รอยแค้น เหลี่ยมรัก

-

เขียนโดย ฝนใบไม้

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.17 น.

  3 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,371 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 เมษายน พ.ศ. 2557 09.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ทางเลือก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ เย้ๆๆ เอ็นท์ติดแล้ว” เสียงที่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นและดีใจของน้ำรินหญิงสาวที่เมื่อรู้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของตนเอง เธออยากกระโดดซัก500รอบ แล้วก็ตีลังกาซัก1000หน เพราะความดีใจ

“แม่ๆๆ น้ำสอบติดแล้ว ” เสียงหญิงสาวตะโกนพลางกระโดดพลางออกจากห้องนอนหลังจากที่นั่งลุ้นผลสอบเอ็นทรานซ์ทางอินเตอร์เน็ตอย่างตื่นเต้น และโผเข้ากอดแม่อย่างดีใจ

“อุ๊ย อะไรกันลูกคนนี้ แม่บอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง อย่ากระโดด เราน่ะเป็นผู้หญิงน่ะรู้มั้ย ดูซิกาแฟหกใส่เสื้อแม่เลอะหมดแล้ว ”

แม่บ่นพลางหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับคราบกาแฟที่หกเลอะจากแรงของน้ำรินที่โผเข้ากอดเมื่อครู่

“แหมก็น้ำรินดีใจนี่คะแม่ น้ำสอบติดแล้วน๊า” พูดพร้อมกับหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่

“ห๊าจริงเหรอลูก แม่ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ” คราวนี้แม่เป็นฝ่ายตื่นเต้นบ้าง

“จริงค่ะ สอบผ่านทู๊กวิชาเลยด้วย ” หญิงสาวลากเสียงสูง

“แล้วติดคณะอะไรบ้าง” แม่เริ่มถามรายละเอียดน้ำเสียงยังตื่นเต้นไม่หาย

“ก็ติดทั้งสามอันดับอ่ะค่ะแม่ ”

“บัญชี นิเทศน์ แล้วก็…………เอ่อ วนศาสตร์ค่ะ” น้ำรินเว้นวรรคคำสุดท้าย ก่อนกลืนน้ำลายที่ฝืดคอ สีหน้าเริ่มลังเลและกังวลกับบางอย่าง

“เดี๋ยวๆ ไอ้สองคณะแรกเนี่ยแม่พอจะรู้จัก แต่คณะหลังสุดเนี่ย อะไรนะ วะวะ นะนะอะไรศาสตร์นะ” แม่ถามอย่างแปลกใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน

น้ำรินจ้องหน้าผู้เป็นมารดาแวบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตาเหลือบมองพื้น เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วกลัวทำโทษ

หญิงสาวรู้ดีว่าหากบอกแม่ตามตรงแม่จะต้องโกรธ และอาจจะไม่ให้เธอเรียนต่อในคณะที่เธอใฝ่ฝันก็เป็นได้ เพราะสิ่งที่แม่วาดหวังไว้ กับความฝันของเธอมันช่างเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แม่เคยบอกเธอเสมอว่าอยากให้เธอทำงานที่สบาย เป็นผู้บริหาร นั่งอยู่ในออฟฟิศตากแอร์ที่เย็นช่ำ นั่นคือมโนที่แม่สร้างไว้ แม้น้ำรินจะเข้าใจว่านั่นคือความหวังดีของคนที่เป็นแม่ แต่จิตใต้สำนึกของเธอก็ร่ำร้องให้เธอทำตามความฝันอยู่เรื่อยมา

เธอมีความฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็นคนที่ดูแลรักษาป่า และคุ้มครองสรรพสัตว์ทั้งหลาย นั่นอาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆน้ำรินได้มีโอกาสไปเยี่ยม “อา เดช” อยู่บ่อยๆในบรรดาญาติๆทั้งหมดของพ่อน้ำรินสนิทและรักอาเดชมากที่สุด อาเดช เป็นเจ้าหน้าที่สังกัดอุทยานแห่งชาติ ทำงานอยู่ในเขตรักษาพันสัตว์ป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อพ่อพาน้ำรินไปเยี่ยมอาเดช เขาจะพาพ่อและน้ำรินไปดูวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ พาเที่ยวป่า ล่องแพ ส่องสัตว์และอาเดชยังสอดแทรกคำสอน ต่างๆและปลูกฝังให้น้ำรินรักและหวงแหนธรรมชาติ น้ำรินยังจำคำๆนึงที่อาเดชพูดไว้เสมอว่าป่าคือผู้ให้

อาเดชเคยถามน้ำว่า

“หนูคิดว่าระหว่างคน กับ ต้นไม้ใครเก่งกว่ากัน”

“ก็ต้องคนสิคะ เพราะคนตัดต้นไม้ได้ ต้นไม้อยู่นิ่งๆทำอะไรคนไม่ได้” น้ำรินตอบตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสา

อาเดชมองน้ำรินและยิ้มพลางลูบหัวอย่างเอ็นดู และถามต่อว่า

“น้ำคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคน ต้นไม้จะอยู่ได้มั๊ย” เด็กหญิงขมวดคิ้วทำสีหน้าครุ่นคิดพลางใช้มือเท้าคางเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อเจอคำถามที่ยากขึ้น ทำให้ผู้เป็นน้าอดหมั่นเขี้ยวนิดๆไม่ได้

“ไม่ได้ค่ะ” น้ำตอบหลังจากที่คิดอยู่นาน

“ทำไมล่ะ” ผู้เป็นอาอยากรู้เหตุผลมากกว่าคำตอบ

“ก็น้ำรินเห็นพ่อรดน้ำให้ต้นไม้ที่บ้านทุกวันเลย ถ้าวันไหนไม่รดต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้างั้นก็แสดงว่าถ้าไม่มีคน ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้เพราะไม่มีคนรดน้ำ”

คำตอบทำเอาอาเดช อดปล่อยก๊ากออกมาไม่ไหว ไม่ใช่เพราะขบขัน ในคำตอบ แต่ตลกที่ผู้ใหญ่อย่างเขาก็คาดไม่ถึงในความคิดของเด็ก วัยหกขวบอย่างน้ำริน เพราะถ้าจะว่าไปในความเข้าใจของเด็กตัวแค่นี้ เขาก็จะคิดอะไรตรงไปตรงมาตามที่เห็น นี่จึงกลายมาเป็นคำเปรียบที่ว่าเด็กเหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ เมื่อคิดได้ดังนั้นอาเดชจึงชี้ให้น้ำรินดูต้นไม้ในป่าที่อยู่ห่างไปไม่ไกลและพูดขึ้นว่า

“ต้นไม้เหล่านั้นโตขึ้นมา ด้วยตัวมันเอง ตอนเล็กๆไม่มีใครมาคอยรดน้ำ ใส่ปุ๋ยให้พวกมันหรอก อาศัยน้ำฝนจากท้อง ฟ้า และ ปุ๋ยจากใบไม้ที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร แล้วพวกมันก็เติบโตมากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สง่างาม คอยเป็นที่พักพิง ให้ร่มเงา และแหล่งอาหารให้กับเหล่าฝูงสัตว์ในป่านี้ รวมทั้งมนุษย์อย่างเราไงล่ะ ” น้ำรินนั่งฟังตาแป๋ว

“แล้วน้ำรินล่ะ ตอนเด็กๆ พอคุณแม่คลอดน้ำรินออกมา น้ำรินทำเหมือนต้นไม้ได้มั้ย คอยหาอาหารเอง คอยเลี้ยงดูตัวเองจนโตมาได้ป่านนี้ ” น้ำรินจ้องหน้าอาเดชพลางส่ายหัวไปมา เพราะตั้งแต่จำความได้เธอก็ไม่เคยห่างจากพ่อและแม่เลย

“โห้หห ต้นไม้นี่เก่งจังเล๊ย น้ำรินยอมแพ้คุณต้นไม้แล้วววว” เด็กหญิงลากเสียงยาว พลางกระโดดสูงทำท่าเลียนแบบต้นไม้ใหญ่ ทำให้อาเดชหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ที่คำตอบเฉลยออกมาในประโยคเมื่อครู่ที่น้ำรินพูดเอง น้ำรินคงรู้แล้วสินะว่าระหว่างคนกับป่าใครที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน อาเดชคิดในใจ และให้รางวัลน้ำรินด้วยการให้ขี่คอกลับบ้าน ภาพหลานขี่คออา ฉากหลังเป็นพระอาทิตย์กลมสุกดวงโต ทอแสงสีส้มอ่อนๆ ผ่านม่านดอกหญ้าที่พร้อมใจกันปลิวไสวล้อลมเย็น ของความมืดแห่งรัตติกาลที่คลืบคลานเข้ามายังอยู่ในความทรงจำของน้ำรินจนถึงทุกวันนี้

แต่หลังจากนั้นอีกสามปี ครอบครัวของพ่อก็ได้รับข่าวร้าย อาเดชถูกยิงเสียชีวิต ขณะลาดตระเวน และเกิดการยิงต่อสู้ระหว่างผู้บุกรุกตัดไม้ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า คนร้ายถูกจับได้ แต่เป็นแค่ชาวบ้านที่รับค่าจ้างเพื่อมาลักลอบตัดไม้อีกทอดนึง เรื่องทำท่าจะเป็นที่สนใจของสังคมอยู่พักใหญ่ แต่แล้วก็เงียบ ไปโดยไร้วี่แวว เพราะผู้บงการเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ในแถบนั้น หัวหน้าอุทยานได้แต่กล่าวคำเสียใจ และรับปากว่าจะหาตัวคนบงการมารับผิดให้ได้ จนแล้วจนรอด เวลาล่วงเลยมาสิบกว่าปีจนคดีความหมดอายุ ก็ยังไร้วี่แววของผู้กระทำผิด ทำให้น้ำรินที่เริ่มโตขึ้นคิดว่าบางทีโลกนี้ก็ไม่มีความยุติเอาซะเลย เธอเกลียดๆๆ พวกผู้มีอิทธิพลที่ชอบใช้บารมีแสวงหาผลประโยชน์จากส่วนรวมเข้าตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเกิดผลเสียต่อสิ่งรอบข้างอย่างไร หลังจากนั้นเธอก็มีความคิดที่จะดำเนินรอยตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นอา นี่กระมังที่เป็นเหตุจูงใจที่เธอเลือกมาเรียนคณะนี้

“น้ำริน ๆ ”เสียงแม่เรียก พลางจับใหล่เบาๆทำให้น้ำรินตื่นจากภวังค์เมื่อครู่

“คะ… ค…ะ ค่ะ แม่ ” น้ำรินขานรับตะกุกตะกักพลางละสายตาที่เหม่อลอยเมื่อครู่มาจับจ้องที่ใบหน้าของแม่แทน

“เป็นอะไรน่ะเรา ดูเหม่อๆยังไงชอบกล ไม่สบายรึเปล่า” แม่พูดพลางเอามือมาแตะหน้าผากอย่างห่วงใย

“เปล่าๆ ค่ะแม่แค่อากาศมันร้อนๆไปหน่อย ” น้ำรินแสร้งตอบ หวังจะบ่ายเบี่ยงประเด็นให้แม่ลืมคำถามเรื่อง คณะวนศาสตร์

ความดีใจเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วบัดนี้กลับกลายเป็นความกดดันที่จุกแน่นอยู่ในอกของหญิงสาวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ใจนึงก็ไม่อยากทำให้แม่ผิดหวังและเสียใจ แต่อีกใจนึงมันก็ร่ำร้องอยากจะทำตามเจตนารมณ์ที่เธอตั้งมั่นไว้ทำให้ เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอแบกโลกทั้งโลกไว้บนหัวที่หนักอึ้งของเธอ

“กริ๊งงงงง……”เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ ภิมลรับสายค่ะ ” แม่เอ่ยสนทนาหลังจากยกหูโทรศัพท์ขึ้น

“อ้าว คุณเองเหรอที่รัก เป็นไงคะสบายดีนะ แหมเดี๋ยวนี้งานยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาโทรมาหาลูกหาเมียเลยนะ คุณพันโทวรพจน์”แม่พูดเหน็บแกมหยอกกับคู่สนทนาปลายสายอย่างอารมณ์ดี หลังจากนั้นแม่ก็คุยเรื่องสัพเพเหระกับพ่ออยู่นาน

“ อา….สวรรค์เปิดทางให้เราแล้ว” น้ำรินคิดในใจเมื่อเห็นแม่คุยโทรศัพท์เพลิน อย่างน้อยเธอก็พอมีเวลาไปตั้งหลักสักนิดก่อนที่จะมาให้คำตอบแม่ น้ำรินค่อยๆคลานออกมาจากบริเวณนั้นอย่างเงียบกริบ ทำเนียนเพื่อที่จะรักษามารยาทว่าเกรงใจผู้เป็นแม่ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ฟู่ …เฮ่อ”เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก ของหญิงสาวหลังจากหลบพ้นสายตาของแม่ออกมาอยู่นอกบ้านได้ เธออดชำเลืองมองเข้ามาในห้องรับแขกอีกไม่ได้เพื่อให้แน่ใจว่าแม่ยังติดลมกับการคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ประโยคสุดท้ายที่เธอแอบได้ยินที่แม่พูดกับพ่อคือ มีข่าวดีจะบอกพ่อ แต่ยังไม่บอกตอนนี้หรอก รอให้พ่อกลับมาบ้านก่อน แลัวจะมีเซอร์ไพร์

น้ำรินพอจะเดาออกว่าข่าวดีนั้นคือเรื่องอะไร ยิ่งแม่ดีใจมากเท่าไร น้ำรินก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น แต่เอาเหอะอีก2-3วันพ่อก็จะกลับมาแล้ว พ่อคงให้คำปรึกษาที่ดีแก่เธอได้ น้ำรินมั่นใจ แววตาเปล่งประกายมีความหวังอีกครั้ง อย่างน้อยพ่อก็อาจจะเกลี้ยกล่อมให้แม่เห็นดีเห็นงามกับการตัดสินใจของเธอได้ เธอได้แต่ภาวนาอย่างมีความหวัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา