โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  114.92K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ชายชรา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บนท้องฟ้ามีดาวแต่งแต้มความมืดแผ่ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ   ต้นปาล์มยืนต้นเรียงรายอยู่สองข้างทางเห็นเป็นเพียงเงาดำทะมึนเหมือนตัวประหลาด   สัตว์ที่ออกหากินยามวิกาลต่างส่งเสียงครวญขึ้นในความเงียบ

 

“ เราจะไปถึงในเมืองแน่หรือจ๊ะ ”

 

คาโอเรียเริ่มหวั่นๆ ว่าอาจจะต้องหยุดพักค้างแรมในที่ใดที่หนึ่งกลางทุ่งนี้

เด็กหญิงมีนิสัยเหมือนแม่นั่นคือต้องการความมั่นคงและปรอดภัย  

 

“ อย่ากังวลไปเลยลูก   ถึงอย่างไรเราก็ต้องหาที่พักได้อย่างแน่นอน ”

 

คาโลไรน์ส่งเสียงปลอบมาจากด้านหน้าเกวียน

 

ฟิโลโซเฟอร์ขยับเข้าใกล้น้องสาวอีกเป็นเชิงปลอบใจ   แม้เขาจะชื่นชอบการค้างแรมในทุ่งแต่การมีมารดาและน้องสาวร่วมทางมาด้วยแบบนี้ลึกๆ เขาเองก็กังวล   แต่เกวียนก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปโดยอาศัยแสงจันทร์เสี้ยวเล็กๆอันเลือนรางช่วยนำทาง

 

อาเธอร์มั่นใจว่าตัวเมืองน่าจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก   แต่ทิวทัศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ความเชื่อมั่นที่มีหดน้อยลง   สิบกว่าปีแล้วที่เขาไม่ผ่านมาทางนี้เวลาที่ผ่านไปหลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง

 

“ นั่นแสงไฟไม่ใช่หรือคงจะมีบ้านและคนอยู่ตรงนั้น ”

 

คาโลไรน์ทักขึ้น

 

มันเป็นแสงสีเหลืองนวลที่กระพริบวูบไหวตามสายลม   ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงแสงดาวแต่ตอนนี้เห็นแล้วว่ามันเป็นไฟจากกระท่อมหลังหนึ่ง   แต่ไกลออกไปมีแต่ความมืดมิดและเวิ้งว้าง   เห็นได้ชัดว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยว

 

“ ลองแวะหน่อยไหม   เผื่อเขาจะมีคำแนะนำดีๆ ให้เราบ้าง ”

 

อาเธอร์เสนอ 

 

กระท่อมหลังนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเขามองเห็นแสงไฟลอดช่องเล็กๆ ของหน้าต่างออกมากระทบพื้นหญ้า   อาเธอร์หยุดเกวียนตรงหน้ารั้วไม้ผุพัง   เขากระโดดลงจากเกวียนแล้วชะโงกหน้าข้ามประตูไม้เข้าไป

 

“ สวัสดีครับ  มีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง ”

 

เขาร้องทัก   แต่แทนเสียงตอบรับกลับเป็นเสียงขู่กรรโชกของสุนัขตัวใหญ่   มันพุ่งออกจากกระท่อมตรงเข้ามาด้วยอาการมุ่งร้าย   อาเธอร์ชะงักงันเขาลงมาจากเกวียนอย่างสบายใจไม่นึกว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้

 

“ อย่าเสียมารยาทน่ะเด็กน้อย ”

 

เสียงเรียกดังตามหลังออกมาหยุดการพุ่งเข้าใส่ของสุนัขล่าเนื้อไว้เพียงเท่านั้น

 

อาเธอร์ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น   เพียงชั่วขณะมือของเขาเลื่อนไปจับที่ด้ามดาบอย่างรวดเร็ว   แต่แล้วก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น   เขากำลังประเมิลสถานการณ์ตรงหน้า

 

ชายชราร่างร่างผอมบางเดินออกมาจากเงามืด   มองอาเธอร์แล้วมองเลยไปยังครอบครัวของเขา   ท่าทีของชายชราสงบและเชื่องช้า

  

“ เป็นคนเดินทางหรือนี่   ผู้คนเดี๋ยวนี้เดินทางกันบ่อยเหลือเกิน   หิมะก็ใกล้จะมาแล้ว ”

 

เสียงของเขาอ่อนโยนน่าฟัง   ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบโซ่คล้องสุนัขขึ้นมาจากพื้น

 

“ ชื่อของข้าคืออาเธอร์พวกเรากำลังจะไปโอรีเวีย   ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกวนใจท่านในยามวิกาลต้องขออภัยด้วย   ข้าแค่อยากรู้ว่าจากนี่ไปถึงกัลป์ทีลอทไกลเท่าไหร่ ”

 

อาเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงสัตย์ซื่อ   สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สุนัขตัวใหญ่ที่กำลังกระชากโซ่อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

“ นิ่งซะทีเด็กน้อย ”

 

ชายชราก้มลงกระซิบกับเจ้าสุนัขมันจึงยอมสงบอย่างน่าประหลาด

 

 “ จากนี่ไปถึงตัวเมืองระยะทางยังอีกไกลโข   พวกเจ้าอาจจะไปถึงในตอนเช้าของอีกวันแต่ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจำเป็นต้องเดินทางทั้งกลางคืนเช่นนี้   จริงอยู่พระจันทร์ส่องสว่างแต่ไม่มีทางรู้แน่ว่าแสงนั้นจะมืดลงเวลาใด ”

 

เขาตอบเสียงนุ่มนวล

 

“ แต่พวกเราไม่มีที่พัก   ถ้าจะนอนกลางทุ่งข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะโดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ ”

 

อาเธอร์บอกความจริงจากใจ   ที่ดินเปลี่ยวร้างกับคนเถื่อนกลางดึกเป็นของคู่กันโดยเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดเหตุสับสน   เขาไม่อยากพบเจอสิ่งเหล่านั้นหากมีทางเลี่ยงก็ต้องรีบเลือกทางนั้น

 

“ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็พักที่นี่ได้   ถึงมันจะเก่าร้างแต่มันก็ยังเป็นบ้านมีประตูหน้าต่างคุ้มกันให้ ”

 

เขาว่าพลางเปิดประตูรั้วกว้างผายมือออกด้านข้างเป็นการเชิญชวน

 

 

            ดังนั้นอาเธอร์จึงตัดสินใจพักค้างแรมกับชายชราใจอารีผู้นั้น   และตั้งใจว่าสว่างเมื่อไหร่จะรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด   เมื่อเข้าไปในบ้านพวกเขาก็พบกับสภาพที่ยุ่งเหยิงแต่ก็ยังพอมีความสะอาดอยู่บ้าง   ชายชราเชิญให้นั่งบนโต๊ะตัวเขื่อง   ตัวโต๊ะประกอบขึ้นจากเศษไม้ตีต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมขาโต๊ะดูเหมือนจะทำมาจากตอไม้ทั้งดุ้นไฟที่พวกเขามองเห็นจากด้านนอกเกิดจากเตาผิงนี่เองส่องแสงนวลสว่างไปทั่วห้อง

 

“ ตามสบายนะ   บ้านออกจะคับแคบไปหน่อยก็ข้าตัวคนเดียวทำอะไรไม่ได้มาก ”

 

เขาโยนโซ่ที่ใช้ล่ามสุนัขทิ้งไปมุมห้องโดยไม่ใส่ใจนัก   

 

คาโอเรียมองตามอย่างกังวลใจ   บางทีเจ้าหมาใหญ่ตัวนั้นอาจจะสนใจกระต่ายลูอยู่ก็ได้

 

“ ไม่ต้องกลัวมันไปหรอกหรอก   เจ้านี่น่ะขี้ขลาดจะตาย   ข้ายังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าถ้าปล่อยให้มันฟัดกับแมวแล้วจะชนะไหม ”

 

ชายชราพูดติดตลกพลางหลิ่วตาให้คาโอเรีย   เขายกกาน้ำชามาวางลงข้างๆ ถ้วยแตกๆ บิ่นๆ ที่ดูจากลวดลายแล้วยังไงก็ไม่เข้าชุดกัน   บนโต๊ะยังมีเศษขนมปังเก่าๆ ขึ้นราวางเหลืออยู่   คาโลไรน์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดนางยังคงประหม่าและตื่นกลัวกับการเข้ามาอาศัยในบ้านคนแปลกหน้า

 

“ ขอบคุณท่านมากที่กรุณาพวกเรา   คืนนี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว ”

 

คาโลไรน์ว่า

 

“ อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นท่านผู้หญิง   นับเป็นเกียรติของข้าด้วยซ้ำที่มีแขกมาเยือน   แต่ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นนั่นจะรีบร้อนพาครอบครัวไปไหนกัน ”

 

เขาชี้นิ้วไปทางอาเธอร์

 

“ เมืองของเรากำลังประสบภัยพิบัติ   ข้าจึงคิดจะหลบไปอยู่โอรีเวียสักระยะ   จนกว่าเหตุการณ์จะสงบ ”

 

“ อย่างนั้นหรือ   เดาว่าพวกเจ้าคงอพยพมาจากซีนาร์ย   ฝูงนกดำกับหนอนปีศาจเหล่านั้นข้าได้ยินเรื่องราวของพวกมัน ”

 

“ เมืองอื่นๆ มีชะตากรรมอย่างไรบ้างท่านได้ยินข่าวบ้างหรือไม่ ”

 

อาเธอร์ถามบ้างเขาเพิ่งกลับมาจากที่จอดเกวียน   โดยหอบผ้านวมผืนใหญ่มาด้วย   ในห่อผ้าที่ถือติดมือมายังมีอาหารแห้งสองสามอย่างส่งให้คาโลไรน์

 

“ ชะตากรรมล้วนอยู่ในมือของมนุษย์ทั้งสิ้น   สิ่งที่เกิดล้วนเป็นปัจจัยภายนอกสุดท้ายแล้วทุกคนจะเลือกทางเดินด้วยตัวเอง   เจ้าถามถึงเมืองอื่นข้าขอตอบว่าเมืองเหล่านั้นล้วนมีเรื่องราวของพวกเขาเอง   ข้าได้ยินและได้เห็นการเติบโตและล่มสลาย   ไม่ว่าตอนนี้หรืออดีตความไม่ยั่งยืนคือความจริงแท้ของชีวิต ”

 

ชายชราตอบเสียงเรื่อยเปื่อยแต่ดูเหมือนไม่ค่อยตรงคำถาม

 

“ ขออภัยเถิดเรายังไม่รู้จักชื่อของท่านเลย ”

 

คาโลไรน์ถามบ้าง

นางแกะห่อผ้าออกแล้วเริ่มทำอาหารอย่างง่ายๆ

 

“ ชื่อ ”

 

ชายชราทำท่านึก

 

“ ข้าชื่อคาโลไรน์   บุตรทั้งสองคือฟิโลโซเฟอร์และคาโอเรีย   ส่วนนั่นท่านคงรู้แล้วว่าเขาคืออาเธอร์ ”

 

นางแนะนำตัวครอบครัวของนางทีละคน

 

“ อ้อใช่   ชื่อคือสิ่งที่คนเราใช้เรียกขานกันและกัน   ข้าคงอยู่คนเดียวมานานเกินไป   ชื่อของข้าคือชาโคล ”

 

“ หืม   นั่นใช่ชื่อของท่านจริงๆ หรือ   คงมิใช่ฉายาที่คนอื่นตั้งให้ภายหลังหรอกนะ ”

 

อาเธอร์ท้วง

 

“ ข้าเดินทางไปในหลายๆ ที่และมีชื่อที่ผู้คนเรียกมากมายทั้งชายแก่   นักเดินทาง   ช่างไม้   คนพายเรือ   แต่ชาโคลคือชื่อที่ข้าตั้งเอง   และมันมีความหมายกับข้าที่สุด ”

 

“ โอ   แต่ข้าเห็นว่าท่านยังแข็งแรงดีแม้จะอายุมากแล้ว   หาได้ผุพังเหมือนถ่านไม้ไม่ ”

 

คาโลไรน์ว่า

 

ชายชราหัวเราะเบาๆ แทนคำตอบ

 

“ นี่เป็นบ้านของท่านหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามอย่างประหลาดใจ

เพราะเขาพบว่าภายในบ้านนั้นแทบไม่มีเครื่องใช้ใดๆ เลย

 

“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้   แต่ให้ถูกคือมันเคยเป็นของข้าเมื่อนานมาแล้ว   ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างไป ”

 

“ ท่านเป็นนักเดินทางอย่างนั้นหรือ   ข้าไม่ยักเห็นม้าของท่านหรือท่านเดินเท้า ”

 

อาเธอร์ถามบ้างเพราะเขาเอาม้าไปเก็บในคอกแต่คอกนั้นว่างเปล่าอยู่ก่อนแล้ว

 

“ ข้าเคยมีม้าแต่ข้ายกให้คนอื่นไปรวมทั้งข้าวของของข้าด้วย ”

 

ชายชราตอบเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววของความทุกข์ร้อน

 

“ ไม่นะ   ท่านคงไม่ได้ถูกปล้นหรอก ”

 

คาโลไรน์ว่าบ้าง

 

“ อย่าพูดแบบนั้นเลย   คนบางคนอาจต้องการสิ่งเหล่านั้นมากกว่าข้า   ของพวกนั้นแค่ของนอกกายถ้ายังไม่ตายก็หาใหม่ได้เรื่อยๆ ”

 

“ โธ่ท่าน ”

 

นางอุทาน

 

“ อ้อจริงสิ   ครอบครัวของท่านล่ะ   พวกเขาอยู่ที่แห่งใดเวลานี้ปลอดภัยดีหรือเปล่า ”

 

ชายชราก้มหน้านิ่งเนิ่นนาน

 

สุดท้ายเขาก็เอ่ยขึ้น

 

“ พวกเขาอยู่ที่นี่แหละไม่ได้จากไปไหน ”

 

“ แล้วเหตุใดพวกเราจึงไม่เห็นพวกเขาล่ะท่านน่าจะแนะนำให้ข้ารู้จักบ้าง ”

 

อาเธอร์มองไปรอบๆ ห้องอย่างเคลือบแคลง

ก่อนที่จะเข้าบ้านเขาได้เดินสำรวจรอบตัวบ้านแล้วแน่ใจว่าไม่มีใครอื่น

และบ้านหลังนี้มีเพียงห้องเดียวถ้าเป็นจริงดังว่าพวกเขาต้องเห็น

 

“ เพราะพวกเขาทั้งหมดนอนอย่างสงบอยู่ในสวนหลังบ้านนี่แหละ   ข้าเป็นคนฝังร่างของพวกเขาเอง ”

 

คราวนี้อาเธอร์เป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง

 

“ โอ   ข้าเสียใจเหลือเกินข้าไม่ควรถามเรื่องนี้   แต่ท่านพอจะบอกได้ไหมว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้น ”

 

“ ไม่เป็นไรหรอก   เรื่องมันเกิดมานานเก่าเก็บแล้ว   ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องเอ่ยถึงมันอีกครั้ง ”

 

“ เกิดอะไรขึ้นที่นี่   พวกมังกรหรือสัตว์ปีศาจที่ทำร้ายพวกเขา ”

 

คาโลไรน์ถามบ้าง

 

“ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง   แต่เป็นมนุษย์ที่กระหายเงินตราและอำนาจต่างหาก ”

 

“ โชคดีเหลือเกินที่ท่านยังปลอดภัย ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ ตอนนั้นข้าเข้าไปในป่า   หวังจะเก็บเห็ดหายากชนิดหนึ่งมาเป็นของขวัญวันเกิดให้ท่านพ่อ   คิดไม่ถึงพอกลับออกมาก็พบว่าเพลิงกองใหญ่ได้โหมท่วมบ้าน   คนพวกนั้นทิ้งข้อความหยาบคายไว้ให้ดูต่างหน้า   ความเสียใจเดียวของข้าก็คือ   ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ร่วมชะตากรรมเดียวกับพวกเขา ”

 

“ ท่านจึงเรียกตัวเองว่าชาโคลนับแต่นั้น ”

 

อาเธอร์เดา

แล้วเขาก็กล่าวต่อ

 

“ แต่ขออภัยที่ข้าต้องพูด   ท่านไม่ใช่เถ้าธุลีของครอบครัวหรอก   แต่ทว่าท่านคือความหวัง   พวกเขาทุกคนล้วนแต่หวังว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้   และมีความสุขบนโลกนี้อีกนานแสนนาน   ข้าเชื่อว่านี่สิ่งที่พวกเขาคิดก่อนที่ความตายจะมาเยือน ”

 

“ แล้วหลังจากนั้นท่านทำอย่างไร ”

 

คาโลไรน์ถาม

 

“ ข้าฝังร่างที่เหลือของพวกเขาแล้วออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ”

 

“ ท่านได้แต่งงานมีครอบครัวเป็นของท่านเองหรือไม่ ”

 

“ เปล่าเลย   ครอบครัวของข้าอยู่ที่นี่รวมทั้งความรักก็เช่นกัน ”

 

“ ถ้าเช่นนั้นท่านคงจะตัวคนเดียวโดยแท้จริง   เมื่อเป็นดังนี้แล้วท่านจะเดินทางไปโอรีเวียกับเราหรือไม่   ข้าสัญญาว่าต่อไปท่านจะไม่โดดเดี่ยว ”

 

อาเธอร์เสนอ

 

“ อันที่จริงเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว   จะไปไหนทำอะไรเมื่อไหร่ก็ไม่ลำบากไม่ต้องคิดห่วงกังวลถึงคนข้างหลัง   พวกเจ้าไปตามทางของพวกเจ้าเถิด   ตัวข้านั้นเป็นอิสระเส้นทางของข้าย่อมถูกกำหนดโดยตัวข้าเอง ”

           

คาโลไรน์นำอาหารที่ทำร้อนๆ ออกมาจากเตาแจกจ่ายให้ทุกคนรวมทั้งชายแก่คนนั้นด้วย   ฟิโลโซเฟอร์นั่งแกว่งเท้าบนเก้าอี้ตัวใหญ่   ขาของเขายังเล็กจึงห้อยอยู่ไม่แตะถึงพื้น   สายตาของเด็กน้อยกวาดไปรอบๆ ห้องอย่างซุกซน   เขาสังเกตเห็นว่าหน้าต่างทุกบานถูกตีปิดตายเหลือเพียงช่องเล็กๆ ให้มองออกไปข้างนอกได้เท่านั้น

 

“ ครั้งหนึ่ง ”

 

ชายชราเล่า

 

“ เคยมีพ่อมดแก่ๆ แวะมาขอค้างแรมที่บ้านข้า   เขาเล่าว่าในหุบเขานั้นน่ะมีสิ่งชั่วร้ายอย่างหนึ่งสิงสถิตอยู่   ชื่อของมันคือเคอร์คารอลนายแห่งมังกรดำ ”

 

“ ท่านคงหมายถึงหุบเขาเงาอสูร   แต่มันยังอยู่อีกหรือ   ข้าได้ยินมาว่ามันสาบสูญไปแล้วตั้งแต่สมัยมหาสงครามแห่งซาเหวจลอร์ด ”

 

อาเธอร์บอก

เขาพบเรื่องเล่ามากมายของทูตมรณะแห่งฟากฟ้าตนนี้   ชื่อของมันถูกบันทึกไว้ในหลายตอนของสมุดบันทึกสงคราม   และแน่นอนเคอร์คารอลเป็นอาวุธร้ายแรงของซาเหวจหลอดจอมราชาปีศาจแห่งยุคนั้น   หลังจากที่ซาเหวจหลอดถูกโค่นลงมันได้บินหายเข้าไปในทะเลเพลิง   หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเรื่องราวของมันอีกเลย

 

“ แต่ข้าได้ยินชื่อของมันอีกครั้ง   ในมหาสงครามแห่งพันธมิตรเมื่อสิบปีที่แล้ว ”

 

ผู้เฒ่าชาโคลว่า

 

“ ข้าเองก็ได้ยินแต่ว่ามันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ   ตอนนั้นทุกอย่างสับสนผู้คนแตกตื่น   มีเรื่องเล่าข่าวลับมากมายที่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องลวง ”  

 

อาเธอร์กล่าวน้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่แววตาไม่มั่นคง

 

“ ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือข่าวลือ   ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าประหลาดมากมายจากปากนักเดินทาง   และลุกลามอย่างกับไฟลามทุ่ง   บางเรื่องก็จริงบางเรื่องก็เท็จแต่ทั้งสองเรื่องก็สร้างความตื่นตระหนกได้พอๆ กัน   แม้ซาเหวจหลอดเองก็อาจคืนชีพได้เพราะข่าวลือ ”

 

คาโลไรน์รับฟังด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ

 

“ แล้วท่านคิดว่าข่าวลือเกี่ยวกับเคอร์คารอลนี่จริงแท้เพียงใด ”

 

นางถามเพราะนางเคยได้ยินมาว่ามันตายแล้ว

 

“ เอาไว้พวกเจ้าเดินทางไปถึงโอรีเวียคำตอบเรื่องนี้จะกระจ่างเอง ”

 

ชายชราว่า

 

“ ท่านผู้เฒ่า   นี่ไม่ใช่เวลามาเล่านิทานขู่เด็กนะ   ลูกของข้ายังต้องเดินทางอีกไกลและปลายทางคือโอรีเวีย ”

 

อาเธอร์พูด

 

“ ข้านี่นะขู่เด็กๆ ”

 

คิ้วสีจางขมวดเข้าหากัน

 

“ ก็ท่านพูดราวกับว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเคอร์คารอลเกิดขึ้นที่โอรีเวีย ”

 

ชายชรามองไปทางเด็กๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

 

“ ลูกของพวกเจ้าไม่ใช่คนขี้ขลาดสักหน่อย   ดูแววตาของพวกเขาสิ   ข้าผ่านกาลเวลาและผู้คนมามากนักแน่ใจได้ว่าดูคนไม่ผิด ”

 

“ ข้าไม่อยากให้เขาต้องมารับรู้ถึงสิ่งชั่วร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้   และข้าจะปกป้องพวกเขาด้วยชีวิตของข้าเอง ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ แต่เจ้าจะปิดกั้นลูกของเจ้าให้อยู่ในที่สวยงามตลอดไปไม่ได้หรอก   บางทีอาจไม่มีที่ใดปรอดภัยเลยก็ได้เจ้านึกว่าซีนาร์ยนั้นวิบัติถึงที่สุดแล้วใช่ไหม   เปล่าเลยหากเป็นกัลป์ทีลอทนี่เองชาวเมืองถูกลักตัวหายไปเป็นว่าเล่นและแน่นอนคนเหล่านั้นจะไม่มีชีวิตรอด ”

 

“ ใครกันที่ทำเรื่องอย่างนั้น ”

 

คาโลไรน์อุทาน

 

นางรู้สึกตระหนกเพราะนางกำลังจะเดินทางไปที่นั่น

 

“ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก   ก็แค่ฝูงมังกรดำที่แตกรังจากเมืองคาเลมากบดานในเทือกเขาเงาอสูร   ตอนนี้ที่นั่นกลายเป็นดินแดนแห่งความตายไปแล้ว   ถ้าหากใครเกิดหลงเข้าไปล่ะก็ไม่มีทางได้กลับออกมาเป็นแน่ ”

 

“ อาเธอร์ท่านเคยได้ยินข่าวนี้หรือไม่เรื่องมังกรในกัลป์ทีลอท ”

 

นางหันไปถามสามี

 

“ เคยได้ยิน ”

 

เขายอมรับ

 

“ แล้วเราและลูกๆ ยังจะไปที่นั่นนี่ท่านสติดีหรือเปล่า ”

 

คาโลไรน์ทำท่าเหมือนคนจะเป็นลม

 

“ ข้ารู้คาโลไรน์   ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าทุกอย่างมันไม่ง่ายแต่เราต้องเสี่ยง   และครั้งหนึ่งข้าเคยต่อสู้กับมังกรแม้จะไม่ชนะแต่ก็พาทุกคนหนีมาได้   ข้ารู้จักวิธีการโจมตีของมันและแน่ใจว่าหากต้องเผชิญหน้าพวกเราทุกคนจะปลอดภัย ”

 

“ วางใจเถอะเจ้านั่นพูดจริง   อีกทั้งเขายังเป็นคนหนุ่มจึงมีทั้งความกล้าและความแข็งแกร่ง   สิ่งที่พูดจึงทำได้จริง ”

 

ชายชราว่า

 

“ ใช่ครับ   ท่านพ่อกล้าหาญเสมอดังนั้นถ้ามีท่านพ่อไปด้วยพวกเราไม่วิตกอะไรเลย ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เสริม

 

ส่วนคาโอเรียเอาแต่กอดกระต่ายแน่นดวงตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำว่ามังกร

 

 

            ผู้เฒ่าชาโคลหาหนังสัตว์เก่าๆ มาปูให้เด็กๆ ได้อาศัยนอน   บ้านของเขาไม่มีของจุกจิกมากนัก   อาเธอร์เติมฟืนที่เตาผิงไฟลุกโหมแรงขึ้น   เพราะอากาศยามดึกนั้นเย็นมาก

 

“ พวกเจ้าแวะมาที่นี่เพราะเห็นแสงไฟสินะ ”

 

ชายชราว่าพลางหาเศษผ้าไปอุดตามรอยแตกของประตูและหน้าต่าง

 

“ อา   แสงสว่างที่เกิดขึ้นในความมืดมิดมักจะนำพาบางสิ่งมาด้วย   และเราไม่อาจคาดเดาสิ่งที่มาเยือนได้เลย ”

 

คาโลไรน์ เรียกให้เด็กๆ มาประจำที่นอน   แม้ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก   แต่เนื่องจากเดินทางไกลทำให้ทุกคนต่างอ่อนเพลีย   ฟิโลโซเฟอร์นั่งลงหน้าเตาผิงเขาเอามือปิดปากหาวหวอดแต่ยังกระนั้นก็ยังไม่ยอมนอน   เขาหยิบธนูของตัวเองขึ้นมาสำรวจ   ผู้เฒ่าชาโคลเหลือบมาเห็นเข้าจึงกระตุกยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก

 

“ ธนูของเจ้าดูประหลาดนักคงมิใช่ของธรรมดา ”

 

“ แน่นอนสิ   ก็เขาได้รับมาจากพ่อมดคนหนึ่งนี่นา ”

 

เสียงคาโอเรียตอบมาจากใต้ผ้านวม   นางดึงกระต่ายลูเข้ามากอดพลางนึกสงสัยว่า   เมื่อไหร่พี่ชายของนางจะเลิกเล่นเสียที

 

“ อ้อเช่นนั้น   มีเขาคนเดียวที่ได้ของกำนัล   หรือเจ้าก็มีกับเขาด้วย ”

 

เขาหลิ่วตาให้คาโอเรีย

เด็กหญิงล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบหินสีหม่นมัวออกมากลิ้งมันไปบนผ้านวม

พริบตานั้นชายชรามีท่าทีประหลาดใจแต่แล้วก็ระบายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

 

“ ท่านรู้จักของสิ่งนี้หรือ ”

 

อาเธอร์ถามเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชายชรา

 

“ เปล่าแต่ข้ารู้ว่าใครเคยถือมัน   เนิ่นนานมาแล้วในที่สุดนางก็ปล่อยวางจนได้ ”

 

“ ของสิ่งนี้สำคัญอย่างไร ”

 

คาโลไรน์ถามบ้าง

ชายชราส่ายหน้า

 

“ ก็แค่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ   ถ้าคิดว่าสำคัญมันก็สำคัญ   แต่ถ้าไม่มันก็เป็นแค่เศษหิน ”

 

เขาว่าแล้วหยิบก้อนหินขึ้นมา  

โยนไปในอากาศบังเกิดแสงสีขาวสว่างเรื่อเรืองไปทั่วทั้งห้อง  

แต่เมื่อมันตกกลับลงมายังมือของชายชราแสงนั้นก็ดับมืดไป

 

“ ท่านทำอย่างนั้นได้อย่างไร”

 

คาโอเรียประหลาดใจ

 

“ ข้าพยายามมาเป็นร้อยครั้งแล้ว ”

 

“ เจ้าต้องมีความปรารถนาอย่างแท้จริง ”

 

ชายชราว่าพลางจิ้มนิ้วที่กลางหน้าผากของนาง

 

เด็กๆ ถูกจัดให้นอนใกล้เตาผิงที่สุด  

แม้อากาศคืนนี้จะไม่ถึงกับหนาวเย็นยะเยือก  

แต่ถ้าได้นอนในที่อุ่นๆ ก็ช่วยให้หลับสบาย  

เนื่องจากว่าบ้านหลังนี้มีห้องอยู่เพียงห้องเดียวผู้เฒ่าชาโคลจึงหลบไปนอนข้างๆ ประตู  

อาเธอร์ตามไปนั่งลงใกล้ๆ เพื่อถามถึงเส้นทางในการเดินทางของวันพรุ่งนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา