ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง

7.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.12 น.

  11 chapter
  16 วิจารณ์
  19.70K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 2 บุคคลแปลกหน้า ณ โรงละครผีสิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

http://www.keedkean.com

 

บทที่ 2

 

บุคคลแปลกหน้า ณ โรงละครผีสิง

 

            ณ สถานที่ที่เธอกำลังยื่นสงบนิ่งจับจ้องมองมันอยู่ในขณะนี้ มันคือโบสถ์คริสต์ในสภาพอันเก่าแก่ ที่สวยงามตระการตาอย่างมากมาย หากจำที่จะต้องจับจ้องมองมันอย่างศิลปินหรือนักโบราณคดี ผู้มีความชื่นชอบชื่นชมในซากศิลปะสิ่งก่อสร้างอันปรักหักพัง ที่ไม่ใช่อย่างเช่นในฐานะหมอชันสูตรพลิกซากศพ ที่เคยผ่านการแล้เนื้อผ่าศพมาแล้วอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วนเช่นเธอ งานทางด้านนิติเวชศาสตร์ถือเป็นงานอันทรงเกียรติและทรงคุณค่าที่เธอมีส่วนต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย งานด้านนี้จึงถือได้ว่าเป็นงานที่เธอถนัด ทำงานแล้วเธอรู้สึกมีความสุข ความภาคภูมิใจ สนุกสนานไปกับมันอยู่ตลอดเวลา พอๆ กันกับการชำแหละเนื้อหมู เนื้อวัวของพ่อค้าแม่ค้าตามท้องตลาดทั่วๆ ไป หรือตามโรงงานฆ่าสัตว์ ที่ต้องสับ แล้ ผ่า  เนื้อสดๆ เลือดสดๆ อยู่อยู่ตลอดทั้งวันอย่างภาคภูมิใจในอาชีพของตนเองที่ทำอยู่ เธอจับจ้องมองตรงไปยังโรงละครผีสิงอีกครั้งอย่างนึกชื่นชม มันด้วยจิตวิญญาณของศิลปินหรือนักโบราณคดีที่มีติดเนื้อติดตัวอยู่เพียงน้อยนิด

            “นี่นะรึ โรงละครผีสิง โกหกกันชัดๆ เธอไม่น่าที่จะไปหลงเชื่ออ้ายพวกสิบแปดมงกุฎนั้นเลย ..เอ่อ.. โดนหลอกเอาจนได้ซิเราสภาพโดยรอบโรงละครผีสิงหรือโบสถ์คริสต์อันเก่าแก่ จากการวิเคราะห์มันด้วยสายตาของเธอ แน่นอนว่ามันไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ หรือรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ในสภาพอย่างเดิมของมันเลยแม้แต่สักนิดเดียว มันขาดการเหลียวแลเอาใจใส่มาอย่างยาวนานมากกว่าศตวรรษ อย่างไม่ต้องนึกสงสัยเลยเช่นกัน แม้ในครั้งหนึ่งมันอาจจะเคยเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของใครหลายๆ คนหรือมันอาจจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ทางศิลปวัฒนธรรม มาแล้วหลายยุคหลายสมัย

            สีสันความสวยงามเมื่อยามต้องจับจ้องมองมันในเวลานี้ จากในระยะประชิดเกือบที่จะถึงบานประตูทางเข้า เธอลองปิดเปลือกตาสงบนิ่งลงแล้วลองนึกจินตนาการย้อนวันเวลากลับคืนไปยังเมื่อศตวรรษเก่าก่อน ที่มันยังรุ่งเรืองหรือที่เพิ่งจะเริ่มการก่อสร้างโรงละครผีสิงแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ๆ มันคงจะต้องเป็นสีขาวนวลสง่างามดังแสงจันทร์วันเพ็ญจนทั่วทั้งหลัง และมันจะต้องเคยเด่นดังสง่างาม โอ้อวดความสวยงามตระการตาต่อผู้คนมาเยือนอย่างมากมายมาก่อนแล้วจนนับไม่ถ้วนแต่ ณ เวลานี้ สีสันความสวยงามอย่างที่เธอได้ลองสงบนิ่งนึกจินตนาการเอาไว้ภายในจิตใจ ไม่ได้คล้ายคลึงกับความเป็นจริงที่เริ่มปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าของเธอเลย แม้แต่น้อยมันสงบนิ่ง เงียบเหงา ทรุดโทรม น่าสยดสยอง มืดมิดและน่าหวาดกลัวอย่างมากมาย จนไม่สามารถที่จะจับจ้องมองเห็นสีขาวนวลอันสง่างามดังแสงจันทร์วันเพ็ญได้อีกต่อไป
            “เป็นสถานที่ที่น่าหวาดกลัวจริงๆ สีสันโดยรอบ มันสีดำมืดมิดอย่างกับในหนังหรือละครแนวสยองขวัญ เถาวัลย์แห้งๆ ป่าไม้รกๆ รูปปั้นแสนสวย อย่างเช่นรูปปั้นของนางฟ้ารอบๆ พอได้ลองมาจับจ้องมองอย่างชัดๆ ทำไมมันถึงได้ล้วนแล้วแต่ดูน่าหวาดกลัวเย็นยะเยือกและลึกลับเช่นนี้กันนะเธอลองนึกสำรวจสภาพโดยรอบและสภาพของจิตใจเธอเองไปด้วยอย่างพร้อมๆ กัน เธอเริ่มรู้สึกตื่นตกใจกลัวและหวาดกลัวต่อสถานที่ที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับมันมาก่อนมากมายพอสมควร แม้เธอจะเป็นคนที่มีจิตใจอันเข้มแข็งแต่ ณ เวลานี้ เธออยากที่จะหันหลังกลับขึ้นไปนั่งบนเบาะรถ ไม่อยากต้องการที่จะก้าวเดินตรงต่อไปยังบานประตูทางเข้าเบื้องหน้านั้นเลย

            โรงละครผีสิงถูกก่อสร้างขึ้นมาใกล้ๆ กันกับแม่น้ำ และภูเขาเตี้ยๆ แถบชานเมืองด้านนอกอันห่างไกล มีถนนลูกรังสภาพขรุขระเส้นเล็กๆ เพียงเส้นเดียวเท่านั้น ที่พอจะสามารถใช้เดินทางไปและกลับได้ สภาพด้านหลังคือสายน้ำสีขุ่นมัวอันไหลเชี่ยว เส้นทางของสายน้ำมันจะมุ่งตรงไปยังจุดหมายปลายทาง ของสถานที่แห่งใด เธอเองก็ไม่สามารถที่จะระบุตำแหน่งหรือสถานที่ของมันได้ เธอรับรู้ได้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเธอต้องการอยากที่จะเดินทางกลับบ้าน เธอก็คงจำเป็นที่จะต้องขับรถยนต์คนเก่าของเธอ มุ่งตรงกลับคืนไปยังเส้นทางเดิม ที่เธอเพิ่งได้เดินทางจากมาแล้วเท่านั้น
            “เวรแล้ว ฝนบ้าทำไมต้องมาตกเอาในเวลานี้ด้วยเสียงสบถแสดงความไม่พอใจที่นานๆ จะเกิดขึ้นมาสักครั้ง เธอใช้ฝามือกำบังสายฝนที่เริ่มจะปะทะลงมาสู่ใบหน้า เส้นผม และร่างกาย แล้วจึงเริ่มรีบวิ่งมุ่งตรงไปยังประตูทางเข้าสู่โรงละครผีสิงอย่างรวดเร็ว บานประตูถูกผลักให้เปิดกว้างออก เสียงมันดังสนั่นหวั่นไหวจนเริ่มแสบแก้วหู มันทำให้เกิดความรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกขึ้นจากภายในจิตใจ หรืออาจจะเกิดขึ้นมาจากสภาพบรรยากาศจากโดยรอบภายในโรงละครผีสิงแห่งนี้เอง เธอเองก็ไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ สืบค้นหาคำตอบได้อย่างแน่ชัด ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ได้ แต่อย่างน้อยเธอก็เริ่มที่จะรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาบ้างแล้วเล็กน้อย เพราะมีเพื่อนสมาชิกคนอื่นๆ ยืนสงบนิ่งรอคอยเธออยู่ภายในโรงละครผีสิงแห่งนี้ ก่อนล่วงหน้าแล้ว
            “อุ๊ย!!...ต๊าย!! มีสมาชิกหน้าใหม่มาเพิ่มอีกคนแล้วล่ะ ฉันนึกว่ามันน่าที่จะมากันครบหมดแล้วเสียอีก ฉันรู้สึกว่ามีพวกแอบอ้าง สวมรอยเข้ามาร่วมเล่นเกมส์กับพวกเราด้วย พวกคุณคิดอย่างไรกันบ้างคะเสียงหญิงสาวอายุประมาณ 40 ปี ตัวเตี้ย ใส่แว่นตาหนาเตอะ เส้นผมหยักสกหยิกเป็นลอน ริมฝีปากทาเอาไว้ด้วยลิปสติกสีแดง ใบหน้าหงิกงอตบแต่งรองพื้นเอาไว้จนหนา เธอคาดเดาด้วยประสบการณ์ หญิงสาวสูงวัยเบื้องหน้าของเธอน่าที่จะทำอาชีพขายประกันชีวิต และมันก็น่าที่จะถูกต้องเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอไม่ได้คิดที่จะสนใจหรือวิเคราะห์ลักษณะน้ำเสียงอันแปลกๆ ของหญิงสาวปากจัดและตัวเตี้ยเบื้องหน้า แต่เธอกับกำลังจับจ้องมองตรงไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ที่ต่างก็กำลังยืนจับจ้องมองเธออยู่เช่นกันแทน แล้วเริ่มกล่าวคำทักทายด้วยน้ำเสียงอันไพเราะมากที่สุด
            “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้พบกับเพื่อนสมาชิกทุกๆ คนเหมือนจะไม่มีใครเอาปากและน้ำเสียงติดตัวมาด้วย เพราะเธอไม่ได้ยินน้ำเสียงตอบรับอะไรจากใครเลย เธอเริ่มที่จะสงสัยเสียแล้วล่ะว่า จริงๆ แล้วบุคคลที่เธอกำลังพบปะเจอะเจออยู่ในเวลานี้ จริงๆ แล้วใช่เพื่อนๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ของเธอหรือไม่ ดูเหมือนว่าทุกๆ คนจะไม่ต้องการอยากที่จะเป็นมิตรกับเธอสักเท่าไรเลย เธอเริ่มนับจำนวนเพื่อนๆ อย่างวิเคราะห์ตามลักษณะท่าทางโดยเริ่มจาก
            “มีผู้ชาย 4 คน และ ผู้หญิง 4 คน ร่วมตัวเธอเองและยายสาวนักขายประกันผมหยิกตัวเตี้ยนั้นเข้าไปด้วยผู้ชายสี่คน เธอไม่สามารถจะคาดเดาอาชีพของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน แต่เรื่องอายุและสรีระของร่างกาย มันอยู่ในสายงานอาชีพของเธอโดยตรง แม้มันจะน่าแปลกใจอยู่พอสมควรที่ผู้ชายอันลักษณะท่าทางดีๆ ถึงสี่คน เข้ามาร่วมเล่นเกมส์อันแปลกและไร้สาระเช่นนี้ กับเธอด้วย พวกเขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าลำรอง แต่หากวิเคราะห์ตามลักษณะของสรีระของแต่ละคน แล้วพวกเขาทั้งสี่จะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และจะต้องทำงานอยู่แต่ภายในออฟฟิศ ห้องแอร์เย็นๆ ส่วนอายุก็น่าจะอยู่ในช่วงอายุ 30-35 ปี ส่วนหญิงสาวอีกสองคนโดยไม่ต้องสังเกตหรือวิเคราะห์อะไรกันให้มากมาย ก็พอที่จะสรุปได้เลยว่า พวกเธอเป็นนักเรียนนักศึกษา และหญิงสาววัยรุ่นวัยใสทั้งสองคนก็อยู่ในชุดเสื้อผ้าลำรองเช่นเดียวกันกับทุกๆ คน
            “สวัสดีครับ ผมภานุ ครับ... ชายหนุ่มลึกลับ และแปลกหน้าหนึ่งในสี่คนเริ่มต้น กล่าวคำแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ อย่างคนที่เคยได้รับการศึกษาอบรมมาเป็นอย่างดี และสมาชิกคนอื่นๆ ก็เริ่มต้นแนะนำตัวด้วยเช่นเดียวกัน เธอเองก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นและดีใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน
            “สวัสดีครับผมศักดิ์ครับ...
            “สวัสดีครับผมโอมครับ...
            “สวัสดีครับผมวัตรครับ...ภายหลังจากชายหนุ่มทั้งสี่คนแนะนำตัวเสร็จสิ้นลง เธอเองก็เริ่มแนะนำชื่นเช่นกัน 
            “ยินดีที่ได้รู้จักกับสมาชิกทุกคน เช่นเดียวกันนะคะ ฉันชื่อ เกด คะเธอเริ่มเสแสร้งแกล้งส่งรอยยิ้มอันน่ารักให้กับชายหนุ่มทั้งสี่คนและหญิงสาวต่างวัยอีกสามคนที่กำลังยืนสงบนิ่ง จับจ้องมองใบหน้าอันเปรอะเปื้อนด้วยรอยยิ้มของเธออยู่ หญิงสาวต่างวัยทั้งสาม สองคนในสามคนเริ่มต้นที่จะกล่าวแนะนำชื่อของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงอันบางใสเหมือนดังเช่นแก้วไวท์อย่างพร้อมเพรียงกัน
            “ฉันเมล์...ฉันดาส่วนสาวนักขายประกันกล่าวแนะนำชื่อ ตัวเองเป็นคนสุดท้ายด้วยน้ำเสียงอันผิดปกติไปบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นเดียวกันกับน้ำเสียงของนักศึกษาวัยรุ่นวัยใสทั้งสองคน

          ฉันใบเฟิร์น...
            “ว๊าย!!!..ใบเฟิร์นชื่อจริงๆ ของคุณป้าใช่ไหม?...จ๊ะ... ยี้...อย่ามาโกหกกันเสียให้ยากเลยคุณป้าข๊า... ใบหน้าตาแก่ๆ อย่างคุณป้าไม่มีทางชื่อว่าใบเฟิร์น อย่างแน่นอน ฉันกับเพื่อนของฉันเอาหัวเป็นประกันได้เลย ...อย่างฉันหรือเพื่อนฉันนี้ค่อยจะน่าลุ้นหน่อย ฉันว่าคุณป้าแนะนำชื่อของคุณป้าใหม่อีกสักครั้งเถอะ อย่าให้ฉันกับเพื่อนของฉันเรียกป้าว่า ใบเฟิร์น เลย ฉันกับเพื่อนทำใจรับมันไม่ได้จริงๆ...
            “อ๊าย!!! นังเด็กบ้า นังเด็กผี ฉันอายุมากจนจะเป็นแม่ของพวกหล่อนๆ ได้แล้วนะย่ะ จะพูดจะจาอะไรก็ให้เกียรติกันบ้าง ซิย่ะ...  เป็นเด็กเป็นเล็กพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน  ฉันมีชื่อว่าใบเฟิร์นมาตั้งแต่ฉันเกิดแล้วล่ะย่ะ ไม่ใช่เพิ่งจะมาคิดตั้งมันขึ้นมา
            “หล๊ออออ....หล๊อออ...นักศึกษาสาวทั้งสองคนต่างพากันยิ้มเยาะที่มุมปากอย่างเช่นเดียวกันกับนางร้ายในละครน้ำเน่า และไม่คิดจะหลงเชื่อคำพูดอันโกหกของคุณป้าใบเฟิร์นเลยแม้แต่ดำเดียว
            “นังเด็กบ้า ถ้าไม่อยากที่จะเรียกชื่อของฉัน ว่าใบเฟิร์น ก็อย่าได้เข้ามาใกล้ๆ กันกับฉัน พวกเราต่างคนต่างอยู่ ฉันเองก็ไม่อยากที่จะเสวนากันกับนังเด็กบ้าๆ แก่แดดแก่ลมพ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนอย่างพวกหล่อนๆ หรอกนะย่ะ
            “หล๊ออออ....หล๊อออ...คุณป้าใบเฟิร์น
            “อ๊าย!! เด็กบ้า เลิกล้อเลียนชื่อของฉันเดี๋ยวนี้นะนักศึกษาสาววัยรุ่นวัยใสกับอีกหนึ่งสาววัยทอง กำลังออกลักษณะท่าทางอย่างต้องการที่จะกินเลือดกินเนื้อกัน โลกของความเป็นจริงมันแตกต่างจากโลกในอินเตอร์เน็ต หรือออนไลน์อย่างสุดที่จะบรรยายจริงๆ เนื่องจากเธอยังไม่สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ เธอจึงไม่คิดอยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยววุ่นวายกับเรื่องราวไม่กินเส้นกันของหญิงสาวต่างวัยทั้งสามคน เธอปล่อยให้ทั้งสามคน ทะเลาะเยาะเย้ยกัดกันเล่นต่อไป ส่วนเธอเองก็เริ่มที่จะจับจ้องมองและสำรวจสภาพภายในโรงละครผีสิงอย่างละเอียดต่อไปอีกครั้ง
            “มันดูน่ากลัวมากใช่ไหมครับ...เธอจดจำน้ำเสียงเพราะๆ ของชายหนุ่มรูปหล่อคนแรกที่กล่าวคำแนะนำตัวกับเธอได้ เขามีชื่อว่าภานุ เป็นชายหนุ่มรูปหล่อมากที่สุดในจำนวนผู้ชายทั้งสี่คน แต่เธอเองก็ยังคงไม่สามารถที่จะคาดเดาอาชีพจริงๆ ของภานุได้ แต่หากที่จะลองคาดเดาเอาอย่างไร้สาระ ภานุก็น่าจะต้องเป็นดาราหรือนายแบบ แต่ว่าดาราหรือนามแบบก็คงจะไม่คิดหลงเข้ามาร่วมเล่นเกมส์อันบ้าๆ แปลกๆ อันไร้สาระเช่นนี้กับเธอด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงล้มเลิกที่จะคิดคาดเดาอาชีพจริงๆ ของภานุเอาไว้เพียงเท่านี้แล้วเริ่มต้นสร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันขึ้นมามันคงจะดีกว่า
            “คะ มันดูน่าหวาดกลัวจริงๆ ด้วย...เธอตอบอย่างไม่คิดที่จะโกหก ไม่ใช่ว่าภานุเป็นชายหนุ่มรูปหล่อมากที่สุดในสถานที่แห่งนี้หรอกนะ แต่เป็นเพราะเธอเริ่มที่จะรู้สึกหวาดกลัวต่อสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาแล้วจริงๆ สภาพภายในโรงละครผีสิง มันเริ่มที่จะทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บแลเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่างกาย ตลอดจนทุกรูขุมขนขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอเริ่มจับจ้องมองตรงไปยังเชิงเทียนเก่าๆ นับสิบกว่าดวงที่ถูกจุดวางทิ้งเอาไว้จนทั่วบริเวณ เธอเอื้อมมือตรงออกไปจับประคองเชิงเทียนเอาไว้ด้วยสองมือในครั้งแรก แล้วประคองมันเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เธอเริ่มคิดที่จะลองออกเดินสำรวจไปให้รอบๆ จนทั่วทั้งโรงละครผีสิง ก่อนที่จะเริ่มต้นพากันเล่นเกมส์อันหลอนๆ ที่ต่างนัดพบชักชวนกันมาตั้งแต่ในครั้งแรก
            “ฉันต้องการอยากที่จะลองออกเดินสำรวจดูสภาพโดยรอบๆ โรงละครผีสิง คุณภานุยินดีที่จะออกไปเดินสำรวจเป็นเพื่อนกับฉันไหมคะเธอจับจ้องมองชายหนุ่มอัธยาศัยดีและเป็นมิตร ด้วยรอยยิ้มอันน่ารักที่เสแสร้งแกล้งทำมันขึ้นมาอย่างสดๆ ร้อนๆ ชายหนุ่มรูปหล่อนามว่าภานุเริ่มต้นตอบรับคำชักชวน ด้วยรอยยิ้มตกลงที่จะออกไปเดินสำรวจสถานที่เป็นเพื่อนด้วยกันกับเธอ จนเธอเองไม่คิดที่จะสนใจรอยยิ้มอย่างเดียวกันกับของภานุ จากชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่กำลังจับจ้องมองดูพฤติกรรมของเธออยู่เลย เธอแกล้งที่จะมองข้ามมันไป เช่นเดียวกันกับหญิงสาวต่างวัยที่กำลังทะเลาะจิกกัดกันอยู่ด้วยเช่นกัน เธอก็แกล้งที่จะทำเป็นมองข้ามมันไปด้วยเช่นกัน
            “ยินดีมากครับ ผมเองก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับบรรยากาศแถวนี้แล้วเช่นกัน หากฝนหยุดตกแล้วเมื่อไหร่ ผมคิดที่จะเดินทางกลับบ้านแล้วล่ะครับ เพราะผมสงสัยว่าพวกเราคงจะถูกหลอกให้มาเที่ยวเล่นในสถานที่อันน่าหวาดกลัวแห่งนี้เสียมากกว่า คุณเกดคิดเหมือนกับผมไหมครับเธอเองก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกันกับภานุ ไม่ได้มีความคิดแตกต่างอะไรจากภานุเลยแม้แต่สักนิดเดียว เธอกำลังคิดโกหกตัวเองอยู่เพราะจริงๆ แล้วเธอยังอยากที่จะอยู่ต่อเพื่อพิสูจน์ความลี้ลับของสถานที่แห่งนี้ และเธอก็ไม่คิดอยากที่จะบอกเล่าให้กับภานุได้รับรู้มันเลยสักนิด
            “เช่นเดียวกันค่ะ หากฝนหยุดตกแล้วฉันก็อยากที่จะเดินทางกลับบ้านเช่นกัน
            “ครับคุณเกดเธอยิ้มตอบรับเมื่อชายหนุ่มเรียกชื่อของเธอดังๆ จนเต็มน้ำเสียงเป็นครั้งแรก เธอและภานุเริ่มต้นก้าวเดินมือถือเชิงเทียนคนละเล่ม แล้วเริ่มก้าวเดินออกสำรวจสภาพโดยรอบของโรงละครผีสิงด้วยความรู้สึกสุขใจและปลอดภัยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
            “คุณภานุคิดว่าโรงละครผีสิงแห่งนี้มีผีอยู่จริงๆ ไหมคะ?” เธอเริ่มต้นหาเรื่องที่จะชวนภานุ พูดคุยอย่างไม่ต้องการอยากที่จะให้เกิดความเงียบขึ้นภายในสถานที่อันมืดๆ รอบข้างเธอ น้ำเสียงภานุหัวเราะอย่างนึกขบขำอะไรสักอย่าง มันไม่ได้มีความหมายเป็นอย่างอื่นใดเลยนอกจาก
            “ถ้าหากผมตอบรับว่า ผมเชื่อว่าผีมีอยู่จริง คุณเกดก็คงจะคิดว่าผมงมงาย หรือเป็นอ้ายพวกโรคจิตประสาท อย่างคนใกล้ที่จะเป็นบ้าใช่ไหมล่ะครับ แต่หากผมตอบรับคุณเกดว่า ผมไม่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง คุณเกดก็คงจะคิดว่าผมมาเข้าร่วมเล่นเกมส์บ้าๆ อันไร้สาระนี้ทำไมกัน ผมน่าจะนอนหลับพักผ่อน  ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมส์อยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ จริงใช่ไหมล่ะครับภานุเป็นคนฉลาด ทั้งความคิดและวาจาที่ฉะฉาน และระมัดระวังตัวทุกๆ คำพูด ไม่ยินยอมที่จะให้เธอได้เข้าไปสำรวจ จนถึงภายในจิตใจของเขาได้เลย ดังนั้นสิ่งที่เธอได้ตั้งคำถามกับภานุออกไปจึงถือได้ว่า ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับคืนมาเลย นอกจากให้เธอนำมันกลับเอาไปคิดคาดเดาหาคำตอบเอาเอง ในท้ายที่สุดแล้วภานุ กับเป็นฝ่ายย้อนคำถามเดิมกลับคืนมาให้เธอเป็นฝ่ายต้องตอบคำถามเสียเอง แต่มีหรือที่เธอจะคิดสนใจ เธอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและละเลยคำถามที่ภานุย้อนถามกลับคืนมา และเริ่มตั้งคำถามกลับคืนไปอีกครั้ง เพื่อเป็นการลงโทษภานุที่ไม่ยอมตอบคำถามของเธออย่างตรงๆ ในครั้งแรก
            “คุณภานุระมัดระวังตัว และระมัดระวังคำพูดอย่างนี้เสมอๆ เลยหรือค่ะ” ภานุเริ่มยิ้มแย้มชอบอกชอบใจในความเอาแต่ใจของเธอ
            “คุณภานุไม่คิดที่จะตอบคำถามของฉันตรงๆ อีกแล้วใช่ไหมค่ะ
            “ส่วนคุณเกดเองก็ไม่คิดที่จะตอบคำถามของผม เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือครับ
            “ฉันเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวและกำลังอยู่ด้วยกันกับผู้ชายแปลกหน้า ที่ลึกลับ และรูปหล่อ แถมยังฉลาดเป็นกดอีกต่างหาก คุณภานุควรที่จะให้เกียรติสุภาพสตรีก่อน แล้วตอบคำถามของฉันก่อนไม่ใช่หรือค่ะ คุณภานุภานุเริ่มหัวเราะชอบอกชอบใจอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เธอสามารถที่จะคาดเดาความหมายภายในน้ำเสียงหัวเราะนั้นได้ ภานุกำลังหัวเราะขบขันเธอ โดยไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นเจือปนอยู่ภายในน้ำเสียงหัวเราะนั้นเลย
            “ หึ ๆ...คำถามนี้ ผมพอที่จะตอบคุณเกดได้ครับ เพราะผมเองก็กำลังอยู่ด้วยกันกับหญิงสาวแปลกหน้า แลลึกลับ และทรงเสน่ห์อย่างมากมาย แถมยังฉลาดเป็นกดอีกต่างหากเช่นเดียวกัน และเมื่อผมอยู่กับสุภาพสตรีที่ฉลาดแสนสวยมากๆ ผมจึงคิดว่าสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีควรที่จะอยู่ในระดับของความเท่าเทียบกัน อย่างไม่ควรจะแยกแยะความเป็นชายหรือเป็นหญิง จริงไหมล่ะครับ คุณเกดภานุยังคงใช้วาจาอันฉะฉานแลคมคายโต้ตอบ คำถามของเธอได้อยู่เช่นเดิม เธอเริ่มนึกถึงชายหนุ่มในโลกออนไลน์ ที่หลอกล้อชักชวนทุกๆ คนมายังสถานที่นี่ ชายหนุ่มผู้นั้นมีลักษณะบ้างอย่างอันคล้ายคลึงกันกับภานุ เป็นบุคคลที่มีจิตวิทยาพร้อมเล่ห์กลในชั้นเชิงที่สูงส่งพอๆ กัน จนเธอต้องคาดคิดเอาเองเลยว่าภานุน่าจะเป็นชายแปลกหน้าคนนั้นอย่างไม่น่าจะผิดตัว ผิดฝา แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะสรุปอะไรลงไปได้อย่างแน่ชัดตายตัว เพราะเธอยังไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับสมาชิกท่านอื่นๆ เพิ่มเติมเลย น้ำเสียงปนอารมณ์ขบขำของภานุเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง

            “จริงใช่ไหมครับ คุณเกด ผมว่าชายและหญิงควรมีความเสมอภาคทางความคิดที่เท่าเทียมกัน
            “ค...คะ...คุณภานุ
            “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา มาพูดคุยกันอย่างเปิดอกมีกว่าไหมครับ
            “อ..อะ..ไร...อะไรนะค่ะภานุหัวเราะเสียงดังมากยิ่งขึ้นกว่าทุกๆ ครั้ง เขาขบขันอาการติดอ่างของเธอ พร้อมเริ่มอธิบายประโยคคำพูดของเขาใหม่อีกครั้ง
            “ผมหมายความว่าพวกเราควรมาพูดคุย สนทนากันอย่างไม่มีเล่ห์เหลี่ยม อย่างไม่มีความลับ คุณเกดสงสัยอะไร พวกเราก็สอบถามกันออกมาตรงๆ ห้ามโกหกหลอกลวงกัน คุณเกดคิดว่าอย่างไรครับ
            “คุณภานุคิดว่าคนเราจะสามารถเปิดอกและพูดคุยกันได้อย่างไม่มีเรื่องโกหกได้จริงๆ หรือค่ะ ส่วนตัวของฉันเองแล้ว ฉันโกหกหลอกลวงคนอื่นจนเป็นนิสัยแล้วล่ะคะ ถ้าจะให้พูดความจริงล้วนๆ เล่าเรื่องจริงล้วนๆ ไม่ให้พูดเรื่องโกหกหลอกลวงกันเลย ฉันรู้สึกว่าจะทำไม่ได้หรอกนะค่ะ คุณภานุภานุขบขันและหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง จนเชิงเทียนที่ภานุถือเอาไว้ในฝามือเริ่มที่จะสั่นไหวเปลวเทียนที่ถืออยู่เหมือนมันจะใกล้ที่จะดับลง จนเธอเองต้องรีบยื่นฝามือเข้าไปช่วยประคองเชิงเทียนเอาไว้ เธอไม่รู้ว่าภานุจะขบขันอะไรมากมายกันนักหนา
            “คุณภานุกำลังขำอะไรอยู่หรือค่ะ ไม่เห็นมีเรื่องอะไรน่าขำเลยสักนิด
            “ผมก็ขำคุณเกดนั้นล่ะครับ คุณเกดรู้ตัวบ้างไหม ที่คุณเกดตอบผมมานั้นล่ะ มันถือได้ว่าเป็นคำตอบที่เปิดอกมากที่สุดแล้ว ผมเองยังไม่กล้าที่จะตอบคำถามอย่างตรงๆ อย่างที่คุณเกดตอบเลย เพราะผมระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา อาจจะไม่รู้ว่าเวลาไหนใครจะมาดีหรือมาร้าย ผมจึงเป็นคนที่มีนิสัยชอบโกหกหลอกลวงคนอื่นๆ เหมือนๆ กันกับคุณเกดล่ะครับการพูดคุยล้อกันเล่นระหว่างเธอกับภานุ ต้องมีอันที่จะต้องหยุดนิ่งลงโดยอัตโนมัติ เมื่อเธอและภานุมาหยุดยืนอยู่ยังเบื้องหน้าประตูบานใหญ่ ที่เปิดเข้าสู่ห้องอะไรสักอย่าง

……………………………………………………


            มันคือห้องที่ถูกประดับเอาไว้ด้วยรูปภาพเก่าๆ หลายร้อยรูป ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ พร้อมกระจกเนื้อบางใสเก่าๆ พอๆ กันกับรูปถ่ายภายใน ที่สามารถที่จะจับจ้องมองเห็นใบหน้าบุคคลสีชาเก่าๆ นั้นได้ โดยผ่านทางแสงสว่างจากเชิงเทียนที่เธอและภานุถือประคองกันเอาไว้ในฝามือคนละเล่ม
            “ภานุ คุณคิดว่าห้องนี้มันน่าที่จะเอาไว้ใช้ทำอะไร ทำไมมันถึงได้มีรูปถ่ายเก่าๆ เยอะแยะมากมายนัก
            “คุณเกดยังจดจำเรื่องที่ชายแปลกหน้า เล่าให้กับพวกเราได้รับฟัง ได้อีกอยู่ไหมครับ
            “คะ... ฉันพอจะนึกและจดจำได้บ้าง” ใบหน้าของเธอส่อแววมีพิรุธบ้างเล็กน้อย เธอเริ่มนึกถึงปมปริศนาต่างๆ ของโรงละครผีสิงที่ชายแปลกหน้าได้เล่าให้กับทุกๆ คนได้รับฟังอีกครั้ง อย่างลองนึกจดจำได้ทุกตัวอักษร และเธอเริ่มนึกทบทวนเรื่องเล่าอันแปลกๆ ออกมาเป็นคำพูดให้กับภานุได้รับฟังด้วยอีกครั้ง
            ....ว่ากันว่าแต่เดิมแล้วโรงละครผีสิงแห่งนี้ เมื่อศตวรรษเก่าก่อนมันถูกใช้เป็นฐานทัพลับของรัฐบาล การก่อสร้างโรงละครแห่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้ปกปิดสิ่งเหลวร้ายที่รัฐบาลได้ก่อทิ้งเอาไว้ ปริศนาอันลึกลับ มันจึงยังคงรอคอยวันที่จะถูกเปิดเผยความจริงออกมาไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า...
            “ภานุ คุณคิดไหมคะว่ารูปถ่ายเก่าๆ พวกนี้คงจะต้องเกี่ยวข้องกันกับเรื่องเล่าเหลวไหลพวกนั้นด้วยภานุกำลังส่องแสงสว่างจากเชิงเทียนจับต้องไปยังรูปถ่ายเก่าๆ แต่ละใบไปเรื่อยๆ รูปถ่ายที่ภานุกำลังส่องแสงสว่างจับต้องใบหน้าอยู่ในขณะนี้นั้น คือชายชราหน้าตาน่าหวาดกลัว อายุน่าจะอยู่ที่ราวๆ 60-70 ปี  เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็น่าที่จะอยู่ในช่วงเดียวกันกับของชายชราอายุร้อยกว่าปีหลายๆ คนในรูปถ่ายนับร้อยๆ รูป ที่ถูกแขวนประดับประดาเอาไว้ตามฝาผนังในห้องเก็บรูปถ่ายเก่าๆ นี้ เธอจึงคาดคิดและคาดเดาเอาว่าภานุเองอาจที่จะไม่ได้ยินน้ำเสียงเกือบที่จะเป็นน้ำเสียงกระซิบของเธอ เพราะภานุกำลังให้ความสนใจอยู่กับรูปถ่ายของชายชราอย่างตั้งอกตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงคิดที่จะตั้งคำถามกลับคืนไปใหม่อีกครั้ง ที่น่าจะได้รับคำตอบของคำถามแรกมาพร้อมกันด้วยเลย..
            “ภานุ คุณคิดว่าชายชราในกรอบรูปถ่ายขาวดำพวกนั้น คือคนเดียวกันกับที่ออกแบบและสร้างโรงละครผีสิงแห่งนี้หรือเปล่า ภานุยกเชิงเทียนตรงมาส่องจับใบหน้าแววตาของเธออย่างตรงๆ พร้อมกันกับส่ายหน้าอันหล่อเหลาปฏิเสธคำถาม 
            “ผมคิดว่าเรื่องที่ชายแปลกหน้าในโลกออนไลน์เล่าให้กับพวกเราได้รับฟัง มันก็น่าจะมีมูลของความจริงอะไรอยู่บ้างเล็กน้อย โรงละครผีสิงแห่งนี้ มันน่าจะเริ่มก่อสร้างและแล้วเสร็จในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือช่วงที่มีการปฏิวัติรัฐประหารทางการเมืองของประเทศไทย โรงละครแห่งผีสิงแห่งนี้มันก็น่าที่จะถูกใช้เป็นฐานทัพลับ หรือฐานบัญชาการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน สังเกตดูได้จากรูปถ่ายเก่าๆ พวกนี้ และสาเหตุที่โรงละครผีสิงแห่งนี้ มันไม่เคยถูกเปิดทำการแสดงเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็อาจน่าจะเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่โรงละคร แต่มันคือคุก หรือสุสาน ที่ใช้กักขังหรือทรมานนักโทษทางการเมืองหรือนักโทษสงครามที่พ่ายทัพ ครับคุณเกด...
            “คุณภานุแน่ใจจริงๆ หรือค่ะ...
            “แค่ลองคาดเดาดูเอานะครับคุณเกด หากมันคาดเดาความจริงได้อย่างง่ายๆ โรงละครผีสิงแห่งนี้ มันก็ไม่น่าที่จะมีเรื่องลึกลับและทิ้งปมปริศนาเอาไว้มานานนับศตวรรษเช่นนี้ หรอกจริงไหมล่ะครับ ผมคาดเดาเอาว่ามันน่าจะมีความเป็นมาเป็นไปอย่างอื่นแอบเก็บซ่อนอยู่อีกมากมายที่พวกเรายังไม่สามารถที่จะรับรู้มันได้ พวกเราน่าจะลองออกเดินสำรวจไปให้ทั่วๆ เสียก่อน ถึงพอที่จะลองคาดเดาประวัติความเป็นมาอันแท้จริงของโรงละครแห่งนี้ได้จริงๆเธอจับจ้องมองตรงไปยังนาฬิกาข้อมือเรือนเล็ก มันบอกเวลาที่ 19.00 น. เธอเริ่มนึกแปลกใจ เพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่เวลามันจะผิดปกติไปได้อย่างมากมายเช่นนี้ เธอขับรถยนต์มาถึงโรงละครผีสิงแห่งนี้เมื่อเวลา 15.00 น. และเธอใช้เวลาเดินสำรวจโรงละครผีสิงแห่งนี้ เพียงแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หรือว่านาฬิกาข้อมือของเธอมันอาจจะเกิดเสียขึ้นมา
            “คุณภานุคะ นาฬิกาข้อมือ ของคุณมันบอกเวลาเท่าไรแล้วค่ะ” ภานุจับจ้องมองนาฬิกาข้อมือ แล้วทำสีหน้านึกแปลกใจ เช่นเดียวกันกับเธอ
            “นาฬิกาของผมคงจะเสียไปแล้วล่ะครับ คุณเกดภานุกำลังพูดโกหกเรื่องเวลาในนาฬิกาข้อมือ เธอเองจึงเริ่มถอดนาฬิกาเรือนเล็กของเธอแอบเก็บซ่อนเอาไว้ภายในกระเป๋ากางเกง เวลานี้เธอเริ่มที่จะรู้สึกถึงความหนาวเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกครั้ง เธอเริ่มรู้สึกถึงอาถรรพ์ของวิญญาณขึ้นมาบ้างแล้ว เธอใช้เชิงเทียนส่องแสงสว่างจับต้องไปยังรูปถ่ายสีชาเก่าๆ ของชายชรา ที่เธอและภานุเพิ่งที่จะได้จับจ้องมองเห็นกันไปเมื่อสักครู่นี้ใหม่อีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏอยู่ก็คือกรอบรูปถ่ายสีชาอันว่างเปล่า ภายในกรอบรูปเก่าๆ ใบนั้น ไม่ได้ปรากฏสิ่งใดอยู่เลย เหมือนกับว่ามันไม่เคยมีรูปถ่ายของชายชราอยู่มาก่อนเลยตั้งแต่ต้น  ภานุเริ่มทำเช่นเดียวกันกับเธอ ภานุเริ่มส่องแสงสว่างจากเชิงเทียนส่องตรงไปยังรูปถ่ายเก่าๆ ใบนั้นอีกครั้ง พร้อมกันกับเปล่งน้ำเสียงอย่างตื่นตกใจ
            “คุณเกดครับ ผมว่าพวกเราออกไปจากห้องนี้ กันก่อนเถอะครับ
            “ตกลงคะ คุณภานุ พวกเรารีบออกไปจากห้องนี้กันก่อนเถอะคะเธอพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด แล้วเริ่มพากันก้าวเดินออกไปจากบริเวณภายในห้องนั้น บานประตูไม้สักเก่าๆ เบื้องหน้าถูกเปิดกว้างออกอีกครั้ง เธอและภานุรีบพากันก้าวเดินออกมาจากภายในห้องนั้นในทันที แต่เหมือนว่าจะมีอาถรรพ์บางอย่างติดตามมาด้วย เชิงเทียนที่เธอและภานุถือประคองกันเอาไว้ในฝามือคนละเล่มเกิดดับลงอย่างฉับพลันอย่างพร้อมเพียงกัน
            “ว้าย!!! ภานุ คุณอยู่ที่ไหนคะเธอยืนสงบนิ่งตัวแข็งไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไป และไม่รู้ว่าจะก้าวเดินไปยังทิศทางใดต่อไปอีก จากสภาพความมืดมิดรอบข้างเช่นนี้ เธอเริ่มเพ่งสมาธิมองผ่านความมืดมิดและเธอจับจ้องมองเห็นร่างเงาสลัวๆ ของภานุ กำลังก้าวเดินวนเวียนอยู่รอบข้างกันกับเธอ ห่างออกไปเพียงแค่มือเอื้อมถึงเท่านั้น เธอพยายามจะก้าวเดินติดตามเงาลางๆ สลัวๆ นั้นไปให้ถึงตัว และก็กำลังจะถึงอยู่แล้ว
            “ภานุรอฉันด้วย...
            “คุณเกด ผมอยู่ทางนี้...
            “ปะ..เป็นไปไม่ได้ แล้วคนเมื่อกี่เป็นใครกัน...มะ.มัน.คือผะ..ผี...ใช่ไหม ภานุ

.....................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา