สืบสู้ผี ภาค 1-2
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
45) มูติชาห์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"ยั้งมือไว้ก่อน... มูติชาห์ ลูกข้า...! " เสียงพูดอันก้องกังวานเสียงหนึ่งกลับดังออกมาจากหลังเนินดินที่อยู่อีกฝากหนึ่งของริมธารน้ำ
และนั่นก็ทำให้คนประหลาดหรือชายลึกลับผู้ที่สวมสิ่งที่เหมือนหัวของอสุรกายต้องเหลียวหน้าไปทางทิศนั้นทันที และก็รวมทั้งพวกเราทั้งหมดในที่นี้ด้วย
จากนั้นพวกเราก็ค่อยๆ เห็นกลุ่มคนจำนวนราวๆ สามสิบกว่าคน ค่อยๆ โผล่ร่างออกมาจากหลังเนินดิน โดยที่เกือบทั้งหมดนั้นต่างก็แต่งกายในลักษณะใกล้เคียงกับที่ชายลึกลับคนนี้แต่ง แต่ทว่าการแต่งกายของพวกเขาเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีความหรูหราหรือมีเครื่องประดับประดาเท่าเทียมกับเขา ยกเว้นก็แต่ชายคนที่ยืนอยู่ตรงกลางของคนกลุ่มนั้น ที่กลับอยู่ในเครื่องแต่งกายที่ดูมีความหรูหราภูมิฐานใกล้เคียงกับเขาอยู่ไม่น้อย หากแต่ว่าเขาคนนั้นกลับไม่ได้สวมหัวอสุรกายหรือหัวปิศาจใดๆ ไว้ที่หัวของเขาเท่านั้นเอง แต่กับกลุ่มคนที่เหลือนั้น ต่างก็สวมหัวอสุรกายที่มีเขาสองเขายื่นออกมาข้างหน้า อันดูคล้ายคลึงกับที่ชายลึกลับสวม แต่ลักษณะของเขาทั้งสองเขานั้น กลับมีขนาดที่สั้นและเล็กกว่าเล็กน้อย โดยพวกเราที่ยืนอยู่ทางฝั่งนี้ ก็ไม่สามารถจะมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว
ขณะนี้กลุ่มคนเหล่านั้นทั้งหมดก็ได้ลงมายืนเรียงหน้ากระดานกันอยู่ที่ริมธารน้ำฝั่งตรงข้าม แล้วผมก็ได้มองเห็นใบหน้าของชายคนที่อยู่ตรงกลางนั้นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
เขาคนนี้เป็นผู้ชายที่ดูค่อนข้างมีอายุพอสมควร ประมาณจากสายตาของผมว่าน่าจะมีอายุอยู่ในวัยประมาณไม่ต่ำกว่าหกสิบห้าปี เขามีสีผิวที่ดูค่อนข้างไปทางแดงดำ และมีรูปหน้าที่ดูค่อนข้างเรียวยาวจนมองแทบจะไม่เห็นกรามทั้งสองข้างของเขา ที่ปลายคางของเขาก็ประดับไปด้วยเครายาวสีเงินยวงที่กำลังส่องประกายแวววาวสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่ายในขณะนี้
แต่สิ่งหนึ่งที่ดูจะสะดุดตาผมอย่างแปลกประหลาดก็คือ ในดวงตาทั้งคู่ของเขานั้นกลับไม่มีส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ที่ดวงตาที่ควรจะเป็นตาขาวเหมือนอย่างเราๆ เลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันกลับมีสีฟ้าประหลาดๆ และดูเหมือนกับว่า มันจะเรืองแสงขึ้นมาได้อีกด้วย?
ชายคนนี้กวาดสายตาดูพวกเราที่ล่ะคนๆ แล้วก็เปลี่ยนสายตาไปจับจ้องอยู่ที่สิงห์และชายลึกลับที่ยังยืนอยู่ข้างๆ สิงห์
"พ่อจ้าวแห่งข้า... ท่านมาถึงแล้วหรือ...? " ชายลึกลับส่งเสียงเรียกออกไป ในขณะที่เขาก็ลดคันธนูลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"มูติชาห์... " ชายผู้ดูมีอายุเรียกชื่อเขาอีกครั้ง "คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้านี้ก็คือ เจ้าชายผู้เป็นพระโอรสคนโตของของราชาแห่งวาณิการ์ อย่างที่เจ้าเพิ่งจะส่งข่าวไปให้ข้าใช่หรือไม่? "
ก่อนที่ชายที่ถูกเรียกว่า มูติชาห์ จะเอ่ยปากตอบ สิงห์ที่อยู่ในร่างนุชก็รีบก้าวออกมาข้างหน้า และลงนั่งคุกเข่าทำความเคารพชายผู้สูงอายุ โดยเขาได้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมกับกำหมัดให้ทั้งสองหมัดมาชนกันที่กลางหน้าอกโดยหันด้านหลังมือออกมาทางข้างนอก นี่นับว่าเป็นการแสดงความเคารพในแบบที่ผมก็ไม่เคยได้เห็นจากที่ไหนมาก่อนหน้านี้
แล้วสิงห์ก็เปล่งวาจาที่ไร้เสียงออกมา แต่ทว่าชายผู้สูงอายุนั้นก็พยักหน้าออกมาอยู่สองสามครั้ง ราวกับว่าเขาจะเข้าใจคำพูดที่ไร้เสียงเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ทรุดร่างลงมาคุกเข่าและทำท่าแสดงความเคารพสิงห์ในลักษณะเดียวกับที่สิงห์ได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้
"ข้ามิบังอาจให้ท่านมาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าข้าอยู่อย่างนั้นได้หรอก ท่านสิงหโรจน์" ชายสูงอายุกล่าวออกมา "อย่าลืมว่าท่านเองก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อจ้าวแห่งราชาวาณิการ์ในอดีต ที่ได้เคยมีบุญคุณช่วยเหลือเผ่าพันธ์ุของพวกเราให้รอดพ้นจากการถูกล้างเผ่าพันธ์ุมาแล้วเมื่อในครั้งเก่าก่อน..."
แล้วสิงห์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กับที่ชายผู้สูงอายุก็ลุกขึ้นยืนตามเขาเช่นกัน
"เมื่อกี้นี้ สิงห์เขาพูดอะไรออกไปหรือคะพี่เมฆ? " ไอริณรีบหันไปถามพี่เมฆทันที
"อ้อ... เมื่อกี้นี้สิงห์เขาบอกชายคนนั้นว่า ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ ข้าก็คือ สิงหโรจน์ แห่งอณาจักรวาณิการ์นั่นเอง ข้าได้ไปผจญกับเรื่องราวบางอย่างมา จนทำให้วิญญาณของข้าได้บังเอิญมาติดอยู่ในร่างของสตรีผู้นี้อยู่จนถึงเดี๋ยวนี้..."
พอพี่เมฆบอกเสร็จ ผมเองก็พลอยได้เข้าใจคำพูดของสิงห์เมื่อสักครู่นี้ไปด้วย
ในขณะนั้นเองกลุ่มคนที่มาพร้อมกับชายสูงอายุที่ถูกสิงห์เรียกว่า'ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์' ก็ได้นำกระดานไม้แผ่นใหญ่ยาวมาวางพาดคร่อมลงไประหว่างชายฝั่งทั้งสองฝั่งเพื่อทำเป็นสะพานให้ข้ามไปมาได้
จากนั้นชายสองคนในกลุ่มที่ดูราวกับจะเป็นทหารองครักษ์ก็ได้เดินนำชายสูงอายุข้ามมายังฝั่งที่พวกเรายืนอยู่
หลังจากนั้นชายผู้สูงอายุนั้นก็ได้เข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของสิงห์
"ไม่เจอกันซะนาน ท่านดันกลับกลายเป็นสตรีน้อยที่ดูทั้งสาวทั้งสวยไปเสียแล้วหรือท่านสิงหโรจน์ ฮ่าๆ " เขาพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบาน
ท่าทางของสิงห์ตอนนี้ก็ดูยิ้มแย้มไม่ต่างกัน แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะพูดโต้ตอบกับชายสูงอายุอยู่แค่เพียงคำสั้นๆ ราวกับว่าเขาเองนั้นไม่อยากจะพูดอะไรออกมามากมายนักในตอนนี้ และนี่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาคงกลัวว่าคนทางฝ่ายเราจะไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรออกไปกระมัง?
"เรื่องเสียงที่หายไปหรือถูกสะกดไว้ของท่านนั้น ข้าเองนั้นก็คิดว่าพอจะมีวิธีที่จะแก้ได้อยู่บ้างหรอกนะ ท่านสิงหโรจน์"
ชายสูงอายุผู้เป็นจ้าวแห่งมิตทราห์อะไรนั่น กลับบอกเรื่องที่แม้แต่พี่เมฆก็ยังทำไม่ได้ นี่มันช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ และแม้แต่พี่เมฆในยามนี้ก็ถึงกับต้องตาโตขึ้นมาทันที
เอ... หรือว่าท่านจ้าวคนนีั้จะมีของดีอะไรอยู่ด้วยกระมัง?
แล้วท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ก็หันไปที่ชายลึกลับผู้ที่เขาได้เรียกว่า มูติชาห์
"เจ้าเองน่ะ ควรจะระงับความใจร้อนของตัวเองลงซะบ้างนะ ไม่อย่างนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นผู้นำที่ดีของชนเผ่าเราในอนาคตข้างหน้าไม่ได้หรอกนะ มูติชาห์..."
"พ่อจ้าว..." ชายผู้ชื่อมูติชาห์เอ่ยขึ้น "ข้าไม่ได้คิดจะทำร้ายใครหรอกนะ พ่อจ้าวอย่าลืมว่า ตอนนี้พวกศัตรูของเราและคนเถื่อนต่างๆ กำลังหาโอกาสที่จะลักลอบเข้าไปในดินแดนของพวกเรากันอย่างไม่ยอมเลิกรา เพราะงั้นตอนนี้ ไม่ว่าจะมีใครเผ่าพันธ์ุไหนที่แปลกหน้าโผล่ขึ้นมา เราก็ควรจะระมัดระวังกันไว้ให้ถึงที่สุดก่อนนะพ่อจ้าว ท่านก็ลองดูสิพ่อจ้าว..." เขาชี้ไปที่ชายที่ชื่อชัยยาที่ขณะนี้ยังคงทรุดร่างคุกเข่าอยู่อย่างเจ็บปวดกับพิษของดอกธนูทั้งสองดอก
"เมื่อตอนเช้าวันนี้เราก็ยังได้ปะทะกับพวกคนเถื่อนพวกนี้ ที่ต่างก็ติดเชื้ออสูรดำแบบนี้กันอยู่เลย" เขากล่าวต่อไป "บางทีตอนนี้ พวกๆ ของมันบางคนอาจจะยังคอยสังเกตุดูพวกเราอยู่ณ.ที่ใดที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ก็ได้นะพ่อจ้าว...? "
ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ส่ายหน้าเล็กน้อย "อย่าได้กังวลเกินไป เพราะยังไงเชื้ออสูรดำก็ระบาดติดพวกเราไม่ได้ และกำลังทางกำลังพลของพวกเราในตอนนี้ ก็น่าจะพอต้านทานพวกคนที่ติดเชื้อเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก..."
"พ่อจ้าว เชื้อของอสูรดำนี้มันช่างติดต่อกันได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน โดนเฉพาะกับพวกคนเถื่อนที่ได้หลงเข้ามาจากโลกภายนอกด้วยกัน หากมีพวกศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีใช้พวกคนเถื่อนเป็นเครื่องมือในจำนวนที่มากขึ้น ก็ไม่รู้ว่าต่อไปเราจะต้านทานพวกมันได้อีกหรือเปล่า และสุดท้ายสิ่งอันสำคัญสูงสุดที่เราจะต้องคอยปกปักษ์คุ้มครองไว้ให้ได้ด้วยชีวิตของพวกเราเอง ก็ไม่รู้ว่าจะมีอันเป็นไปเช่นไรนะพ่อจ้าว? "
แล้วท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง "เฮ้อ.. อนาคตนั้นยากจะคาดเดาได้ว่า จะจบลงที่ตรงไหน เราก็เพียงแต่ทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอนะมูติชาห์ เอาล่ะ... จงถอดหัวปิศาจของเจ้าออกเสียเถอะ เพราะเมื่อก่อนที่ข้าจะมาถึงที่นี่ข้าก็ได้ใช้ให้หน่วยลาดตระเวนกระจายออกไปค้นหาความผิดปกติรอบๆ นี้แล้วล่ะ ข้ามั่นใจว่าจนกว่าจะสิ้นอาทิตย์อัสดงวันนี้ มันก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์ร้ายใดๆ เกิดขึ้นมาอีกหรอกนะ..."
หลังจากที่ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์กล่าวจบ ชายผู้ชื่อมูติชาห์ก็ค่อยๆ ถอดหัวปลอมที่เป็นรูปอสุรกายออกจากหัวของตนเอง
และเมื่อผมและพวกเราได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมูติชาห์แล้ว พวกเราต่างก็ต้องตกตะลึงกันทั้งหมด...?!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ