รอยแค้น เหลี่ยมรัก
-
เขียนโดย ฝนใบไม้
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.17 น.
3 ตอน
2 วิจารณ์
6,261 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 เมษายน พ.ศ. 2557 09.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) คุณแม่ที่รัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ไม่ได้ ยังไงๆก็ไม่ได้! แม่ไม่อนุญาตให้หนูไปเรียนแบบนั้นหรอก” แม่พูดเสียงแข็งพลาง ทิ้งก้นลงบนโซฟาอย่างแรงสองมือประสานกันกอดอกอย่างคนใช้ความคิด หลังจากที่น้ำรินตัดสินใจสารภาพว่าคณะวนศาสตร์ที่เป็น1ใน3ของคณะที่เธอเลือกนั้นเกี่ยวกับอะไร และแม่ยิ่งหัวเสียมากขึ้นเมื่อรู้ว่าน้ำรินจะเลือกเรียนคณะนี้ โดย ทิ้งสองคณะแรกที่สอบติดซึ่งแม่คาดหวังจะให้เรียน ตั้งแต่แรก
“คุณก็ฟังลูกมันหน่อยน่า ลูกเรานะโตแล้วนะพอที่จะคิดได้แล้วล่ะว่าอะไรควร อะไรไม่ควร” พ่อพยายามเกลี้ยกล่อมแม่
“เงียบ! คุณก็เหมือนกันเพราะยังงี้แหละ ลูกถึงหัวดื้อไม่รู้ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน” ภิมลกล่าวอย่างเหลือออด
“ใช่สิ… โตแล้วนิ….. ไม่เห็นหัวแม่แล้วนี่”ภิมลพูดประชดน้ำเสียงแสดงความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“แม่มันไม่ใช่อย่างนั้น ฟังน้ำก่อนนะ” หญิงสาวพูดขึ้นบ้างหลังจากที่นิ่งอยู่นาน สบตาผู้เป็นพ่อเหมือนจะขอกำลังใจ ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ ก่อนจะรวบรวมความกล้า และกล่าวกับผู้เป็นแม่ว่า
“แม่คะ น้ำรู้นะคะว่าที่แม่อารมณ์เสีย และโกรธอยู่ตอนนี้เป็นเพราะแม่รักน้ำ แม่อยากให้น้ำได้เรียน และจบมาได้ทำงานที่สบาย ปลอดภัย และไม่ลำบาก ” ภิมลกอดอกนิ่งเงียบ เหมือนจะต้องการฟังบทสรุปของเรื่องนี้มากกว่า เพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่น้ำรินเกริ่นขึ้นมาเมื่อครู่ เป็นเพียงบทเริ่มต้นที่จะโน้มน้าวใจเธอให้อ่อนไหวและเห็นดีเห็นงามไปกับเจ้าหล่อนด้วย
“คนเราต่างก็มีความฝัน และอยากจะเลือกทางเดินของตัวเองนะคะ” น้ำรินกล่าวโดยหวังว่าแม่จะเข้าใจ
“ความฝันลมๆ แล้งๆล่ะสิไม่ว่า ดูอย่างอาของลูกสิ ก็เพราะไม่ใช่ความฝันนี่เหรอ ที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่จนทุกวันนี้” ภิมลเผลอพูดออกมาอย่างลืมตัว
“ภิมล !” เสียงวรพจน์ ผู้เป็นสามีเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงทำนองจะตักเตือน ไม่มีใครอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ขึ้นมาอีก ยิ่งน้ำรินแล้วเรื่องนี้นับเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเธอมาแสนนาน
“แม่ไม่เข้าใจน้ำ” น้ำรินเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องนอนปิดประตูดังโครม
ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ยืนนิ่งน้ำตาซึม ความรู้สึกของภิมลตอนนี้สับสนปนเป ทั้งโกรธ ทั้งกลัว และรู้สึกผิดจนเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าอารมณ์ไหนที่มากกว่ากัน
เมื่อเห็นภรรยายืนนิ่งอยู่นานวรพจน์จึงเข้าไปประคองเธอพาไปนั่งบนโซฟา พลางโอบไหล่เพื่อปลอบประโลม ตอนนี้การเงียบอาจจะเป็นสิ่งดี การสื่อสารด้วยภาษากายไม่ว่าจะเป็นการจับมือ สบตา หรือเพียงอยู่ใกล้ๆ ดูจะเป็นสิ่งดีที่สุด
หลังจากวันนั้นน้ำรินก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมาเจอหน้าแม่ ยิ่งทำให้แม่รู้สึกลำบากใจ คงมีแต่ผู้เป็นพ่อตอนนี้ที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางคอยเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้กลับคืนมา ระหว่างนั้นวรพจน์ก็คอยเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวให้ภิมลเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รัก ในที่สุดดูเหมือนความพยายามของพ่อจะเป็นผล เมื่อแม่บอกกับพ่อว่า ตามใจน้ำรินเถอะ เขาอยากเรียนอะไรก็ให้เขาเรียน ที่ภิมลพูดเช่นนี้ไม่เชิงว่าจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรอก แต่เป็นเพราะเมื่อเธอกลับไปใคร่ครวญดูให้ดีแล้ว เธอก็คิดได้ว่าเธออาจจะเลี้ยงลูกให้โตได้ แต่เธอไม่สามารถบังคับจิตใจของลูกได้ เหมือนเมื่อครั้งที่เธอเป็นเด็กสาวเหมือนน้ำริน ครั้งนึงเธอก็เคยยืนเถียงกับพ่อ เรื่อง นี้เหมือนกัน ตอนนั้นเธอจำได้ว่าเตี่ย อยากให้เธอเป็นหมอ เพราะตระกูลของเตี่ยยึดอาชีพเป็นแพทย์แผนจีนโบราณ แต่เธอก็เลือกที่จะเรียนบัญชี เพราะคิดว่าตัวเองเหมาะกับทางด้านนี้มากกว่า ที่จะเจอกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และหดหู่ในโรงพยาบาล เธอคิดว่าสิ่งที่เธอได้ทำกับเตี่ยในวันนั้น มันได้ย้อนกลับมาหาเธอแล้วในวันนี้ ซึ่งมันทำให้เธอได้เข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นพ่อได้อย่างชัดแจ้ง
“ก๊อกๆๆๆ น้ำๆ ลูก เปิดประตูให้พ่อหน่อย” เสียงพ่อเคาะประตูพลางเรียก
พ่อรออยู่สักครู่หนึ่ง น้ำรินจึงเดินมาเปิดประตู
“มีอะไรเหรอคะพ่อ ”น้ำถามสีหน้าซีดเซียวอย่างคนอดหลับอดนอน ขอบตาบวมอย่างเห็นได้ชัดบ่งบอกว่าเธอผ่านการร้องให้มาไม่นาน
“ไหน ลูกพ่อยิ้มให้ดูหน่อยสิ ” พ่อพูดพลางจ้องหน้าน้ำรินด้วยสายตาที่อบอุ่น
น้ำรินยิ้มแห้งๆอย่างขอไปที พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่แม่ใช้ให้พ่อมาพูดอะไรกับน้ำอีกล่ะสิ” เด็กสาวกล่าวอย่างรู้ทัน
“ใช่ แม่ให้พ่อมาบอกน้ำว่า…”
“พอเหอะค่ะ ยังไงน้ำก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก” น้ำสวนกลับโดยที่พ่อยังไม่ทันพูดจบ เด็กสาวทำท่าหันหลังจะปิดประตู
แต่พ่อไวพอที่จะคว้าลูกบิดประตูก่อนที่น้ำรินจะล็อคห้องได้ทัน
“เฮ้อ เรานี่ใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ ” พ่อส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ที่พ่อมานี่ พ่อจะมาบอกว่าแม่เค้ายอมให้น้ำน่ะเรียนคณะที่ลูกอยากเรียนแล้วล่ะ”
“ห๊ะ เมื่อกี๊พ่อว่าอะไรนะ ”เด็กสาวย้อนถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“นี่พ่อไม่ได้โกหกน้ำใช่มั้ยคะ ” คำถามที่สองถูกถามขึ้นโดยที่ไม่รอคำตอบจากคำถามแรก พลางมองพ่อด้วยสีหน้าเหมือนจับผิด
“เอ๊ เด็กคนนี้นี่ยังไง พอพูดเรื่องจริงก็ไม่เชื่อ งั้นเดี๋ยวพ่อไปบอกแม่ละกันว่าน้ำไม่อยากเรียนคณะนั้นแล้ว” พ่อพูดทีเล่นทีจริงพลางทำท่าจะหันหลังเดินกลับ
“อ๊าๆๆ เดี๋ยวๆๆ ” น้ำรินพูดพลางวิ่งไปขวางหน้าพ่อไว้ แววตาสีหน้าดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“นี่อะไรดลใจคุณแม่ ให้เปลี่ยนใจได้คะหรือว่า….” เธอถามพ่อด้วยแววตาสงสัย น้ำตาแห่งความดีใจเริ่มเอ่อล้น
“โอ๊ย ถ้าจะคิดว่าเป็นเพราะพ่อนะ คิดผิดละล่ะ รายนั้นน่ะ ไม่ยอมใครง่ายๆหรอกถ้าได้ตัดสินใจอะไรแล้ว”พ่อพูดอย่างอารมณ์ดี
“พ่อคิดว่า แม่เค้าคงเข้าใจเราแหละ อีกอย่างลูกก็โตแล้วไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะคิดอะไรเองไม่ได้”พ่อพูดแกมให้กำลังใจ
“เย๊ๆๆๆๆ น้ำดีใจที่สุดในโลกเลยค่ะพ่อ” เธอตะโกนพลางโผกระโดเข้ากอดพ่อ เหมือนเด็กๆ
“ในที่สุด น้ำรินคนเดิมของพ่อ ก็กลับมาแล้วสินะ” พ่อกล่าวพลางลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู
“คุณก็ฟังลูกมันหน่อยน่า ลูกเรานะโตแล้วนะพอที่จะคิดได้แล้วล่ะว่าอะไรควร อะไรไม่ควร” พ่อพยายามเกลี้ยกล่อมแม่
“เงียบ! คุณก็เหมือนกันเพราะยังงี้แหละ ลูกถึงหัวดื้อไม่รู้ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน” ภิมลกล่าวอย่างเหลือออด
“ใช่สิ… โตแล้วนิ….. ไม่เห็นหัวแม่แล้วนี่”ภิมลพูดประชดน้ำเสียงแสดงความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“แม่มันไม่ใช่อย่างนั้น ฟังน้ำก่อนนะ” หญิงสาวพูดขึ้นบ้างหลังจากที่นิ่งอยู่นาน สบตาผู้เป็นพ่อเหมือนจะขอกำลังใจ ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ ก่อนจะรวบรวมความกล้า และกล่าวกับผู้เป็นแม่ว่า
“แม่คะ น้ำรู้นะคะว่าที่แม่อารมณ์เสีย และโกรธอยู่ตอนนี้เป็นเพราะแม่รักน้ำ แม่อยากให้น้ำได้เรียน และจบมาได้ทำงานที่สบาย ปลอดภัย และไม่ลำบาก ” ภิมลกอดอกนิ่งเงียบ เหมือนจะต้องการฟังบทสรุปของเรื่องนี้มากกว่า เพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่น้ำรินเกริ่นขึ้นมาเมื่อครู่ เป็นเพียงบทเริ่มต้นที่จะโน้มน้าวใจเธอให้อ่อนไหวและเห็นดีเห็นงามไปกับเจ้าหล่อนด้วย
“คนเราต่างก็มีความฝัน และอยากจะเลือกทางเดินของตัวเองนะคะ” น้ำรินกล่าวโดยหวังว่าแม่จะเข้าใจ
“ความฝันลมๆ แล้งๆล่ะสิไม่ว่า ดูอย่างอาของลูกสิ ก็เพราะไม่ใช่ความฝันนี่เหรอ ที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่จนทุกวันนี้” ภิมลเผลอพูดออกมาอย่างลืมตัว
“ภิมล !” เสียงวรพจน์ ผู้เป็นสามีเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงทำนองจะตักเตือน ไม่มีใครอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ขึ้นมาอีก ยิ่งน้ำรินแล้วเรื่องนี้นับเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเธอมาแสนนาน
“แม่ไม่เข้าใจน้ำ” น้ำรินเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องนอนปิดประตูดังโครม
ปล่อยให้ผู้เป็นแม่ยืนนิ่งน้ำตาซึม ความรู้สึกของภิมลตอนนี้สับสนปนเป ทั้งโกรธ ทั้งกลัว และรู้สึกผิดจนเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าอารมณ์ไหนที่มากกว่ากัน
เมื่อเห็นภรรยายืนนิ่งอยู่นานวรพจน์จึงเข้าไปประคองเธอพาไปนั่งบนโซฟา พลางโอบไหล่เพื่อปลอบประโลม ตอนนี้การเงียบอาจจะเป็นสิ่งดี การสื่อสารด้วยภาษากายไม่ว่าจะเป็นการจับมือ สบตา หรือเพียงอยู่ใกล้ๆ ดูจะเป็นสิ่งดีที่สุด
หลังจากวันนั้นน้ำรินก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมาเจอหน้าแม่ ยิ่งทำให้แม่รู้สึกลำบากใจ คงมีแต่ผู้เป็นพ่อตอนนี้ที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางคอยเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้กลับคืนมา ระหว่างนั้นวรพจน์ก็คอยเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าวให้ภิมลเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำในสิ่งที่รัก ในที่สุดดูเหมือนความพยายามของพ่อจะเป็นผล เมื่อแม่บอกกับพ่อว่า ตามใจน้ำรินเถอะ เขาอยากเรียนอะไรก็ให้เขาเรียน ที่ภิมลพูดเช่นนี้ไม่เชิงว่าจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรอก แต่เป็นเพราะเมื่อเธอกลับไปใคร่ครวญดูให้ดีแล้ว เธอก็คิดได้ว่าเธออาจจะเลี้ยงลูกให้โตได้ แต่เธอไม่สามารถบังคับจิตใจของลูกได้ เหมือนเมื่อครั้งที่เธอเป็นเด็กสาวเหมือนน้ำริน ครั้งนึงเธอก็เคยยืนเถียงกับพ่อ เรื่อง นี้เหมือนกัน ตอนนั้นเธอจำได้ว่าเตี่ย อยากให้เธอเป็นหมอ เพราะตระกูลของเตี่ยยึดอาชีพเป็นแพทย์แผนจีนโบราณ แต่เธอก็เลือกที่จะเรียนบัญชี เพราะคิดว่าตัวเองเหมาะกับทางด้านนี้มากกว่า ที่จะเจอกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และหดหู่ในโรงพยาบาล เธอคิดว่าสิ่งที่เธอได้ทำกับเตี่ยในวันนั้น มันได้ย้อนกลับมาหาเธอแล้วในวันนี้ ซึ่งมันทำให้เธอได้เข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นพ่อได้อย่างชัดแจ้ง
“ก๊อกๆๆๆ น้ำๆ ลูก เปิดประตูให้พ่อหน่อย” เสียงพ่อเคาะประตูพลางเรียก
พ่อรออยู่สักครู่หนึ่ง น้ำรินจึงเดินมาเปิดประตู
“มีอะไรเหรอคะพ่อ ”น้ำถามสีหน้าซีดเซียวอย่างคนอดหลับอดนอน ขอบตาบวมอย่างเห็นได้ชัดบ่งบอกว่าเธอผ่านการร้องให้มาไม่นาน
“ไหน ลูกพ่อยิ้มให้ดูหน่อยสิ ” พ่อพูดพลางจ้องหน้าน้ำรินด้วยสายตาที่อบอุ่น
น้ำรินยิ้มแห้งๆอย่างขอไปที พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่แม่ใช้ให้พ่อมาพูดอะไรกับน้ำอีกล่ะสิ” เด็กสาวกล่าวอย่างรู้ทัน
“ใช่ แม่ให้พ่อมาบอกน้ำว่า…”
“พอเหอะค่ะ ยังไงน้ำก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก” น้ำสวนกลับโดยที่พ่อยังไม่ทันพูดจบ เด็กสาวทำท่าหันหลังจะปิดประตู
แต่พ่อไวพอที่จะคว้าลูกบิดประตูก่อนที่น้ำรินจะล็อคห้องได้ทัน
“เฮ้อ เรานี่ใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ ” พ่อส่ายหน้าพลางยิ้ม
“ที่พ่อมานี่ พ่อจะมาบอกว่าแม่เค้ายอมให้น้ำน่ะเรียนคณะที่ลูกอยากเรียนแล้วล่ะ”
“ห๊ะ เมื่อกี๊พ่อว่าอะไรนะ ”เด็กสาวย้อนถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“นี่พ่อไม่ได้โกหกน้ำใช่มั้ยคะ ” คำถามที่สองถูกถามขึ้นโดยที่ไม่รอคำตอบจากคำถามแรก พลางมองพ่อด้วยสีหน้าเหมือนจับผิด
“เอ๊ เด็กคนนี้นี่ยังไง พอพูดเรื่องจริงก็ไม่เชื่อ งั้นเดี๋ยวพ่อไปบอกแม่ละกันว่าน้ำไม่อยากเรียนคณะนั้นแล้ว” พ่อพูดทีเล่นทีจริงพลางทำท่าจะหันหลังเดินกลับ
“อ๊าๆๆ เดี๋ยวๆๆ ” น้ำรินพูดพลางวิ่งไปขวางหน้าพ่อไว้ แววตาสีหน้าดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“นี่อะไรดลใจคุณแม่ ให้เปลี่ยนใจได้คะหรือว่า….” เธอถามพ่อด้วยแววตาสงสัย น้ำตาแห่งความดีใจเริ่มเอ่อล้น
“โอ๊ย ถ้าจะคิดว่าเป็นเพราะพ่อนะ คิดผิดละล่ะ รายนั้นน่ะ ไม่ยอมใครง่ายๆหรอกถ้าได้ตัดสินใจอะไรแล้ว”พ่อพูดอย่างอารมณ์ดี
“พ่อคิดว่า แม่เค้าคงเข้าใจเราแหละ อีกอย่างลูกก็โตแล้วไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะคิดอะไรเองไม่ได้”พ่อพูดแกมให้กำลังใจ
“เย๊ๆๆๆๆ น้ำดีใจที่สุดในโลกเลยค่ะพ่อ” เธอตะโกนพลางโผกระโดเข้ากอดพ่อ เหมือนเด็กๆ
“ในที่สุด น้ำรินคนเดิมของพ่อ ก็กลับมาแล้วสินะ” พ่อกล่าวพลางลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ