สืบสู้ผี ภาค 1-2

8.7

เขียนโดย Jintanakorn

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.

  73 ตอน
  3 วิจารณ์
  63.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

46) รูปโฉมอันประหลาด ?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ใบหน้าของมูติชาห์หาได้มีความผิดปกติหรือพิกลพิการจนถึงกับทำให้พวกเราต้องตกตะลึงกันแต่อย่างใดไม่ แต่ทว่าใบหน้าของเขานั้นกลับดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง... ใช่แล้วสวยงามเป็นอย่างยิ่งและสวยงามเกินกว่าจะเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง และสิ่งนี้นั่นเองที่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราต้องตกตะลึงกันอย่างไม่คาดคิด...!

  ก็แล้วใครจะไปคาดคิดกันล่ะ ว่าผู้ชายคนที่เพิ่งจะปรากฏตัวได้เพียงไม่นานและยังเป็นบุตรของท่านจ้าวแห่งมิตทราห์อะไรนั่น จะมีใบหน้าที่สวยงามหมดจดราวกับไม่ใช่ใบหน้าของผู้ชายเช่นนี้

  อีกทั้งดวงตาคู่สวยอันคมกริบที่ดูจะแฝงไปด้วยความดุดื้ออยู่ไม่น้อยนี้ ดูยังไงแล้วมันก็ช่างขัดแย้งกับลักษณะของการแสดงออกและการกล่าววาจาเมื่อในคราวที่ยังสวมหัวหรือหน้ากากปิศาจอยู่ไม่น้อย... ?

  แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ผู้เป็นบิดาของเขานั้นมากที่สุดก็คือ สีผิวของเขาที่ดูค่อนข้างจะเข้มราวกับทองแดง และสีของนัยตาสีขาวที่ได้กลายเป็นสีฟ้าเช่นเดียวกัน

  แล้วมูติชาห์ก็ขมวดหัวคิ้วอันโก่งสวยเข้าหากัน "มีสิ่งใดผิดปกติบนใบหน้าของข้าอย่างงั้นหรือ...?" เสียงคำถามนั้นกลับดูห้าวห้วนเหมือนในตอนแรกที่เราได้ยิน และผมก็ไม่อาจจะวิเคราะห์ได้ว่า นี่เป็นเสียงของผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่...?

  พวกเราที่เหมือนยังตกอยู่ในภวังค์แห่งความตกตะลึงกันยังไม่สร่างรีบหันมามองกันไปมาและต่างก็กระพริบตากันปริบๆ

  "เอ่อ... ก็ไม่มีอะไร..." ผมอดยกมือขึ้นมาเกาหัวไม่ได้ "คือผมเพียงแต่..."

  "พวกท่านอาคันตุกะที่เพิ่งจะมาปรากฏกันที่นี่ คงจะสงสัยกันว่าบุตรของข้าผู้มีนามว่ามูติชาห์ผู้นี้ จะเป็นชายหรือหญิงกันแน่กระมัง ?" ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์กลับอ่านปฏิกิริยาของพวกเราออก

  "พวกเจ้าเหล่าทหารหาญแห่งชนเผ่ามิตทราห์...!" ท่านจ้าวหันหน้ากลับไปทางกลุ่มคนที่ยังยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดานอยู่ริมฝั่งน้ำนั้น "จงถอดหน้ากากอสูรพวกนั้นออกมาเถอะ !"

  สิ้นคำสั่ง เหล่ากลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าทหารหาญ ก็พร้อมใจกันถอดหัวปิศาจหรืออสูรนั่นออกมาทันที

  แต่ถ้าหากว่าครั้งนี้จะเป็นความตะลึง ก็คงจะน้อยกว่าครั้งเมื่อมูติชาห์ได้ถอดหัวปิศาจของตัวเองออกมาพอสมควร

  เพราะเมื่อกลุ่มทหารราวๆเกือบสามสิบคนของท่านจ้าวได้ถอดหัวปิศาจออกมากันทั้งหมดแล้ว รูปหน้าที่แท้จริงของแต่ล่ะคนก็กลับมีลักษณะที่เรียวเล็กจนแทบจะมองไม่เห็นกรามทั้งสองข้างเหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปในโลกของเรานั้น ก็น้อยนักที่จะมีรูปหน้าเช่นนี้

  ส่วนสีของดวงตาในส่วนที่น่าจะเป็นสีขาวเหมือนคนปกตินั้น ก็กลับมีสีฟ้าเช่นเดียวกับท่านจ้าวและมูติชาห์

  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ และดูยังไงก็เหมือนกับว่ามันจะมีความต่างระหว่างมูติชาห์กับพวกทหารของท่านจ้าวอยู่ดี... ?

  และที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในระหว่างที่พวกเราค่อนข้างที่จะตะลึงกันอยู่นั้น ผมก็ดันบังเอิญได้เหลือบไปเห็นสิงห์ที่ดูเหมือนจะแอบยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลสนัยประหลาดๆซะจนน่าแปลกอีกด้วย ?

  "คงจะเห็นกันแล้วสินะ..." ท่านจ้าวกล่าวขึ้นอีก "ว่าชาวเผ่ามิตทราห์ของเรานั้นมีรูปใบหน้าที่แตกต่างจากชาวโลกอย่างพวกท่านพอควร และพวกท่านคงจะมิได้ติดใจสงสัยอะไรกันอีกต่อไปแล้วกระมัง...?" ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็กวาดสายตามองหน้าพวกเราทุกคน

  "เอ่อ... ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ผมก็มีข้อสงสัยอยากจะถามอะไรท่านสักเล็กน้อยนะครับ...?" พี่เมฆเอ่ยขึ้น

  "ว่ามาเลยท่านอาคันตุกะหน้าประหลาด ?" ท่านจ้าวพยักหน้ายิ้มๆให้พี่เมฆ แต่ผมกับไอริณรีบหันควับไปมองพี่เมฆทันที แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ที่ท่านจ้าวเรียกพี่เมฆว่า'อาคันตุกะหน้าประหลาด'นั้น ท่านได้เรียกเล่นๆหรือว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ?

  แล้วพี่เมฆก็เกาคางตัวเองเหมือนจะเขินๆนิดหน่อย "คือ... ผมอยากจะถามว่า การที่บุตรของท่านที่ชื่อ 'หมูตื่นช้า'(มูติชาห์)' หรืออะไรนี่กับพวกทหารของท่านนั้นต้องใส่หัวปิศาจพิลึกๆนั่น ก็คงจะเป็นเพราะต้องการที่จะอำพรางหน้าตาอันละอ่อนเยาว์ของพวกท่านไว้ใช่ไหม ? พูดง่ายๆว่าหน้าตาของพวกท่านนั้น มันคงจะใช้ข่มขวัญพวกศัตรูของพวกท่านไม่ได้ใช่ไหม ก็เลยต้องหาอะไรโหดๆมาแต่งเสริมเพิ่มเข้าไปใช่หรือเปล่า...?"

  เสียงปรบมือสามครั้งช้าๆดังมาจากมูติชาห์ "นี่เป็นคำถามและข้อสงสัยที่ดี...! แต่คราวหลังอย่าล้อชื่อข้าอีก ข้าขอบอกอีกครั้งให้ชัดๆนะ ว่าชื่อของข้าก็คือ 'มูติชาห์' บุตรของท่านจ้าวแห่งมิตทราห์...!"

  พอพี่เมฆได้ฟังอย่างนั้นชัดๆแล้วก็ถึงกับตีหน้าเลี่ยน และก็แอบหันมายักคิ้วให้ผมกับไอริณแถมยังพึมพำหน่อยนึงว่า "แซวคืนบ้างก็ไม่ได้..."

  มูติชาห์ทำเหมือนไม่ได้ยินก่อนจะพูดต่อไป "ข้าจะขอตอบข้อสงสัยในเรื่องของ'หน้ากากอสูร'ที่ข้าและพวกทหารต้องเอามาสวมใส่กันนี้ว่า นี่ไม่ใช่เพื่อจะเอามาใช้เป็นเครื่องอำพรางหรือแต่งเสริมหน้าตาให้มันดูน่ากลัวเพื่อที่จะข่มขวัญพวกศัตรู แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงในการใส่หัวอสูรนี้ไว้ก็คือ หากพวกเราได้สวมมันไว้ มันก็จะช่วยขับไล่ศัตรูที่เป็นพวกที่ติดเชื้ออสูรดำได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องออกแรงเท่าไรนัก...!"

  อะไรกัน... ? ใส่สิ่งนั้นไว้เพื่อใช้ขับไล่พวกที่ติดเชื้ออสูรดำงั้นรึ ? คำตอบที่ฟังดูน่าหัวเราะของมูติชาห์ไม่ได้ทำให้ผมเมคเซนส์เอาซะเลย...?

  "มูติชาห์เขาพูดถูกแล้ว..." ท่านจ้าวพยักหน้าเบาๆ "ผู้ที่ติดเชื้ออสูรดำอย่างที่พวกท่านเพิ่งจะได้เห็นกันนี้ จะสูญเสียจิตและวิญญาณของตัวเองไปทีล่ะเล็กล่ะน้อย จนในท้ายสุดจิตและวิญญานชั้นต่ำของอสูรดำจะเข้าควบคุมร่างนั้นไว้ทั้งหมด แต่สิ่งที่จิตของอสูรดำยำเกรงหรือหวาดกลัวที่สุดก็คือ 'อูราณห์อสูรเขาคู่' ที่อยู่ในตำนานเรื่องเล่าอันเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้ทั้งหมด..."

  ไอริณขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน"แต่การแต่งแบบนี้ มันก็แค่..."

  "ก็แค่แต่งหลอก...!" มูติชาห์พูดขึ้นอีก "ก็ใช่... ที่พวกเราแต่งเป็นการแต่งหลอก ลำพังการสวมหัวปลอมของปิศาจสักหัว ไม่ได้ทำให้เราๆท่านๆที่ยังมีสติดีหวาดกลัวได้หรอก แต่... แต่จิตอสูรต่ำๆของพวกอสูรดำนั้นมันแยกแยะไม่ออกว่าจริงหรือเท็จ มันแค่เห็นสัญลักษณ์ที่เป็นเขาสองเขาเหมือน'อสูรอูราณห์'อยู่ข้างหน้ามัน มันก็จะหวาดกลัวซะจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก และหลังจากนั้นพวกเราก็สามาถที่จะจัดการกับพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็นนักด้วยธนูของพวกเรา..."

  อา... เมื่อจบคำอธิบายของมูติชาห์ตอนนี้แล้ว ผมก็ได้ถึงบางอ้อในเรื่องของการสวมหัวปิศาจประหลาดๆของพวกเขาแล้ว...

  ผมหันไปมองหน้าไอริณ เห็นเธอหันมาทางผมอย่างยิ้มๆพอดี ก่อนที่จะพูดเสียงเบาๆพอให้ผมกับพี่เมฆได้ยิน

  "มันก็คงจะเหมือนกับที่สัญลักษณ์ของพวกฮวงจุ้ยที่เป็นสัญลักษณ์แบบต่างๆในโลกเรานั้น ที่สามารถจะใช้ขับไล่หรือสกัดวิญญาณร้ายต่างๆนั้นได้ยังไงล่ะพี่กิต"

  แล้วท่านจ้าวก็เดินไปริมฝั่งน้ำ สายตาของเขาพลันเหม่อมองข้ามเนินเดินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของธารน้ำไป

  "พวกท่านเหล่าอาคันตุกะผู้เพิ่งมาใหม่อาจจะยังไม่รู้กันสินะว่า พวกเราชาวเผ่ามิตทราห์แท้ที่จริงแล้วเป็นพวกรักสันติและก็เป็นนักรบในเวลาเดียวกัน..." ท่านจ้าวกล่าวเนิบๆ "และแม้ว่าหลังเนินดินข้างหน้านี้ไปไม่ไกลนักจะเป็นดินแดนที่ไม่ใช่ดินแดนแต่ดั้งเดิมของพวกเราเหมือนอย่างเมื่อในครั้งอดีต แต่พวกเราก็ยังมีภาระกิจที่สำคัญที่จะต้องคอยคุ้มครองสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งให้อยู่รอดปลอดภัยจากสิ่งที่ชั่วร้ายที่มีมากกว่าหนึ่งเผ่าพันธ์... และเราก็ได้คิดค้นหาจุดอ่อนของพวกศัตรูต่างๆ รวมทั้งต้องหาวิธีการหลากหลายชนิดที่จะสามารถใช้ปกป้องอันตรายต่างๆจากพวกศัตรูให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะให้ของสำคัญนั้นอยู่รอดพ้นจากการครอบครองของพวกศัตรู..."

  "พ่อจ้าว.." มูติชาห์เอ่ยขึ้นทันที "ท่านจะไว้วางใจคนพวกนี้โดยเล่าถึงของสิ่งนั้นให้พวกนี้ฟังทั้งหมดเลยเหรอ...? ท่านอย่าลืมนะ ว่าพวกนี้น่ะ เป็นแค่พวกคนเถื่อนที่ได้ผ่านมาจากโลกข้างนอกแค่นั้นเองนะ ? และดีไม่ดีพวกมันก็อาจจะหักหลังหรือเป็นสายให้กับพวกศัตรูมาแต่แรกแล้วก็เป็นได้นะพ่อจ้าว ?"

  ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์โบกมือลง "เจ้าลืมซะแล้วรึ... ว่าผู้ที่ได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้าชายสิงหโรจน์ย่อมจะเป็นคนร้ายชั่วช้าไปไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้าชายก็จะรู้ได้ทันที..."

  มูติชาห์อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นสายตาของเขาก็เบนไปหาสิงห์ในร่างนุช และสิงห์เองนั้นก็พยักหน้าให้เขาเหมือนเป็นการรับรองรับประกันในสิ่งที่ท่านจ้าวได้พูดเมื่อกี้

  "งั้นก็... แล้วแต่พ่อจ้าวเถอะ..." มูติชาห์กล่าวด้วยเสียงที่เบาลง

  ท่านจ้าวหันกลับมาทางพวกเรา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สิงห์อยู่ชั่วครู่แล้วกวาดตามองพวกเราที่เหลืออีกครั้ง

  "ในอดีตพวกชนเผ่าเรามีอารยธรรมที่รุ่งเรืองอยู่ในดินแดนอีกดินแดนหนึ่งที่ไม่ใช่ในดินแดนที่อยู่ในผืนภิภพที่เป็นชายขอบนรกอย่างนี้" ท่านจ้าวเล่าเรื่องขึ้นอย่างเนิบๆ "และในดินแดนนั้นก็อยู่ไม่ไกลกับดินแดนที่เป็น'อณาจักรวาณิการ์'ของเจ้าชายสิงหโรจน์ซึ่งขณะนั้นถูกปกครองด้วยราชาผู้เป็นบรรพบุรุษของเขา พวกเราทั้งสองอณาจักรต่างมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันมาช้านาน แม้จะมีข้อพิพาธเล็กๆน้อยกันบ้างในบางครั้งแต่ก็เพียงไม่นานนัก จวบจนกระทั่งวันหนึ่งก็กลับมีสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์และมีอำนาจอันแรงกล้าอย่างหนึ่งได้เข้ามาสร้างความปั่นป่วนในดินแดนแถบนั้นจนกระทั้งได้กลายมาเป็นความพินาศของอณาจักรเราในภายหลัง และอำนาจแห่งความชั่วร้ายเหล่านั้นก็ได้ทำให้ประชากรในอณาจักรของเราต่างก็ต้องล้มตายลงไปเป็นจำนวนมากราวกับถูกเชื้อโรคร้ายบางอย่างกลืนกินไปอย่างทวีคูณ..."

  "และแม้ว่าต่อมาเราจะได้รับการช่วยเหลือจากราชาแห่งวาณิการ์ทั้งด้านกำลังและอาวุธ แต่นั่นก็ไม่สามารถจะยับยั้งความพินาศที่ได้เกิดขึ้นกับอณาจักรของเราลงได้ไม่"

  "และในที่สุดดินแดนอันเป็นบ้านเกิดของเรานั้นก็ได้ตกเป็นของศัตรูผู้ชั่วร้ายเหล่านั้นไปจนได้ในวันหนึ่ง แต่ทว่าก่อนที่ความชั่วร้ายของพวกมันจะกระจายแผ่ออกไปยังดินแดนอื่นๆที่อยู่ในทวีปเดียวกัน ราชาแห่งวาณิการ์กับราชาแห่งมิตทราห์ในขณะนั้นก็ได้ร่วมมือกันสังหารศัตรูไปได้เป็นจำนวนมาก และได้ค้นพบเงื่อนปมในการรุกรานของพวกศัตรูที่มาจากนอกทวีปของพวกเราว่า พวกมันนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่ของบางสิ่งที่อยู่ภายใต้มหาวิหารศักดิ์สิทธิแห่งอณาจักรมิตทราห์ของพวกเรานั่นเอง..!"

  "และของสิ่งนั้นต่อมาก็กลายเป็นของสำคัญอันสูงสุดที่พวกเราต้องปกป้องไว้ให้ได้ด้วยชีวิตของพวกเราทั้งหมด เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าศัตรูของพวกเราเกิดได้สิ่งนี้ไปไว้ในครอบครอง เมื่อนั้นล่ะที่พวกศัตรูก็สามารถที่จะเปลี่ยนดินแดนทั้งทวีปของเราให้กลายเป็นขุมนรกที่แท้จริงไปได้ในทันที และเมื่อนั้นพวกเราชาวมิตทราห์ก็จะสูญเสียอณาจักรอันเป็นบ้านเกิดของเราไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืนอย่างแน่นอน.."

  "ดังนั้นต่อมา ราชาทั้งสองราชาแห่งมิตทราห์และวาณิการ์ก็ได้ร่วมกันช่วยขนย้ายของที่สำคัญสิ่งนั้นออกมาด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดก็ได้นำสิ่งนั้นมาเก็บรักษาไว้ที่ดินแดนอันเป็นยอดเขาแห่งนี้ซึ่งอยู่คนละทวีปหรือต่างมิติกับทวีปของเรา โดยได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของมหาดาบสท่านหนึ่งที่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการอันชั่วช้าและเป้าหมายอันสูงสุดของเจ้าศัตรูตัวร้ายที่แท้จริง..."

  ฟังถึงตรงนี้แล้ว หรือว่า... ของสิ่งนั้นอาจจะเกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับไอ้ 13 กุญแจเปิดนรกอะไรนั่นด้วยกระมัง ผมหันไปสบตากับไอริณและพี่เมฆที่ต่างก็มีสีหน้าสงสัยแบบเดียวกันในขณะที่มีจันเพียงคนเดียวที่ยืนทำหน้าเหรอหราอย่างงวยงง

  แล้วไอริณก็อาศัยจังหวะช่วงนี้ถามขึ้นมา "ของสำคัญที่ทั้งสองอณาจักรต่างก็ให้ความสำคัญอย่างสูงสุดและคอยปกป้องด้วยชีวิตนั้น หรือว่าจะเป็น กุญแจแปลกๆดอกหนึ่ง ใช่หรือไม่คะท่านจ้าว...?"

  ท่านจ้าวเปลี่ยนสายตาไปจับจ้องที่ไอริณพรางยิ้มที่มุมปาก "นับว่าพวกท่านได้รู้เห็นเรื่องของดอกกุญแจพวกนั้นอยู่บ้างแล้ว... แต่ว่า สิ่งที่เรากำลังปกป้องอยู่นี้หาใช่ดอกกุญแจประหลาดพวกนั้นไม่..."

  อะไรกัน...? ไม่ใช่เป็นพวกดอกกุญแจดอกไหนดอกหนึ่งหรอกรึ...? ผมรู้สึกผิดคาดพอควร แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไรกันล่ะนี่...?

  ท่านจ้าวกวาดสายตามองพวกเราทั้งหมดอีกครั้ง

  "ที่จริง ของสำคัญสิ่งนั้น มันก็คือ สิ่งที่ต้องใช้คู่กับกุญแจดอกหนึ่งเหมือนกัน และกุญแจดอกนั้น น่ากลัวว่าจะตกอยู่ในมือของพวกศัตรูร้ายไปเรียบร้อยแล้ว และของสำคัญที่เรากำลังปกป้องไว้ไม่ให้พวกศัตรูเอาไปใช้กับกุญแจดอกนั้นก็คือ... 'ประตูศิลา'ขนาดยักษ์ ที่มีช่องใส่ดอกกุญแจที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เราได้เคยเห็นกันมา...!"

  อะไรนะ...! ประตูศิลาที่มีช่องใส่ดอกกุญแจที่ใหญ่ที่สุด' อย่างนั้นหรือ...?!!

  แล้วมัน... มันคือประตูศิลาอะไรกันล่ะนี่ ?!

 

      

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา