ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง

7.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.12 น.

  11 chapter
  16 วิจารณ์
  19.60K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3 ภาพถ่ายผีสิง ณ โรงละครผีสิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก




บทที่ 3
ภาพถ่ายผีสิง ณ โรงละครผีสิง
 
          ผีหรือวิญญาณสำหรับเธอแล้ว มันคือเรื่องที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหรือเป็นไปไม่ได้เลย เธอเชื่อถือแต่เฉพาะเรื่องราวที่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และดวงดาวที่กำลังโคจรอยู่บนฝากฟ้าเบื้องบนเท่านั้น ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่เธอได้ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสถาบันทางวิทยาศาสตร์และสถาบันทางการแพทย์ เธอไม่เคยที่จะพบปะเจอะเจอหรือได้สัมผัสกับผีหรือวิญญาณเลย แม้แต่เพียงสักครั้งเดียว แม้งานที่เธอกำลังทำอยู่เป็นประจำในทุกวันๆ จะเกี่ยวข้องอยู่กับซากศพในสภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างมากมายแต่ ณ เวลานี้ความคิดของเธอคงจะต้องเปลี่ยนแปรไปบ้างเสียแล้ว
          “ภานุ นั้นคุณจริงๆ ใช่ไหม”
          “ครับคุณเกดผมเอง ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณที่ไหน อย่างแน่นอนเลยครับ” น้ำเสียงของภานุเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปรไปบ้างเล็กน้อย อาจจะมากกว่าจากในครั้งแรกที่เธอได้เคยได้รับฟังน้ำเสียงของภานุ เหมือนเธอกำลังได้ยินได้ฟังน้ำเสียงของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่น้ำเสียงของภานุ และน้ำเสียงที่ได้รับฟังมันก็มีลักษณะอันหนาวเย็นยะเยือกมากกว่า เธอนึกย้อนกลับคืนไปยังห้องที่เก็บสะสมรูปถ่ายสีชาเก่าๆ หลายร้อยรูปในห้องที่เธอเพิ่งจะก้าวเดินหนีออกมาพร้อมๆ กันกับภานุ มีรูปถ่ายสีชาเก่าๆ เพียงรูปเดียวเท่านั้นที่ยังคงทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว สยดสยองและขนลุกอยู่ได้ในขณะนี้ รูปนั้นคือชายชราอายุราวๆ 70 ปี และน้ำเสียงของภานุในเวลานี้ ก็น่าที่จะใกล้เคียงกันกับน้ำเสียงของชายชราในรูปถ่ายสีชาเก่าๆ นั้นอย่างไม่น่าที่จะผิดเพี้ยนไปได้เลยแม้แต่สักนิดเดียว หรือว่าเงาลางๆ สลัวๆ สีดำเบื้องหน้าของเธอจะมิใช่ภานุ ตัวจริง เสียงจริง แต่เป็นผีหรือวิญญาณในรูปถ่ายสีชาเก่าๆ พวกนั้น แล้วนี้เธอจะทำอย่างไรต่อไปดีหรือจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอเองไม่สามารถมองเห็นเบื้องหน้าอย่างไรดี
          “คุณเกดกำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะอยู่เคียงข้างๆ กับคุณเกดเอง” แม้ว่าคำพูดของภานุจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเธอได้บ้างในยามนี้ แต่น้ำเสียงอันหนาวเย็นยะเยือกของภานุในเวลานี้ ก็ยังคงไม่ได้ช่วยเหลือให้เธอนึกหวาดกลัวภานุให้น้อยลงกว่าเดิมได้เลย ความมืดมิดภายในโรงละครผีสิงอันปราศจากแสงสว่างจากเทียนไข มันได้ก่อสร้างกำแพงของสภาพภายในจิตใจระหว่างเธอ ที่มีต่อเงาลางๆ สลัวๆ สีดำเบื้องหน้า จนเธอไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรได้ และตัดสินใจเช่นไรได้ต่อไป โดยแท้จริงแล้วเงาลางๆ เบื้องหน้านั้นจะใช่ชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภานุ จริงๆ หรือไม่ ดวงจิต ดวงใจ สมาธิ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของเธอเองก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจแยกแยะมันออกไปได้อีกต่อไปแล้ว
          “คะ..คุณไม่ใช่ภานุใช่ไหม...?” เธอรวบรวมสติและกำลังใจทั้งหมดที่มีตั้งคำถามต่อเงาลางๆ สีดำลึกลับเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงอันสั่นๆ เพราะความหวาดกลัวจนถึงสุดขั้วหัวใจ เธอกำลังรอฟังคำตอบจากเงาลางๆ สีดำลึกลับเบื้องหน้านั้น แม้เธอจะนึกหวาดกลัวอย่างมากมายก็ตามที
          “ถะ..ถ้าคุณไม่ใช่ภานุแล้วคุณเป็นใครกัน?" เธอยังรวบร่วมพละกำลังใจที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เริ่มเปล่งน้ำเสียงสั่นๆ ตั้งคำถามตรงออกไปอีกครั้ง และในครั้งนี้เงาสีดำ อันมืดมิดก็เริ่มที่จะเปล่งน้ำเสียงอันหนาวเย็นยะเยือกเป็นบทลำนำเพลงละครในสมัยโบร่ำโบราณเมื่อครั้งศตวรรษเก่าก่อนออกมา  มันช่างเป็นบทลำนำเพลงอันสุดแสนจะเศร้าโศกเสียใจแลสุดแสนจะรันทดกินใจอย่างมากมายยิ่งนัก ไอความหนาวเย็นยะเยือกจากบทลำนำเพลง ได้ส่งกระแสคลื่นความถี่ จนอบอวล ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ บางส่วนได้หลุดรอดมุ่งตรงผ่านความมืดมิดเข้าจู่โจมล้อมรอบและผูกรัดมัดทั่วร่างกายของเธอเอาไว้ จนเธอเริ่มก่อเกิดความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย ดวงจิต และดวงวิญญาณ
          จนสุดท้ายความหนาวเย็นยะเยือกมันกำลังจะทำให้เธอ ไม่สามารถที่จะควบคุมความหวาดกลัวที่ท่าโถมเข้าสู่ร่างกายและจิตใจได้อีกต่อไป มันช่างเหมือนกับเธอเริ่มที่จะจมดิ่งและลอยคออยู่ท่ามกลางก้อนน้ำแข็งในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ความเศร้าโศกเสียใจจากบทลำนำเพลงทุกๆ ลำนำ ทุกๆ ถ้อยวจี มันตรงเข้ากักขังเธอเอาไว้ภายในคุกน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ จนเธอรู้สึกได้ว่าขนเล็กๆ ทุกๆ เส้น มันกำลังเริ่มที่จะลุกขึ้นเต้นชูชันและหลุดร่วงจืดจางหายไป อย่างไม่สามารถจะหลีกหนี มันไปได้พ้นเลยแม้แต่เพียงสักเส้นเดียว
“.....หมื่นราตรีแสงบุหลันพราวฟากฟ้า     ดวงจิตข้ายังคงรักเสน่หา
แม้นสิ้นชีพวายปราณนานศตวรรษ      ยังผูกรัดมัดดวงจิตแลเศษซาก
..ฝังจิตรักแยกร่างลึงค์ตรึงสุสาน     นานแสนกาลหมื่นบุหลันข้าบ่จาก
แม้นดวงจิตข้าแยกแลถูกพราก    จักขอฝากวิญญาณรักไว้เฝ้ารอ...”
ร้องลำนำเพลงซ้ำกันหลายรอบ
            เงาลางๆ สลัวๆ สีดำเริ่มจืดจางหายไปพร้อมกันกับคำถามที่เธอเองยังไม่สามารถที่จะสืบเสาะค้นหาคำตอบได้ เธอยังคงไม่รู้เลยว่าเงาลางๆ สีดำปริศนานั้น เป็นใครมาจากไหนและต้องการสิ่งใดจากเธอ ทำไมถึงได้ต้องอยากที่จะขับร้องบทลำนำเพลงอันแสนจะหนาวเย็นยะเยือกนั้นให้เธอได้รับฟังด้วย
.............................................
          เธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานแลความเศร้าโศกเสียใจของผู้ขับร้องบทลำนำเพลงละครโบราณได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่เธอไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ก็คือความหมายอันแท้จริงแห่งบทลำนำเพลง อันแสนจะเศร้าโศกเสียใจ แลหนาวเย็นยะเยือกนั้น มันมีความหมายเป็นเช่นไรกันแน่ มันจะมีสิ่งใดแอบแฝงอยู่ภายในบทลำนำเพลงนั้นหรือไม ผู้ขับร้องบทลำนำเพลงต้องการอยากที่จะบอกกล่าวเล่าเรื่องราวสิ่งใด ให้เธอได้รับฟังได้รับรู้ บทลำนำเพลงละครโบราณมันคือปริศนา อันลึกลับลี้ลับอีกสิ่งหนึ่งของโรงละครผีสิงแห่งนี้ ใช่หรือไม่ หากบทลำนำเพลงแสนเศร้าโศกบทนี้  คือปริศนาอันยาวนานนับศตวรรษอีกอย่างหนึ่งแล้วละก็ เธอจะทำอย่างไรดี ถึงจะสามารถไขปมปริศนาในบทลำนำเพลงโบราณบทนี้ให้กระจ่างแจ้งลงไปได้
          เสียงบทลำนำเพลงละครโบราณจืดจางหายไปได้สักครู่ใหญ่ แสงสว่างจากเชิงเทียนก็เริ่มที่จะปรากฏขึ้นมาจากทางเบื้องหลัง พร้อมเสียงการก้าวเดินของบุคคลอีกสามคน ที่กำลังก้าวเดินตรงเข้ามายังตำแหน่งที่เธอกำลังยืนสงบนิ่ง ครุ่นคิดอะไรอยู่ภายในจิตใจอย่างเพลิดเพลิน จากความหวาดกลัวจนถึงสุดขั้วหัวใจในเวลานี้ เธอกับกำลังก่อเกิดความอยากรู้อยากเห็น อย่างมากมายเกินกว่าความหวาดกลัวในครั้งแรก
          “คุณเกดทำไม ถึงมายืนอยู่ในที่มืดๆ แบบนี้คนเดียวล่ะครับ ผมคิดว่าคุณเกดกำลังเดินติดตามหลังของผมอยู่เสียอีก” น้ำเสียงของภานุแสดงความแปลกใจ และความสงสัยในพฤติกรรมของเธอ และเธอเองก็ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบอกเล่าความจริงให้กับภานุ ได้รับรู้ออกไปตรงๆ ว่าสิ่งที่ได้เดินติดตามหลังของภานุไปนั้น น่าจะเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เธออย่างแน่นอน แต่คนฉลาดอย่างเช่นภานุ อาจที่จะพอรับรู้ได้บ้างด้วยสัญชาตญาณของตัวเขาเองอยู่บ้างแล้วก็ได้
          “อุ๊ย!!..พี่เกดนี้ ไม่ธรรมดาเลยนะคะ ถ้าเป็นเมล์กับดา ยืนอยู่ในที่มืดๆ คนเดียวอย่างนี้ รับรองได้ว่าพวกหนูสติแตกตายกันไปแล้วล่ะค่ะ ไม่เสียแรงเลยนะคะ ที่สถานที่แห่งนี้มันถูกเรียกว่าโรงละครผีสิง น่าหวาดกลัวและสยดสยองพิลึกอยู่จริงๆ”
          “จริงด้วยคะ น่ากลั๊ว น่ากลัว พวกหนูอยากจะกลับบ้านแล้วล่ะคะ” เธอไม่คิดจะตอบคำถามของภานุ หรือไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้กับสองสาววัยรุ่นวัยใสได้รับฟัง เพราะจะมีใครกันสักกี่คนที่จะหลงเชื่อในสิ่งที่เธอจะเริ่มเล่าให้ฟัง แม้แต่เธอเองยังไม่อยากที่จะเชื่อเลย หากไม่ได้พบปะเจอะเจอกับตัวเองมาก่อน
          “คุณภานุ  พวกเราเดินทางกลับไปยังห้องโถงกันเถอะ ฉันอยากที่จะเดินทางกลับบ้านแล้วเช่นกัน” เธอกำลังเริ่มพูดโกหกอีกครั้ง เพราะจริงๆ แล้วเธอยังไม่ต้องการอยากที่จะเดินทางกลับบ้านเลยแม้แต่สักนิดเดียว โดยไม่คิดที่จะรอคอยรับฟังคำตอบ อะไรจากใครเธอเริ่มก้าวออกเดินนำหน้า โดยทิ้งภานุและสองสาววัยรุ่นวัยใสเอาไว้ทางเบื้องหลัง แสงสว่างจากเชิงเทียนของเธอถูกจุดให้ติดสว่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง มันส่องแสงสว่างจนสามารถที่จะมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจน ระหว่างการก้าวเดินเธอก็กำลังคงครุ่นคิดถึงบทลำนำเพลงละครโบราณแปลกๆ นั้นไปด้วย เธอครุ่นคิดวนไปแล้วก็วนมาอย่างต้องการอยากที่จะไขปมปริศนา ในบทลำนำเพลงนั้นให้จงได้ บทลำนำเพลงแปลกๆ จะต้องมีความหมายของอะไรบ้างอย่างแอบแฝงอยู่ภายในเนื้อความของบทเพลงแปลกๆ นั้นด้วยอย่างแน่นอน
“แม้นดวงจิตข้าแยกแลถูกพราก    จักขอฝากวิญญาณรักไว้เฝ้ารอ...”
          มันคือบทลำนำเพลงบทสุดท้ายที่เธอยังคงท่องและจดจำได้อย่างขึ้นใจ แม้เธอจะตกอยู่ในสภาพวะการตกใจตื่นจนสุดขีดก็ตาม และมันก็ยังเป็นบทลำนำเพลงอีกบทหนึ่งที่เธอเองก็ยังคงไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ถึงความหมายอันแท้จริงของมันได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
          “คุณภานุข๊าเมล์ กลั๊ว กลัว อ่ะ...คะ เมล์ขอกอดแขน คุณภานุหน่อยนะค่ะ”
          “คะ..ครับ”
          “อุ๊ย!!..ดาก็กลั๊ว... กลัว ค่ะ ดาก็ขอกอดแขนของคุณภานุเอาไว้ด้วยคนนะค่ะ”
          “คะ..ครับ” น้ำเสียงอันอ่อนหวานดังเช่นรสชาติของน้ำผึ้งเดือนห้าของสองสาววัยรุ่นวัยใส ที่กำลังแสดงความหวาดกลัวต่อมืดมิด แต่มิมีใครคิดที่จะเกรงกลัวต่อความร้ายกาจที่แอบหลบซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจของชายหนุ่มรูปหล่อนามว่าภานุเลย เธอไม่สามารถที่จะคาดเดาความต้องการของภานุได้ ว่าจริงๆ แล้วภานุต้องการอยากที่จะได้สิ่งใดตอบแทนกันแน่ จากภายในโรงละครผีสิงเก่าๆ แห่งนี้  ภานุมีเสน่ห์อย่างมากมายจากรูปร่างหน้าตา นิสัยสุภาพอ่อนโยน ภานุฉลาดและโกหกหลอกลวงเก่งพอๆ กันกับเธอ การที่จะลองสอบถามเอาความจริงจากภานุ จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดหากภานุไม่ต้องการอยากที่จะบอกเล่าสิ่งใด ก็อย่าหวังว่าจะสอบถามเอาความจริงจากชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย
          “คุณภานุ..ข๊า...ชื่อภานุเป็นชื่อจริงๆ ของคุณภานุเลยใช่ไหม อ่ะค่ะ”
          “ครับ ภานุ...เป็นชื่อจริงๆ ของผม”
          “แล้วอย่างนามสกุลล่ะค่ะ คุณภานุมีนามสกุลว่าอย่างไรกันคะ..บอกเมล์กับดาด้วยซิค่ะ”
          “น่ะค๊ะๆๆๆ....บอกเมล์กับดาด้วยนะคะ”
          “ครับผมมีชื่อเต็มๆ ว่า นายภานุ สุวรรณโน ครับ”
          “ว้ายๆๆ!!!...คุณภานุ โกหก เมล์กับดา พวกเราสองคนบ้าดารากันจะตายอย่ามาโกหกหลอกลวงกันเล่นเสียให้ยากเลย ภานุ สุวรรณโน มีหรือเมล์กับดาจะไม่เคยรู้จัก” เสียงหัวเราะของภานุจะดังขึ้นอย่างไม่เต็มน้ำเสียงมากนัก อันมีลักษณะของความหมายว่า…
            “...ผมเกิดมาพร้อมกับเรื่องโกหกหลอกลวงอย่าพยายามคิดที่จะสืบเสาะค้นหาประวัติของผมเสียให้ยากเลย ผมไม่มีทางที่จะบอกเล่าอะไรให้กับพวกคุณได้รับฟังหรอก” เธอเองก็เริ่มจะสงสัยขึ้นมาจริงๆ บางแล้วเช่นกัน ว่าจริงๆ แล้ว ชื่อภานุ ใช่ชื่อจริงๆ ของชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้จริงๆ หรือไม่ หรือว่า ภานุ และใบเฟิร์น จะเป็นชื่อที่เพิ่งนึกและถูกตั้งขึ้นมาอย่างสดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกัน มันต้องใช่อย่างนั้นแน่นอน โลกของบุคคลแปลกหน้ามันเป็นเช่นนี้เอง เมื่อเริ่มต้นโกหกหลอกลวง ต่อไปคำโกหกก็เป็นยิ่งกว่าเป็นเรื่องจริงเสียอีก
          “นายภานุ สุวรรณโน อย่างนั้นรึ ช่างน่าตลกจริงๆ” เธอนึกยิ้มเยาะชื่อปลอมๆ ของภานุอยู่ภายในจิตใจ
          “คุณภานุ..ข๊า บอกเมล์กับดามาเถอะน่าค่ะ หรือถ้าไม่ต้องการอยากที่จะบอกอย่างนั้นพวกเรามาลองแลกบัตรประจำตัวประชาชนกันดูดีไหมค่ะ คุณภานุ...ข๊า” สองสาววัยรุ่นวัยใสไม่คิดที่จะลดละเลิกความพยายามที่จะพิชิตหัวใจนักโกหกหลอกลวงอย่างเช่นภานุ แม้จะรับรู้อยู่ว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะได้รับคำตอบที่เป็นความจริงอย่างแน่นอน
          “ก็ได้ครับ อย่างนั้นพวกเราทั้งสี่คนมาแลกบัตรกันดูเถอะครับ”
          “สี่คนหรือค่ะ”
          “ครับสี่คน” เธอรับรู้ได้ในทันทีและโดยอัตโนมัติบุคคลที่สี่คือใครกัน แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่เธอกำลังคาดคิดคาดเดาเอาไว้ เสียงร้องตะโกนเรียกชื่อของเธอ เริ่มส่งเสียงดังมาจากทางเบื้องหลัง
          “คุณพี่เกด..ข๊า พวกเรามาแลกบัตรประชาชนกันดูเถอะนะค่ะ” เสียงเมล์วัยรุ่นวัยใสตะโกนเรียกชื่อของเธอ
          “น้องดา น้องเมล์ จ๊ะ พี่ว่าน้องทั้งสองคนอย่าได้พยายามแลกบัตรกับคุณภานุเธอเลยนะจ๊ะ พี่คิดว่าคุณภานุของน้องๆ คงจะมีบัตรปลอมเก็บสะสมเอาไว้ดูเล่น น่าจะมีเป็นโหลๆ เลยล่ะจ๊ะ”
          “ว้ายจริงหรือคะ พี่เกด”
          “พี่ยอมเอาหัวเป็นประกันเลยล่ะจ๊ะ” เสียงภานุหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้ง อันมีความหมายในน้ำเสียงว่า
            “ผมยอมรับก็ได้ครับว่า ผมมีบัตรปลอมพกติดตัวอยู่จริงๆ”
          “คุณเกดรับรู้ได้อย่างไรกันครับ ว่าผมมีบัตรปลอมพกติดตัว หรือว่าคุณเกดเองก็พกบัตรปลอมติดตัวอยู่ด้วยเช่นกัน” ภานุตั้งคำถามกลับคืนมาที่เธออีกครั้งด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นคนกำลังมีความสุขสนุกสนานจากอะไรอยู่สักอย่างและสิ่งนั้นอาจที่จะต้องเป็นเธออยู่ก็ได้
          “หากคุณภานุ ต้องการอยากที่จะลองพิสูจน์ คุณก็แสดงบัตรปลอมของคุณให้ฉันดูก่อนสิค่ะ แล้วฉันจะลองโชว์บัตรปลอมของฉันให้คุณได้ดูบ้าง และที่ฉันพอที่จะคาดเดาได้ว่าคุณน่าจะมีบัตรปลอมพกติดตัว ก็เพราะว่าคุณมันด่วนตอบรับและตกลงที่จะแลกบัตรเร็วเกินไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่ค่อยจะตรงกันกับนิสัยนักโกหกหลอกลวงเช่นคุณภานุเลยก็เท่านั้นเอง”
          “โอ้โฮ้!!!...พวกพี่สองคนนี้ สุดยอดกันไปเลย พวกพี่สองคนเป็นพวกสิบแปดมงกุฎกลับชาติมาเกิดกันหรือเปล่าค่ะ เมล์ขอยอมรับนับถือพวกพี่ๆ จริงๆ เลย”
          “ดา...ก็ด้วยขอยอมรับนับถือพวกพี่เหมือนกัน พวกพี่นี้ร้ายกาจไม่เบาเลยนะคะ”
          “น้องดากับน้องเมล์ น่าจะมองพี่ชายคนนี้ผิดไปมากเลยนะครับ คนที่น้องๆ ควรที่จะคิดระวังตัวอย่างมากๆ น่าจะเป็นคุณพี่เกดของน้องๆ มากกว่า”
          “ทำไมหรือค่ะ พี่ภานุ ข๊า”
          “น้องดากับน้องเมล์ ก็ลองคิดดูเอาเองสิครับ ผู้หญิงธรรมดาตัวคนเดียวทำไมถึงได้กล้าหาญชาญชัยอย่างมากมายนัก ขนาดตัวของพี่เองเป็นผู้ชายร่างกายบึกบึนแข็งแรง ยังคิดแล้วคิดอีกถึงได้รวบรวมความกล้าหาญ เดินทางมายังโรงละครผีสิงแห่งนี้ ส่วนน้องทั้งสองคนต่างก็ต่างเดินทางมาด้วยกันเป็นคู่ แต่คุณพี่เกดของน้องๆ เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาตัวคนเดียว แถมคุณเธอยังไม่ได้รู้จักมักคุ้นสนิทสนมกับใครเขาเลยแม้แต่เพียงคนเดียว ทำไมเธอถึงได้กล้าหาญมากมายนัก สามารถที่จะออกเดินทางมายังสถานที่อันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้เพียงลำพังแค่ตัวคนเดียว จริงไหมล่ะครับ”
          “อุ๊ย!!จริงๆ อย่างที่คุณพี่ภานุพูดมาจริงๆ ด้วย มันตรงกับความคิดของเมล์ที่พบเห็นหน้าของคุณพี่เกดในครั้งแรกเลย อ่ะค่ะ” เธอจับจ้องมองภานุอย่างนึกเอือมระอาในนิสัยความเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่ม สุดท้ายภานุก็ทำให้เธอกลับกลายต้องตกเป็นจำเลยของเรื่องราวอันไร้สาระนี้อีกจนได้ แล้วเธอจะต้องคอยอธิบายถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเธอเองให้กับ สองสาววัยรุ่นวัยใสได้รับฟังด้วยไหมนะ เธอเริ่มที่จะกลุ่มใจขึ้นมาบ้างเสียแล้วสิ
          “คุณเกด คงต้องอธิบายให้กับพวกเราได้รับฟังบ้างแล้วล่ะครับ ทำไมคุณเกดถึงได้กล้าหาญขนาดที่ สามารถออกเดินทางมายังสถานที่อันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้เพียงลำพังแค่คนเดียว” น้ำเสียงของภานุ เป็นการออกคำสั่งด้วยรอยยิ้มที่นึกสนุกสนาน และภานุก็รับรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าเธอไม่มีทางที่จะอธิบายสาเหตุจริงๆ ที่ออกเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ให้กับใครได้รับฟังอย่างแน่นอน
          “ฉันก็แค่นึกเบื่อหน่ายช่วงวันหยุดยาวๆ และไม่รู้ว่าจะขับรถไปเที่ยวที่ไหนดี พอดีว่าขับรถไปขับรถมาก็เลยนึกถึงเกมส์แปลกๆ ขึ้นมาได้เลยลองขับรถผ่านมาดูก็เท่านั้นเอง”
          “โอโฮ้!!! คุณเกดนี้โกหกได้แย่มากเลยนะครับ และผมเองก็ไม่คิดอยากที่จะหลงเชื่อเลยสักคำพูด ที่คุณเกดพูดออกมา”
          “ก็แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกันค่ะ...ออ..และฉันเองก็ไม่คิดจะหลงเชื่อคำพูดของคุณภานุสักคำเดียวเช่นกัน” การสนทนาระหว่างเธอ ภานุ และสองสาววัยรุ่นวัยใส เดินทางมาจนถึงจุดหมายปลายทางอีกครั้ง โดยที่ทุกคนต่างก็ยังไม่สามารถที่จะไขปมปริศนาและไขปมอดีตของเพื่อนสมาชิกในกลุ่มได้เลย ประวัติส่วนตัวของทุกๆ คนล้วนแล้วแต่ถูกเก็บกักซ่อนเอาไว้ภายใต้คำพูดโกหกหลอกลวง แม้แต่ตัวของเธอเอง ก็มีเรื่องที่ไม่ต้องการอยากที่จะให้ใครได้รับรู้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ปมปริศนาที่ยังคงวิ่งวนเวียนอยู่ภายในจิตใจของเธออย่างมากมายที่สุดในขณะนี้ ก็คือบทลำนำเพลงผีสิงที่เพิ่งได้รับฟังมาอย่างสดๆ ร้อนๆ เธอจะทำอย่างไรดีถึงจะสามารถไขปมปริศนาในบทลำนำเพลงผีสิงพวกนั้นได้
...................................
          “แย่แล้วล่ะครับ ทุกคน พวกเราไม่สามารถที่จะกลับบ้านกันได้แล้วล่ะครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มหนึ่งในสามคนที่เธอยังไม่เคยได้เข้าไปตีสนิทพูดคุยด้วยอย่างเช่นภานุ หากเธอยังจดจำน้ำเสียงได้อย่างไม่ผิดพลาดชายหนุ่มท่าทางตื่นตกใจกลัวจนสุดขีดผู้นี้มีชื่อว่าศักดิ์ ลักษณะท่าทางของศักดิ์จะดูคล้ายคลึงกันกับภานุ แต่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อย และอ้วนกว่าเล็กน้อยด้วย ส่วนรูปร่างหน้าตาน่าจะรูปหล่อน้อยกว่าภานุอยู่ถึงสามส่วน
          “ทำไมหรือศักดิ์” น้ำเสียงตั้งคำถามอย่างตื่นตกใจสุดขีด ไม่แพ้คนรีบวิ่งมาแจ้งข่าวสารมากมายนัก เธอจดจำน้ำเสียงได้ด้วยเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าโอม และรูปหล่อเป็นอันดับสี่รองจากศักดิ์แล้วก็วัตร
          “ก็น้ำในแม่น้ำนะซิ มันพัดพาเอาสะพานขาดหายไปแล้ว”
          “ว้าย!!..แล้วใบเฟิร์น จะทำอย่างไรดีล่ะคะนี้ สามีและลูกๆ ของใบเฟิร์น คงต้องเฝ้ารอคอยและคิดถึงใบเฟิร์นอยู่แน่ๆ เลยค่ะ” คำพูดแสดงความตกใจสุดขีดของสาวแก่วัยใสนามว่าใบเฟิร์น
          “อุ๊ย!!...คุณป้าใบเฟิร์น มีลูกมีผัวกับเขาแล้วหรือ...จ๊ะ...โกหกอีกหรือเปล่าจ๊ะนี้”
          “จริงด้วย...โกหกกันแน่ๆ เลย...ฉันขอเอาหัวเป็นประกันเลย” น้ำเสียงเยาะๆ ของนางร้ายอย่างในละครน้ำเน่ามันคือน้ำเสียงของสองสาววัยรุ่นวัยใสนามว่าเมล์และดา
          “อ้าย!!! นังเด็กเหลือขอ ตัวแสบ นังเด็กผี พวกหล่อนสองตัวอีกแล้วหรือย่ะ..เมื่อไรเด็กเลวๆ อย่างพวกหล่อนสองตัวถึงไม่รีบที่จะไปตายๆ ไปผุดไปเกิดกันสักทีนะ” ทุกอย่างกำลังกลับคืนมาสู่สภาพปกติอย่างเดิมเช่นในครั้งแรก ที่เธอเพิ่งที่จะก้าวเดินทางเข้ามาถึงยังห้องโถงแห่งนี้ใหม่ๆ แต่มันกลับมีบางสิ่งที่แตกต่างกันออกไป เธอคิดว่าคงยังไม่มีใครที่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกตินั้นได้เลยนอกจากเธอเพียงผู้เดียวเท่านั้น
          “คุณภานุคะ...แล้ว ผู้ชายอีกคนหายไปไหนแล้วล่ะค่ะ”  ทุกคนพากันเงียบเสียงลงโดยอัตโนมัติแล้วเริ่มหันหน้ามาจับจ้องมองเธอเป็นตาเดียวกัน
          “ใครหายไปหรือคุณเกด...” น้ำเสียงของภานุแสดงอาการแปลกใจปนๆ น้ำเสียงตื่นตกใจกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
          “พวกคุณจดจำผู้ชายอีกคนไม่ได้แล้วหรือไงกันคะ เขามีชื่อว่าวัตร เขายื่นอยู่ข้างๆ กันกับคุณโอม และเขาก็แนะนำตัวกับฉันเป็นคนสุดท้ายต่อจากคุณโอมด้วย”
          “คุณเกด อย่ามาล้อผมกับทุกคนเล่นอย่างนี้สิครับ ไม่ตลกเลยนะครับ” น้ำเสียงของโอมแสดงอาการของความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
          “คุณเกด คุณคงที่จะจดจำอะไรผิดไปแล้วล่ะครับ พวกเรามาที่นี่ ด้วยกันเพียงแค่ ผู้ชาย 3 คน และผู้หญิง 4 คน รวมเป็น 7 คนเท่านั้น คนชื่อวัตรอะไรนั้นไม่มีอยู่แน่ๆ ครับ โดยเฉพาะในกลุ่มของพวกเราไม่มีผู้ชายชื่อวัตรอย่างแน่นอน”
          “ปะ...เป็นไปไม่ได้...มันต้องมีผู้ชาย 4 คน และผู้หญิง 4 คนซิ...ค่ะ” หรือว่าเธอจะถูกผีหลอกหลอนเข้าให้อีกแล้ว เธอโดนผีหลอกตั้งแต่เธอเริ่มก้าวเท้าเดินเข้ามายังโรงละครผีสิงแห่งนี้เลยหรือนี้ โรงละครผีสิงแห่งนี้มันช่างดูน่าหวาดกลัวเสียจริงๆ ใบหน้าของชายหนุ่มคนที่สี่ ณ ขณะนี้ เธอเองก็ยังคงจดจำได้อย่างไม่อาจที่จะลืมเลือนมันออกไปจากภายในจิตใจได้เลย อาจจะเป็นเพราะระยะเวลาในการพบปะเจอะเจอหน้ากัน เพิ่งผ่านไปได้เพียงแค่ไม่นานมากมายนักก็ได้ เธอยังคงจดจำแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของชายหนุ่มที่กำลังจับจ้องมองเธอในครั้งแรกได้เป็นอย่างดี เฉกเช่นเดียวกันกับที่เธอเองก็ยังคงจดจำบทลำนำเพลงอันสุดแสนจะเศร้าโศกที่หนาวเย็นยะเยือกนั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน หรือว่า ปมปริศนาแห่งบทลำนำเพลงอันสุดแสนจะเศร้าโศกหนาวเย็นยะเยือกนั้น มันจะเกี่ยวข้องกันกับชายหนุ่มปริศนาคนที่สี่ อันมีนามว่าวัตรผู้นี้ด้วย เธอนึกทบทวนบทลำนำเพลงอันสุดแสนเศร้าโศกเสียใจนั้นขึ้นภายในจิตใจอีกครั้งอย่างนึกจดจำได้อย่างขึ้นใจ
 
“.....หมื่นราตรีแสงบุหลันพราวฟากฟ้า     ดวงจิตข้ายังคงรักเสน่หา
แม้นสิ้นชีพวายปราณนานศตวรรษ      ยังผูกรัดมัดดวงจิตแลเศษซาก
ฝังจิตรักแยกร่างลึงค์ตรึงสุสาน     นานแสนกาลหมื่นบุหลันข้าบ่จาก
แม้นดวงจิตข้าแยกแลถูกพราก    จักขอฝากวิญญาณรักไว้เฝ้ารอ...”
 
........................................... 


 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา