ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง
4) บทที่ 4 ปริศนาบทลำนำเพลงผีสิง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
ปริศนาบทลำนำเพลงผีสิง
ต้นสมัยรัชกาลที่ ๔ คุณหลวงวัตรบดินทร ชายหนุ่มรูปหล่อในวัย ๓๓ ปี เป็นบุตรคนเดียวของเจ้าพระยารัตนบดินทร คุณหลวงวัตรบดินทรได้ผ่านการบวชเรียนจากพระอาจารย์ผู้มีตบะและฌานอันแก่กล้า จนสำเร็จศาสตร์มืดมนต์ดำมากมายหลากหลายแขนงเฉกเช่นเดียวกันกับพระอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้ คุณหลวงวัตรฯ ยืนสงบนิ่งจับจ้องมองโรงละครอันเก่าแก่แลทรุดโทรม ที่ถูกเปลวไฟแผดเผาจนมอดไหม้เกือบจะหมดสิ้นทั้งหลัง หลงเหลือเอาไว้แต่สภาพเพียงบางส่วนของโรงละครเท่านั้น ที่ยังคงสภาพพอที่จะใช้ทำงานได้อีกยาวนานหลายสิบปี แต่ในเพลานี้มันจะสำคัญอะไรกันเล่า
ในเมื่ออีกเพียงไม่กี่เพลาข้างหน้าโรงละครแห่งนี้ก็จะถูกทุบทิ้งและเริ่มต้นก่อสร้างขึ้นมาใหม่อยู่แล้ว โรงละครอันเก่าแก่เริ่มก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรกรุงสุโขทัยตอนกลางและแล้วเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โรงละครอันเก่าแก่เป็นทรัพย์สินที่ได้รับเป็นศักดินาสืบต่อกันมาจากเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน อันเป็นศักดินาของเจ้าพระยารัตนบดินทร บิดาของคุณหลวงวัตรบดินทรบุตรชาย ศักดินาต่างสืบต่อกันมาจากรุ่นปู่ ของปู่ ของปู่ จนมาถึงรุ่นบิดาของคุณหลวงวัตรฯ เอง ณ เพลานี้
“คุณหลวงวัตรฯ ขอรับ สภาพโรงละครอันเก่าแก่แห่งนี้ มันน่าหวาดกลัวจริงๆ นะขอรับ เล่าลือกันว่าสมัยโรงละครแห่งนี้ มันเริ่มก่อสร้างขึ้นมาใหม่ๆ มันต้องใช้ชีวิตของคนบริสุทธิ์ หลายสิบหลายร้อยคน เพื่อตอกค้ำยันเสาศิวลึงค์หลักเอาไว้ เพื่อเซนไหว้ต่อพระศิวะก่อนการก่อสร้าง นะขอรับคุณหลวงฯ ถึงที่จะสามารถก่อสร้างโรงละครแห่งนี้ ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ได้ นะขอรับคุณหลวง” อ้ายจัน บ่าวในเรือนกินตำแหน่งเป็นไพรในเรือนเจ้าพระยารัตนบดินทรบิดาของคุณหลวงวัตรฯ แลอ้ายจันยังเป็นบ่าวคนสนิทของคุณหลวงวัตรฯ อีกด้วยแม้คุณหลวงวัตรจะออกบวชเรียนเพื่อศึกษาเล่าเรียนวิชากับพระอาจารย์ อ้ายจันบ่าวคนสนิทก็ยังได้ติดตามคุณหลวงวัตรฯ ออกไปบวชเรียนเป็นเพื่อนคอยรับใช้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย อ้ายจันจึงเป็นบ่าวสนิทที่พอจะมีความรู้อ่านออกเขียนได้อยู่บ้าง อ้ายจันเริ่มสาธยายเรื่องเล่าต่างๆ ที่เคยได้ยินได้รับฟังมาให้กับคุณหลวงวัตรฯ เจ้านายคนสนิทได้รับฟังด้วยน้ำเสียงอันหวาดกลัวต่อสถานที่อันลึกลับแห่งนี้
“อ้ายจัน เอ็งแอบหนีงานที่ข้าสั่งให้เอ็งทำ ไปดูลิเกเร่ตามงานวัดมาอีกแล้วอย่างนั้นรึ เพลานี้เอ็งถึงได้เล่าเรื่องโกหกได้จนคล่องแคล้วเยื้องนี้” คำพูดล้อเล่นกับบ่าวคนสนิทเต็มไปด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียที่อ่อนโยน ทำให้อ้ายจันไม่ได้มีความรู้สึกนึกเกรงกลัวเลยแม้สักนิด
“โธ่ คุณหลวงวัตรฯ ขอรับ อ้ายจันมีรึ จะกล้าแอบหนีงานไปดูลิเกเร่ หากอยากจะไปจริงๆ อ้ายจันก็มาขอจากคุณหลวงดีๆ คุณหลวงวัตรฯ ก็ให้อ้ายจันไปดูอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องแอบหนีไปเลยขอรับ” บ่าวคนสนิทตอบรับคำพูดล้อเล่นของคุณหลวงวัตรฯ ด้วยน้ำเสียงที่เคารพนับถือและมีความซื่อสัตย์เจือปนอยู่ภายในน้ำเสียงนั้นด้วย มันทำให้คุณหลวงวัตรฯ ไม่ต้องการอยากที่จะล้อเล่นกับบ่าวในเรือนให้รู้สึกเกรงกลัวเล่นอีกต่อไป
“ข้ารู้หรอกน่า อ้ายจัน ข้าแค่ล้อเล่นกับเอ็งไปเท่านั้น”
“อ้ายจัน ก็รู้อยู่แล้วล่ะขอรับ ว่าคุณหลวงวัตรฯ พูดล้อเล่นกับอ้ายจัน แต่ที่อ้ายจันเล่าให้คุณหลวงได้รับฟังมันเป็นเรื่องจริงนะขอรับ จริงมากๆ ด้วยขอรับ ไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่สักนิดเดียว นะขอรับคุณหลวงฯ..” น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังมุ่งมั่นของบ่าวคนสนิทมันเริ่มที่จะทำให้คุณหลวงวัตรฯ ก่อเกิดความสงสัยในโรงละครอันเก่าแก่ ใกล้พังผุผังแห่งนี้เพิ่มมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน คุณหลวงวัตรฯ ถือคบไฟที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าแล้วก้าวเดินตรงเข้าไปยังเสาหรือแท่งศิวลึงค์หลักที่ใช้ยึดตรึงโรงละครอันใกล้พังแห่งนี้เอาไว้ แล้วเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับพื้นผิวสีดำมันเพียงเบาๆ แท่งศิวลึงค์ที่ถูกเปลวไฟแผดเผาจนมอดไหม้ เป็นเวลายาวนานหลายชั่วโมง ก็เริ่มก่อเกิดการแตกร้าวแลพังพิงลงมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในเพลาต่อมา
ภายในเศษซากของแท่งศิวลึงค์หลักอันน่าจะมีแค่เศษของก้อนหินแลก้อนอิฐ แต่ ณ เพลานี้ รอบข้างกองก้อนหินและอิฐ คุณหลวงวัตรฯ จับจ้องมองเห็นเศษซากของโครงกระดูกของมนุษย์โบราณ พร้อมหัวกะโหลกสีดำเป็นนิล มันกลิ้งมาหยุดสงบนิ่งสนิทอยู่ยังข้างๆ ปลายเท้าของคุณหลวงวัตรฯ อย่างพอดิบพอดี คุณหลวงวัตรฯ เอื้อมมือพร้อมย่อเข่าโค้งลำตัวลงไปยังจุดหมายปลายทางเบื้องล่างใกล้ๆ กันกับปลายเท้าพร้อมที่จะหยิบจับเอาหัวกะโหลกอันไร้ซึ่งชีวิตแลวิญญาณขึ้นมาจับจ้องมองดูอย่างใกล้ๆ และก่อนที่จะเริ่มหยิบหัวกะโหลกสีดำเก่าๆ นั้นขึ้นมา บ่าวคนสนิทก็ได้เริ่มร้องเตือนคุณหลวงขึ้นมาเสียก่อน
“คะ..คุณหลวงวัตรฯ ขอรับ ยะ..อย่า แตะต้องมันนะขอรับ เศษซากเหล่านี้มันถูกผูกรัดจิตอาฆาตและต้องมนต์ดำ แลแรงอาถรรพ์ นะขอรับ” บ่าวคนสนิทร้องเตือนด้วยน้ำเสียงอันหวาดกลัว แลรับรู้ได้ถึงเรื่องราวอันผิดปกติของอะไรบางสิ่งบางอย่าง ที่แม้แต่คุณหลวงวัตรฯ เองก็มิเคยคาดคิดหรือรับรู้ถึงมันมาก่อนเลย
“อ้ายจัน ข้าก็ศิษย์มีครู มีอาจารย์เหมือนกันนะเอ็ง จะเกรงกลัวอะไรกับอาถรรพ์ กันนักกันหนากับแค่หัวกะโหลกเก่าๆ พวกนี้กัน” คุณหลวงวัตรฯ ไม่คิดจะต่อว่าอ้ายจันบ่าวคนสนิทเลยแม้แต่น้อย แม้นน้ำเสียงของคุณหลวงวัตรฯ จะมีความโกรธและโมโหเจือปนอยู่บ้างก็ตาม คุณหลวงวัตรฯ เพียงต้องการอยากที่จะให้อ้ายจันควบคุมสติของตนเองให้ได้ดีขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น
“ตะ...แต่ครั้งนี้เชื่ออ้ายจันสักครั้งเถอะนะขอรับ ซากโครงกระดูกพวกนี้มันต้องมนต์อาถรรพ์ฝังจิตฝังร่างมัดตรึงแท่งศิวลึงค์หลักพวกนี้อยู่แน่ๆ ขอรับคุณหลวง” อ้ายจันยังไม่ลดละที่จะร้องเตือน ยังคงใช้น้ำเสียงอันหวาดกลัว ร้องเตือนคุณหลวงวัตรฯ อยู่เช่นเดิม
“อ้ายจันเอ็งเงียบเสียงลงได้แล้ว และออกไปรอคอยข้าอยู่ด้านนอกอย่าได้ให้ใครเข้ามารบกวนข้า หากข้ามิได้ร้องตะโกนเรียก ข้าจะเริ่มเข้าสมาธิบริกรรมคาถาเชื่อมต่อกับโครงกระดูกเก่าๆ ภายในกองแท่งศิวลึงค์หลักพวกนี้ดู ข้าจะดูสิว่าสิ่งที่เอ็งกำลังนึกหวาดกลัวจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่” คุณหลวงวัตรฯ ออกคำสั่งกับอ้ายจันบ่าวคนสนิทเสียงดังฟังชัด จนอ้ายจันไม่กล้าที่จะคิดที่จะขัดใจ คุณหลวงวัตรฯ ไม่รอคอยรับฟังการตอบรับสิ่งใดจากบ่าวคนสนิทอีก คุณหลวงวัตรฯ ย่อเข่านั่งลงและเริ่มนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นข้างๆ กันกับหัวกะโหลกสีดำดังนิลนั้นแล้วเริ่มบริกรรมคาถาในดวงจิตในทันที กาลเวลาหมุนเปลี่ยนจากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นปี จากปีเป็นหนึ่งศตวรรษต่อมา
........................................
เวลา ณ ปัจจุบัน...
“สวัสดีครับผมวัตรครับ...” คุณหลวงวัตรฯ จับจ้องมองวงหน้าหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างนึกรักเสน่ห์หาในครั้งแรกที่พบปะเจอะเจอ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ได้เข้ามาขว้างกั้นคุณหลวงวัตรฯ และหญิงสาวเบื้องหน้าเอาไว้ สิ่งนั้นก็คือกาลเวลาที่แตกต่างกันยาวนานนับศตวรรษ จากวินาทีที่ได้นั่งลงบริกรรมคาถาฝังจิตฝังร่างกับหัวกะโหลกสีดำดังนิลเก่าๆ นั้น ดวงจิตของคุณหลวงวัตรฯ ก็ได้สะสมวิชาการความรู้แลผลบุญ แลผลกรรม จากชาติภพปางก่อนที่ต้องคอยติดตามชดใช้กันมาอย่างยาวนานหลายสิบหลายร้อยชาติภพ จนมาพบปะเจอะเจอวงหน้านางอันเป็นยอดรักครั้ง
“ยินดีที่ได้รู้จักกับทุกคนเช่นกันนะคะฉันชื่อ เกด..คะ” น้ำเสียงเพราะๆ ของหญิงสาวคนรักในชาติภพเก่าก่อนหวนกับคืนมาสู่ดวงจิตของคุณหลวงวัตรฯ อีกครั้ง นามของหญิงสาวคนรักเมื่อศตวรรษเก่าก่อนมิได้มีชื่อว่าเกด เช่นในเพลานี้นางมีชื่อว่า...การะเกด...แม้นเครื่องทรงตลอดจนการแต่งกายของหญิงสาวทั้งสองคนจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเพลา แต่วงหน้าอันงดงามของแม่นางการะเกดก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อครั้งศตวรรษเก่าก่อนไม่มีผิด มันไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่สักนิดเดียว
“พี่รักเจ้ามากนะ การะเกด...เจ้ารักพี่บ้างหรือไม่”
“รัก...การะเกด...รัก...มิได้...รักมิได้จริงๆ”
......................................................
“คุณเกด กำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ” น้ำเสียงของภานุแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเธอ ซึ่งสังเกตได้จากสีหน้าและแววตาที่ฉายแววได้อย่างชัดเจน
“เปล่าคะไม่มีอะไร แล้วต่อไปพวกเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะคะ จะกลับบ้านกัน ก็กลับไม่ได้ จะพากันอยู่ต่อที่โรงละครผีสิงแห่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะพากันไปหลับไปนอนกันที่ไหนดี แล้วนี้เวลาเท่าไรแล้วคะคุณภานุ” เธอรู้ว่าภานุมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมายหลายสิบเรื่องเช่นเดียวกันกับเธอ โดยเฉพาะเรื่องที่เธอได้เพิ่งตั้งคำถามกับภานุไป เธอรับรู้ว่าอีกไม่นานภานุจะต้องมีคำตอบมาให้กับเธอ ภานุยกข้อมือขึ้น พร้อมจับจ้องมองดูนาฬิกาข้อมือที่เขาเองแอบอ้างว่ามันได้เสียไปแล้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ภานุยินยอมที่จะบอกเวลาให้กับเธอได้รับรู้ โดยที่ไม่คิดจะโกหกหรือปิดบังอย่างเช่นในครั้งแรก
“ เอ่อ...09.00 นาฬิกา แล้วครับ คุณเกด”
“อุ๊ย!!! เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด นาฬิกาของคุณภานุ มันต้องเสียไปแล้วอย่างแน่นอนเลย ใบเฟิร์นขอยืนยันนั่งยันนอนยันเลยล่ะคะ ใครมีนาฬิกาข้อมืออีกบ้างขอใบเฟิร์นดูเวลาหน่อย” น้ำเสียงสาวแก่นักขายประกันกำลังแสดงอาการตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัดเจน เช่นเดียวกันกับแววตาของสมาชิกทุกคนด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณศักดิ์ คุณโอม พวกคุณมีนาฬิกาบ้างไหมค่ะ ขอใบเฟิร์นดูเวลาหน่อยเถอะนะคะ” น้ำเสียงที่แสดงความหวาดกลัว ของใบเฟิร์นทำให้สองหนุ่มหล่อต้องรีบทำตามคำขอร้องของใบเฟิร์น ชายหนุ่มทั้งสองคนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ สะ...สามทุ่มตรง ครับ” สองหนุ่มตะโกนบอกเวลาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ขึ้นพร้อมเพรียงกันแม้นทั้งสองหนุ่มหล่อจะพยายามแอบหลบซ่อนความหวาดกลัวและความรู้สึกตื่นตกใจเก็บกักเอาไว้อย่างมิดชิดเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม แต่สีหน้าแววตาที่แสดงท่าทางตลอดจนอาการอันผิดปกติ ก็ไม่สามารถที่จะปิดบังซ่อนเร้นได้อย่างมิดชิด สาวแก่วัยใสนามว่าใบเฟิร์นเองก็พอที่จะสังเกตและจับจ้องมองเห็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน
“อ้าย!!...ใบเฟิร์นไม่เชื่อ ให้ตายใบเฟิร์นก็ไม่มีวันเชื่อ พวกคุณรวมหัวกันหลอกใบเฟิร์นใช่ไหมค่ะ อ๊อ...มันเป็นเกมส์ใช่ไหม ...พวกคุณแอบติดตั้งกล้องเอาไว้ใช่ไหม... ไหนกล้องมันแอบซ่อนอยู่ที่ตรงมุมไหนบอกใบเฟิร์นมาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ... ใบเฟิร์นอยากจะกลับบ้านแล้ว ไม่อยากจะเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้อีกแล้ว...” จากน้ำเสียงที่เคยตื่นตกใจและหวาดกลัว ณ เวลานี้ สาวแก่วัยใสนามว่าใบเฟิร์นกับมีอาการอย่างอื่นแทรกเข้ามาอีกด้วย และอาการนั้นก็มีลักษณะไม่แตกต่างอะไรจากคนใกล้ที่จะเป็นบ้าสักเท่าไรนัก ใบเฟิร์นกำลังออกอาการและท่าทางอย่างคนคลุ้มคลั่งทั้งทางร่างกายสีหน้าและแววตา เสียงตะโกนอันดังกึกก้องกังวานไปทั่วทั้งโรงละครผีสิง ตลอดจนคำถามแปลกๆ ของใบเฟิร์นก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่น่านำเอามาคิดไตร่ตรอง แม้แต่เธอเองก็ยังแอบคิดสงสัยและอยากที่จะตะโกนตั้งคำถามอย่างที่ใบเฟิร์นเพิ่งจะตะโกนออกไปบ้างเช่นกัน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่าเพราะขนาดเธอเองก็ยังสืบเสาะแสวงหาคำตอบกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้ไม่ได้เลย แล้วจะมีใครที่จะสามารถแยกแยะเรื่องจริงเรื่องเท็จออกจากเกมส์แปลกๆ ที่บุคคลปริศนาแอบสร้างมันขึ้นมาได้ แม้แต่เธอเองก็ยังไม่สามารถที่จะแยกแยะมันออกจากันได้เลย
“คุณใบเฟิร์นครับ ควบคุมสติหน่อยสิครับ...” มันคือน้ำเสียงของศักดิ์ มันเป็นน้ำเสียงของการออกคำสั่งมิใช่น้ำเสียงของการขอร้องดีๆ ให้ใบเฟิร์นหยุดอาการคลุ้มคลั่งลงเลย แต่ใบเฟิร์นเองหรือก็หาใช่ว่าจะได้ยินได้ฟังน้ำเสียงอะไรไม่ ยังคงออกอาการและท่าทางคลุ้มคลั่งอยู่ต่อไป
“ใบเฟิร์นไม่...เชื่อ... ทั้งเรื่องเกมส์บ้าๆ พวกนี้ ทั้งเรื่องเวลาในนาฬิกาบ้าๆ พวกนั้น หรือเรื่องสะพานที่ถูกน้ำพัดพาจนขาดหายไปแล้วด้วย ใบเฟิร์นไม่มีวันเชื่อ...!! ใบเฟิร์นจะกลับบ้านๆ เชิญพวกคุณร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้ ต่อกันไปเถอะ ใบเฟิร์นไม่ขออยู่เล่นต่อแล้ว...” อาการคลุ้มคลั่งของใบเฟิร์นยิ่งเพิ่มทบทวีคูณเป็นเท่าตัว จนใบเฟิร์นไม่อยากคิดที่จะรับฟังน้ำเสียงหรือเหตุผลของใครอื่นอีกต่อไป ใบเฟิร์นหมุนตัวกลับหลังหันแล้วเริ่มออกก้าวเดินตรงไปยังประตูทางเข้าและออกจากโรงละครผีสิงแห่งนี้ มันคือเส้นทางอันเดียวกันกับที่เธอเปิดประตูวิ่งหลบฝนผ่านเข้ามา แต่โอมชายหนุ่มรูปหล่อและผู้มีลักษณะอ่อนโยนวิ่งเข้าไปขว้างกั้น เบื้องหน้าของใบเฟิร์นเอาไว้เสียก่อน เพราะรับรู้อย่างแน่นอนแล้วว่าอย่างไรเสียใบเฟิร์นก็คิดที่จะวิ่งผ่านออกไปจากโรงละครแห่งนี้จริงๆ
“คุณใบเฟิร์นครับ รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อนเถอะนะครับ แล้วผมจะไปเป็นเพื่อนกันกับคุณใบเฟิร์นเอง ผมให้สัญญาเลยครับ” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของโอมมันสามารถที่จะหยุดใบเฟิร์นเอาไว้ได้เจริงๆ แม้นแววตาของใบเฟิร์นจะยังคงแข็งกร้าวและดื้อดึงอยู่บ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่กับที่ ดังเช่นกำลังถูกกาวตราช้างยึดตรึงติดเอาไว้กับพื้นจนไม่สามารถที่จะก้าวเดินต่อไปไหนได้อีก
“นะครับคุณใบเฟิร์น อยู่ต่อเถอะนะครับ เวลานี้มันอันตรายและก็มืดมิดมากๆ ด้วย ถนนก็ลื่นมากๆ และเปลี่ยวมากๆ เสียด้วย หากขับรถไปแล้วเกิดเสียขึ้นกลางทางก็ยิ่งแย่กว่าเดิมอีกนะครับ...” คำขอร้องที่อ่อนโยนของโอมมันใช้ได้ผลจริงๆ ใบเฟิร์นหมุนตัวกลับหลังหันกลับคืนมาอีกครั้ง แล้วเริ่มก้าวเดินตรงกลับมาอย่างคนกำลังนึกหวาดกลัวในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างรอบข้าง ลำตัวที่งองุ้มของใบเฟิร์นก้าวเดินตรงกลับคืนมานั่งลงยังที่เดิมอย่างไม่คิดที่จะพูดจะจากับใครอื่นอีกเลย แม้แต่กับสองสาววัยรุ่นวัยใสคู่ปรับตลอดกาลก็ตามที โอมเองก็ก้าวเดินตรงกลับคืนมานั่งลงใกล้ๆ กันกับศักดิ์คู่หูยามยากอีกครั้ง พร้อมจับจ้องมองสำรวจสีหน้าและแววตาของทุกๆ คน โดยเฉพาะสีหน้าแววตาของภานุ ที่โอมเริ่มที่จะให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นและจับจ้องมองอยู่โดยตลอดเวลาที่มีโอกาส โอมอาจจะมีความคิดว่าภานุเองก็น่าจะพอช่วยเหลืออะไรกับทุกคนในกลุ่มได้บ้างด้วยเช่นเดียวกันกับเธอ
………………………………………………….
ภานุรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของทุกๆ คน ยกเว้นแต่หญิงสาวสวยนามเกด เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ภานุไม่สามารถที่จะรับรู้ได้เลยว่ามีความคิดหวาดกลัวหรือตื่นตกใจกลัวเฉกเช่นด้วยกันกับทุกๆ คนหรือไม่ คุณเธอช่างสร้างกำแพงของหัวใจและจิตใจเข้าปกปิดความลับของอะไรบางอย่างเอาไว้ได้อย่างมิดชิด แล้วแสดงจิตใจด้านที่เป็นความอ่อนแอออกมาปกปิดด้านที่แข็งแกร่งของเธอเอาไว้ ในยามนี้หากที่จะเพ่งสมาธิจับจ้องมองดูอย่างผิวเผินก็จะมีอาการหวาดกลัวเฉกเช่นเดียวกันกับทุกๆ คน แต่จริงๆ แล้วเขาคาดคิดว่าเธอคงอาจที่จะกำลังแอบนึกสนุกสนานกับสถานการณ์อันแปลกๆ พวกนี้อยู่ด้วยก็ได้
“ผมเข้าใจว่าทุกๆ คนกำลังรู้สึกหวาดกลัวต่อโรงละครผีสิงแห่งนี้ ผมเองก็เริ่มที่จะรู้สึกเกรงกลัวไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพวกคุณทุกๆ คนมากมายนัก และผมอยากจะบอกกับพวกคุณทุกๆ คนว่าโรงละครผีสิงแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินโดยชอบธรรมของครอบครัวของผมเองครับ...” น้ำเสียงบอกเล่าเรียบๆ ของภานุมันสร้างความแปลกใจและประหลาดใจให้กับทุกๆ คนได้ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะใบเฟิร์นสาวแก่วัยใสผู้เพิ่งสติแตกกระจัดกระจายไปอย่างสดๆ ร้อนๆ ก่อนหน้า
“นี้คุณภานุ เป็นคนคิดเกมส์บ้าๆ พวกนี้ขึ้นมาใช่ไหมคะ คุณภานุ บอกใบเฟิร์นมาตรงๆ เดี๋ยวนี้เลยนะค่ะ” แม้น้ำเสียงของใบเฟิร์นจะไม่เสียงดังเท่ากันกับในครั้งเมื่อเพิ่งได้สติแตกไปใหม่ๆ แต่น้ำเสียงและแววตาของใบเฟิร์น ก็ยังคงต้องการคำอธิบายจากภานุอยู่เช่นเดิม แม้แต่เธอเองก็ยังคงต้องการอยากที่จะรับรู้รับฟังคำอธิบายจากภานุด้วยเช่นเดียวกัน
“ผมยอมรับเรื่องที่ครอบครัวของผม เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินโรงละครผีสิงแห่งนี้ แต่ผมจะไม่ยอมรับเกมส์บ้าๆ ที่พวกคุณกำลังร่วมเล่นกันอยู่หรอกนะครับ...”
“แล้วหากไม่ใช่คุณภานุ ชักชวนพวกเรามาร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้ แล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะครับ...” ศักดิ์ชายหนุ่มรูปหล่อแสดงท่าทางไม่พอใจ และไม่คิดอยากที่จะปิดบังผ่านทางสีหน้าและแววตา
“ผมต้องขอปฏิเสธนะครับว่า ผมไม่รับรู้เรื่องราวเกมส์บ้าๆ พวกนี้เลยจริงๆ สาเหตุที่ผมมาที่นี่ในวันนี้ มันเป็นเหตุโดยบังเอิญก็เท่านั้นเอง ผมพบปะเจอะเจอกับชายแปลกหน้าระหว่างทางมาที่นี่และรถยนต์ของเขาเกิดเสียอยู่ระหว่างทางมายังโรงละครผีสิงแห่งนี้ ชายแปลกหน้าจึงเล่าเรื่องเกมส์บ้าๆ ในโลกออนไลน์ให้ผมได้รับฟังและผมก็แค่นึกอยากที่จะสนุกสนานบ้างจึงเริ่มเข้ามาร่วมเล่นเกมส์แปลกๆ นี้แทนชายหนุ่มแปลกคนนั้น ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรได้มากมายขนาดนี้เลย”
“คุณภานุคงไม่ได้กำลังจะบอกกับพวกเราหรอกนะครับว่า คนที่คุณภานุบังเอิญไปพบปะเจอะเจอกันระหว่างทางมาที่นี่อาจที่จะเป็นคนที่ชักชวนพวกเรามาร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้ แล้วบังเอิญว่ารถยนต์ของเขาเกิดเสียจนมาเข้าร่วมเล่นเกมส์กับเราด้วยไม่ได้” โอมตั้งคำถามกับภานุด้วยอารมณ์และท่าทางเช่นเดียวกันกับศักดิ์
“ผมไม่ต้องการอยากจะคาดเดาอะไรทั้งนั้นครับ มันอาจจะเป็นไปได้หรือมันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม สิ่งนี้ผมก็จนปัญญาที่จะสืบเสาะค้นหาคำตอบมาให้กับพวกคุณทุกๆ คนได้ครับ” ทุกๆ คำพูด ทุกๆ คำอธิบายของภานุมันอาจจะเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและเรื่องโกหก แต่สำหรับเธอแล้ว ภานุเองยังคงมีเรื่องราวบ้างอย่างที่ทำให้เธอยังนึกสงสัยอยู่อีกมากมาย
“ฉันอยากจะรู้ว่า หากคุณ ไม่ได้คิดที่จะมาเข้าร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้กับพวกเราด้วยแล้วคุณมาที่นี่ด้วยทำไมกันหรือคะ คุณภานุ” ภานุยิ้มแย้มและหัวเราะเบาๆ แต่วงหน้าของภานุยังคงไว้ซึ่งความหล่อเหลาอย่างสมชายชาตรีอยู่เช่นเดิม แม้แต่ในช่วงที่ยิ้มแย้มและหัวเราะอันไร้ซึ่งเหตุผลก็ตาม ภานุมักจะหัวเราะและยิ้มทุกๆ ครั้งเมื่อเธอตั้งคำถามอะไรกับเขาออกไป
“ผมกำลังจะพัฒนาผืนแผ่นดินแถวนี้ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวนะครับคุณเกด คุณคงมองเห็นแล้วว่าธรรมชาติ ตามเขตชานเมืองแถวนี้ มันสวยงามมากมายขนาดไหน...” คำอธิบายของภานุ ก็สมเหตุสมผลดีพอที่จะเชื่อถือได้ หากภานุเป็นเจ้าของที่ดินแถวนี้จริงๆ ไม่ได้โกหกหลอกลวงแอบอ้างเธอและทุกๆ คนอยู่
“คุณคงจะไม่ได้มีชื่อว่าภานุ สินะคะ คุณเป็นใครกันแน่ มีชื่อจริงๆ ว่าอะไรกันล่ะค่ะ” ภานุยิ้มแย้มรับและหัวเราะอีกครั้ง เธอรับรู้ได้เลยว่าภานุไม่มีวันที่จะบอกหรืออธิบายสิ่งใดกับเธอเพิ่มเติมอีกแน่นอน เธอสามารถรับรู้ได้จากรอยยิ้มแย้มและเสียงหัวเราะอันแปลกๆ พวกนั้น
“หึ หึๆๆ...เอาเป็นว่าเวลานี้ ผมมีชื่อว่าภานุ เป็นเจ้าของที่ดินและเป็นเจ้าของโรงละครผีสิงแห่งนี้ ก็น่าที่จะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือครับคุณเกด และผมก็เริ่มที่จะสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันว่าจริงๆ แล้ว คุณเกดเป็นใครมาจากไหนกันแน่ และจริงๆ แล้วคุณเกด มีชื่อว่าเกด จริงๆ หรือเปล่าครับ” มันกลับกลายเป็นเช่นนี้ ในแทบจะทุกๆ ครั้งที่เธอตั้งคำถามกับภานุ และทุกๆ ครั้งภานุก็จะย้อนคำถามของเธอกลับคืนมาอยู่เป็นประจำทุกๆ ครั้งเช่นกัน
“ฉันมาเล่นเกมส์นะคะ คุณภานุ ฉันจะตั้งชื่อของฉันว่าอะไรก็ได้ตามแต่ใจของฉัน ไม่เห็นจะแปลกแตกต่างกับทุกๆ คนตรงไหน และฉันจะเป็นใครมาจากไหน มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน และในเวลานี้ฉันหมดคำถามที่จะถามกับคุณภานุแล้วล่ะคะ เชิญคุณภานุทำตัวตามสบายเถอะนะคะ” ภานุหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง อันมีความหมายว่า
“ตกลงครับ คุณเกดผมจะเริ่มทำตัวตามสบายแล้วกันครับผม และคุณเกดก็น่าจะตอบคำถามของผมบ้างนะครับ ไม่ควรจะโกหกหลอกลวงผมเช่นนี้บ่อยๆ เช่นกันเลย” และเหมือนว่าแววตาของทุกๆ คนจะมีคำถามเฉกเช่นเดียวกันกับน้ำเสียงหัวเราะของภานุ แต่ในเวลานี้ความสำคัญของสิ่งอื่นก็มีแรงจูงใจมากเกินกว่าที่จะพากันมาสนใจเรื่องราวส่วนตัวของเธอ ดังนั้นทุกๆ คนจึงยังคงมุ่งความสนใจไปยังชายหนุ่มรูปหล่อนามว่าภานุอยู่เช่นเดิม
“ผมคิดว่าน่าจะพอหาที่หลับ ที่นอนให้กับทุกๆ คนได้ในค่ำคืนนี้ครับ เพราะผมได้สั่งให้คนงานมาจัดเตรียมห้องพักเอาไว้ให้กับผมล่วงหน้าก่อนหลายวันมาแล้วครับ เพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่าอ้ายห้องบ้านั้นมันถูกจัดเตรียมเอาไว้ตรงส่วนไหนของโรงละครผีสิงแห่งนี้ก็เท่านั้นเอง” สิ่งที่ภานุเปล่งน้ำเสียงมันออกมาทำให้ทุกๆ คนเริ่มนึกแปลกใจกันขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะสาวแก่วัยใสนามว่าใบเฟิร์นเช่นเดิม
“คุณภานุน่าจะสารภาพออกมาตรงๆ เลยนะคะว่า คุณภานุ คุณเองนั้นแหละค่ะ ที่เป็นคนชักชวนพวกเรามาร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้ ไม่เห็นที่จะต้องโกหกหลอกลวงกันต่อไปอีกเลย เรื่องราวต่างๆ มันก็เฉลยออกมาเกือบจะหมดสิ้นแล้วแท้ๆ” คำพูดของใบเฟิร์นในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีสติดีมากกว่าทุกๆ ครั้ง ภายหลังจากที่เพิ่งสติแตกกระจัดกระจายไปได้สักพักใหญ่ๆ ในขณะนี้สิ่งที่ใบเฟิร์นได้ตั้งคำถามกับภานุ มันจึงเป็นคำถามที่มีเหตุมีผลมากจนแม้แต่เธอเองก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เช่นเดียวกัน แต่ภานุก็เพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อนเป็นคำตอบอยู่เช่นเดิม คงอาจจะเป็นเพราะภานุเคยตอบปฏิเสธคำถามอย่างชัดเจนไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่คิดอยากที่จะตอบคำถามซ้ำๆ ซากๆ กันหลายๆ รอบ
“ทุกคนเดินตามผมมาเงียบๆ นะครับ และระมัดระวังตัวที่จะสะดุดหกล้มด้วย พวกเราจะขึ้นไปหาห้องพักกันครับ...” ทุกคนก้าวเดินติดตามภานุขึ้นบันไดอันสกปรกไปอย่างช้าๆ สองสาววัยรุ่นวัยใสนามว่าเมล์กับดาก็ยังคงสภาพเป็นปลิงดูเลือดเกาะติดภานุอยู่เช่นเดิม
“คุณภานุข๊า คุณภานุพอจะรับรู้ประวัติความเป็นมาของโรงละครผีสิงแห่งนี้บ้างหรือเปล่าคะ ว่าใครเป็นคนก่อสร้างโรงละครผีสิงเก่าๆ แห่งนี้ขึ้นมากันแน่ อ่ะค่ะ” เมล์สาววัยรุ่นเสียงไพเราะตั้งคำถามกับภานุระหว่างทางก้าวเดินติดตามขึ้นบันได
“ครับ ผมพอที่จะรู้มาบ้างเล็กน้อยครับ แต่ก็ไม่ได้มั่นใจมากมายอะไรหรอกนักนะครับ ผู้ก่อสร้างโรงละครแห่งนี้มีชื่อว่า คุณหลวงวัตรบดินทร” ชื่อหรือนามของบุคคลที่ภานุกำลังกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ ก็กำลังเฝ้ายืนสงบนิ่งจับจ้องมองพวกเขาทุกๆ คนอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน แต่สายตาของคุณหลวงวัตรฯ กับกำลังจับจ้องมองตรงไปยัง แม่นางการะเกด นางอันเป็นยอดรักเมื่อชาติภพปางก่อนเสียมากกว่าและคุณหลวงวัตรฯ ก็ยังคงหลงเสน่ห์ปักใจรักแม่นางการะเกด ไม่เคยเสื่อมคลายจนถึง ณ เพลานี้
“งามพริมเพราขาวนวลการะเกด วรเชษฐ์เช่นพี่หรือควรคู่
เฝ้าดูแลปลูกรักทะนุถนอม ใยมิยอมรับรักพี่ตุนาหงัน…”
“อุ๊ย!!...ไพเราะจังค่ะ คุณภานุ...ดาไม่เคยฟังบทกลอนเพราะๆ เช่นนี้มาก่อนเลยใครเป็นคนแต่งลำนำกลอนเพราะๆ บทนี้กันหรือค่ะ” น้ำเสียงอันไพเราะของวัยรุ่นวัยใสตั้งคำถามกับภานุขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกอย่างอยากที่จะเอาใจชายหนุ่มรูปหล่อ เฉกเช่นเดียวกันกับเพื่อนสาวคู่หู
“คุณหลวงวัตรบดินทร...หรือวรเชษฐ์เป็นคนแต่งทิ้งเอาไว้ครับ...ก็คนที่เริ่มก่อสร้างโรงละครแห่งผีสิงแห่งนี้ล่ะครับ” บทกลอนลำนำเพลงเพราะๆ มันมักจะจบลงที่ความรักอันไม่สุขสมหวังของผู้แต่งบทลำนำเพลงอยู่เสมอๆ ทำไมบิดาของเขาถึงได้ตั้งชื่อของเขา เฉกเช่นเดียวกันกับผู้ชายอาภัพรักผู้นั้นกันด้วยนะ คำถามนี้ ตัวเขาเองก็ยังคงเฝ้าถามกับตัวเองอยู่เสมอๆ ด้วยเช่นเดียวกัน..วรเชษฐ์ ก็คือชื่อของเขาเอง ชื่อที่หญิงสาวแสนสวยนามว่าเกด ต้องการอยากที่จะรับรู้และสอบถามเขาอยู่ในหลายๆ ครั้งเมื่อมีโอกาส
"...สวัสดีครับ ผมชื่อวรเชษฐ์ ครับ คุณเกด..." เขาอยากที่จะพูดคำกล่าวคำแนะนำคำนี้กับเธอเสียจริงๆ แต่จนกว่าเขาเองจะรับรู้ได้ถึงจุดประสงค์อันแท้จริงของเธอเสียก่อนเท่านั้น เธอมีจุดประสงค์สิ่งใดถึงได้มายังสถานที่อันน่าหวาดกลัวแห่งนี้กันแน่ มันไม่ใช่เพียงแค่เธอต้องการอยากที่จะมาร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ พวกนี้อย่างแน่นอน แต่ในระหว่างนี้เขาและเธอเราสองคนต่างก็โกหกหลอกลวงกันต่อไปก่อนแล้วกัน
.........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ