I'm BOY : ผมนี่แหละ สตรีมีหาง [Yaoi]
เขียนโดย นนิรา
วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 15.13 น.
แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 15.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่ 2 : เปิดเทอม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 2 : เปิดเทอม
“วินนน ตื่นได้แล้วลูก” เสียงของแม่ตะโกนลากชื่อปลุกผม ทันทีที่ผมได้ยินเป็นครั้งที่สองก็สะดุ้งตื่นขึ้นทันที
“ครับแม่ วินตื่นแล้ว” หลังจากขานรับเสร็จผมจึงหันไปดูนาฬิกาบอกเวลา 07.30 น. ให้ตายเถอะนี่ผมตื่นสาย ผมจะไม่ยอมไปสายตั้งแต่เทอมแรกวันแรกหรอกนะ
“แม่ วันนี้วินไม่กินข้าวนะ ขอขนมปังสองแผ่นกับนมก็พอ” ผมรีบตะโกนบอกแม่ที่อยู่ชั้นล่างของบ้านทันที
จากนั้นรีบเด้งตัวออกจากเตียง รีบถอดผ้าและกอง ๆ ไว้ที่พื้นหน้าห้องน้ำก่อนเดินดุ่มเข้าห้องน้ำไป ผมหยิบยาสีฟันขึ้นมาบีบก่อนเสียบแปรงไว้ในปาก เดินเข้าใต้ฝักบัวหมุนเปิดน้ำพร้อมขยับแปรงในปาก มืออีกข้างกดสบู่เหลวรัว ๆ ก่อนโปะเข้าที่ตัวถูไปถูมา ฟองทันได้ผุดออกมาจากน้ำยา ผมก็รีบล้างออกเสียก่อน เสร็จพร้อม ๆ กับการแปรงฟัน ผมหยิบผ้าเช็ดตัวซับให้แห้งก่อนติดกระดุมชุดนักเรียน และคว้ากระเป๋านักเรียนใบสีดำสะพายขึ้นหลังก่อนเดินลงไปข้างล่าง
โชคดีที่เมื่อคืนผมจัดสมุดหนังสือใส่กระเป๋าสำหรับวันนี้ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไม่เสียเวลา ณ จุดนี้
“ทำไมรีบจังลูก” แม่พูดก่อนเอาจานขนมปังและกล่องนมมาวางไว้บนโต๊ะ
“วินไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรกน่ะครับ” พูดจบผมก็หยิบขนมปังแผ่นคู่คาบไว้ที่ปากและไม่ลืมที่จะหยิบกล่องนมติดมาด้วย
“ตั้งใจเรียนนะวิน” แม่ตะโกนไล่หลังหลังจากที่ผมเดินออกไปแล้ว
07.35 น. ผมก้มมองเวลาที่ใช้ไปทั้งหมดตั้งแต่ตื่นนอนจนออกจากบ้าน เบ็ดเสร็จ 5 นาทีพอดีเป๊ะ ผมยืดอกภูมิใจกับความไวดังแสงของตัวเองทันที
จากป้ายรถเมล์แถวบ้านผมนั่งไปโรงเรียนใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ งั้นแปลว่าผมก็ต้องถึงโรงเรียนประมาณ 07.55 น. หวังว่าคงทันเข้าแถวเช้านะ
ผมหยิบเหรียญขึ้นมาจ่ายค่าโดยสารก่อนจับสายสะพายให้แน่นและรีบวิ่งเข้าประตูรั้วทันที ทุกคนเริ่มตั้งแถวกันแล้ว แล้วแถวของห้องผมอยู่ส่วนไหนของสนามเนี่ย? จะเข้าไปทันแน่ ๆ ใช่ไหม?
ขณะที่ผมยืนมองหาแถวอย่างมึนงงด้วยสีหน้าเป็นกังวลก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้น
“ไอ้วิน ทางนี้!” ไอ้ตูนตะโกนเรียกผมอยู่ในแถวพร้อมโบกไม้โบกมือให้เป็นจุดเด่น
ขอบคุณสวรรค์มาก ไม่สิต้องบอกว่าขอบคุณไอ้ตูนมากที่เรียกเอาไว้
เมื่อผมเอาตัวเข้าแทรกมายังในแถวเสียงบอกเวลาเคารพธงชาติก็ดังขึ้นพอดี คนที่มาหลังจากเสียงเตือนดังขึ้นก็ถูกกักไว้ในแถวสายทันที
‘ติ๊กต๊อก ติ๊กตอก ขณะนี้เวลาแปดนาฬิกา ธงชาติและเพลงชาติไทยเป็นสัญญลักษณ์ของความเป็นไทย… ประเทศไทยรวมเนื้อเลือดชาติเชื้อไทย… ไชโย’
เมื่อเพลงจบลงทุกคนก็ยกมือขึ้นพนมเตรียมตัวสวดมนต์
“นะโมตัสสะ…” ผมเปล่งเสียงเต็มกำลังก่อนจะต้องหยุดชะงักบทสวด เมื่อทุกคนไม่ได้สวดแบบผม
“เดชะพระนาม พระบิดาและพระบุตรและพระจิต อาแมน…”
ผมกับไอ้ตูนหันมามองหน้ากันเพราะพวกเรายังสวดไม่เป็น และเด็กใหม่ที่ไม่ได้ต่อจากโรงเรียนนี้ก็พากันยืนเงียบเช่นเดียวกัน ผมจึงยืนพนมมืออย่างเดียว ส่วนปากนั้นก็หันไปคุยกับไอ้ตูนแทน
“เมื่อวานหายไปไหน? เราหานายไม่เจอเลย” เพราะเมื่อวานหลังจากเกิดเรื่องบ้า ๆ ผมก็เดินหาไอ้ตูนอยู่นานพอควร เบอร์ใหม่มันผมก็ไม่มี
“โทษทีว่ะ พอดีแม่กูโทรมาให้รีบกลับไปเก็บของเก็บเสื้อผ้า พอดีขอมาอยู่หอในน่ะ”
ผมกำลังจะพูดต่อแต่หางตาดันเหลือบไปเห็นสายตาพิฆาตของคุณครูที่ยืนอยู่หน้าแถว ผมจึงรีบหมุนตัวกลับมายังตำแหน่งเดิมก่อนยืนนิ่ง ๆ จนกว่ากิจกรรมหน้าเสาธงจะเสร็จ
ใครบ้างล่ะจะอยากเป็นจุดเด่นถ้าไม่ใช่เรื่องดี ๆ
ผมเดินแถวขึ้นห้องตามคนข้างหน้าไป ห้องเรียนของผมก็อยู่บนตึกสีส้มนี่แหละ ตึกที่ผมเรียนน่าจะเป็นตึกเฉพาะมัธยมปลาย เมื่อเข้ามายังตัวห้องแล้วทุกคนต่างก็จับจองที่นั่ง ส่วนผมนะเหรอต้องนั่งกลางห้องสิ จะได้เห็นกระดานชัดเจน ผมน่ะเด็กเรียนนะ ส่วนตูนเพื่อนผมมันปลีกตัวไปนั่งข้างประตูทางออก ผมรู้มันชอบหาจังหวะโดดเรียนอยู่บ่อย ๆ เลยไม่แปลกที่มันจะเลือกที่ตรงนั้นเป็นหลัก
ก่อนจะเริ่มวิชาแรกของการเรียนในแต่ละวันจะมีคาบโฮมรูมก่อนทุกครั้ง แต่ไม่มีคุณครูคนไหนเข้ามาซะงั้น ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเมื่อทุกคนในห้องสังเกตอย่างเดียวกับที่ผมสังเกต ก็เริ่มพากันลุกขึ้นมาคุยกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว เริ่มที่จะทำความรู้จักเพื่อน ๆ ร่วมห้อง
“นายชื่อไรอ่ะ เรานพนะ” โต๊ะข้างผมหันมาแนะนำตัว
“เราวิน”
“นายเป็นเด็กใหม่ใช่ไหม? เราไม่คุ้นหน้านายเลยว่าเคยเรียนที่นี่”
“ใช่ เราเพิ่งจะย้ายมาน่ะ ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ค่อยรู้ อย่างเมื่อตอนเช้านะเราสวนมนต์แบบทั่วไป เราต้องรีบเงียบเลย พูดซะดัง อายจะแย่” ผมพูดพลางเกาหัว ยิ้มแหย ๆ
“เอาน่ะ เดี๋ยวก็ชินเอง อีกอย่างนะรอวันคริสต์มาส สนุกมาก! จะมีคูปองบัตรงานคริสต์มาสให้ลุ้นของรางวัลด้วยนะ ปีก่อนเราได้ทีวีจอแบนแหละ โคตรดีใจเลย ใช่ว่าจะได้ง่าย ๆ” นพตาลุกวาวขึ้นเมื่อพูดถึงรางวัลที่เสี่ยงโชคได้มา
ตอนนี้ผมมีเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว มานพ เพื่อนข้างโต๊ะที่ผมต้องอยู่ด้วยไปถึงหนึ่งปี ต้องสนิทสนมไว้หน่อย แถมยังเป็นเด็กเก่าที่นี่มีอะไรผมจะได้คอยปรึกษา
ไม่นานเสียงออดเริ่มคาบแรกก็ดังขึ้น
ครูในรายวิชาแรกก็เดินเข้ามาพร้อมหนังสือเรียน ผมว่าผมคุ้น ๆ หน้าครูคนนี้นะ.. ใช่ เขาคือคนที่ผมถามทางไปห้องประชุมเมื่อวานนั่นเอง
หลังจากครูและเพื่อน ๆ ในห้องแนะนำตัวเองเสร็จแล้ว ครูเขาก็เริ่มเปิดเนื้อหาบทแรกทันที
“วิชานี้ครูขอให้ใช้สมุดเล่มหนานะคะ”
นั่นไง! วิชาคณิตศาสตร์ผู้ครองสมุดเล่มหนาเท่าตึกใบหยกตลอดกาล อ่อแล้วก็ยังมีอีกกลุ่มสาระหนึ่งที่ต้องใช้เล่มหนาไม่แพ้กันก็คือจำพวกเกี่ยวกับวิชาสังคมทั้งหลายแหล่
ผมเปิดหนังสือตามที่คุณครูบอก อืม… เรื่องสับเซต
ออดหมดเวลาดังขึ้น
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ พรุ่งนี้เราจะมาเรียนเรื่องเพาเวอร์เซตกันนะ ใครยังไม่ส่งสมุดตามไปส่งที่ห้อง ม.6/2 นะคะ”
ผมคงต้องตามไปส่งทีหลังสินะ ไม่ใช่ว่าผมทำไม่เสร็จหรอกนะ แต่ว่าไอ้ตูนมันเอาสมุดของผมไปลอกเพราะมันจดไม่ทัน
สักพักไม่ถึงสิบนาทีมันก็ส่งสมุดของผมมาให้ผม
“อ้าว นายยังจดไม่เสร็จหนิ” ผมบอกกับมันเมื่อเห็นโจทย์ในสมุดมันยังว่างอยู่
“จดอะเสร็จแล้ว ส่วนแบบฝึกหัดเดี๋ยวกูค่อยทำแล้วเอาไปส่งทีหลัง แกเอาของแกไปส่งก่อนเถอะ”
ผมรับสมุดตัวเองคืนมา “งั้นเราเอาไปส่งก่อนนะ”
มันพยักหน้าให้ผมก่อนลงมือทำแบบฝึกหัดต่อ มันดีตรงนี้แหละถึงจะไม่ได้ตั้งใจฟังครูไปบ้างแต่มันก็ไม่เคยลอกผมเลยสักครั้ง ถ้าไม่เข้าใจโจทย์ก็จะมาถามมากกว่า
ห้องที่ครูบอกไปทางไหนนะ ผมอยู่ม.4 เรียนอยู่ชั้นที่สี่ งั้นม.6 คงจะอยู่ชั้นหก ผมกำลังก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรกก็นึกขึ้นได้ว่า ตึกนี้มีแค่ห้าชั้นนี่หว่า ลองขึ้นไปดูแล้วกัน
ผมเดินขึ้นมาหยุดยังปลายสุดของบันไดก็พบกับความเงียบ เงียบในชนิดที่เรียกว่าป่าช้าก็ได้ ถึงแม้ชั้นล่างจะเป็นห้องเรียนแต่เสียงก็ไม่สามารถขึ้นมาทำลายบรรยากาศนี้ เมื่อผมมองชื่อป้ายห้องต่าง ๆ ก็พบว่าชั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของห้องชมรมพวกใช้สมาธิ เช่นจำพวกศิลปะ ครอสเวิร์ดตัวเลขหรือภาษาต่าง ๆ เอาเป็นว่าพวกที่ต้องใช้ความคิดรวมอยู่ตรงนี้หมดเลย
ไม่พบห้องที่ผมกำลังหาผมจึงเดินไล่ย้อนลงไปข้างล่างเรื่อย ๆ จนไปหยุดชั้นสองของอาคาร น่าจะชั้นนี้แหละ มีแต่ป้ายม.6 เรียงกันเต็มไปหมด ในที่สุดผมก็มายืนอยู่หน้าห้อง ม.6/2 ตามที่คุณครูบอกไว้ ผมชะโงกหน้ามองเข้าไปในห้องที่ไร้สิ่งมีชีวิต โต๊ะส่งงานถูกตั้งไว้หลังห้องริมประตู
ในขณะที่ผมกำลังวางสมุดลงในกอง ผมก็เจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุด...พี่เมฆ
“เจอกันอีกแล้วนะวินนี่น้อย” พี่เมฆทักทายผมด้วยน้ำเสียงสดใส แต่คำว่าวินนี่เฉย ๆ ก็แย่มากแล้วนะ ยังจะมีน้อยต่อท้ายมาอีกเหรอ?
ผมถอนหายใจเบา ๆ ผมว่าผมรีบวางสมุดแล้วรีบหนีดีกว่า ไม่ต้องไปสนใจ
“จะไม่สนใจกันจริง ๆ เหรอ?” พี่เมฆเดินเข้ามาขวางหน้าผมทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง แล้วพี่เขาก็พล่ามต่อ “พรหมลิขิตบันดาลให้เรามาเจอกัน”
“ผมว่าไม่น่าใช่ ผมแค่มาส่งงาน” ในที่สุดผมก็ทนเงียบต่อไปไม่ได้
“เที่ยงนี่เจอกันที่โรงอาหารนะ”
“ผมว่าไม่ได้เจอหรอก” โรงอาหารออกกว้าง อีกอย่างนะผมจะหลบ
“ถ้าเจอแปลว่าน้องยอมให้พี่จีบ โอเคนะ” พี่เขายิ้มยียวนก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนมองนิ่ง ๆ คนอะไรตื้อไม่พอ ยังไม่ฉลาดอีก! ผมใส่ชุดนักเรียนชายอยู่ทนโท่ ตาบอดหรือเปล่า?
แล้วเดี๋ยวนะ ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ายอมหรือไม่ยอม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ