Wish you were here : อยู่กับผมนะที่รัก

-

เขียนโดย chivaru

วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 07.50 น.

  21 ตอน
  3 วิจารณ์
  19.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561 11.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) เหตุผลที่ 16 ปาฏิหาริย์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เหตุผลที่ 16 ปาฏิหาริย์

 

  ‘โป้ก!!’

  “โอ๊ย!!” ผมเดินเข้าบ้านด้วยอาการใจลอย ชนเข้าประตูกระจกหน้าบ้านอย่างจัง

 “โอ๋ ประตูเป็นไงบ้างลูก” <แม่

  “เดี๋ยวๆ แม่ ลูกชายสุดหล่ออยู่นี่ ไมโอ๋ประตูอ้า”

 “แหม๋ เห็นเดิมลอยมาแต่ไกล ชนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก เรียกสติดีออก” แม่หัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวเกือบโน ได้เรื่องแต่เช้าหัววันเลยเรา

“แม่อ้า~ ” ผมค้อนแม่วงโต ใช้ความน่ารักทั้งหมดที่มีอ้อนแม่ยกใหญ่ หลังจากหายไปจากบ้านหลายวัน

“หายไปไหนมา น้องบอกแค่เราไปทำธุระที่โรงพยาบาล”

“เห้อ...” คำตอบไม่ออกจากปาก แต่ถอนหายใจยาวๆ อย่างไม่ปิดบังว่ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้

ผมเพิ่งกลับมาจากส่งตาลเข้าห้องผ่าตัดเมื่อเช้า วันนี้เป็นวันกำหนดผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาลูคีเมีย โอกาสเพียง 5% มันช่างดูห่างไกลจากคำว่าหายเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

“แม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมถามแม่ในขณะที่เดินไปห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน โซฟาใหญ่สีครีมถูกจับจองโดยคุณยาย ทางขวาเป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ ผมกับแม่เดินมาหยุดนั่งโซฟาด้านซ้าย

“ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีจ๊ะ มีอะไรรึเปล่าเทียน”

“คือ...”

หลังจากวันที่ตาลยอมคืนดีกับผม มันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดผ่าตัด ผมเลยตัดสินใจดูแลตาลตลอดเวลาจนถึงกำหนดผ่าตัดในวันนี้ จริงๆ ผมก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าร่างกายตาลจะปฏิเสธการรักษาครั้งนี้เหมือนที่ผ่านๆ ซึ่งมันไม่มีผลอะไรโรคแต่มันมีผลต่อร่างกายตาลค่อนข้างหนัก

“คุณยายครับ ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมหันไปถามคุณยายหลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง

“ปาฏิหาริย์จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกเชื่อว่ามีนะ ยายเคยได้พบปาฏิหาริย์มาครั้งหนึ่งสมัยสาวๆ” คุณยายเล่าว่า สมัยยังเป็นสาวสวย ช่วงนั้นแต่งงานกันใหม่ๆ คุณตากับคุณยายไปเที่ยวด้วยกันที่บนเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หนทางตรงหน้าเต็มไปด้วยโค้งนับไม่ถ้วน ขาไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงที่หมายอย่างใจหวัง แต่ขากลับไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น คุณตาหลุดโค้งเพราะมีรถตู้เบียดจากถนนเลนขาขึ้น ด้วยความตกใจคุณตาหักหลบกะทันหันทำให้เบรกแตก รถไถลขูดไปกับที่กั้นขอบถนน แต่โชคยังดีที่รถไม่ตกเหว คุณตาอาการสาหัส ส่วนคุณยายหัวแตกเล็กน้อย

คุณตากับคุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าคุณตาไม่อาจไม่รอดเพราะมีแผลใหญ่หลายจุดทำให้เสียเลือดมาก

“ตอนนั้นยายคิดว่าถ้าไม่มีตา ยายจะทำยังไง ตาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของยายในตอนนั้น ฟ้ามันมืดไปหมด ยายร้องไห้จนเป็นลมไปเลย มารู้ตัวอีกทีคุณหมอก็มาบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของยาย คือคุณตาเสียเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน หลังผ่าตัดเสร็จ” คุณยายเล่าต่อว่า หลังจากรับรู้ข่าวร้ายคุณหมออนุญาตให้เข้าไปหาคุณตาได้ คุณยายโผล่เข้ากอดร่างคุณตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด เขย่าร่างกายไร้ลมหายใจแรงๆ น้ำตาไหลเป็นสายแทบขาดใจ เรียกร้องหาทุกสิ่งให้ช่วยดลบันดาลให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็มากพอ คุณยายบอกมาเช่นนั้น

“เทียนรู้มั้ย เกิดอะไรขึ้น... อยู่ๆ เครื่องจับชีพกลับส่งเสียงตามจังหวะการเต้นของหัวใจคุณตาอีกครั้ง ยายนี่รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตาตามหมอด้วยความพร่ามัวสะดุดเก้าอี้ล้มพาดพื้นไปอีกด้วยละ” คุณยายหัวเราะยิ้มเบาบาง  

“กำลังใจสำคัญก็จริง แต่คนข้างกายก็สำคัญนะลูก ” คุณยายพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลลงมาบ้าง

“พ่อว่าเทียนอย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”

“ครับพ่อ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ในใจยังครุ่นคิดไม่ตก ที่เหลือผมคงทำได้แค่รอ...

............................................

 

 

=7 วันผ่านไป=

 

                ช่วงก่อนหน้านี้มีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าสั่งขนมเข้างานสัมมนาหลายงานติดกัน ทำให้ผมต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านจนวุ่น วันสองวันนี้ก็เพิ่งจะได้ว่าง ผมเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วปมแน่น ใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไร้การติดต่อกลับจากพี่หมอ

“เทียนไปหาเองเลยมั้ยลูก ทำหน้าแบบนี้แม่ละเครียดแทน” แม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการกระทำของผม

“…ครับ” ผมตอบรับอย่างเหม่อลอย สายตาทอดยาวไปทางหน้าบ้าน บ้านตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและตาล

‘Rrrrr~’ แรงสั่นจากโทรศัพท์กระทบโต๊ะกระจกใสตัวเล็กในห้องรับแขกข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่บ่งบอกว่ามีใครบางคนโทรมา

“ครับ” ผมกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ

[สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรจากโรงพยาบาลเอกชน L นะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณศดิธร รึเปล่าคะ]

“เอ่อ...ใช่ครับ มีอะไรหรอครับ?” โรงพยาบาลถึงกับโทรมาเอง ที่บ้านผมทุกคนก็ยังอยู่ดีนี่?

[ค่ะ! ดิฉันจะโทรมาแจ้งว่าคุณหมอปรเนตรรบกวนให้เข้ามาพบในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ]

“อ่า...ขอบคุณครับ เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณปริเนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

[ขอโทษด้วยค่ะ คุณหมอปรเนตรให้คุณศดิธรเข้ามาพบก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ]

“งั้นหรอครับ ขอบคุณครับ”

พี่หมอถึงกับให้พยาบาลโทรมานัดสงสัยจะติดงานวุ่นจริงๆ ผมไม่รู้จะสงสารใครดี น้องชายผมที่ติดเรียนแล้วต้องอยู่ห้องโดดเดี่ยวหรือพี่หมอที่อยู่โรงพยาบาลทำงานหนักทั้งยังต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้ผมสงสารตัวเองมากกว่าไม่รู้อาการของตาลจะเป็นไงบ้าง คนรอน้ำตาตกในครับ อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันนัด

สายตายังคงจดจ้องบ้านตรงข้ามที่หลายวันมานี้เงียบแปลกๆ เหมือนไม่มีใครอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว

 

 

นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนเวลา 5.00 น. ยังเช้าอยู่มากก็จริง แต่ผมอยากไปถึงโรงพยาบาลไวๆ ก่อนรถติดมันจะยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสีย ความกังวลตลอดหลายวันที่ผ่านมาเล่นเอาผมนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเหมือนกัน

ผมรีบออกจากบ้านตั้งแต่ 7.00 น. กะให้ถึงโรงพยาบาลสักไม่เกิน 8.30 น. ยังไงโรงพยาบาลเอกชนก็เปิด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะไปเวลาไหนก็เหมือนกัน 

 

............................................

 

 

-[โรงพยาบาลเอกชน]-

 

ลิฟต์ตัวเดิมส่งผมถึงชั้นที่ตาลรักษาตัวอย่างเชื่องช้า นี่ขนาดมาเช้ามากแล้ว คนเข้ามาใช้บริการยังเยอะอยู่ดี ผมรีบพุ่งตัวออกจากฝูงชนในลิฟต์ที่แสนแออัดสำหรับเวลาเช้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พบพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่สองสามคน

“สวัสดีครับ ศดิธรครับ ที่หมอปรเนตรนัดไว้ครับ”

 “สวัสดีค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”

ผมเดินตามพยาบาลสาวมายังห้องผ่าตัดย่อย พบพี่หมอนั่งพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดย่อย ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ พี่หมอ ดูจากสภาพคงจะยังไม่นอนดี

“พี่หมอครับ ตาลเป็นไงบ้าง” นั้นสิ่งที่ผมอยากรู้อันดับแรก

“อ้าว มาละหรอ โทษที ไม่ว่างโทรไปเลย” พี่หมอสะดุ้งตัวเล็กน้อยตามเสียงเรียก

“ครับ พี่หมอได้นอนยังครับ”

“อืม นิดหน่อย ตาล…” พี่หมอหยุดชะงักไป สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นไปได้ด้วยดี แต่...ยังไม่ฟื้นเลยวะ 1 อาทิตย์แล้ว ตอนนี้อยู่ห้องปลอดเชื้อ ไปมั้ย เดี๋ยวกูพาไป”

“ครับ!...” ผมตอบรับด้วยอาการตื่นตระหนก ใจกระตุกหล่นวูบลงตาตุ่มหลังจากได้ฟังอาการที่เกิดขึ้นกับตาล

ผมเดินตามพี่หมอมาเงียบๆ ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อพี่หมอให้จัดการทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผ้าปิดจมูก ลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิดต้องไม่โดนคนไข้ที่อยู่ในห้องนี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้

ก้าวขาเข้าห้องก็พบกับคุณพ่อ คุณแม่ของตาลมาเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว

“สวัสดีครับน้ามะยม น้าเปิล” สองมือพนมโค้งไหว้นิ้วชี้แตะปลายจมูกอย่างนอบน้อม คุณน้ามะยม คุณน้าแอปเปิล คุณพ่อและคุณแม่ของลูกตาล

“จ๊ะลูกเทียน” คุณน้าแอปเปิลตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณน้ามะยมพยักหน้ารับไหว้สายตายังคงมองดูลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม่ห่าง

“พ่อ แม่ ไปพักห้องตัวเล็กก่อน เดี๋ยวทางนี้ปล่อยให้น้องเทียนมาเฝ้าต่อ” พี่หมอพูดขึ้น ดูจากดวงตาที่อิดโรย คงยังไม่มีใครได้นอนดีเท่าไหร่นัก“ฝากด้วยนะลูกเทียน” คุณน้ามะยมพยุงตัวคุณน้าแอปเปิลจูงมือกันค่อยๆ ออกจากห้องไปพร้อมพี่หมอ

เก้าอี้ข้างเตียงว่างลง ผมเขยิบตัวเดินเบาๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้พร้อมน้ำตาที่ล่วงลง เอื้อมมือหนาของตัวเองกอบกุมมือบางขาวซีดที่เจ้าของยังคง

หลับใหล รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ระโยงระยางรอบตัว

“ตาลครับ ตื่นได้แล้ว เทียนมาหาแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล เทียนขอโทษครับคนดี ตื่นมาคุยกับเทียนหน่อยสิครับคนดี เทียนคิดถึงตาล” น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองภาพคนรักนอนสงบไร้การตอบกลับ

จิตใต้สำนึกผมผุดเรื่องที่ผมมารักษาตัวที่นี่หลังจากเอารถไปอัดกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แค่สลับกันที่ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเรียกหา ตาลคงทรมานมากในตอนนั้น เหมือนกับผมตอนนี้มันช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน

น้ำตาที่มียังไหลรินต่อเนื่องเปรอะเปื้อนมือบางจนชุ่ม แต่ไร้ซึ่งวี่แววการตอบสนอง ผมยังคงกุมมือบางไว้หลวมๆ ผละตัวออกพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย

”คุณตาครับ ปาฏิหาริย์ยังมีจริงมั้ยครับ ผมอยากได้เธอคืน ผมรักเธอ หัวใจดวงเดียวของผมมีแค่เธอครับคุณตา ผมสัญญา ผมจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วครับ” ผมเรียกหาคุณตาที่ล่วงลับจากการสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา 

นิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อยอยู่ในมือหนาของผม ผมสะดุ้งตัวแรงกำมือบางหลวมๆ เรียกชื่อเธอซ้ำๆ

“ตาล ตาล ตาลครับ ตาล”

“....” ไร้เสียงตอบกลับ แต่เป็นสัมผัสจากมือบางกุมมือผมตอบกลับด้วยแรงเบาบางที่มีอยู่

“ตาล!” น้ำตาที่ยังไม่หดหาย ไหลย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งความดีใจ ตื่นเต้น ไม่รอช้าผมเอื้อมมือกดปุ่มเรียกพยาบาลย้ำๆ

คนแรกที่วิ่งเข้ามาคือพี่หมอตรงมาดูตาลที่ยังคงกุมมือตอบผมย้ำๆ  และพยาบาลอีกคนที่เข้ามาตรวจถุงเลือด ถุงน้ำเกลือและอื่นๆ

“ตัวเล็ก!” พี่หมอจัดการตรวจชีพจรมือสั่นเล็กน้อยจากอาการเหนื่อยที่ยังไม่ได้นอน ทั้งยังดีใจที่น้องสาวฟื้นจากการหลับใหลหลังผ่าตัดใหญ่

“ทะ...เทียน พะ...พี่” ตาลพยายามเอ่ยเรียกพวกเราทั้งสองคนด้วยเสียงแหบแห้ง

“เทียนอยู่นี่ครับ // พี่อยู่นี่ตัวเล็ก” รอยยิ้มบางเบาปารากฎบนใบหน้าขาวซีดทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“ฝะ ฝันดีจังเลย” เสียงแหบพร่าบ่นพึมพำ เหมือนยังไม่ได้สติเต็มที่

“ปล่อยให้นอนต่ออีกสักนิดเถอะ พรุ่งนี้ได้ย้ายไปห้องพักเดิม ขอบใจมากมึง ฝากน้องกูด้วยนะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หมอเดินออกไปทำงานต่ออย่างจำใจ

“ฝันดีครับ พรุ่งนี้ตาลต้องตื่นมาคุยกับเทียนนะ เทียนจะอยู่ดูแลตาลเองนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูแผ่วเบา ปล่อยให้คนป่วยได้พักจนกว่าจะถึงเวลาตื่นจริงๆ อีกครั้ง

  ‘โป้ก!!’

  “โอ๊ย!!” ผมเดินเข้าบ้านด้วยอาการใจลอย ชนเข้าประตูกระจกหน้าบ้านอย่างจัง

 “โอ๋ ประตูเป็นไงบ้างลูก” <แม่

  “เดี๋ยวๆ แม่ ลูกชายสุดหล่ออยู่นี่ ไมโอ๋ประตูอ้า”

 “แหม๋ เห็นเดิมลอยมาแต่ไกล ชนแค่นี้ไม่เจ็บหรอก เรียกสติดีออก” แม่หัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวเกือบโน ได้เรื่องแต่เช้าหัววันเลยเรา

“แม่อ้า~ ” ผมค้อนแม่วงโต ใช้ความน่ารักทั้งหมดที่มีอ้อนแม่ยกใหญ่ หลังจากหายไปจากบ้านหลายวัน

“หายไปไหนมา น้องบอกแค่เราไปทำธุระที่โรงพยาบาล”

“เห้อ...” คำตอบไม่ออกจากปาก แต่ถอนหายใจยาวๆ อย่างไม่ปิดบังว่ามีเรื่องทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้

ผมเพิ่งกลับมาจากส่งตาลเข้าห้องผ่าตัดเมื่อเช้า วันนี้เป็นวันกำหนดผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกรักษาลูคีเมีย โอกาสเพียง 5% มันช่างดูห่างไกลจากคำว่าหายเหลือเกิน แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

“แม่ว่าปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมถามแม่ในขณะที่เดินไปห้องนั่งเล่นใจกลางบ้าน โซฟาใหญ่สีครีมถูกจับจองโดยคุณยาย ทางขวาเป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ ผมกับแม่เดินมาหยุดนั่งโซฟาด้านซ้าย

“ถ้าเราเชื่อว่ามี มันก็จะมีจ๊ะ มีอะไรรึเปล่าเทียน”

“คือ...”

หลังจากวันที่ตาลยอมคืนดีกับผม มันก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงกำหนดผ่าตัด ผมเลยตัดสินใจดูแลตาลตลอดเวลาจนถึงกำหนดผ่าตัดในวันนี้ จริงๆ ผมก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าร่างกายตาลจะปฏิเสธการรักษาครั้งนี้เหมือนที่ผ่านๆ ซึ่งมันไม่มีผลอะไรโรคแต่มันมีผลต่อร่างกายตาลค่อนข้างหนัก

“คุณยายครับ ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยครับ” ผมหันไปถามคุณยายหลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง

“ปาฏิหาริย์จะเกิดก็ต่อเมื่อลูกเชื่อว่ามีนะ ยายเคยได้พบปาฏิหาริย์มาครั้งหนึ่งสมัยสาวๆ” คุณยายเล่าว่า สมัยยังเป็นสาวสวย ช่วงนั้นแต่งงานกันใหม่ๆ คุณตากับคุณยายไปเที่ยวด้วยกันที่บนเขาแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ หนทางตรงหน้าเต็มไปด้วยโค้งนับไม่ถ้วน ขาไปยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงที่หมายอย่างใจหวัง แต่ขากลับไม่เป็นไปตามที่อยากให้เป็น คุณตาหลุดโค้งเพราะมีรถตู้เบียดจากถนนเลนขาขึ้น ด้วยความตกใจคุณตาหักหลบกะทันหันทำให้เบรกแตก รถไถลขูดไปกับที่กั้นขอบถนน แต่โชคยังดีที่รถไม่ตกเหว คุณตาอาการสาหัส ส่วนคุณยายหัวแตกเล็กน้อย

คุณตากับคุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใกล้ที่ใกล้ที่สุด คุณหมอบอกว่าคุณตาไม่อาจไม่รอดเพราะมีแผลใหญ่หลายจุดทำให้เสียเลือดมาก

“ตอนนั้นยายคิดว่าถ้าไม่มีตา ยายจะทำยังไง ตาเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของยายในตอนนั้น ฟ้ามันมืดไปหมด ยายร้องไห้จนเป็นลมไปเลย มารู้ตัวอีกทีคุณหมอก็มาบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของยาย คือคุณตาเสียเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน หลังผ่าตัดเสร็จ” คุณยายเล่าต่อว่า หลังจากรับรู้ข่าวร้ายคุณหมออนุญาตให้เข้าไปหาคุณตาได้ คุณยายโผล่เข้ากอดร่างคุณตาที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด เขย่าร่างกายไร้ลมหายใจแรงๆ น้ำตาไหลเป็นสายแทบขาดใจ เรียกร้องหาทุกสิ่งให้ช่วยดลบันดาลให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสักครั้ง แค่ครั้งเดียวก็มากพอ คุณยายบอกมาเช่นนั้น

“เทียนรู้มั้ย เกิดอะไรขึ้น... อยู่ๆ เครื่องจับชีพกลับส่งเสียงตามจังหวะการเต้นของหัวใจคุณตาอีกครั้ง ยายนี่รีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตาตามหมอด้วยความพร่ามัวสะดุดเก้าอี้ล้มพาดพื้นไปอีกด้วยละ” คุณยายหัวเราะยิ้มเบาบาง  

“กำลังใจสำคัญก็จริง แต่คนข้างกายก็สำคัญนะลูก ” คุณยายพูดไปยิ้มไป ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลลงมาบ้าง

“พ่อว่าเทียนอย่าคิดมากเลยเดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง”

“ครับพ่อ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแต่ในใจยังครุ่นคิดไม่ตก ที่เหลือผมคงทำได้แค่รอ...

............................................

 

 

=7 วันผ่านไป=

 

                ช่วงก่อนหน้านี้มีงานด่วนเข้ามา ลูกค้าสั่งขนมเข้างานสัมมนาหลายงานติดกัน ทำให้ผมต้องอยู่ช่วยงานที่บ้านจนวุ่น วันสองวันนี้ก็เพิ่งจะได้ว่าง ผมเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วปมแน่น ใจผมเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไร้การติดต่อกลับจากพี่หมอ

“เทียนไปหาเองเลยมั้ยลูก ทำหน้าแบบนี้แม่ละเครียดแทน” แม่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับการกระทำของผม

“…ครับ” ผมตอบรับอย่างเหม่อลอย สายตาทอดยาวไปทางหน้าบ้าน บ้านตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและตาล

‘Rrrrr~’ แรงสั่นจากโทรศัพท์กระทบโต๊ะกระจกใสตัวเล็กในห้องรับแขกข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่บ่งบอกว่ามีใครบางคนโทรมา

“ครับ” ผมกดรับทั้งที่ไม่ได้ดูหน้าจอ

[สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรจากโรงพยาบาลเอกชน L นะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณศดิธร รึเปล่าคะ]

“เอ่อ...ใช่ครับ มีอะไรหรอครับ?” โรงพยาบาลถึงกับโทรมาเอง ที่บ้านผมทุกคนก็ยังอยู่ดีนี่?

[ค่ะ! ดิฉันจะโทรมาแจ้งว่าคุณหมอปรเนตรรบกวนให้เข้ามาพบในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ค่ะ]

“อ่า...ขอบคุณครับ เอ่อ.. ขอโทษนะครับ คุณปริเนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

[ขอโทษด้วยค่ะ คุณหมอปรเนตรให้คุณศดิธรเข้ามาพบก่อนแล้วจะแจ้งให้ทราบค่ะ]

“งั้นหรอครับ ขอบคุณครับ”

พี่หมอถึงกับให้พยาบาลโทรมานัดสงสัยจะติดงานวุ่นจริงๆ ผมไม่รู้จะสงสารใครดี น้องชายผมที่ติดเรียนแล้วต้องอยู่ห้องโดดเดี่ยวหรือพี่หมอที่อยู่โรงพยาบาลทำงานหนักทั้งยังต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้ผมสงสารตัวเองมากกว่าไม่รู้อาการของตาลจะเป็นไงบ้าง คนรอน้ำตาตกในครับ อีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันนัด

สายตายังคงจดจ้องบ้านตรงข้ามที่หลายวันมานี้เงียบแปลกๆ เหมือนไม่มีใครอยู่บ้านมาสองสามวันแล้ว

 

 

นาฬิกาปลุกแจ้งเตือนเวลา 5.00 น. ยังเช้าอยู่มากก็จริง แต่ผมอยากไปถึงโรงพยาบาลไวๆ ก่อนรถติดมันจะยิ่งทำให้ผมอารมณ์เสีย ความกังวลตลอดหลายวันที่ผ่านมาเล่นเอาผมนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเหมือนกัน

ผมรีบออกจากบ้านตั้งแต่ 7.00 น. กะให้ถึงโรงพยาบาลสักไม่เกิน 8.30 น. ยังไงโรงพยาบาลเอกชนก็เปิด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว จะไปเวลาไหนก็เหมือนกัน 

 

............................................

 

 

-[โรงพยาบาลเอกชน]-

 

ลิฟต์ตัวเดิมส่งผมถึงชั้นที่ตาลรักษาตัวอย่างเชื่องช้า นี่ขนาดมาเช้ามากแล้ว คนเข้ามาใช้บริการยังเยอะอยู่ดี ผมรีบพุ่งตัวออกจากฝูงชนในลิฟต์ที่แสนแออัดสำหรับเวลาเช้า เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์พบพยาบาลเข้าเวรนั่งอยู่สองสามคน

“สวัสดีครับ ศดิธรครับ ที่หมอปรเนตรนัดไว้ครับ”

 “สวัสดีค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ”

ผมเดินตามพยาบาลสาวมายังห้องผ่าตัดย่อย พบพี่หมอนั่งพิงเก้าอี้อย่างหมดแรงอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดย่อย ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ พี่หมอ ดูจากสภาพคงจะยังไม่นอนดี

“พี่หมอครับ ตาลเป็นไงบ้าง” นั้นสิ่งที่ผมอยากรู้อันดับแรก

“อ้าว มาละหรอ โทษที ไม่ว่างโทรไปเลย” พี่หมอสะดุ้งตัวเล็กน้อยตามเสียงเรียก

“ครับ พี่หมอได้นอนยังครับ”

“อืม นิดหน่อย ตาล…” พี่หมอหยุดชะงักไป สีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเป็นไปได้ด้วยดี แต่...ยังไม่ฟื้นเลยวะ 1 อาทิตย์แล้ว ตอนนี้อยู่ห้องปลอดเชื้อ ไปมั้ย เดี๋ยวกูพาไป”

“ครับ!...” ผมตอบรับด้วยอาการตื่นตระหนก ใจกระตุกหล่นวูบลงตาตุ่มหลังจากได้ฟังอาการที่เกิดขึ้นกับตาล

ผมเดินตามพี่หมอมาเงียบๆ ก่อนเข้าห้องปลอดเชื้อพี่หมอให้จัดการทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของโรงพยาบาลที่ถูกเตรียมไว้ก่อนแล้ว พร้อมผ้าปิดจมูก ลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิดต้องไม่โดนคนไข้ที่อยู่ในห้องนี้ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้

ก้าวขาเข้าห้องก็พบกับคุณพ่อ คุณแม่ของตาลมาเฝ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว

“สวัสดีครับน้ามะยม น้าเปิล” สองมือพนมโค้งไหว้นิ้วชี้แตะปลายจมูกอย่างนอบน้อม คุณน้ามะยม คุณน้าแอปเปิล คุณพ่อและคุณแม่ของลูกตาล

“จ๊ะลูกเทียน” คุณน้าแอปเปิลตอบรับด้วยน้ำเสียงเศร้า คุณน้ามะยมพยักหน้ารับไหว้สายตายังคงมองดูลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงไม่ห่าง

“พ่อ แม่ ไปพักห้องตัวเล็กก่อน เดี๋ยวทางนี้ปล่อยให้น้องเทียนมาเฝ้าต่อ” พี่หมอพูดขึ้น ดูจากดวงตาที่อิดโรย คงยังไม่มีใครได้นอนดีเท่าไหร่นัก“ฝากด้วยนะลูกเทียน” คุณน้ามะยมพยุงตัวคุณน้าแอปเปิลจูงมือกันค่อยๆ ออกจากห้องไปพร้อมพี่หมอ

เก้าอี้ข้างเตียงว่างลง ผมเขยิบตัวเดินเบาๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้พร้อมน้ำตาที่ล่วงลง เอื้อมมือหนาของตัวเองกอบกุมมือบางขาวซีดที่เจ้าของยังคง

หลับใหล รอบตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือแพทย์ระโยงระยางรอบตัว

“ตาลครับ ตื่นได้แล้ว เทียนมาหาแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล เทียนขอโทษครับคนดี ตื่นมาคุยกับเทียนหน่อยสิครับคนดี เทียนคิดถึงตาล” น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย มองภาพคนรักนอนสงบไร้การตอบกลับ

จิตใต้สำนึกผมผุดเรื่องที่ผมมารักษาตัวที่นี่หลังจากเอารถไปอัดกับต้นไม้เข้าอย่างจัง เหตุการณ์คล้ายๆ กัน แค่สลับกันที่ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายเรียกหา ตาลคงทรมานมากในตอนนั้น เหมือนกับผมตอนนี้มันช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน

น้ำตาที่มียังไหลรินต่อเนื่องเปรอะเปื้อนมือบางจนชุ่ม แต่ไร้ซึ่งวี่แววการตอบสนอง ผมยังคงกุมมือบางไว้หลวมๆ ผละตัวออกพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย

”คุณตาครับ ปาฏิหาริย์ยังมีจริงมั้ยครับ ผมอยากได้เธอคืน ผมรักเธอ หัวใจดวงเดียวของผมมีแค่เธอครับคุณตา ผมสัญญา ผมจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้ จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วครับ” ผมเรียกหาคุณตาที่ล่วงลับจากการสิ้นอายุขัยด้วยโรคชรา 

นิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อยอยู่ในมือหนาของผม ผมสะดุ้งตัวแรงกำมือบางหลวมๆ เรียกชื่อเธอซ้ำๆ

“ตาล ตาล ตาลครับ ตาล”

“....” ไร้เสียงตอบกลับ แต่เป็นสัมผัสจากมือบางกุมมือผมตอบกลับด้วยแรงเบาบางที่มีอยู่

“ตาล!” น้ำตาที่ยังไม่หดหาย ไหลย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งความดีใจ ตื่นเต้น ไม่รอช้าผมเอื้อมมือกดปุ่มเรียกพยาบาลย้ำๆ

คนแรกที่วิ่งเข้ามาคือพี่หมอตรงมาดูตาลที่ยังคงกุมมือตอบผมย้ำๆ  และพยาบาลอีกคนที่เข้ามาตรวจถุงเลือด ถุงน้ำเกลือและอื่นๆ

“ตัวเล็ก!” พี่หมอจัดการตรวจชีพจรมือสั่นเล็กน้อยจากอาการเหนื่อยที่ยังไม่ได้นอน ทั้งยังดีใจที่น้องสาวฟื้นจากการหลับใหลหลังผ่าตัดใหญ่

“ทะ...เทียน พะ...พี่” ตาลพยายามเอ่ยเรียกพวกเราทั้งสองคนด้วยเสียงแหบแห้ง

“เทียนอยู่นี่ครับ // พี่อยู่นี่ตัวเล็ก” รอยยิ้มบางเบาปารากฎบนใบหน้าขาวซีดทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“ฝะ ฝันดีจังเลย” เสียงแหบพร่าบ่นพึมพำ เหมือนยังไม่ได้สติเต็มที่

“ปล่อยให้นอนต่ออีกสักนิดเถอะ พรุ่งนี้ได้ย้ายไปห้องพักเดิม ขอบใจมากมึง ฝากน้องกูด้วยนะ” ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หมอเดินออกไปทำงานต่ออย่างจำใจ

“ฝันดีครับ พรุ่งนี้ตาลต้องตื่นมาคุยกับเทียนนะ เทียนจะอยู่ดูแลตาลเองนะครับคนดี” ผมกระซิบข้างหูแผ่วเบา ปล่อยให้คนป่วยได้พักจนกว่าจะถึงเวลาตื่นจริงๆ อีกครั้ง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา