I'm BOY : ผมนี่แหละ สตรีมีหาง [Yaoi]​

-

เขียนโดย นนิรา

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 15.13 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,857 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 15.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3 : ตกลงว่ายอมแล้วนะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 3 : ตกลงว่ายอมแล้วนะ
 
ผมเดินกลับมาที่ห้องแต่ด้วยสีหน้าผิดปกติจากตอนที่ออกไป คนข้างโต๊ะจึงถามขึ้น “ไปเจอไรมา ทำไมสีหน้าเป็นงี้”
 
ผมหันไปมองมานพ “เจอ เจอคนพูดไม่รู้เรื่องคนหนึ่ง”
 
“ใคร?”
 
“เราไม่อยากพูดถึง” ผมบอกปัดมันไป ใช่ว่าบอกไปแล้วจะรู้จักสักหน่อย ไม่บอกแหละดีแล้ว
 
“สวัสดีครับ ครูเป็นครูสอนศิลปะนะ แต่วันนี้จะยังไม่สอนเพราะทุกคนคงยังมีอุปกรณ์ไม่ครบ แล้วที่สำคัญครูเป็นครูประจำชั้นห้องนี้ด้วย”
 
ครูประจำชั้นงั้นเหรอ.. แล้วเมื่อเช้าคาบโฮมรูมครูหายไปไหนมา?
 
พูดเสร็จครูประจำชั้นของห้องผมก็หันหลังไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมสีดำไม่เล็กไม่ใหญ่มากนักมาถือไว้ในมือ “ครูจะให้พวกเราจับบัดดี้แบบลับ ๆ กัน”
 
บัดดี้? ฟังดูน่าสนุกดี
 
ผมยืนต่อแถวเพื่อเดินไปจับฉลากรายชื่อบัดดี้ ตื่นเต้นเหมือนกัน ผมถูมือไปมาก่อนล้วงมือลงไปหยิบม้วนกระดาษเล็ก ๆ ขึ้นมาหนึ่งม้วนก่อนกำไว้ในมือ ยังไม่เปิดทันที ผมไม่เปิดให้ใครเห็นหรอก มันคือบัดดี้ลับ ๆ ผมต้องแอบเปิด แอบดูคนเดียว
 
เมื่อกลับมานั่งที่แล้วผมจึงค่อย ๆ คลี่กระดาษออกทีละน้อยอย่าช้า ๆ
 
‘นางสาวอลิษา ปัทธี’
 
บัดดี้ของผมเป็นผู้หญิง แล้วคนไหนคืออลิษา? ผมพับกระดาษเก็บใส่กระเป๋าเสื้อก่อนมองไปรอบ ๆ ห้อง ผู้หญิงและผู้ชายในห้องอัตราส่วนเท่า ๆ กัน ผมค่อยหาทีหลังแล้วกัน
 
เมื่อทุกคนต่างพากันรู้ชื่อบัดดี้ของตนแล้วคุณครูก็เริ่มอธิบายสิ่งที่ให้ทำให้ทุกคนฟัง
 
“ครูจะให้พวกเราคอยดูแลบัดดี้ของตัวเองแบบห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ อาจจะแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเสียเงินเสมอไป อาจจะเป็นลูกอมหนึ่งเม็ดหรือหวังดีในการช่วยงานต่าง ๆ เขียนข้อความใส่กระดาษให้กำลังใจหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่อย่าให้เขารู้ล่ะเดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์​และเราจะเล่นบัดดี้กันหนึ่งเทอมเต็ม ๆ พอเปิดเทอมสองมาครูจะให้ทุกคนเฉลยว่าได้ใครเป็นบัดดี้ แล้วสิ่งที่บัดดี้ของเราทำให้เนี่ยมีอะไรบ้างและเรารู้สึกยังไง”
 
“แกได้ใครเป็นบัดดี้?” ไอ้ตูนเดินมาถามผมถึงที่
 
“ไม่บอก! ถ้าบอกจะลับไหมล่ะ”
 
“เออ ๆ กูไม่อยากรู้ก็ได้ ไปกินข้าวกันป่ะ กูหิวแล้ว” ไอ้ตูนหยิบบัตรจ่ายอาหารของโรงอาหารขึ้นมาจากกระเป๋าตังหลังจากได้ยินเสียงออดบอกเวลาว่าถึงเวลารับประทานแล้ว เรื่องความรวดเร็วแบบนี้ทางถนัดของมันแหละ
 
“ไป ๆ ไปกินข้าวกัน” ผมลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้เข้าใต้โต๊ะก่อนหันไปหามานพ “นพไปกินด้วยกัน นี่ตูนเพื่อนเรา” ผมชวนมันพร้อมแนะนำให้รู้จักไอ้ตูนไปด้วย
 
“เราไปเติมเงินในบัตรก่อนนะวิน” มานพบอกผมก่อนมันจะเดินตรงไปยังแถวเติมเงิน
 
“โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อข้าวก่อน เดี๋ยวจะจองโต๊ะเผื่อไว้เลย” ผมกวาดตามองหาที่นั่ง “แถว ๆ ตรงนั้น” ผมชี้ตรงไปยังโต๊ะแถวที่สาม ว่าจบก็แยกย้ายกันไปซื้อของที่ตนอยากกิน ผมไล่มองป้ายชื่อร้าน...เอาร้านนี้แล้วกัน ข้าวมันไก่
 
ผมยืนรอคิวไม่นานก็ได้จานข้าวมาถือไว้ในมือก่อนเดินไปหยิบช้อนส้อมในตะกร้าข้างร้าน มีหม้อเล็ก ๆ ใส่น้ำร้อนไว้ให้จุ่มแช่ขจัดเชื้อโรค เอิ่ม...เขาบอกกันว่าถ้าจะให้สะอาดจริง ๆ ต้องแช่ทิ้งไว้หนึ่งนาทีถ้าน้อยกว่านั้นจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี ผมว่าผมไม่จุ่มน้ำร้อนหรอก ขี้เกียจยืนรอ ตั้งหนึ่งนาทีแหนะ
 
ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะก่อนนั่งลง เมื่อจะตักข้าวเข้าปากก็นึกขึ้นได้ว่า ผมลืมตักน้ำจิ้มมาด้วย
 
ปัดโธ่! ลืมของอร่อยได้ยังไงกัน
 
ในขณะที่ผมกำลังจะลุกออกไปเอาน้ำจิ้มก็มีจานพร้อมน้ำหนึ่งขวดมาวางไว้ตรงหน้า คงเป็นไอ้สองคนนั้น แต่...
 
“เจอกันอีกแล้วนะครับน้องวินนี่” เมฆาที่กำลังเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อนรีบสไลด์ตัวมาที่โต๊ะทันทีที่เห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่ “วันนี้พี่นั่งกินเป็นเพื่อนนะ” พูดจบก็หยิบช้อนส้อมขึ้นมาทันทีโดยไม่สนใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะอนุญาตให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยหรือไม่
 
“ผมมีเพื่อนมาด้วยครับ ไม่ได้กินคนเดียว” ผมบอกพี่เขาจบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
 
“ไอ้เมฆ! มึงจะมาไหมเนี่ย” เสียงของเพื่อนในกลุ่มที่พี่เมฆเขาเดินมาด้วยเมื่อกี้ถอยหลังกลับมาถาม
 
“กินกันไปเลย กูจะนั่งนี่วันนี้ เจอกันที่สนามเลยแล้วกันมึง” พี่เขาตะโกนตอบออกไป
 
“เอออออออออ!”
 
ผมนั่งมองพวกพี่เขาตะโกนคุยกันโดยที่ไม่ได้สังเกตอาการของนักเรียนหญิงคนอื่นว่ากำลังเอาเล็บจิกกระโปรงมองกลุ่มที่กำลังเดินผ่านด้วยอาการเขิน เพราะในใจผมกำลังภาวนาให้พี่เมฆรีบ ๆ ไปให้พ้นตรงนี้ แต่กลับนั่งแหมะอยู่หน้าผมเนี่ย
 
“ทำไมพี่ไม่ไปนั่งกับพวกเพื่อน ๆ” ผมจ้องหน้าไปด้วย
 
“พี่กินข้าวกับพวกมันทุกวัน เบื่อแล้ว แต่กลับน้องพี่ยังไม่เคย” ดูพูดเข้า แล้วผมจะไล่ยังไงดีนะ คิดไม่ออกเลยจริง ๆ
 
“จำที่สัญญากับพี่เมื่อเช้าได้ป่ะ ว่าถ้าเจอกันที่โรงอาหารอีกรอบแปลว่ายอมให้พี่จีบ”
 
หา!? ผมไปตกปากรับคำตอนไหน ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย
 
“ผมไปสัญญากับพี่ตอนไหน? แล้วผมน่ะผู้ชายนะ พี่ดูชุดที่ผมใส่ก่อนสิ” ผมยืนขึ้นให้พี่เขาเห็นชุดนักเรียนชายชัด ๆ เผื่อจะได้หายเข้าใจผิดเสียที
 
“แล้วแปลกตรงไหน? โรงเรียนเราใคร ๆ ก็รู้ว่าฟรีสไตล์ ตรงโน้นก็ใช่ นั่นก็ใช่” ผมมองตามที่พี่เขาบอก ก็เห็นผู้หญิงผมสั้นยืนอยู่กับเพื่อนในชุดเครื่องแบบชาย ผิวสีน้ำผึ้งสันจมูกคมสวยได้รูป สรุปโดยรวมหล่อกว่าตัวผมอีก
 
ผมไปเกิดใหม่ทันไหม?
 
ส่วนอีกคนก็ผมยาวดำขลับ ปากนิดจมูกหน่อย มองไล่ลงมาเรื่อย ๆ ส่วนหน้าอกก็พอมีนิดหน่อยไม่ถึงกับเรียบแบนหรือใหญ่เกินพอดี ส่วนการแต่งกายนั้นเรียบร้อยมาก กระโปรงคลุมเข่าไม่สั้นจนเกินไป ผมพิจารณาก่อนหรี่ตามองดี ๆ อีกรอบก็พบว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงแท้
 
โอเค ผมเถียงพี่เขาไม่ออกอีกรอบแล้ว
 
“แต่ผม...”
 
“พูดมากจริง คอไม่แห้งเหรอไง เอ้า” ว่าจบพี่เมฆก็เปิดน้ำขวดใหม่ เสียบหลอดก่อนยื่นมาตรงหน้าผม “ดื่มเร็ว ไม่ต้องมอง ให้” ขวดน้ำถูกเขยิบมาใกล้กว่าเดิม ผมขมวดคิ้วก่อนหยิบมาดื่มแบบมึน ๆ เพราะโดนเร่ง
 
ในที่สุดก็โดนขัดอีกจนได้ อยากจะเข้าใจอะไรก็ตามใจพี่เขาแล้วกัน ผมขี้เกียจจะแก้แล้ว เหนื่อย! ถึงบอกไปกี่ล้านรอบก็คงไม่ฟัง
 
ไม่นานตูนกับมานพก็เดินมานั่งที่โต๊ะ ไอ้ตูนมันมองผมสลับไปมากับพี่เมฆ มันคงสงสัยว่าผมพาใครมาด้วย ส่วนมานพผมว่ามันดูเกร็ง ๆ นะ
 
“พ พี่เมฆ หวัดดีครับ” มันทักทายพี่เขาก่อนนั่งลงข้ามผมอย่างระมัดระวัง
 
อ่าวมันรู้จักพี่เมฆด้วย แต่ว่าไปมันก็คงรู้จักแหละ อยู่โรงเรียนนี้มาตั้งนาน ไม่แปลก ๆ
 
“แล้วนี่อยู่ห้องเดียวกันทั้งสามเลยใช่เปล่า?”
 
“ใ​ช่ครับ!” หลังจากที่พี่เมฆถาม ไอ้​นพมันตอบทันที
 
“แล้ว… อยู่ห้องไหนกัน”
 
“พี่ไม่ต้องรู้หรอกผมว่า” คราวนี้ผมพูดขึ้นบ้าง ถามซอกแซก​จังพี่คนนี้
 
“ม.4/5 ครับ ว่าง ๆ มาเล่นห้องพวกผมได้นะ”
 
ผมหันไปมองคนชวนที่พูดต่อจากผมทันที “ไอ้นพ!”
 
หลังจากที่ไอ้นพเอ่ยปากชวนพี่เมฆแล้ว พี่เมฆก็ยิ้มทันที ให้ตายเถอะ ผมรู้ว่าไอ้รอยยิ้มแบบนั้นคืออะไร คงเข้าทางพี่เขาเลยล่ะ
 
“ถ้าว่างพี่จะแวะไปหาที่ห้องบ้างแล้วกัน แต่เราก็รู้ใช่ป่ะว่าพี่ยุ๊งยุ่ง” พี่เขาเน้นเสียงแล้วก็หันมามองผมนิดนึงก่อนหันไปหามานพ “แล้วเราสองคนชื่ออะไรกันบ้าง” พี่เมฆชี้ไอ้ตูนกับไอ้นพ และแน่นอนคนที่ตอบพี่เขาคนแรกก็ต้องเป็นไอ้นี่
 
“ผมนพครับ”
 
“ผมตูน” ไอ้ตูนมันหยุดกินก่อนจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ
 
“พี่กินหมดแล้วนี่ ไม่ไปหาเพื่อนเหรอครับ?” ผมเห็นจานข้าวพี่เขาเกลี้ยงนานแล้วแต่ไม่ยอมไปไหนสักที มัวแต่หาเรื่องถาม น่ารำคาญ...
 
“งั้นเดินไปส่งพี่หน่อยสิ”
 
“ผมยังกินไม่เสร็จ ไม่เห็นเหรอ?”
 
“แปลว่าถ้าอิ่มแล้วจะไปส่งที่สนาม?”
 
เอาเข้าไป จะเอาให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย
 
“ไม่!” ผมตอบออกไปแบบเริ่มมีอารมณ์หน่อย ๆ พี่เขาอาจจะจับความรู้สึกผมได้ แต่ผมคิดว่าไม่หรอก พี่เขายกข้อมือดูเวลาก่อนบอกในสิ่งที่ผมได้ฟังแล้วโคตรดีใจ
 
“ไม่ก็ไม่ พี่ไปก่อนนะได้เวลาแล้ว”
 
“ไปเลยครับ” ผมยิ้มไล่ แหนะยังจะมายิ้มตอบผมอีก ผมหวังว่าครั้งนี้เราจะเจอกันเป็นครั้งสุดท้ายนะ โรงเรียนใหญ่ยังกับจักรวาลไม่น่าจะเจอกันได้ง่าย ๆ ถ้านาน ๆ ครั้งก็ยังพอรับมือไหว แต่ถ้าบ่อย ๆ ผมคงต้องกุมขมับเอาหัวโขกกำแพงแน่
 
หลังจากพี่เมฆไปแล้วมานพก็หันมาคุยกับผมด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “เห้ยวิน แกไปรู้จักพี่เมฆได้ยังไงวะ รู้จักกันมาก่อนเหรอ”
 
มันคงสงสัยแหละ เพราะถ้าผมไม่รู้จักพี่เมฆมาก่อนแล้วจะเอาเวลาไหนไปทำความรู้จักกัน วันนี้เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าผมเจอพี่เขาเมื่อวานต่างหาก เจอก่อนเปิดเรียนด้วยซ้ำ
 
“เปล่า ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เมื่อวานพี่เขาเข้ามาแนะนำตัวกับเรา” ผมพูดไปอย่างนี้ยิ่งทำให้อีกฝ่ายตกใจเข้าไปใหญ่ จากนั้นมันก็เล่าให้ผมฟังในสิ่งที่มันตกใจ มันบอกว่ากลุ่มพี่เมฆเนี่ยฮอตมากที่สุดในโรงเรียน ในกลุ่มมีกันทั้งหมด 5 คน คือพี่เมฆ พี่เสือ พี่แฟรงค์ พี่ภีมและพี่หาญ แต่ละคนก็จะมีบุคลิกต่างกันไป
 
พี่แฟรงค์ เป็นลูกครึ่งเมกา นอกจากเรียนก็ยังมีถ่ายแบบถ่ายโฆษณา อนาคตน่าจะเป็นว่าที่พระเอกหนัง ถ้าพี่เขายังจะเดินเส้นทางนี้อยู่นะ พี่เขาเป็นคนที่หาตัวและเข้าถึงยากที่สุดแล้ว เพราะส่วนมากจะใช้เวลาไปกับงานข้างนอกมากกว่า ส่วนเรื่องการเรียนไม่ต้องห่วง เพราะพี่เขาอ่านและทบทวนเนื้อหาล่วงหน้าก่อนเปิดเรียนเลยทำให้เรียนตามเพื่อนทัน ไม่พอแค่นั้นยังเป็นที่หนึ่งของห้องมาตลอดด้วย เรียกว่าเข้าข่ายอัจฉริยะ
 
พี่เสือ ดุสมชื่อ พี่เขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อน พร้อมหาเรื่องตลอดเวลาและไม่ค่อยสนใจความรู้สึกคนอื่นเท่าไหร จึงไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งกับพี่เขามากนัก สาว ๆ ได้แต่แอบกริ๊ดอยู่ห่าง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนรวบรวมความกล้าไปบอกชอบพี่แก ก็โดนปฏิเสธไปตามคาดแต่ยังไม่พอ เขาเลยขอให้พี่เสือรับดอกไม้เขาไปก็พอ พี่เสือก็รับนะ แต่รับไปทิ้ง พอคนตั้งใจให้เจอแบบนั้นเข้าไปก็ช็อกแล้วร้องไห้วิ่งหนีไปเลย เรื่องนี้จึงดังไปทั่ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่มย่ามกับพี่เสืออีกเลย
 
พี่หาญ ก็จะคล้าย ๆ กับพี่เสือนะ ไอ้ที่ว่าคล้ายก็คือพร้อมหาเรื่องเหมือนกันแต่จะมีเหตุผลมากกว่าพี่เสือหน่อย เมื่อไหร่ที่สองคนนี้ไปไหนด้วยกันแค่สองคนนะเรียกได้ว่าความบรรลัยจะบังเกิด เมื่อมีคนเปิดพี่หาญก็จะตามทันที ไอ้ที่มีเหตุผลน่ะส่วนมากจะคิดได้หลังลงมือไปแล้วมากกว่า
 
พี่ภีม เป็นคนที่คอยห้ามปรามพี่เสือและพี่หาญ พี่เขาเป็นคนนิ่ง ๆ พูดน้อยและเงียบที่สุดในกลุ่มอาจเป็นเพราะพูดไม่ทันคนอื่นมากกว่า แล้วอีกอย่างพี่เขาเป็นคนเนี้ยบและรักสะอาดมาก เลยได้ฉายาว่า ‘คุณชาย’
 
ส่วนพี่เมฆ เขาก็เป็นคนที่....
 
“พอแค่นี้ก่อนแล้วกันได้เวลาขึ้นเรียนแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่ค่อยอยากรู้เรื่องพี่เขาเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ฉลาด” ผมพูดตัดบททันทีก่อนที่มานพจะเล่าชีวประวัติคร่าว ๆ ของพี่เมฆ
 
“เห้ย แกรู้ได้ไงว่าพี่เขาเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ สอบได้ท้ายห้องตลอด ดีตรงที่เด่นกิจกรรม”
 
“ป่ะ ขึ้นเรียนเถอะพวกเรา” ผมไม่ตอบไอ้นพ ขนาดพี่เขายังคิดว่าผมเป็นผู้หญิงอยู่เลย เรื่องการเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องการแยกแยะยังสับสน
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา