Wish you were here : อยู่กับผมนะที่รัก
-
เขียนโดย chivaru
วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 07.50 น.
21 ตอน
3 วิจารณ์
19.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561 11.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) เหตุผลที่ 16 ปาฏิหาริย์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเหตุผลที่ 16 ปาฏิหาริย์
‘โป้ก!!’
“โอ๊ย!!” ผมเดินเข้าบ้านด้วยอาการใจลอย ชนเข้าประตูกระจกหน้าบ้านอย่างจัง
“โอ๋ ประตูเป็นไงบ้างลูก” <แม่
“เดี๋ยวๆ แม่ ลูกชายสุดหล่ออยู่นี่ ไมโอ๋ประตูอ้า”
“แหม๋ เห็นเดิมลอยมาแต่ไกล ชนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก เรียกสติดีออก” แม่หัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวเกือบโน ได้เรื่องแต่เช้าหัววันเลยเรา
“แม่อ้า~ ” ผมค้อนแม่วงโต ใช้ความน่ารักทั้งหมดที่มีอ้อนแม่ยกใหญ่ หลังจากหายไปจากบ้านหลายวัน
“หายไปไหนมา น้องบอกแค่เราไปทำธุระที่โรงพยาบาล”
“เห้อ...” คำตอบไม่ออกจากปาก แต่ถอนหายใจยาวๆ อย่างไม่ปิดบังว่ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้
ผมเพิ่งกลับมาจากส่งตาลเข้าห้องผ่าตัดเมื่อเช้า วันนี้เป็นวันกำหนดผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาลูคีเมีย โอกาสเพียง 5% มันช่างดูห่างไกลจากคำว่าหายเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“แม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมถามแม่ในขณะที่เดินไปห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน โซฟาใหญ่สีครีมถูกจับจองโดยคุณยาย ทางขวาเป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ ผมกับแม่เดินมาหยุดนั่งโซฟาด้านซ้าย
“ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีจ๊ะ มีอะไรรึเปล่าเทียน”
“คือ...”
หลังจากวันที่ตาลยอมคืนดีกับผม มันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดผ่าตัด ผมเลยตัดสินใจดูแลตาลตลอดเวลาจนถึงกำหนดผ่าตัดในวันนี้ จริงๆ ผมก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าร่างกายตาลจะปฏิเสธการรักษาครั้งนี้เหมือนที่ผ่านๆ ซึ่งมันไม่มีผลอะไรโรคแต่มันมีผลต่อร่างกายตาลค่อนข้างหนัก
“คุณยายครับ ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมหันไปถามคุณยายหลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“ปาฏิหาริย์จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกเชื่อว่ามีนะ ยายเคยได้พบปาฏิหาริย์มาครั้งหนึ่งสมัยสาวๆ” คุณยายเล่าว่า สมัยยังเป็นสาวสวย ช่วงนั้นแต่งงานกันใหม่ๆ คุณตากับคุณยายไปเที่ยวด้วยกันที่บนเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หนทางตรงหน้าเต็มไปด้วยโค้งนับไม่ถ้วน ขาไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงที่หมายอย่างใจหวัง แต่ขากลับไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น คุณตาหลุดโค้งเพราะมีรถตู้เบียดจากถนนเลนขาขึ้น ด้วยความตกใจคุณตาหักหลบกะทันหันทำให้เบรกแตก รถไถลขูดไปกับที่กั้นขอบถนน แต่โชคยังดีที่รถไม่ตกเหว คุณตาอาการสาหัส ส่วนคุณยายหัวแตกเล็กน้อย
คุณตากับคุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าคุณตาไม่อาจไม่รอดเพราะมีแผลใหญ่หลายจุดทำให้เสียเลือดมาก
“ตอนนั้นยายคิดว่าถ้าไม่มีตา ยายจะทำยังไง ตาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของยายในตอนนั้น ฟ้ามันมืดไปหมด ยายร้องไห้จนเป็นลมไปเลย มารู้ตัวอีกทีคุณหมอก็มาบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของยาย คือคุณตาเสียเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน หลังผ่าตัดเสร็จ” คุณยายเล่าต่อว่า หลังจากรับรู้ข่าวร้ายคุณหมออนุญาตให้เข้าไปหาคุณตาได้ คุณยายโผล่เข้ากอดร่างคุณตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด เขย่าร่างกายไร้ลมหายใจแรงๆ น้ำตาไหลเป็นสายแทบขาดใจ เรียกร้องหาทุกสิ่งให้ช่วยดลบันดาลให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็มากพอ คุณยายบอกมาเช่นนั้น
“เทียนรู้มั้ย เกิดอะไรขึ้น... อยู่ๆ เครื่องจับชีพกลับส่งเสียงตามจังหวะการเต้นของหัวใจคุณตาอีกครั้ง ยายนี่รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตาตามหมอด้วยความพร่ามัวสะดุดเก้าอี้ล้มพาดพื้นไปอีกด้วยละ” คุณยายหัวเราะยิ้มเบาบาง
“กำลังใจสำคัญก็จริง แต่คนข้างกายก็สำคัญนะลูก ” คุณยายพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลลงมาบ้าง
“พ่อว่าเทียนอย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”
“ครับพ่อ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ในใจยังครุ่นคิดไม่ตก ที่เหลือผมคงทำได้แค่รอ...
............................................
=7 วันผ่านไป=
ช่วงก่อนหน้านี้มีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าสั่งขนมเข้างานสัมมนาหลายงานติดกัน ทำให้ผมต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านจนวุ่น วันสองวันนี้ก็เพิ่งจะได้ว่าง ผมเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วปมแน่น ใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไร้การติดต่อกลับจากพี่หมอ
“เทียนไปหาเองเลยมั้ยลูก ทำหน้าแบบนี้แม่ละเครียดแทน” แม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการกระทำของผม
“…ครับ” ผมตอบรับอย่างเหม่อลอย สายตาทอดยาวไปทางหน้าบ้าน บ้านตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและตาล
‘Rrrrr~’ แรงสั่นจากโทรศัพท์กระทบโต๊ะกระจกใสตัวเล็กในห้องรับแขกข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่บ่งบอกว่ามีใครบางคนโทรมา
“ครับ” ผมกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ
[สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรจากโรงพยาบาลเอกชน L นะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณศดิธร รึเปล่าคะ]
“เอ่อ...ใช่ครับ มีอะไรหรอครับ?” โรงพยาบาลถึงกับโทรมาเอง ที่บ้านผมทุกคนก็ยังอยู่ดีนี่?
[ค่ะ! ดิฉันจะโทรมาแจ้งว่าคุณหมอปรเนตรรบกวนให้เข้ามาพบในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ]
“อ่า...ขอบคุณครับ เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณปริเนตรเป็นยังไงบ้างครับ”
[ขอโทษด้วยค่ะ คุณหมอปรเนตรให้คุณศดิธรเข้ามาพบก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ]
“งั้นหรอครับ ขอบคุณครับ”
พี่หมอถึงกับให้พยาบาลโทรมานัดสงสัยจะติดงานวุ่นจริงๆ ผมไม่รู้จะสงสารใครดี น้องชายผมที่ติดเรียนแล้วต้องอยู่ห้องโดดเดี่ยวหรือพี่หมอที่อยู่โรงพยาบาลทำงานหนักทั้งยังต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้ผมสงสารตัวเองมากกว่าไม่รู้อาการของตาลจะเป็นไงบ้าง คนรอน้ำตาตกในครับ อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันนัด
สายตายังคงจดจ้องบ้านตรงข้ามที่หลายวันมานี้เงียบแปลกๆ เหมือนไม่มีใครอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว
﹀
นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนเวลา 5.00 น. ยังเช้าอยู่มากก็จริง แต่ผมอยากไปถึงโรงพยาบาลไวๆ ก่อนรถติดมันจะยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสีย ความกังวลตลอดหลายวันที่ผ่านมาเล่นเอาผมนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเหมือนกัน
ผมรีบออกจากบ้านตั้งแต่ 7.00 น. กะให้ถึงโรงพยาบาลสักไม่เกิน 8.30 น. ยังไงโรงพยาบาลเอกชนก็เปิด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะไปเวลาไหนก็เหมือนกัน
............................................
-[โรงพยาบาลเอกชน]-
ลิฟต์ตัวเดิมส่งผมถึงชั้นที่ตาลรักษาตัวอย่างเชื่องช้า นี่ขนาดมาเช้ามากแล้ว คนเข้ามาใช้บริการยังเยอะอยู่ดี ผมรีบพุ่งตัวออกจากฝูงชนในลิฟต์ที่แสนแออัดสำหรับเวลาเช้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พบพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่สองสามคน
“สวัสดีครับ ศดิธรครับ ที่หมอปรเนตรนัดไว้ครับ”
“สวัสดีค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
ผมเดินตามพยาบาลสาวมายังห้องผ่าตัดย่อย พบพี่หมอนั่งพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดย่อย ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ พี่หมอ ดูจากสภาพคงจะยังไม่นอนดี
“พี่หมอครับ ตาลเป็นไงบ้าง” นั้นสิ่งที่ผมอยากรู้อันดับแรก
“อ้าว มาละหรอ โทษที ไม่ว่างโทรไปเลย” พี่หมอสะดุ้งตัวเล็กน้อยตามเสียงเรียก
“ครับ พี่หมอได้นอนยังครับ”
“อืม นิดหน่อย ตาล…” พี่หมอหยุดชะงักไป สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นไปได้ด้วยดี แต่...ยังไม่ฟื้นเลยวะ 1 อาทิตย์แล้ว ตอนนี้อยู่ห้องปลอดเชื้อ ไปมั้ย เดี๋ยวกูพาไป”
“ครับ!...” ผมตอบรับด้วยอาการตื่นตระหนก ใจกระตุกหล่นวูบลงตาตุ่มหลังจากได้ฟังอาการที่เกิดขึ้นกับตาล
ผมเดินตามพี่หมอมาเงียบๆ ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อพี่หมอให้จัดการทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผ้าปิดจมูก ลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิดต้องไม่โดนคนไข้ที่อยู่ในห้องนี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
ก้าวขาเข้าห้องก็พบกับคุณพ่อ คุณแม่ของตาลมาเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“สวัสดีครับน้ามะยม น้าเปิล” สองมือพนมโค้งไหว้นิ้วชี้แตะปลายจมูกอย่างนอบน้อม คุณน้ามะยม คุณน้าแอปเปิล คุณพ่อและคุณแม่ของลูกตาล
“จ๊ะลูกเทียน” คุณน้าแอปเปิลตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณน้ามะยมพยักหน้ารับไหว้สายตายังคงมองดูลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม่ห่าง
“พ่อ แม่ ไปพักห้องตัวเล็กก่อน เดี๋ยวทางนี้ปล่อยให้น้องเทียนมาเฝ้าต่อ” พี่หมอพูดขึ้น ดูจากดวงตาที่อิดโรย คงยังไม่มีใครได้นอนดีเท่าไหร่นัก“ฝากด้วยนะลูกเทียน” คุณน้ามะยมพยุงตัวคุณน้าแอปเปิลจูงมือกันค่อยๆ ออกจากห้องไปพร้อมพี่หมอ
เก้าอี้ข้างเตียงว่างลง ผมเขยิบตัวเดินเบาๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้พร้อมน้ำตาที่ล่วงลง เอื้อมมือหนาของตัวเองกอบกุมมือบางขาวซีดที่เจ้าของยังคง
หลับใหล รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ระโยงระยางรอบตัว
“ตาลครับ ตื่นได้แล้ว เทียนมาหาแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล เทียนขอโทษครับคนดี ตื่นมาคุยกับเทียนหน่อยสิครับคนดี เทียนคิดถึงตาล” น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองภาพคนรักนอนสงบไร้การตอบกลับ
จิตใต้สำนึกผมผุดเรื่องที่ผมมารักษาตัวที่นี่หลังจากเอารถไปอัดกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แค่สลับกันที่ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเรียกหา ตาลคงทรมานมากในตอนนั้น เหมือนกับผมตอนนี้มันช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน
น้ำตาที่มียังไหลรินต่อเนื่องเปรอะเปื้อนมือบางจนชุ่ม แต่ไร้ซึ่งวี่แววการตอบสนอง ผมยังคงกุมมือบางไว้หลวมๆ ผละตัวออกพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย
”คุณตาครับ ปาฏิหาริย์ยังมีจริงมั้ยครับ ผมอยากได้เธอคืน ผมรักเธอ หัวใจดวงเดียวของผมมีแค่เธอครับคุณตา ผมสัญญา ผมจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วครับ” ผมเรียกหาคุณตาที่ล่วงลับจากการสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา
นิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อยอยู่ในมือหนาของผม ผมสะดุ้งตัวแรงกำมือบางหลวมๆ เรียกชื่อเธอซ้ำๆ
“ตาล ตาล ตาลครับ ตาล”
“....” ไร้เสียงตอบกลับ แต่เป็นสัมผัสจากมือบางกุมมือผมตอบกลับด้วยแรงเบาบางที่มีอยู่
“ตาล!” น้ำตาที่ยังไม่หดหาย ไหลย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งความดีใจ ตื่นเต้น ไม่รอช้าผมเอื้อมมือกดปุ่มเรียกพยาบาลย้ำๆ
คนแรกที่วิ่งเข้ามาคือพี่หมอตรงมาดูตาลที่ยังคงกุมมือตอบผมย้ำๆ และพยาบาลอีกคนที่เข้ามาตรวจถุงเลือด ถุงน้ำเกลือและอื่นๆ
“ตัวเล็ก!” พี่หมอจัดการตรวจชีพจรมือสั่นเล็กน้อยจากอาการเหนื่อยที่ยังไม่ได้นอน ทั้งยังดีใจที่น้องสาวฟื้นจากการหลับใหลหลังผ่าตัดใหญ่
“ทะ...เทียน พะ...พี่” ตาลพยายามเอ่ยเรียกพวกเราทั้งสองคนด้วยเสียงแหบแห้ง
“เทียนอยู่นี่ครับ // พี่อยู่นี่ตัวเล็ก” รอยยิ้มบางเบาปารากฎบนใบหน้าขาวซีดทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“ฝะ ฝันดีจังเลย” เสียงแหบพร่าบ่นพึมพำ เหมือนยังไม่ได้สติเต็มที่
“ปล่อยให้นอนต่ออีกสักนิดเถอะ พรุ่งนี้ได้ย้ายไปห้องพักเดิม ขอบใจมากมึง ฝากน้องกูด้วยนะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หมอเดินออกไปทำงานต่ออย่างจำใจ
“ฝันดีครับ พรุ่งนี้ตาลต้องตื่นมาคุยกับเทียนนะ เทียนจะอยู่ดูแลตาลเองนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูแผ่วเบา ปล่อยให้คนป่วยได้พักจนกว่าจะถึงเวลาตื่นจริงๆ อีกครั้ง
‘โป้ก!!’
“โอ๊ย!!” ผมเดินเข้าบ้านด้วยอาการใจลอย ชนเข้าประตูกระจกหน้าบ้านอย่างจัง
“โอ๋ ประตูเป็นไงบ้างลูก” <แม่
“เดี๋ยวๆ แม่ ลูกชายสุดหล่ออยู่นี่ ไมโอ๋ประตูอ้า”
“แหม๋ เห็นเดิมลอยมาแต่ไกล ชนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก เรียกสติดีออก” แม่หัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวเกือบโน ได้เรื่องแต่เช้าหัววันเลยเรา
“แม่อ้า~ ” ผมค้อนแม่วงโต ใช้ความน่ารักทั้งหมดที่มีอ้อนแม่ยกใหญ่ หลังจากหายไปจากบ้านหลายวัน
“หายไปไหนมา น้องบอกแค่เราไปทำธุระที่โรงพยาบาล”
“เห้อ...” คำตอบไม่ออกจากปาก แต่ถอนหายใจยาวๆ อย่างไม่ปิดบังว่ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้
ผมเพิ่งกลับมาจากส่งตาลเข้าห้องผ่าตัดเมื่อเช้า วันนี้เป็นวันกำหนดผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาลูคีเมีย โอกาสเพียง 5% มันช่างดูห่างไกลจากคำว่าหายเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“แม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมถามแม่ในขณะที่เดินไปห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน โซฟาใหญ่สีครีมถูกจับจองโดยคุณยาย ทางขวาเป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ ผมกับแม่เดินมาหยุดนั่งโซฟาด้านซ้าย
“ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีจ๊ะ มีอะไรรึเปล่าเทียน”
“คือ...”
หลังจากวันที่ตาลยอมคืนดีกับผม มันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดผ่าตัด ผมเลยตัดสินใจดูแลตาลตลอดเวลาจนถึงกำหนดผ่าตัดในวันนี้ จริงๆ ผมก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าร่างกายตาลจะปฏิเสธการรักษาครั้งนี้เหมือนที่ผ่านๆ ซึ่งมันไม่มีผลอะไรโรคแต่มันมีผลต่อร่างกายตาลค่อนข้างหนัก
“คุณยายครับ ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมหันไปถามคุณยายหลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“ปาฏิหาริย์จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกเชื่อว่ามีนะ ยายเคยได้พบปาฏิหาริย์มาครั้งหนึ่งสมัยสาวๆ” คุณยายเล่าว่า สมัยยังเป็นสาวสวย ช่วงนั้นแต่งงานกันใหม่ๆ คุณตากับคุณยายไปเที่ยวด้วยกันที่บนเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หนทางตรงหน้าเต็มไปด้วยโค้งนับไม่ถ้วน ขาไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงที่หมายอย่างใจหวัง แต่ขากลับไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น คุณตาหลุดโค้งเพราะมีรถตู้เบียดจากถนนเลนขาขึ้น ด้วยความตกใจคุณตาหักหลบกะทันหันทำให้เบรกแตก รถไถลขูดไปกับที่กั้นขอบถนน แต่โชคยังดีที่รถไม่ตกเหว คุณตาอาการสาหัส ส่วนคุณยายหัวแตกเล็กน้อย
คุณตากับคุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าคุณตาไม่อาจไม่รอดเพราะมีแผลใหญ่หลายจุดทำให้เสียเลือดมาก
“ตอนนั้นยายคิดว่าถ้าไม่มีตา ยายจะทำยังไง ตาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของยายในตอนนั้น ฟ้ามันมืดไปหมด ยายร้องไห้จนเป็นลมไปเลย มารู้ตัวอีกทีคุณหมอก็มาบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของยาย คือคุณตาเสียเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน หลังผ่าตัดเสร็จ” คุณยายเล่าต่อว่า หลังจากรับรู้ข่าวร้ายคุณหมออนุญาตให้เข้าไปหาคุณตาได้ คุณยายโผล่เข้ากอดร่างคุณตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด เขย่าร่างกายไร้ลมหายใจแรงๆ น้ำตาไหลเป็นสายแทบขาดใจ เรียกร้องหาทุกสิ่งให้ช่วยดลบันดาลให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็มากพอ คุณยายบอกมาเช่นนั้น
“เทียนรู้มั้ย เกิดอะไรขึ้น... อยู่ๆ เครื่องจับชีพกลับส่งเสียงตามจังหวะการเต้นของหัวใจคุณตาอีกครั้ง ยายนี่รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตาตามหมอด้วยความพร่ามัวสะดุดเก้าอี้ล้มพาดพื้นไปอีกด้วยละ” คุณยายหัวเราะยิ้มเบาบาง
“กำลังใจสำคัญก็จริง แต่คนข้างกายก็สำคัญนะลูก ” คุณยายพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลลงมาบ้าง
“พ่อว่าเทียนอย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”
“ครับพ่อ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ในใจยังครุ่นคิดไม่ตก ที่เหลือผมคงทำได้แค่รอ...
............................................
=7 วันผ่านไป=
ช่วงก่อนหน้านี้มีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าสั่งขนมเข้างานสัมมนาหลายงานติดกัน ทำให้ผมต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านจนวุ่น วันสองวันนี้ก็เพิ่งจะได้ว่าง ผมเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วปมแน่น ใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไร้การติดต่อกลับจากพี่หมอ
“เทียนไปหาเองเลยมั้ยลูก ทำหน้าแบบนี้แม่ละเครียดแทน” แม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการกระทำของผม
“…ครับ” ผมตอบรับอย่างเหม่อลอย สายตาทอดยาวไปทางหน้าบ้าน บ้านตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและตาล
‘Rrrrr~’ แรงสั่นจากโทรศัพท์กระทบโต๊ะกระจกใสตัวเล็กในห้องรับแขกข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่บ่งบอกว่ามีใครบางคนโทรมา
“ครับ” ผมกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ
[สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรจากโรงพยาบาลเอกชน L นะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณศดิธร รึเปล่าคะ]
“เอ่อ...ใช่ครับ มีอะไรหรอครับ?” โรงพยาบาลถึงกับโทรมาเอง ที่บ้านผมทุกคนก็ยังอยู่ดีนี่?
[ค่ะ! ดิฉันจะโทรมาแจ้งว่าคุณหมอปรเนตรรบกวนให้เข้ามาพบในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ]
“อ่า...ขอบคุณครับ เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณปริเนตรเป็นยังไงบ้างครับ”
[ขอโทษด้วยค่ะ คุณหมอปรเนตรให้คุณศดิธรเข้ามาพบก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ]
“งั้นหรอครับ ขอบคุณครับ”
พี่หมอถึงกับให้พยาบาลโทรมานัดสงสัยจะติดงานวุ่นจริงๆ ผมไม่รู้จะสงสารใครดี น้องชายผมที่ติดเรียนแล้วต้องอยู่ห้องโดดเดี่ยวหรือพี่หมอที่อยู่โรงพยาบาลทำงานหนักทั้งยังต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้ผมสงสารตัวเองมากกว่าไม่รู้อาการของตาลจะเป็นไงบ้าง คนรอน้ำตาตกในครับ อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันนัด
สายตายังคงจดจ้องบ้านตรงข้ามที่หลายวันมานี้เงียบแปลกๆ เหมือนไม่มีใครอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว
﹀
นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนเวลา 5.00 น. ยังเช้าอยู่มากก็จริง แต่ผมอยากไปถึงโรงพยาบาลไวๆ ก่อนรถติดมันจะยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสีย ความกังวลตลอดหลายวันที่ผ่านมาเล่นเอาผมนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเหมือนกัน
ผมรีบออกจากบ้านตั้งแต่ 7.00 น. กะให้ถึงโรงพยาบาลสักไม่เกิน 8.30 น. ยังไงโรงพยาบาลเอกชนก็เปิด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะไปเวลาไหนก็เหมือนกัน
............................................
-[โรงพยาบาลเอกชน]-
ลิฟต์ตัวเดิมส่งผมถึงชั้นที่ตาลรักษาตัวอย่างเชื่องช้า นี่ขนาดมาเช้ามากแล้ว คนเข้ามาใช้บริการยังเยอะอยู่ดี ผมรีบพุ่งตัวออกจากฝูงชนในลิฟต์ที่แสนแออัดสำหรับเวลาเช้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พบพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่สองสามคน
“สวัสดีครับ ศดิธรครับ ที่หมอปรเนตรนัดไว้ครับ”
“สวัสดีค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
ผมเดินตามพยาบาลสาวมายังห้องผ่าตัดย่อย พบพี่หมอนั่งพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดย่อย ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ พี่หมอ ดูจากสภาพคงจะยังไม่นอนดี
“พี่หมอครับ ตาลเป็นไงบ้าง” นั้นสิ่งที่ผมอยากรู้อันดับแรก
“อ้าว มาละหรอ โทษที ไม่ว่างโทรไปเลย” พี่หมอสะดุ้งตัวเล็กน้อยตามเสียงเรียก
“ครับ พี่หมอได้นอนยังครับ”
“อืม นิดหน่อย ตาล…” พี่หมอหยุดชะงักไป สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นไปได้ด้วยดี แต่...ยังไม่ฟื้นเลยวะ 1 อาทิตย์แล้ว ตอนนี้อยู่ห้องปลอดเชื้อ ไปมั้ย เดี๋ยวกูพาไป”
“ครับ!...” ผมตอบรับด้วยอาการตื่นตระหนก ใจกระตุกหล่นวูบลงตาตุ่มหลังจากได้ฟังอาการที่เกิดขึ้นกับตาล
ผมเดินตามพี่หมอมาเงียบๆ ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อพี่หมอให้จัดการทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผ้าปิดจมูก ลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิดต้องไม่โดนคนไข้ที่อยู่ในห้องนี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
ก้าวขาเข้าห้องก็พบกับคุณพ่อ คุณแม่ของตาลมาเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“สวัสดีครับน้ามะยม น้าเปิล” สองมือพนมโค้งไหว้นิ้วชี้แตะปลายจมูกอย่างนอบน้อม คุณน้ามะยม คุณน้าแอปเปิล คุณพ่อและคุณแม่ของลูกตาล
“จ๊ะลูกเทียน” คุณน้าแอปเปิลตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณน้ามะยมพยักหน้ารับไหว้สายตายังคงมองดูลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม่ห่าง
“พ่อ แม่ ไปพักห้องตัวเล็กก่อน เดี๋ยวทางนี้ปล่อยให้น้องเทียนมาเฝ้าต่อ” พี่หมอพูดขึ้น ดูจากดวงตาที่อิดโรย คงยังไม่มีใครได้นอนดีเท่าไหร่นัก“ฝากด้วยนะลูกเทียน” คุณน้ามะยมพยุงตัวคุณน้าแอปเปิลจูงมือกันค่อยๆ ออกจากห้องไปพร้อมพี่หมอ
เก้าอี้ข้างเตียงว่างลง ผมเขยิบตัวเดินเบาๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้พร้อมน้ำตาที่ล่วงลง เอื้อมมือหนาของตัวเองกอบกุมมือบางขาวซีดที่เจ้าของยังคง
หลับใหล รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ระโยงระยางรอบตัว
“ตาลครับ ตื่นได้แล้ว เทียนมาหาแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล เทียนขอโทษครับคนดี ตื่นมาคุยกับเทียนหน่อยสิครับคนดี เทียนคิดถึงตาล” น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองภาพคนรักนอนสงบไร้การตอบกลับ
จิตใต้สำนึกผมผุดเรื่องที่ผมมารักษาตัวที่นี่หลังจากเอารถไปอัดกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แค่สลับกันที่ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเรียกหา ตาลคงทรมานมากในตอนนั้น เหมือนกับผมตอนนี้มันช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน
น้ำตาที่มียังไหลรินต่อเนื่องเปรอะเปื้อนมือบางจนชุ่ม แต่ไร้ซึ่งวี่แววการตอบสนอง ผมยังคงกุมมือบางไว้หลวมๆ ผละตัวออกพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย
”คุณตาครับ ปาฏิหาริย์ยังมีจริงมั้ยครับ ผมอยากได้เธอคืน ผมรักเธอ หัวใจดวงเดียวของผมมีแค่เธอครับคุณตา ผมสัญญา ผมจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วครับ” ผมเรียกหาคุณตาที่ล่วงลับจากการสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา
นิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อยอยู่ในมือหนาของผม ผมสะดุ้งตัวแรงกำมือบางหลวมๆ เรียกชื่อเธอซ้ำๆ
“ตาล ตาล ตาลครับ ตาล”
“....” ไร้เสียงตอบกลับ แต่เป็นสัมผัสจากมือบางกุมมือผมตอบกลับด้วยแรงเบาบางที่มีอยู่
“ตาล!” น้ำตาที่ยังไม่หดหาย ไหลย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งความดีใจ ตื่นเต้น ไม่รอช้าผมเอื้อมมือกดปุ่มเรียกพยาบาลย้ำๆ
คนแรกที่วิ่งเข้ามาคือพี่หมอตรงมาดูตาลที่ยังคงกุมมือตอบผมย้ำๆ และพยาบาลอีกคนที่เข้ามาตรวจถุงเลือด ถุงน้ำเกลือและอื่นๆ
“ตัวเล็ก!” พี่หมอจัดการตรวจชีพจรมือสั่นเล็กน้อยจากอาการเหนื่อยที่ยังไม่ได้นอน ทั้งยังดีใจที่น้องสาวฟื้นจากการหลับใหลหลังผ่าตัดใหญ่
“ทะ...เทียน พะ...พี่” ตาลพยายามเอ่ยเรียกพวกเราทั้งสองคนด้วยเสียงแหบแห้ง
“เทียนอยู่นี่ครับ // พี่อยู่นี่ตัวเล็ก” รอยยิ้มบางเบาปารากฎบนใบหน้าขาวซีดทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“ฝะ ฝันดีจังเลย” เสียงแหบพร่าบ่นพึมพำ เหมือนยังไม่ได้สติเต็มที่
“ปล่อยให้นอนต่ออีกสักนิดเถอะ พรุ่งนี้ได้ย้ายไปห้องพักเดิม ขอบใจมากมึง ฝากน้องกูด้วยนะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หมอเดินออกไปทำงานต่ออย่างจำใจ
“ฝันดีครับ พรุ่งนี้ตาลต้องตื่นมาคุยกับเทียนนะ เทียนจะอยู่ดูแลตาลเองนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูแผ่วเบา ปล่อยให้คนป่วยได้พักจนกว่าจะถึงเวลาตื่นจริงๆ อีกครั้ง
‘โป้ก!!’
“โอ๊ย!!” ผมเดินเข้าบ้านด้วยอาการใจลอย ชนเข้าประตูกระจกหน้าบ้านอย่างจัง
“โอ๋ ประตูเป็นไงบ้างลูก” <แม่
“เดี๋ยวๆ แม่ ลูกชายสุดหล่ออยู่นี่ ไมโอ๋ประตูอ้า”
“แหม๋ เห็นเดิมลอยมาแต่ไกล ชนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก เรียกสติดีออก” แม่หัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวเกือบโน ได้เรื่องแต่เช้าหัววันเลยเรา
“แม่อ้า~ ” ผมค้อนแม่วงโต ใช้ความน่ารักทั้งหมดที่มีอ้อนแม่ยกใหญ่ หลังจากหายไปจากบ้านหลายวัน
“หายไปไหนมา น้องบอกแค่เราไปทำธุระที่โรงพยาบาล”
“เห้อ...” คำตอบไม่ออกจากปาก แต่ถอนหายใจยาวๆ อย่างไม่ปิดบังว่ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้
ผมเพิ่งกลับมาจากส่งตาลเข้าห้องผ่าตัดเมื่อเช้า วันนี้เป็นวันกำหนดผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาลูคีเมีย โอกาสเพียง 5% มันช่างดูห่างไกลจากคำว่าหายเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“แม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมถามแม่ในขณะที่เดินไปห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน โซฟาใหญ่สีครีมถูกจับจองโดยคุณยาย ทางขวาเป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ ผมกับแม่เดินมาหยุดนั่งโซฟาด้านซ้าย
“ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีจ๊ะ มีอะไรรึเปล่าเทียน”
“คือ...”
หลังจากวันที่ตาลยอมคืนดีกับผม มันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดผ่าตัด ผมเลยตัดสินใจดูแลตาลตลอดเวลาจนถึงกำหนดผ่าตัดในวันนี้ จริงๆ ผมก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าร่างกายตาลจะปฏิเสธการรักษาครั้งนี้เหมือนที่ผ่านๆ ซึ่งมันไม่มีผลอะไรโรคแต่มันมีผลต่อร่างกายตาลค่อนข้างหนัก
“คุณยายครับ ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมหันไปถามคุณยายหลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“ปาฏิหาริย์จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกเชื่อว่ามีนะ ยายเคยได้พบปาฏิหาริย์มาครั้งหนึ่งสมัยสาวๆ” คุณยายเล่าว่า สมัยยังเป็นสาวสวย ช่วงนั้นแต่งงานกันใหม่ๆ คุณตากับคุณยายไปเที่ยวด้วยกันที่บนเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หนทางตรงหน้าเต็มไปด้วยโค้งนับไม่ถ้วน ขาไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงที่หมายอย่างใจหวัง แต่ขากลับไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น คุณตาหลุดโค้งเพราะมีรถตู้เบียดจากถนนเลนขาขึ้น ด้วยความตกใจคุณตาหักหลบกะทันหันทำให้เบรกแตก รถไถลขูดไปกับที่กั้นขอบถนน แต่โชคยังดีที่รถไม่ตกเหว คุณตาอาการสาหัส ส่วนคุณยายหัวแตกเล็กน้อย
คุณตากับคุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าคุณตาไม่อาจไม่รอดเพราะมีแผลใหญ่หลายจุดทำให้เสียเลือดมาก
“ตอนนั้นยายคิดว่าถ้าไม่มีตา ยายจะทำยังไง ตาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของยายในตอนนั้น ฟ้ามันมืดไปหมด ยายร้องไห้จนเป็นลมไปเลย มารู้ตัวอีกทีคุณหมอก็มาบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของยาย คือคุณตาเสียเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน หลังผ่าตัดเสร็จ” คุณยายเล่าต่อว่า หลังจากรับรู้ข่าวร้ายคุณหมออนุญาตให้เข้าไปหาคุณตาได้ คุณยายโผล่เข้ากอดร่างคุณตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด เขย่าร่างกายไร้ลมหายใจแรงๆ น้ำตาไหลเป็นสายแทบขาดใจ เรียกร้องหาทุกสิ่งให้ช่วยดลบันดาลให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็มากพอ คุณยายบอกมาเช่นนั้น
“เทียนรู้มั้ย เกิดอะไรขึ้น... อยู่ๆ เครื่องจับชีพกลับส่งเสียงตามจังหวะการเต้นของหัวใจคุณตาอีกครั้ง ยายนี่รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตาตามหมอด้วยความพร่ามัวสะดุดเก้าอี้ล้มพาดพื้นไปอีกด้วยละ” คุณยายหัวเราะยิ้มเบาบาง
“กำลังใจสำคัญก็จริง แต่คนข้างกายก็สำคัญนะลูก ” คุณยายพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลลงมาบ้าง
“พ่อว่าเทียนอย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”
“ครับพ่อ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ในใจยังครุ่นคิดไม่ตก ที่เหลือผมคงทำได้แค่รอ...
............................................
=7 วันผ่านไป=
ช่วงก่อนหน้านี้มีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าสั่งขนมเข้างานสัมมนาหลายงานติดกัน ทำให้ผมต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านจนวุ่น วันสองวันนี้ก็เพิ่งจะได้ว่าง ผมเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วปมแน่น ใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไร้การติดต่อกลับจากพี่หมอ
“เทียนไปหาเองเลยมั้ยลูก ทำหน้าแบบนี้แม่ละเครียดแทน” แม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการกระทำของผม
“…ครับ” ผมตอบรับอย่างเหม่อลอย สายตาทอดยาวไปทางหน้าบ้าน บ้านตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและตาล
‘Rrrrr~’ แรงสั่นจากโทรศัพท์กระทบโต๊ะกระจกใสตัวเล็กในห้องรับแขกข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่บ่งบอกว่ามีใครบางคนโทรมา
“ครับ” ผมกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ
[สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรจากโรงพยาบาลเอกชน L นะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณศดิธร รึเปล่าคะ]
“เอ่อ...ใช่ครับ มีอะไรหรอครับ?” โรงพยาบาลถึงกับโทรมาเอง ที่บ้านผมทุกคนก็ยังอยู่ดีนี่?
[ค่ะ! ดิฉันจะโทรมาแจ้งว่าคุณหมอปรเนตรรบกวนให้เข้ามาพบในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ]
“อ่า...ขอบคุณครับ เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณปริเนตรเป็นยังไงบ้างครับ”
[ขอโทษด้วยค่ะ คุณหมอปรเนตรให้คุณศดิธรเข้ามาพบก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ]
“งั้นหรอครับ ขอบคุณครับ”
พี่หมอถึงกับให้พยาบาลโทรมานัดสงสัยจะติดงานวุ่นจริงๆ ผมไม่รู้จะสงสารใครดี น้องชายผมที่ติดเรียนแล้วต้องอยู่ห้องโดดเดี่ยวหรือพี่หมอที่อยู่โรงพยาบาลทำงานหนักทั้งยังต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้ผมสงสารตัวเองมากกว่าไม่รู้อาการของตาลจะเป็นไงบ้าง คนรอน้ำตาตกในครับ อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันนัด
สายตายังคงจดจ้องบ้านตรงข้ามที่หลายวันมานี้เงียบแปลกๆ เหมือนไม่มีใครอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว
﹀
นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนเวลา 5.00 น. ยังเช้าอยู่มากก็จริง แต่ผมอยากไปถึงโรงพยาบาลไวๆ ก่อนรถติดมันจะยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสีย ความกังวลตลอดหลายวันที่ผ่านมาเล่นเอาผมนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเหมือนกัน
ผมรีบออกจากบ้านตั้งแต่ 7.00 น. กะให้ถึงโรงพยาบาลสักไม่เกิน 8.30 น. ยังไงโรงพยาบาลเอกชนก็เปิด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะไปเวลาไหนก็เหมือนกัน
............................................
-[โรงพยาบาลเอกชน]-
ลิฟต์ตัวเดิมส่งผมถึงชั้นที่ตาลรักษาตัวอย่างเชื่องช้า นี่ขนาดมาเช้ามากแล้ว คนเข้ามาใช้บริการยังเยอะอยู่ดี ผมรีบพุ่งตัวออกจากฝูงชนในลิฟต์ที่แสนแออัดสำหรับเวลาเช้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พบพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่สองสามคน
“สวัสดีครับ ศดิธรครับ ที่หมอปรเนตรนัดไว้ครับ”
“สวัสดีค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
ผมเดินตามพยาบาลสาวมายังห้องผ่าตัดย่อย พบพี่หมอนั่งพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดย่อย ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ พี่หมอ ดูจากสภาพคงจะยังไม่นอนดี
“พี่หมอครับ ตาลเป็นไงบ้าง” นั้นสิ่งที่ผมอยากรู้อันดับแรก
“อ้าว มาละหรอ โทษที ไม่ว่างโทรไปเลย” พี่หมอสะดุ้งตัวเล็กน้อยตามเสียงเรียก
“ครับ พี่หมอได้นอนยังครับ”
“อืม นิดหน่อย ตาล…” พี่หมอหยุดชะงักไป สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นไปได้ด้วยดี แต่...ยังไม่ฟื้นเลยวะ 1 อาทิตย์แล้ว ตอนนี้อยู่ห้องปลอดเชื้อ ไปมั้ย เดี๋ยวกูพาไป”
“ครับ!...” ผมตอบรับด้วยอาการตื่นตระหนก ใจกระตุกหล่นวูบลงตาตุ่มหลังจากได้ฟังอาการที่เกิดขึ้นกับตาล
ผมเดินตามพี่หมอมาเงียบๆ ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อพี่หมอให้จัดการทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผ้าปิดจมูก ลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิดต้องไม่โดนคนไข้ที่อยู่ในห้องนี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
ก้าวขาเข้าห้องก็พบกับคุณพ่อ คุณแม่ของตาลมาเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“สวัสดีครับน้ามะยม น้าเปิล” สองมือพนมโค้งไหว้นิ้วชี้แตะปลายจมูกอย่างนอบน้อม คุณน้ามะยม คุณน้าแอปเปิล คุณพ่อและคุณแม่ของลูกตาล
“จ๊ะลูกเทียน” คุณน้าแอปเปิลตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณน้ามะยมพยักหน้ารับไหว้สายตายังคงมองดูลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม่ห่าง
“พ่อ แม่ ไปพักห้องตัวเล็กก่อน เดี๋ยวทางนี้ปล่อยให้น้องเทียนมาเฝ้าต่อ” พี่หมอพูดขึ้น ดูจากดวงตาที่อิดโรย คงยังไม่มีใครได้นอนดีเท่าไหร่นัก“ฝากด้วยนะลูกเทียน” คุณน้ามะยมพยุงตัวคุณน้าแอปเปิลจูงมือกันค่อยๆ ออกจากห้องไปพร้อมพี่หมอ
เก้าอี้ข้างเตียงว่างลง ผมเขยิบตัวเดินเบาๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้พร้อมน้ำตาที่ล่วงลง เอื้อมมือหนาของตัวเองกอบกุมมือบางขาวซีดที่เจ้าของยังคง
หลับใหล รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ระโยงระยางรอบตัว
“ตาลครับ ตื่นได้แล้ว เทียนมาหาแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล เทียนขอโทษครับคนดี ตื่นมาคุยกับเทียนหน่อยสิครับคนดี เทียนคิดถึงตาล” น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองภาพคนรักนอนสงบไร้การตอบกลับ
จิตใต้สำนึกผมผุดเรื่องที่ผมมารักษาตัวที่นี่หลังจากเอารถไปอัดกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แค่สลับกันที่ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเรียกหา ตาลคงทรมานมากในตอนนั้น เหมือนกับผมตอนนี้มันช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน
น้ำตาที่มียังไหลรินต่อเนื่องเปรอะเปื้อนมือบางจนชุ่ม แต่ไร้ซึ่งวี่แววการตอบสนอง ผมยังคงกุมมือบางไว้หลวมๆ ผละตัวออกพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย
”คุณตาครับ ปาฏิหาริย์ยังมีจริงมั้ยครับ ผมอยากได้เธอคืน ผมรักเธอ หัวใจดวงเดียวของผมมีแค่เธอครับคุณตา ผมสัญญา ผมจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วครับ” ผมเรียกหาคุณตาที่ล่วงลับจากการสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา
นิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อยอยู่ในมือหนาของผม ผมสะดุ้งตัวแรงกำมือบางหลวมๆ เรียกชื่อเธอซ้ำๆ
“ตาล ตาล ตาลครับ ตาล”
“....” ไร้เสียงตอบกลับ แต่เป็นสัมผัสจากมือบางกุมมือผมตอบกลับด้วยแรงเบาบางที่มีอยู่
“ตาล!” น้ำตาที่ยังไม่หดหาย ไหลย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งความดีใจ ตื่นเต้น ไม่รอช้าผมเอื้อมมือกดปุ่มเรียกพยาบาลย้ำๆ
คนแรกที่วิ่งเข้ามาคือพี่หมอตรงมาดูตาลที่ยังคงกุมมือตอบผมย้ำๆ และพยาบาลอีกคนที่เข้ามาตรวจถุงเลือด ถุงน้ำเกลือและอื่นๆ
“ตัวเล็ก!” พี่หมอจัดการตรวจชีพจรมือสั่นเล็กน้อยจากอาการเหนื่อยที่ยังไม่ได้นอน ทั้งยังดีใจที่น้องสาวฟื้นจากการหลับใหลหลังผ่าตัดใหญ่
“ทะ...เทียน พะ...พี่” ตาลพยายามเอ่ยเรียกพวกเราทั้งสองคนด้วยเสียงแหบแห้ง
“เทียนอยู่นี่ครับ // พี่อยู่นี่ตัวเล็ก” รอยยิ้มบางเบาปารากฎบนใบหน้าขาวซีดทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“ฝะ ฝันดีจังเลย” เสียงแหบพร่าบ่นพึมพำ เหมือนยังไม่ได้สติเต็มที่
“ปล่อยให้นอนต่ออีกสักนิดเถอะ พรุ่งนี้ได้ย้ายไปห้องพักเดิม ขอบใจมากมึง ฝากน้องกูด้วยนะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หมอเดินออกไปทำงานต่ออย่างจำใจ
“ฝันดีครับ พรุ่งนี้ตาลต้องตื่นมาคุยกับเทียนนะ เทียนจะอยู่ดูแลตาลเองนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูแผ่วเบา ปล่อยให้คนป่วยได้พักจนกว่าจะถึงเวลาตื่นจริงๆ อีกครั้ง
‘โป้ก!!’
“โอ๊ย!!” ผมเดินเข้าบ้านด้วยอาการใจลอย ชนเข้าประตูกระจกหน้าบ้านอย่างจัง
“โอ๋ ประตูเป็นไงบ้างลูก” <แม่
“เดี๋ยวๆ แม่ ลูกชายสุดหล่ออยู่นี่ ไมโอ๋ประตูอ้า”
“แหม๋ เห็นเดิมลอยมาแต่ไกล ชนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก เรียกสติดีออก” แม่หัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวเกือบโน ได้เรื่องแต่เช้าหัววันเลยเรา
“แม่อ้า~ ” ผมค้อนแม่วงโต ใช้ความน่ารักทั้งหมดที่มีอ้อนแม่ยกใหญ่ หลังจากหายไปจากบ้านหลายวัน
“หายไปไหนมา น้องบอกแค่เราไปทำธุระที่โรงพยาบาล”
“เห้อ...” คำตอบไม่ออกจากปาก แต่ถอนหายใจยาวๆ อย่างไม่ปิดบังว่ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้
ผมเพิ่งกลับมาจากส่งตาลเข้าห้องผ่าตัดเมื่อเช้า วันนี้เป็นวันกำหนดผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาลูคีเมีย โอกาสเพียง 5% มันช่างดูห่างไกลจากคำว่าหายเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
“แม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมถามแม่ในขณะที่เดินไปห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน โซฟาใหญ่สีครีมถูกจับจองโดยคุณยาย ทางขวาเป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ ผมกับแม่เดินมาหยุดนั่งโซฟาด้านซ้าย
“ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีจ๊ะ มีอะไรรึเปล่าเทียน”
“คือ...”
หลังจากวันที่ตาลยอมคืนดีกับผม มันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดผ่าตัด ผมเลยตัดสินใจดูแลตาลตลอดเวลาจนถึงกำหนดผ่าตัดในวันนี้ จริงๆ ผมก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าร่างกายตาลจะปฏิเสธการรักษาครั้งนี้เหมือนที่ผ่านๆ ซึ่งมันไม่มีผลอะไรโรคแต่มันมีผลต่อร่างกายตาลค่อนข้างหนัก
“คุณยายครับ ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมหันไปถามคุณยายหลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง
“ปาฏิหาริย์จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกเชื่อว่ามีนะ ยายเคยได้พบปาฏิหาริย์มาครั้งหนึ่งสมัยสาวๆ” คุณยายเล่าว่า สมัยยังเป็นสาวสวย ช่วงนั้นแต่งงานกันใหม่ๆ คุณตากับคุณยายไปเที่ยวด้วยกันที่บนเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หนทางตรงหน้าเต็มไปด้วยโค้งนับไม่ถ้วน ขาไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงที่หมายอย่างใจหวัง แต่ขากลับไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น คุณตาหลุดโค้งเพราะมีรถตู้เบียดจากถนนเลนขาขึ้น ด้วยความตกใจคุณตาหักหลบกะทันหันทำให้เบรกแตก รถไถลขูดไปกับที่กั้นขอบถนน แต่โชคยังดีที่รถไม่ตกเหว คุณตาอาการสาหัส ส่วนคุณยายหัวแตกเล็กน้อย
คุณตากับคุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าคุณตาไม่อาจไม่รอดเพราะมีแผลใหญ่หลายจุดทำให้เสียเลือดมาก
“ตอนนั้นยายคิดว่าถ้าไม่มีตา ยายจะทำยังไง ตาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของยายในตอนนั้น ฟ้ามันมืดไปหมด ยายร้องไห้จนเป็นลมไปเลย มารู้ตัวอีกทีคุณหมอก็มาบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของยาย คือคุณตาเสียเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน หลังผ่าตัดเสร็จ” คุณยายเล่าต่อว่า หลังจากรับรู้ข่าวร้ายคุณหมออนุญาตให้เข้าไปหาคุณตาได้ คุณยายโผล่เข้ากอดร่างคุณตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด เขย่าร่างกายไร้ลมหายใจแรงๆ น้ำตาไหลเป็นสายแทบขาดใจ เรียกร้องหาทุกสิ่งให้ช่วยดลบันดาลให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็มากพอ คุณยายบอกมาเช่นนั้น
“เทียนรู้มั้ย เกิดอะไรขึ้น... อยู่ๆ เครื่องจับชีพกลับส่งเสียงตามจังหวะการเต้นของหัวใจคุณตาอีกครั้ง ยายนี่รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตาตามหมอด้วยความพร่ามัวสะดุดเก้าอี้ล้มพาดพื้นไปอีกด้วยละ” คุณยายหัวเราะยิ้มเบาบาง
“กำลังใจสำคัญก็จริง แต่คนข้างกายก็สำคัญนะลูก ” คุณยายพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลลงมาบ้าง
“พ่อว่าเทียนอย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”
“ครับพ่อ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ในใจยังครุ่นคิดไม่ตก ที่เหลือผมคงทำได้แค่รอ...
............................................
=7 วันผ่านไป=
ช่วงก่อนหน้านี้มีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าสั่งขนมเข้างานสัมมนาหลายงานติดกัน ทำให้ผมต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านจนวุ่น วันสองวันนี้ก็เพิ่งจะได้ว่าง ผมเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วปมแน่น ใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไร้การติดต่อกลับจากพี่หมอ
“เทียนไปหาเองเลยมั้ยลูก ทำหน้าแบบนี้แม่ละเครียดแทน” แม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการกระทำของผม
“…ครับ” ผมตอบรับอย่างเหม่อลอย สายตาทอดยาวไปทางหน้าบ้าน บ้านตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและตาล
‘Rrrrr~’ แรงสั่นจากโทรศัพท์กระทบโต๊ะกระจกใสตัวเล็กในห้องรับแขกข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่บ่งบอกว่ามีใครบางคนโทรมา
“ครับ” ผมกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ
[สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรจากโรงพยาบาลเอกชน L นะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณศดิธร รึเปล่าคะ]
“เอ่อ...ใช่ครับ มีอะไรหรอครับ?” โรงพยาบาลถึงกับโทรมาเอง ที่บ้านผมทุกคนก็ยังอยู่ดีนี่?
[ค่ะ! ดิฉันจะโทรมาแจ้งว่าคุณหมอปรเนตรรบกวนให้เข้ามาพบในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ]
“อ่า...ขอบคุณครับ เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณปริเนตรเป็นยังไงบ้างครับ”
[ขอโทษด้วยค่ะ คุณหมอปรเนตรให้คุณศดิธรเข้ามาพบก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ]
“งั้นหรอครับ ขอบคุณครับ”
พี่หมอถึงกับให้พยาบาลโทรมานัดสงสัยจะติดงานวุ่นจริงๆ ผมไม่รู้จะสงสารใครดี น้องชายผมที่ติดเรียนแล้วต้องอยู่ห้องโดดเดี่ยวหรือพี่หมอที่อยู่โรงพยาบาลทำงานหนักทั้งยังต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้ผมสงสารตัวเองมากกว่าไม่รู้อาการของตาลจะเป็นไงบ้าง คนรอน้ำตาตกในครับ อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันนัด
สายตายังคงจดจ้องบ้านตรงข้ามที่หลายวันมานี้เงียบแปลกๆ เหมือนไม่มีใครอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว
﹀
นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนเวลา 5.00 น. ยังเช้าอยู่มากก็จริง แต่ผมอยากไปถึงโรงพยาบาลไวๆ ก่อนรถติดมันจะยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสีย ความกังวลตลอดหลายวันที่ผ่านมาเล่นเอาผมนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเหมือนกัน
ผมรีบออกจากบ้านตั้งแต่ 7.00 น. กะให้ถึงโรงพยาบาลสักไม่เกิน 8.30 น. ยังไงโรงพยาบาลเอกชนก็เปิด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะไปเวลาไหนก็เหมือนกัน
............................................
-[โรงพยาบาลเอกชน]-
ลิฟต์ตัวเดิมส่งผมถึงชั้นที่ตาลรักษาตัวอย่างเชื่องช้า นี่ขนาดมาเช้ามากแล้ว คนเข้ามาใช้บริการยังเยอะอยู่ดี ผมรีบพุ่งตัวออกจากฝูงชนในลิฟต์ที่แสนแออัดสำหรับเวลาเช้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พบพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่สองสามคน
“สวัสดีครับ ศดิธรครับ ที่หมอปรเนตรนัดไว้ครับ”
“สวัสดีค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”
ผมเดินตามพยาบาลสาวมายังห้องผ่าตัดย่อย พบพี่หมอนั่งพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดย่อย ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ พี่หมอ ดูจากสภาพคงจะยังไม่นอนดี
“พี่หมอครับ ตาลเป็นไงบ้าง” นั้นสิ่งที่ผมอยากรู้อันดับแรก
“อ้าว มาละหรอ โทษที ไม่ว่างโทรไปเลย” พี่หมอสะดุ้งตัวเล็กน้อยตามเสียงเรียก
“ครับ พี่หมอได้นอนยังครับ”
“อืม นิดหน่อย ตาล…” พี่หมอหยุดชะงักไป สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นไปได้ด้วยดี แต่...ยังไม่ฟื้นเลยวะ 1 อาทิตย์แล้ว ตอนนี้อยู่ห้องปลอดเชื้อ ไปมั้ย เดี๋ยวกูพาไป”
“ครับ!...” ผมตอบรับด้วยอาการตื่นตระหนก ใจกระตุกหล่นวูบลงตาตุ่มหลังจากได้ฟังอาการที่เกิดขึ้นกับตาล
ผมเดินตามพี่หมอมาเงียบๆ ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อพี่หมอให้จัดการทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผ้าปิดจมูก ลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิดต้องไม่โดนคนไข้ที่อยู่ในห้องนี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
ก้าวขาเข้าห้องก็พบกับคุณพ่อ คุณแม่ของตาลมาเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“สวัสดีครับน้ามะยม น้าเปิล” สองมือพนมโค้งไหว้นิ้วชี้แตะปลายจมูกอย่างนอบน้อม คุณน้ามะยม คุณน้าแอปเปิล คุณพ่อและคุณแม่ของลูกตาล
“จ๊ะลูกเทียน” คุณน้าแอปเปิลตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณน้ามะยมพยักหน้ารับไหว้สายตายังคงมองดูลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม่ห่าง
“พ่อ แม่ ไปพักห้องตัวเล็กก่อน เดี๋ยวทางนี้ปล่อยให้น้องเทียนมาเฝ้าต่อ” พี่หมอพูดขึ้น ดูจากดวงตาที่อิดโรย คงยังไม่มีใครได้นอนดีเท่าไหร่นัก“ฝากด้วยนะลูกเทียน” คุณน้ามะยมพยุงตัวคุณน้าแอปเปิลจูงมือกันค่อยๆ ออกจากห้องไปพร้อมพี่หมอ
เก้าอี้ข้างเตียงว่างลง ผมเขยิบตัวเดินเบาๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้พร้อมน้ำตาที่ล่วงลง เอื้อมมือหนาของตัวเองกอบกุมมือบางขาวซีดที่เจ้าของยังคง
หลับใหล รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ระโยงระยางรอบตัว
“ตาลครับ ตื่นได้แล้ว เทียนมาหาแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล เทียนขอโทษครับคนดี ตื่นมาคุยกับเทียนหน่อยสิครับคนดี เทียนคิดถึงตาล” น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองภาพคนรักนอนสงบไร้การตอบกลับ
จิตใต้สำนึกผมผุดเรื่องที่ผมมารักษาตัวที่นี่หลังจากเอารถไปอัดกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แค่สลับกันที่ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเรียกหา ตาลคงทรมานมากในตอนนั้น เหมือนกับผมตอนนี้มันช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน
น้ำตาที่มียังไหลรินต่อเนื่องเปรอะเปื้อนมือบางจนชุ่ม แต่ไร้ซึ่งวี่แววการตอบสนอง ผมยังคงกุมมือบางไว้หลวมๆ ผละตัวออกพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย
”คุณตาครับ ปาฏิหาริย์ยังมีจริงมั้ยครับ ผมอยากได้เธอคืน ผมรักเธอ หัวใจดวงเดียวของผมมีแค่เธอครับคุณตา ผมสัญญา ผมจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วครับ” ผมเรียกหาคุณตาที่ล่วงลับจากการสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา
นิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อยอยู่ในมือหนาของผม ผมสะดุ้งตัวแรงกำมือบางหลวมๆ เรียกชื่อเธอซ้ำๆ
“ตาล ตาล ตาลครับ ตาล”
“....” ไร้เสียงตอบกลับ แต่เป็นสัมผัสจากมือบางกุมมือผมตอบกลับด้วยแรงเบาบางที่มีอยู่
“ตาล!” น้ำตาที่ยังไม่หดหาย ไหลย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งความดีใจ ตื่นเต้น ไม่รอช้าผมเอื้อมมือกดปุ่มเรียกพยาบาลย้ำๆ
คนแรกที่วิ่งเข้ามาคือพี่หมอตรงมาดูตาลที่ยังคงกุมมือตอบผมย้ำๆ และพยาบาลอีกคนที่เข้ามาตรวจถุงเลือด ถุงน้ำเกลือและอื่นๆ
“ตัวเล็ก!” พี่หมอจัดการตรวจชีพจรมือสั่นเล็กน้อยจากอาการเหนื่อยที่ยังไม่ได้นอน ทั้งยังดีใจที่น้องสาวฟื้นจากการหลับใหลหลังผ่าตัดใหญ่
“ทะ...เทียน พะ...พี่” ตาลพยายามเอ่ยเรียกพวกเราทั้งสองคนด้วยเสียงแหบแห้ง
“เทียนอยู่นี่ครับ // พี่อยู่นี่ตัวเล็ก” รอยยิ้มบางเบาปารากฎบนใบหน้าขาวซีดทั้งที่ยังไม่ลืมตา
“ฝะ ฝันดีจังเลย” เสียงแหบพร่าบ่นพึมพำ เหมือนยังไม่ได้สติเต็มที่
“ปล่อยให้นอนต่ออีกสักนิดเถอะ พรุ่งนี้ได้ย้ายไปห้องพักเดิม ขอบใจมากมึง ฝากน้องกูด้วยนะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หมอเดินออกไปทำงานต่ออย่างจำใจ
“ฝันดีครับ พรุ่งนี้ตาลต้องตื่นมาคุยกับเทียนนะ เทียนจะอยู่ดูแลตาลเองนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูแผ่วเบา ปล่อยให้คนป่วยได้พักจนกว่าจะถึงเวลาตื่นจริงๆ อีกครั้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ