลโซเฟอร์ตวัดผ้าห่มออกจากร่าง เขาเพ่งมองเข้าไปในความมืด เสียงเมื่อกี้กระแทกความทรงจำของเขาเหมือนกับว่าเขาจะเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหนสักแห่งเมื่อนานมาแล้ว หากแต่คราวนี้ตามมาด้วยเสียงแหลมสูงร้องรับเซ็งแซ่
ชายชราผลักประตูออกไปโดยมีเด็กชายวิ่งไปติดๆ เขาไม่ลืมที่จะคว้าธนูออกไปด้วย อาเธอร์อยากจะตะโกนบอกบุตรชายให้หลบอยู่ในบ้านแต่เขาไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะนั่นไม่ส่งผลดีเลย เขาจึงทำได้เพียงมองตามหลังอย่างเป็นห่วงในเมื่อคาโอเรียยังคงขดอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือทาทาบด้วยแสงสีแดง เสียงกรีดแหลมชวนขนพองสยองเกล้ายังแว่วมาเป็นระยะ ผู้เฒ่าชาโคลยืนมองไปที่ขอบฟ้าด้วยอาการอันสงบ
ฟิโลโซเฟอร์หยุดยืนอยู่ข้างเขา
ชายชรายื่นนิ้วไปแตะปากเขาเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เงียบๆ ไว้
“ นั่นฝีมือมันล่ะพวกมังกรไฟ ”
ชายชรากระซิบบอก
“ พวกมันต้องการอะไรหรือ ”
เด็กชายสงสัย
“ ไม่รู้สิ บางทีพวกมันอาจจะเบื่อเนื้อสดแล้วก็ได้ดูจากเส้นสีแดงที่ขอบฟ้าพวกนั้น ข้าเชื่อว่ามันกำลังเผาเมืองกัลป์ทีลอทอยู่โชคดีที่พวกมันมองข้ามกระท่อมน้อยๆ ของเราไป ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราทั้งหมดถ้าไม่สุกก็คงเกรียม ”
เขาพูดติดตลกแต่ใบหน้าเรียบเฉย
“ นั่นมันอะไรกัน ”
อาเธอร์ถึงกับผงะเมื่อเขาเห็นเส้นขอบฟ้าสีแดงเข้ม
เขาเพิ่งตามออกมาเมื่อเห็นว่าคาโอเรียคลายความหวาดกลัวลงแล้ว
“ ถ้าเดาไม่ผิดมันคงกำลังประกาศสงคราม ความจริงเจ้าพวกนี้มันฉลาดแต่ต้องมีเจ้านายข้าอยากรู้นักอะไรไปกระตุ้นให้มันแสดงออกอย่างนี้ จริงอยู่พวกมันล่ามนุษย์เป็นอาหารแต่การเผาเมืองไม่ใช่วิสัยของมันแน่ ”
ชายชราตอบ
“ มันเคยพยายามจะทำสิ่งนี้กับอันดอรีสมาแล้วพ่อมดคนหนึ่งบอกข้าเช่นนั้น ”
อาเธอร์เล่าแล้วถามความเห็นต่อ
“ ท่านคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังพวกมันอย่างนั้นหรือ ”
“ มังกรดำมันสวามิภัคต่อเมืองคาเลอย่างเหนียวแน่น ข้าไม่นึกว่าจะมีใครชักจูงมันได้อีก มันอาจจะฉลาดกว่าที่เราคิดไว้ ยิ่งไอ้ตัวประหลาดที่ได้ชื่อว่าเคอร์คารอล บางทีเราอาจจะรู้จักมันน้อยเกินไป ”
เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงท้องฟ้าก็สว่างเรื่อเรือง
ควันดำทะมึนยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อมันพุ่งเป็นลำขึ้นไปตัดกับสีท้องฟ้า
“ มังกรพวกมันไม่กลับไปที่หุบเขา ข้าได้ยินเสียงพวกมันบินกระจายกันออกไป อาจจะมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ในเมืองและเมืองกัลป์ทีลอทเองคงวอดวายไปแล้ว พวกเจ้าคงไม่ปรอดภัยหากยังดันทุรังจะใช้เส้นทางเดิม ”
ชายชราเอ่ยขึ้นขณะช่วยอาเธอร์เตรียมข้าวของก่อนออกเดินทาง
อาเธอร์ฟังแล้วได้แต่นิ่ง
ใจหนึ่งก็นึกดีใจที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมืองตอนที่ไฟไหม้
“ แต่เราก็ย้อนกลับไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นคือฝ่าไปให้ถึงโอรีเวีย เพราะที่นั่นปรอดภัยที่สุดสำหรับลูกๆ ของข้า ”
อาเธอร์บอก
ชายชราพยักหน้าเห็นด้วย
“ ข้อนั้นข้าไม่เถียง แต่ปัญหามีอยู่ว่าเจ้าจะพาลูกเมียเดินทางไปยังไง จึงจะพ้นกรงเล็บฝูงมังกรบ้าเลือดพวกนั้น ”
“ ข้าไม่รู้ ”
ชายชราตบไหล่อาเธอร์เบาๆ
“ ข้ามีข้อเสนอเจ้าไม่ลองเดินตัดป่าซีดาร์แล้วข้ามเทือกเขาไป โอรีเวียก็แค่อยู่อีกฟากหนึ่งเท่านี้เอง ”
“ แต่นั่นมันเทือกเขาเงาปีศาจเชียวนะ เราจะข้ามไปได้อย่างไร ในเมื่อที่นั่นเป็นรังของมังกรดำ ”
คาโลไรน์ตกใจ
“ แน่นอนคุณผู้หญิง แต่ตอนนี้มังกรพวกนั้นมันออกไปเทียวเล่นถ้าเราจะขออาศัยรังของมันเป็นทางผ่านเสียตอนนี้ข้าเชื่อว่าอย่างมากที่พวกมันจะทำได้ก็แค่บ่นไล่หลังเท่านั้นล่ะขอรับ อีกอย่างในหุบเขามีร่องแตกและรอยแยกมากมายซึ่งสามารถใช้เป็นที่กำบังจากพวกมันได้ ข้อนี้อาเธอร์เจ้ารู้ดีมิใช่หรือ ”
“ จริงอย่างท่านว่า ที่แบบนั้นซ่อนตัวได้ดีกว่ากลางทุ่งโล่ง และการเดินทางสู่กัลป์ทีลอทก็คือการเดินตรงเข้าสู่ความตายโดยแท้ แต่เทือกเขาเงาอสูรก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เชื่อเสียงของเทือกเขานั่นใครๆ ก็รู้ ”
อาเธอร์ว่า
เขารู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก
เหตุไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นราวกับมีบางสิ่งกำลังขัดขวางการเดินทางของพวกเขา
เหมือนว่ากำลังถูกจับตามองและไล่ต้อนอย่างหมาล่าเหยื่อ
สุดท้ายทั้งหมดอาจจบลงที่ขอบเหวลึก
“ กาลเวลาผ่านไปหลายสิ่งก็เปลี่ยนแปลง ข้ารู้สึกว่าเทือกเขานั่นจะเหลือเพียงชื่อที่คงความน่ากลัว ช่วงหลังสิบปีมานี้ข้าวนเวียนอยู่รอบหุบเขา เห็นคนหลายคนข้ามผ่านหุบเขาแห่งนี้อย่างลับๆ นั่นแสดงว่าการเดินทางบนถนนเส้นนี้เป็นไปได้ บางทีสิ่งน่ากลัวที่สุดในหุบเขาอาจเป็นมังกรดำพวกนั้น ”
“ แล้วพวกเขาเหล่านั้นเข้าไปทำอะไรในหุบเขา ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ ล่าสมบัติอย่างไรล่ะ ”
ผู้เฒ่าชาร์โคลตอบทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“ ที่อัปมงคลอย่างนั้นนะมีสมบัติได้อย่างไร ”
ประโยคนั้นทำเอาผู้เฒ่าถึงกับประหลาดใจ
“ ไม่น่าเชื่อ ยังมีคนที่ไม่รู้เรื่องนี้อยู่ หรือข้าต้องเล่านิทานเรื่องซาเหวจลอร์ดให้ฟัง ”
“ ข้ารู้แล้วว่าซาเหวจลอร์ดฆ่าเผาทำลายมนุษย์ และเทือกเขาเงาอสูรคือบ้านของเขา แต่สมบัติประเภทไหนล่ะที่อยู่ในนั้น ”
เด็กชายว่า
“ คนที่ดันทุรังเข้าไปต้องเสียสติเป็นแน่ที่แห่งนั้นมีอีกชื่อคือประตูแห่งนรก ”
“ ดูเหมือนข้อมูลของเจ้าจะตกหล่นไปนะเด็กน้อยเพราะเขาคนนั้นปล้นสะดมด้วย สมบัติมากมายจากทั่วสารทิศถูกขนมาที่นี่ แต่คงเป็นเรื่องอัปมงคลอย่างเจ้าว่าผู้คนที่เคยผ่านไปมาต่างปิดปากเงียบ ล้วนไม่โอ้อวดวีรกรรมของตนเอง ทั้งที่เป็นเรื่องควรคุยโวได้ชั่วลูกชั่วหลาน ”
“ แต่ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามาถกเรื่องสมบัติกันนะปัญหาของเราคือจะไปต่อได้อย่างไร ”
คาโลไรน์ว่า
นางรู้สึกวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก
การเดินทางที่ไม่เป็นไปตามแผน
น่าสะพรึงมากสำหรับสตรีเช่นนาง
“ หรือพวกเจ้าจะย้อนกลับไป ”
ผู้เฒ่าชาร์โคลเสนอ
คาโลไรน์กับอาเธอร์หันมองหน้ากัน
แล้วอาเธอร์ก็ถอนหายใจ
“ ท่านชาร์โคลถ้าที่นั่นอาศัยอยู่ได้พวกเราจะดั้นด้นไปเพื่อ ”
“ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าต้องฝ่าต่อไปถ้าโชคดีก็ถึงที่หมาย ”
“ แน่นอนพวกเราต้องไปต่อ ”
อาเธอร์กล่าว
“ ดังนั้นพวกเจ้าก็เหลือทางเลือกแค่สอง คือจะมุ่งไปทางเมืองกัลป์ทีลอทที่เต็มไปด้วยมังกรกระหายเลือด หรือจะเลี้ยวไปอีกทาง เพื่อข้ามเขาที่เต็มไปด้วยตำนานกระหายเลือด ”
“ ท่านพ่อข้าขออนุญาตออกความเห็น ”
ฟิโลโซเฟอร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้น
“ ว่ามาสิ ”
“ คิดๆ ดูแล้วเราน่าจะเลือกข้ามเขา เพราะหากตำนานเป็นแค่เรื่องเล่าเรายังพอมีลุ้น แต่ถ้าเราเลือกผ่านเมืองนั่นไปเราเจอของจริงแน่ ท่านผู้เฒ่าเองก็บอกว่ามีคนเคยข้ามมาได้อย่างปรอดภัย เราก็ควรมีโอกาสเช่นกัน ”
“ ฉลาดมากเด็กน้อยที่เลือกกลัวความจริงมากกว่าความเชื่อ แต่ข้าขอเตือน ข้ามเขาลูกนั้นน่ะไม่ง่ายเหมือนตอนเจ้าข้ามทุ่งหญ้าหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดคำเล่าลืออย่างนั้นหรอก ”
ชายชราว่า
“ แล้วท่านผู้เฒ่าเคยข้ามมันหรือไม่ เทือกเขานั้นน่ะ ”
เสียงใสๆ ของคาโอเรียถามขึ้น
ชายชรายิ้มมุมปากด้วยประกายตาลึกลับ
“ ถ้าข้าตอบว่าเคยเจ้าจะหาว่าข้าคุยโวโอ้อวดหรือไม่ ”
“ ไม่หรอก ถ้ารู้ว่าท่านเคยข้าแค่อยากจะถามทางท่าน ”
นางว่า
“ หุบเขานั่นไม่มีถนน ทำได้แต่เดินลัดเลาะไป เส้นทางมีมากมายแต่ยากที่จะจดจำ ”
ชายชราตอบพลางลูบผมเด็กหญิง
“ ตกลงเราต้องไปที่นั่น ”
คาโลไรน์ถามหวาดๆ
“ หรือเจ้ามีหนทางอื่น ”
อาเธอร์ถามเสียงอ่อนโยน
นางไม่ตอบ
แม้หวาดกลัวแต่ก็ต้องยอมจำนน
“ ยังมีปัญหาอีกข้อ จากตรงนี้เราต้องเดินทางผ่านป่าซีดาร์เราคงจะขับเกวียนบุกเข้ากลางป่าไม่ได้หรอก ยิ่งตอนปีนเขาถ้าไม่รู้ทางนี่คงลำบากมากที่จะเอาทั้งเกวียนและม้าไปด้วย ”
อาเธอร์มองไปทางชายชราเป็นเชิงขอความเห็น
“ จะเป็นเกียติรยิ่งถ้าพวกเจ้าจะฝากม้าสองนี้ไว้ที่นี่ ส่วนเกวียนเล่มนี้ข้าสัญญาจะรักษาไว้เป็นอย่างดี เส้นทางนี้อาจจะทุรกันดารแด่ระยะทางใกล้กว่ามากนักหากเทียบกับเส้นทางเดิม พวกเจ้าเดินตัวเปล่าน่าจะสะดวกกว่า ”
“ แต่เด็กๆ จะเดินเท้าข้ามป่าข้ามเขาได้อย่างไรกัน ”
คาโลไรน์แย้ง
“ ท่านแม่พวกเราเดินกันได้ บางทีอาจจะดีกว่านั่งแช่อยู่ในเกวียน ข้าแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้วจริงไหมคาโอเรีย ”
ฟิโลโซเฟอร์พูด
เขาอยากใช้เส้นทางที่น่าตื่นเต้นเด็กชายยังเด็กและคะนองเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าอันตราย
คาโอเรียได้แต่ทำตาปริบๆ นางรู้สึกว่าไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
“ มันท้าทายก็จริง แต่อาจจะไม่สนุกอย่างที่คิดก็ได้นะเด็กๆ ทางที่ดีเชื่อฟังพ่อแม่ของพวกเจ้าไว้ให้มากจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียใจไปอีกนาน ”
ชายชราเตือน
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรื้อห่อของออกจัดใหม่
โดยเลือกแต่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เก็บใส่ห่อผ้า
คาโลไรน์ม้วนชายผ้าขึ้นอย่างประณีตก่อนจะผูกปลายเข้าด้วยกัน
ห่อผ้าของคาโอเรียมีขนาดเล็กสุดแม้ในตอนแรกจะไม่มีใครต้องการให้นางถือห่อสัมภาระ
แต่นางได้แสดงเจตนาอย่างดื้อดึงว่าถึงอย่างไรนางต้องได้ช่วยถืออะไรบ้าง
“ พร้อมออกเดินทางกันแล้วสิ ”
ชายชราพูดขึ้นพลางมองฟิโลโซเฟอร์ที่กำลังควงธนูในแบบที่ใครๆ เรียกว่าห่างไกลความชำนาญ
“ ข้าน่ะเกลียดธนูของเจ้ายิ่งนัก มันทำให้เจ้าไม่ได้ฝึกฝีมือ แต่เอาเถอะมันจะช่วยพวกเจ้าเป็นอย่างมากในการเดินทางครั้งนี้ ”
เด็กชายได้แต่ก้มมองอาวุธในมือด้วยความงุนงงเขายังไม่เข้าใจความหมายนั้น
และแล้วเกวียนก็เคลื่อนตัวออกอีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนคนขับ อาเธอร์ขึ้นนั่งหลังเกวียนเขาวางดาบบนตักในท่าเตรียมพร้อม
ฟิโลโซเฟอร์มองมันอย่างชื่นชม เขารู้ว่าดาบเล่มนี้เคยเป็นของกษัตริย์องค์หนึ่งของโอลีออน ทรงประทานให้แก่ปู่ทวดของเขาก่อนจะตกทอดมาเรื่อยๆ จนถึงบิดาของเขา
เนื้อดาบเป็นเหล็กกล้าชั้นดี ดาบเล่มนี้แม้อาเธอร์จะละเลยมันไปนาน แต่ก็ยังคงความคมวาวทุกครั้งที่ชักออกจากฝัก
มันเป็นดาบที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เคยผ่านประสบการณ์ในการต่อสู้มาไม่น้อย อาเธอร์เชื่อมั่นในดาบเล่มนี้มาก
ในกาลก่อน เขาเคยร่วมรบครั้งแรกกับกองทัพตั้งแต่สมัยยังเรียนไม่จบ ในครั้งที่เขากับเพื่อนๆ นักเรียนแยกออกจากกองทหาร เพื่อไปถล่มค่ายของชนป่าเถื่อนเผ่าบารัดจนสำเร็จ
บิดาของเขาจึงได้มอบดาบเล่มนี้ให้ พร้อมกับฝากความคาดหวังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ แต่แล้วเขาก็ทำลายมันลงด้วยการหันหลังให้ยศถาบรรดาศักดิ์ ผันตัวเองไปเป็นชาวนาชาวไร่ ซึ่งนั่นเองที่สร้างความขุ่นเคืองให้กับบิดาของเขาเป็นอย่างมาก แต่น่าประหลาดที่บิดาของเขามิได้ยึดดาบกลับไป
พวกเขานั่งเบียดกันทั้งที่ในเกวียนยังมีที่ว่างอีกมาก เกวียนวิ่งโขยกเขยกไปตามทุ่งหญ้าที่รกชัน ม้าทั้งคู่บุกเข้าไปในพงหญ้าด้วยท่าทีคึกคัก หลังจากผ่านแผ่นดินตายซากมาได้มันพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้วิ่งในทุ่งหญ้าแบบนี้ แม้ว่าหญ้าจะสูงเกินไปสักหน่อยก็ตาม
แนวป่าที่เห็นเป็นเพียงเงาดำเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งหลายมุ่งหน้าใกล้เข้าไป ม้าคู่สีน้ำตาลเข้มพร้อมเกวียนลำเล็กพุ่งตรงไปข้างหน้า แต่พอใกล้ถึงราวป่าม้าทั้งสองเริ่มได้กลิ่นอันตราย มันพยายามฝืนตัวจะหนีไปทางอื่น ชายชราต้องออกแรงบังคับเพื่อจะรักษาเส้นทางเดิมไว้
ภายใต้หญ้ารกครึ้มที่ๆ สายตาลอดผ่านไม่ถึง ชายชรารู้ดีว่าข้างล่างนั้นเต็มไปด้วยโคลงกระดูกที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด บางครั้งล้อเกวียนก็สะดุดกับโคลงกระดูกเก่าๆ เข้า แต่คนบนเกวียนที่ยังไม่รู้อะไรก็คิดไปว่านั่นเป็นเศษไม้หรืออาจจะเป็นแค่ก้อนหิน มีเพียงชายชราเท่านั้นที่รู้และเขายังรู้อีกว่ากระดูกเหล่านี้เป็นของชาวบ้านที่ถูกมังกรดำลักตัวมาฉีกทึ้งเป็นอาหาร ก่อนจะทิ้งกระดูกเอาไว้กลางทุ่งใกล้ๆ แนวป่าและทุ่งแห่งนี้สะสมกระดูกมาเกือบสิบปีแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงชายป่าซีดาร์ และพบว่ามันเป็นป่ารกทึบหญ้าบริเวณนั้นแข็งยาวแต่ทิ้งตัวราบลงบนพื้น ผู้เฒ่าชาโคลจอดเกวียนเขาพาตัวเองมายังท้ายเกวียนเพื่อคอยรับผู้หญิงและเด็ก
คาโอเรียอุ้มกระต่ายลูมาตลอดทางแม้ในขณะนี้ก็ยังคงอุ้มอยู่ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดกระต่ายของนางจึงมีท่าทีตื่นกลัวนัก เช่นเดียวกับม้าทั้งคู่มันดูโล่งใจที่ได้หยุดอยู่แค่ชายป่า แต่ดูเหมือนลูจะไม่โชคดีเช่นนั้น
อาเธอร์มองไปข้างหน้า สายตาของเขาจ้องเลยป่าแห่งนี้ไกลไปจนถึงเทือกเขาที่ทอดตัวยาวถัดจากป่านี้ ในพลันความครั่นคร้ามก็วิ่งเข้ามากระทบใจของเขาจนไหวเยือก เทือกเขาสูงสง่าตั้งตระหง่านน่าเกรงขามแต่ทว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยความมืด และในความมืดนั้นเองใบหน้าลึกลับนับร้อยกำลังจดจ้องมา
ถัดจากป่าแห่งนี้ไปพวกเขายังต้องปีนเขาอีก ช่วงเวลานี้เองอาเธอร์เริ่มเกิดความไม่แน่ใจ ลำพังเขาคนเดียวจะปีนข้ามไปยังยาก ชั่วชีวิตที่ผ่านมาของเขาเคยใช้เส้นทางผ่านหุบเขานี้เพียงครั้งเดียว ในสมัยที่เขาต้องทำภารกิจลับบางอย่างซึ่งในตอนนั้นเขาเป็นถึงผู้ช่วยคนสำคัญของขุนพลเมอร์ธอธ เขานำเหล่าผู้กล้าตายจากโอรีเวียมายังหุบเขาแห่งนี้ไป แม้ในตอนนั้นเขาจะเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิมแต่กระนั้นก็ยังรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ถาโถมลงมา จากวันนั้นถึงวันนี้แม้สงครามจะสิ้นสุดลงนับสิบปีแต่ความน่าสะพรึงกลัวก็ไม่ได้ลดลงเลย หากแต่ยังมีพลังลึกลับแอบแฝงอยู่ในนั้นอีกด้วย
“ ท่านไม่ไปกับเราจริงๆ หรือจ๊ะ ”
คาโอเรียถามพลางเขย่ามือชายชรา
ผู้เฒ่าชาโคลทรุดกายลงนั่งเขาจับไหล่คาโอเรียบีบเบาๆ
“ ข้าตัวคนเดียวแบบคนไร้ญาติจะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก เจ้าเป็นห่วงตัวเองเสียเถอะจากนี้ไปถึงโอรีเวียเส้นทางไกลไม่น้อย เจ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ ”
“ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องกล่าวลาท่านแล้ว จะรั้งรอต่อไปก็เปล่าดายหากโชคชะตาไม่โหดร้ายเกินไปเราคงได้พบกันอีก ”
อาเธอร์ว่า
“ ยังไงพวกเจ้าต้องกลับมาให้ได้ ลืมม้าสองตัวนี่แล้วหรือ ถ้าขืนฝากไว้นานข้าคงต้องคิดราคา ”
ชายชราบอกพลางลุกขึ้นเขายื่นมือให้อาเธอร์จับ
คาโลไรน์โค้งตัวลงมือข้างหนึ่งประทับลงตรงหัวใจ
“ เรารบกวนท่านมากเหลือเกิน ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ได้แต่ขอพรเทพแห่งแสงอาทิตย์ให้คุ้มครองท่าน ”
นางกล่าวด้วยแววตาสุดซาบซึ้ง
ชายชราก้มหัวให้อย่างสุภาพครั้นแล้วเขาก็ดึงเด็กทั้งสองมากอดแน่น
“ ระลึกถึงข้าบ้างนะไม่ว่าอย่างไรขอจงเดินทางถึงโอรีเวียอย่างปรอดภัย ขอให้พื้นแผ่นดินปกป้องพวกเจ้าไปสุดทางอย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่หินก้อนน้อยๆ ก็อย่าได้ร่วงใส่ ขอให้สายลมจงนำทางเจ้าจนถึงที่หมายไม่มีเหตุให้พลัดหลง ส่วนข้าจะรอพวกเจ้ากลับมาและจะดูแลสมบัติของพวกเจ้าเป็นอย่างดี ”
“ ม้าคู่นี้ชื่อเบตตี้กับเบตเตอร์ ข้าไม่คิดจะฝากท่านเอาไว้หรอก เพราะมันจะเป็นของท่านนับแต่วันนี้เป็นต้นไปข้ายังไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดีกับเรื่องเมื่อคืนนี้ ”
อาเธอร์พูด
“ อย่าไปสนใจเลยเรื่องเล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือพวกเจ้าต้องกลับมา พวกเจ้าเป็นชาวซีนาร์ยนี่นะ ข้าได้ยินมาว่าคนเมืองนี้จะไม่ละถิ่นไปนาน ”
“ เราจะกลับมา ”
อาเธอร์รับปาก
“ แน่นอนว่าเราจะต้องกลับมา บ้านเกิดของเราอยู่เบื้องหลัง อย่างไรเราต้องกลับมาทางนี้อยู่แล้วและพวกเราจะแวะหาท่าน ”
คาโลไรยืนยัน
ถึงอย่างไรนางไม่คิดจะต้องอยู่โอรีเวียไปตลอด
“ ใช่แล้ว! พวกเรากลับมาต่อให้ไม่เหลือแผ่นดินให้เหยียบข้าก็จะหาทางมาให้ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกพลางหัวเราะชอบใจ
“ อย่าพูดเป็นลางสิเจ้าหนู ”
ชายชราเสียงดุแต่เขาก็หัวเราะไปกับเด็กน้อย
“ ข้าน่ะแก่แล้ว พูดอะไรไปก็เท่านั้น ความแน่นอนคือความไม่แน่นอนนี่แหละชีวิต สิ่งที่ข้าพูดเจ้าอย่าได้ใส่ใจนัก วันนี้ฟังข้าพูดอย่างหนึ่งพรุ่งนี้ข้าอาจเปลี่ยนไป เชื่อใจคนอื่นมันก็ดีแต่ดีที่สุดคือเชื่อใจตัวเอง ”
“ แล้วพรุ่งนี้ท่านอาจเปลี่ยนเป็นสิ่งใด ”
คาโอเรียถามเสียงซื่อ
“ โถ ข้าอายุปูนนี้จะเปลี่ยนเป็นอะไรได้ล่ะถ้าไม่เป็นดินก็นอนเป็นผัก ”
“ เอ๋ ท่านแปลงร่างเป็นผักได้ ทำไมไม่ลองแปลงร่างเป็นอย่างอื่นบ้างล่ะ อย่างเช่นนกหรือผีเสื้อแล้วบินไปตามใจปรารถนา ”
“ แล้วกันคาโอเรียอย่าไปซักท่านชาโคลแบบนั้นสิ ”
คาโลไรน์ปราม
นางเข้าใจความหมายนั้นแต่ไม่อยากอธิบายกับบุตรสาว
“ พวกเราต้องไปกันแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมังกรจะกลับมาเมื่อไหร่แต่คงอีกไม่นาน ถ้าอยู่ช้ากว่านี้คงได้เจอกับมันแน่ ”
อาเธอร์กล่าว
“ จงมุ่งไปข้างหน้าอย่าหยุดยั้ง ชักดาบออกจากฝักเสียพ่อหนุ่มถึงเวลาออกศึกแล้ว ข้ามีคำเตือนสองข้อเวลาที่อยู่ในหุบเขา หนึ่งคืออย่าออกจากเงามืดสองจงอย่าส่งเสียงดัง เอาล่ะขอให้โชคดีจนกว่าจะพบกันใหม่ ”
ชายชราถอยไปยืนพิงหลังเกวียนขณะมองพวกเขาจากไปครั้นแล้วเขาก็ตะโกนขึ้น
“ เจ้าเด็กคนนั้นน่ะ ฟิโลโซเฟอร์คือชื่อของเจ้าใช่ไหม ข้าชอบใจเจ้าเด็กน้อยผู้กล้าหาญ เจอกันครั้งหน้าข้าคงได้เห็นฝีมือการยิงธนูของเจ้า ”
เด็กชายหันมายิ้มและโบกคันธนูให้
เขาวิ่งพลางกระโดดพลางตามหลังอาเธอร์ไป
ชายชรามองตามแล้วส่ายหน้า
ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
เด็กหนอเด็กเจ้าคิดหรือเปล่าว่าต้องเข้าไปพบกับอะไร
เกวียนเคลื่อนตัวกลับไปตามรอยทางที่มันมา เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านไม้ซุงหลังเก่าและซอมซ่อ ม้ายังเป็นม้าคู่เดิมเกวียนก็ยังเป็นเกวียนลำเดิม แต่มันจะรู้ไหมว่ามันถูกเปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้ว นายคนเดิมของมันได้เดินหายเข้าไปในแนวป่าดินแดนที่ไม่แทบมีไครกล้าเข้าใกล้ ส่วนพวกมันกลับหันหลังไปอีกทางและมุ่งหน้าไปคนละทิศ เกวียนสั่นโยกเยกเบาๆ เมื่อมันเคลื่อนตัวอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ จมหายเข้าไปในพงหญ้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ