เด็กชายกับปู่โสม(เฝ้าทรัพย์)
8.7
เขียนโดย นิกซ์
วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.
10 ตอน
9 วิจารณ์
14.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 14.13 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
3) ตอนที่ 2 ชีวิตน่ะ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้หรอกนะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสวัสดีครับ สวัสดีอีกที ผมชื่อวาโย จำกันได้มั้ย? เอาล่ะ เราถึงไหนกันแล้วครับ
อ้อ! ใช่ เราเล่ากันมาจนถึง ตอนที่ปู่มิ่ง ปู่ของผมนำผมไปฝากเป็นเด็กวัด ให้กินเรียนนอนที่นั่นเลย เสาร์-อาทิตย์ค่อยกลับบ้าน หรือวันไหนอยกจะกลับเมื่อไหร่ก็กลับ ในตอนนี้ผมก็เล่าแบบรวบรัดนิดหนึ่งนะ
พอผมเข้ามาในวัด แรกๆก็เข้ากับพวกเด็กรุ่นเดียวกันได้นะครับ แต่พอ ใครบางคนเห็นว่า มะลิ หลานสาวของยายจัน ลูกสาวของป้าแจ่ม เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาสวยทีสุดในย่านนี้ เป็นที่หมายปองของเด็กชายทุกคน แน่นอน เจ้าเบิ้ม ลูกกชายคนเดียวของเจ้าของตลาด เด็กชายอ้วนฉุ นิสัย ชอบเกเร กร่างไปทั่ว แม่ของเจ้าเบิ้ม ชื่อ วิไล เป็นผู้หญิงร่างอ้วนฉุ แต่งกายฉูดฉาด ใส่น้ำหอมฉุน ที่พื้นเดิมเป็นคนรวย ผมได้ยินมาว่า พ่อแม่ทิ้งสมบัติให้เธอเยอะ ทำให้คนทั้งหลายเกรงๆแก ป้าวิไล เเกเลี้ยงลูกอย่างตามใจ ตามโอ๋ เจ้าเบิ้ม ไม่เคยดุด่า อะไรเลย ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว คนรอบข้างต่างเอือมระอา
สงสัยใช่มั้ยล่ะ ว่าเกี่ยวอะไร ผมว่า...หลายคนคงจะเดาเหตุการณ์ได้น่ะนะ อ่า...
หลายคนคงจะพอเดาได้ มะลิ ไม่ชอบเจ้าเบิ้ม แต่มาสนิทกับผมแทน เพราะตั้งแต่ผมเห็นและสื่อสารกับยายจัน ยายของมะลิ เราสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น นั่นล่ะ กลายเป็นสาเหตุ ที่เจ้าเบิ้ม เขม่นผม แถมผมยังเป็นที่รักของคนรอบข้าง เพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาสและหลวงพ่อเจิด คอยอบรมสั่งสอนผมเนี่ยแหละครับ แต่พอลับหลังผู้ใหญ่ เจ้าเบิ้มก็เริ่มเลยครับ แกล้งผมทุกอย่าง เอาหมามุ่ยมาโรยในผ้าห่มของผม ดีที่วิญญาณที่อยู่ในกุฏิที่ผมนอน ร้องห้ามผมเอาไว้ ผมเลยรอดตัวไป แต่ก็ต้องทนหนาวทั้งคืน ต้องแอบมานอนที่บ้านปู่ และหลวงพ่อเจ้าอาวาส หลวงพ่อปลื้ม เลยลงโทษเจ้าเบิ้มชุดใหญ่โดยการใช้หวายตีก้น แถมต้องซักผ้าห่มให้ผม หลังจากนั้น หลวงพ่อเจิด ก็ให้ผมมานอนที่ห้องเดียวกับท่าน นั่นน่ะ ทำให้ผมนอนได้อย่างสบายใจ แต่เจ้าเบิ้มยังคงเจ็บแค้นผมอยู่ มันมักจะคอยหาเรื่องแกล้งผมอยู่เสมอ เท่าที่มีโอกาส แต่ผมน่ะขี้เกียจมีเรื่อง เดี๋ยวยัยป้าวิไลจะมาหาเรื่องกับปู่ผม คนงี่เง่าแบบนั้นน่ะ ไม่เคยอายอะไรหรอก แต่เจ้าเบิ้มก็ยังไม่เลิกตามรังควาญผม คอยก่อกวนผมตลอด แต่ผมพยายามไม่ตอบโต้อะไร เพราะคิดว่า ถ้ามันเบื่อ มันคงจะเลิกแต่...ผมคิดผิด
นับวัน ยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ล้อเลียนผม...แกล้งขัดขา...พลักตกบันได...ทำลายตำราเรียน...จนผมชอบปลีกวิเวกที่ป่าช้าของวัด นั่นเป็นที่เดียวที่เจ้าเบิ้มและพวกไม่กล้ายุ่ง เพราะกลัวผี แต่สำหรับผมน่ะไม่กลัวนะ เพราะผมมีพี่ใหญ่ คอยคุ้มครอง คงจะเดาได้ ชื่อเรื่องก็บอกอยู่นะครับ ท่านคือ ปู่โสม ที่ทำหน้าที่ เฝ้าขุมทรัพย์ ของแผ่นดิน อย่างที่รู้ๆว่าผมเป็นคนอยุธยา เกิดและโตที่นี่ อยุธยาเองก็มีขุมทรัพย์ที่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ได้ทำการฝังตามจุดต่างๆเป็นพุทธบูชา เพื่อเเก้ดวงชะตาเมือง ซึ่งมีร้อยกว่าที่ และวัดที่ผมได้มาอาศัยกิน นอน และเรียนหนังสือ คือหนึ่งในที่ๆพระนเรศวรฝังพระราชทรัพย์เอาไว้ บริเวณนั้นคือป่าช้าของวัด ที่ๆคนลือกันว่าผีดุ แต่กับผมชินซะแล้วแหละ เห็นวิญญาณมาตั้งนาน...ถามว่า ผมไปเจอปู่โสม ได้ยังไงน่ะเหรอ มันต้องเริ่มตอนผมอายุได้แปดขวบแหละครับ ตอนนั้น ที่ผมหลบเจ้าเบิ้มมานั่งเล่นอ่านหนังสือที่ป่าช้า ตามปกติ พร้อมด้วยเจ้ากรุ๊งกริ๊ง แมวพันธุ์โกนจา แมวไทยสีดำที่แสนหายากที่พ่อผมซื้อให้เป็นของขวัญ และเจ้าทองดำ หมาพันธุ์ผสมสีดำสนิท แต่ผมก็ดันเผลอหลับไป...
...
"อ๊ะ ฮ่ะๆจั๊กจี้นะ ทองดำ"เด็กชายวัยเเปดขวบลูบหัวเจ้าทองดำ ที่ยังเป็นลูกหมาสัดำตัวใหญ่ ที่มาเลียหน้า
"มืดแล้วแฮะ กรุ๊งกริ๊งล่ะ"
"เมี๊ยว..."เจ้าแมวดำกระโดดขึ้นบนไหล่ วาโยหยิบไฟฉายออกมาส่องทาง
"มีแต่ป่าแฮะ รีบกลับดีกว่า เดี๋ยวหลวงพ่อบ่น"
เด็กชายอุ้มเจ้าแมวดำ ให้ยืนอยู่บนบ่า ซึ่งเป็นที่ประจำ แล้วสะพายเป้ที่ใส่หนังสือ อีกมือก็จูงเจ้าทองดำ อีกมือถือไฟฉายส่องนำทาง
สามชีวิต เดินทางไปเรื่อยๆแต่นั่นกลับกลายเป็นว่า ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งมืด ยิ่งลึก
"โอ๊ะ!"เท้าของวาโย ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง เด็กชายหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู"ศิลาแลงเหรอ?"
นั้นคือ ก้อนอิฐศิลาแลง ที่สมัยก่อนใช้สร้างปราสาท วิหาร วัดอาราม...แต่ทำไม ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ
'ไอ้หนู มาจากไหนวะ'
เสียงทุ้มที่ตะโกนออกมา ทำเอาเด็กชายสะดุ้ง เจ้าทองดำขนตั้งชัน ส่งเสียงขู่เช่นเดียวกับกรุ๊งกริ๊ง ที่กระโดดลงจากบ่าของเจ้า แล้วขู่ฟ่อๆ บุคคลเบื้องหน้าเค้า เป็นชายร่างกำยำ ไม่ใส่เสื้อ ที่สวมโจงกระเบนแดง แต่ไม่เห็นหน้า
"ทองดำ กรุ๊งกริ๊ง หยุด"
บุคคลตรงหน้าตะคอกใส่'กูถาม ทำไมไม่ตอบ!'
วาโยวางไฟฉาย ปล่อยสายจูงเจ้าทองดำ แล้วพนมมือไหว้บุคคลเบื้องหน้าอย่างน้อบน้อม "สวัสดีครับผมชื่อวาโย ศิริกุล ถ้าผมเข้ามารบกวน ผมต้องขออภัยด้วย ผมหลงทางมาครับ"
น้ำเสียงคนตรงหน้าดูอ่อนลงเพราะกิริยาอันนอบน้อมแบบซื่อๆ'เป็นเด็กเป็นเล็ก ที่อื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมมาเล่นที่นี่ ที่นี่'
วาโยสะอึก มันคือการจี้จุดตน เพราะโดนก่อกวน กลั้นแกล้งต่างๆนานา จนเค้าต้องต้องหนีมาอ่านหนังสือในป่าช้า เค้าพูดไม่ออก
ดูเหมือนว่า คนตรงหน้าจะอ่านใจได้ 'อ๋อ โดนแกล้งมารึ เหตุใดเอ็งไม่ป้องกันตัว หรือตอบโต้บ้างเล่า เอ็งก็เป็นผู้ชายนะ'
วาโยรู้แล้วว่าคนตรงหน้า ไม่ใช่คน แต่เป็นวิญญาณ "ครับ ผมไม่อยากตอบโต้ ยิ่งโต้ตอบ มันยิ่งชอบใจ และมันก็จะก่อกวนไม่หยุด และถ้าไปทำร้ายมันล่ะก็ มันอาจจะสร้างความเดือดร้อน ให้กับครอบครัวผมได้ เพราะแม่มันมีอำนาจอยู่ครับ"
'แต่ข้าเห็นว่า เอ็งควรตอบโต้บ้าง มันจะได้กลัว'
"ผมไม่รู้จะทำยังไงนี่ครับ ตัวผมก็ผอมก็เล็กเป็นกุ้งแห้งแบบนี้ แถมตัวคนเดียวอีก"
วิญญาณนั้นตบเข่า'ฮ่ะๆ ในสมัยนี้เค้าไม่สอนการต่อสู้เลยรึอย่างไร เอาเถิดข้าจะส่งเคราะห์ให้ ข้าพอรู้วิชาหมัดมวย คาถาอาคมมาบ้าง เอ้า พูดกันมานาน ยังไม่รู้ชื่อกันเลย ข้าชื่อ มั่น ทำหน้าที่เป็น ปู่โสม เฝ้าทรัพย์ ที่นี่ เจ้าหนู เอ็งจะให้ข้าเรียกขานนามว่าอะไร นามที่เอ็งบอกข้ามา มันยาวไป'
"เรียกผมว่า วาโย ครับ"
วิญญาณนั้นหัวเราะชอบใจ 'ว่ายังไง วาโย เอ็งสนใจจะเรียนมวยและคาถาอาคมกับข้ารึไม่'
เด็กชายพยักหน้ารั่วๆ นัยตาเป็นประกาย ราวกับเด็กน้อยที่เจอของเล่นถูกใจ
"ครับๆผมอยากเรียน ครับ อาจารย์"
'ฮ่าๆ เรียกข้าว่าอาจารย์เลยเราะ เออ เริ่มเรียนวันพรุ่งก็แล้วกัน แต่ก่อนหน้านั้น ข้ามีเรื่องที่จักขอให้เอ็งช่วยเสียหน่อย'
"อะไรเหรอครับ"
'ข้าเปรี้ยวปากใคร่อยากจะดื่มสุราสักหน่อย หมากพลูบุหรี่ และขนมจีนอร่อยๆ เสียหน่อย เอ็งเอามาให้ข้าที่นี่ได้ไหม อ้อและข้าอยากจะขอให้เอ็งช่วยทำบุญกรวดน้ำมาให้ข้าบ้าง เอ็งพอจะทำได้ไหม'
"ผมจะพยายามครับ แต่ก่อนอื่น ผมอยากจะกลับไปที่พักแล้วครับ ไปส่งผมได้มั้ย"
'ได้ซี่ แต่เอ็งสัญญากับข้านะ'
"สัญญาครับ"
จากนั้น วาโยก็เดินตาม วิญญาณปู่โสม ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง
วิญญาณปู่โสมชี้ไปเบื้องหน้าตน 'ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงวัดแล้วไอ้หนู อย่าลืมสัญญาล่ะ'
"ครับ"เด็กชายพร้อมลูกหมาสีดำและแมวสีดำ ก็พากันกลับวัด
ติดตามต่อในตอนหน้านะคะ
อ้อ! ใช่ เราเล่ากันมาจนถึง ตอนที่ปู่มิ่ง ปู่ของผมนำผมไปฝากเป็นเด็กวัด ให้กินเรียนนอนที่นั่นเลย เสาร์-อาทิตย์ค่อยกลับบ้าน หรือวันไหนอยกจะกลับเมื่อไหร่ก็กลับ ในตอนนี้ผมก็เล่าแบบรวบรัดนิดหนึ่งนะ
พอผมเข้ามาในวัด แรกๆก็เข้ากับพวกเด็กรุ่นเดียวกันได้นะครับ แต่พอ ใครบางคนเห็นว่า มะลิ หลานสาวของยายจัน ลูกสาวของป้าแจ่ม เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาสวยทีสุดในย่านนี้ เป็นที่หมายปองของเด็กชายทุกคน แน่นอน เจ้าเบิ้ม ลูกกชายคนเดียวของเจ้าของตลาด เด็กชายอ้วนฉุ นิสัย ชอบเกเร กร่างไปทั่ว แม่ของเจ้าเบิ้ม ชื่อ วิไล เป็นผู้หญิงร่างอ้วนฉุ แต่งกายฉูดฉาด ใส่น้ำหอมฉุน ที่พื้นเดิมเป็นคนรวย ผมได้ยินมาว่า พ่อแม่ทิ้งสมบัติให้เธอเยอะ ทำให้คนทั้งหลายเกรงๆแก ป้าวิไล เเกเลี้ยงลูกอย่างตามใจ ตามโอ๋ เจ้าเบิ้ม ไม่เคยดุด่า อะไรเลย ใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว คนรอบข้างต่างเอือมระอา
สงสัยใช่มั้ยล่ะ ว่าเกี่ยวอะไร ผมว่า...หลายคนคงจะเดาเหตุการณ์ได้น่ะนะ อ่า...
หลายคนคงจะพอเดาได้ มะลิ ไม่ชอบเจ้าเบิ้ม แต่มาสนิทกับผมแทน เพราะตั้งแต่ผมเห็นและสื่อสารกับยายจัน ยายของมะลิ เราสองคนก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น นั่นล่ะ กลายเป็นสาเหตุ ที่เจ้าเบิ้ม เขม่นผม แถมผมยังเป็นที่รักของคนรอบข้าง เพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาสและหลวงพ่อเจิด คอยอบรมสั่งสอนผมเนี่ยแหละครับ แต่พอลับหลังผู้ใหญ่ เจ้าเบิ้มก็เริ่มเลยครับ แกล้งผมทุกอย่าง เอาหมามุ่ยมาโรยในผ้าห่มของผม ดีที่วิญญาณที่อยู่ในกุฏิที่ผมนอน ร้องห้ามผมเอาไว้ ผมเลยรอดตัวไป แต่ก็ต้องทนหนาวทั้งคืน ต้องแอบมานอนที่บ้านปู่ และหลวงพ่อเจ้าอาวาส หลวงพ่อปลื้ม เลยลงโทษเจ้าเบิ้มชุดใหญ่โดยการใช้หวายตีก้น แถมต้องซักผ้าห่มให้ผม หลังจากนั้น หลวงพ่อเจิด ก็ให้ผมมานอนที่ห้องเดียวกับท่าน นั่นน่ะ ทำให้ผมนอนได้อย่างสบายใจ แต่เจ้าเบิ้มยังคงเจ็บแค้นผมอยู่ มันมักจะคอยหาเรื่องแกล้งผมอยู่เสมอ เท่าที่มีโอกาส แต่ผมน่ะขี้เกียจมีเรื่อง เดี๋ยวยัยป้าวิไลจะมาหาเรื่องกับปู่ผม คนงี่เง่าแบบนั้นน่ะ ไม่เคยอายอะไรหรอก แต่เจ้าเบิ้มก็ยังไม่เลิกตามรังควาญผม คอยก่อกวนผมตลอด แต่ผมพยายามไม่ตอบโต้อะไร เพราะคิดว่า ถ้ามันเบื่อ มันคงจะเลิกแต่...ผมคิดผิด
นับวัน ยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ล้อเลียนผม...แกล้งขัดขา...พลักตกบันได...ทำลายตำราเรียน...จนผมชอบปลีกวิเวกที่ป่าช้าของวัด นั่นเป็นที่เดียวที่เจ้าเบิ้มและพวกไม่กล้ายุ่ง เพราะกลัวผี แต่สำหรับผมน่ะไม่กลัวนะ เพราะผมมีพี่ใหญ่ คอยคุ้มครอง คงจะเดาได้ ชื่อเรื่องก็บอกอยู่นะครับ ท่านคือ ปู่โสม ที่ทำหน้าที่ เฝ้าขุมทรัพย์ ของแผ่นดิน อย่างที่รู้ๆว่าผมเป็นคนอยุธยา เกิดและโตที่นี่ อยุธยาเองก็มีขุมทรัพย์ที่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ได้ทำการฝังตามจุดต่างๆเป็นพุทธบูชา เพื่อเเก้ดวงชะตาเมือง ซึ่งมีร้อยกว่าที่ และวัดที่ผมได้มาอาศัยกิน นอน และเรียนหนังสือ คือหนึ่งในที่ๆพระนเรศวรฝังพระราชทรัพย์เอาไว้ บริเวณนั้นคือป่าช้าของวัด ที่ๆคนลือกันว่าผีดุ แต่กับผมชินซะแล้วแหละ เห็นวิญญาณมาตั้งนาน...ถามว่า ผมไปเจอปู่โสม ได้ยังไงน่ะเหรอ มันต้องเริ่มตอนผมอายุได้แปดขวบแหละครับ ตอนนั้น ที่ผมหลบเจ้าเบิ้มมานั่งเล่นอ่านหนังสือที่ป่าช้า ตามปกติ พร้อมด้วยเจ้ากรุ๊งกริ๊ง แมวพันธุ์โกนจา แมวไทยสีดำที่แสนหายากที่พ่อผมซื้อให้เป็นของขวัญ และเจ้าทองดำ หมาพันธุ์ผสมสีดำสนิท แต่ผมก็ดันเผลอหลับไป...
...
"อ๊ะ ฮ่ะๆจั๊กจี้นะ ทองดำ"เด็กชายวัยเเปดขวบลูบหัวเจ้าทองดำ ที่ยังเป็นลูกหมาสัดำตัวใหญ่ ที่มาเลียหน้า
"มืดแล้วแฮะ กรุ๊งกริ๊งล่ะ"
"เมี๊ยว..."เจ้าแมวดำกระโดดขึ้นบนไหล่ วาโยหยิบไฟฉายออกมาส่องทาง
"มีแต่ป่าแฮะ รีบกลับดีกว่า เดี๋ยวหลวงพ่อบ่น"
เด็กชายอุ้มเจ้าแมวดำ ให้ยืนอยู่บนบ่า ซึ่งเป็นที่ประจำ แล้วสะพายเป้ที่ใส่หนังสือ อีกมือก็จูงเจ้าทองดำ อีกมือถือไฟฉายส่องนำทาง
สามชีวิต เดินทางไปเรื่อยๆแต่นั่นกลับกลายเป็นว่า ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งมืด ยิ่งลึก
"โอ๊ะ!"เท้าของวาโย ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง เด็กชายหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู"ศิลาแลงเหรอ?"
นั้นคือ ก้อนอิฐศิลาแลง ที่สมัยก่อนใช้สร้างปราสาท วิหาร วัดอาราม...แต่ทำไม ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ
'ไอ้หนู มาจากไหนวะ'
เสียงทุ้มที่ตะโกนออกมา ทำเอาเด็กชายสะดุ้ง เจ้าทองดำขนตั้งชัน ส่งเสียงขู่เช่นเดียวกับกรุ๊งกริ๊ง ที่กระโดดลงจากบ่าของเจ้า แล้วขู่ฟ่อๆ บุคคลเบื้องหน้าเค้า เป็นชายร่างกำยำ ไม่ใส่เสื้อ ที่สวมโจงกระเบนแดง แต่ไม่เห็นหน้า
"ทองดำ กรุ๊งกริ๊ง หยุด"
บุคคลตรงหน้าตะคอกใส่'กูถาม ทำไมไม่ตอบ!'
วาโยวางไฟฉาย ปล่อยสายจูงเจ้าทองดำ แล้วพนมมือไหว้บุคคลเบื้องหน้าอย่างน้อบน้อม "สวัสดีครับผมชื่อวาโย ศิริกุล ถ้าผมเข้ามารบกวน ผมต้องขออภัยด้วย ผมหลงทางมาครับ"
น้ำเสียงคนตรงหน้าดูอ่อนลงเพราะกิริยาอันนอบน้อมแบบซื่อๆ'เป็นเด็กเป็นเล็ก ที่อื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมมาเล่นที่นี่ ที่นี่'
วาโยสะอึก มันคือการจี้จุดตน เพราะโดนก่อกวน กลั้นแกล้งต่างๆนานา จนเค้าต้องต้องหนีมาอ่านหนังสือในป่าช้า เค้าพูดไม่ออก
ดูเหมือนว่า คนตรงหน้าจะอ่านใจได้ 'อ๋อ โดนแกล้งมารึ เหตุใดเอ็งไม่ป้องกันตัว หรือตอบโต้บ้างเล่า เอ็งก็เป็นผู้ชายนะ'
วาโยรู้แล้วว่าคนตรงหน้า ไม่ใช่คน แต่เป็นวิญญาณ "ครับ ผมไม่อยากตอบโต้ ยิ่งโต้ตอบ มันยิ่งชอบใจ และมันก็จะก่อกวนไม่หยุด และถ้าไปทำร้ายมันล่ะก็ มันอาจจะสร้างความเดือดร้อน ให้กับครอบครัวผมได้ เพราะแม่มันมีอำนาจอยู่ครับ"
'แต่ข้าเห็นว่า เอ็งควรตอบโต้บ้าง มันจะได้กลัว'
"ผมไม่รู้จะทำยังไงนี่ครับ ตัวผมก็ผอมก็เล็กเป็นกุ้งแห้งแบบนี้ แถมตัวคนเดียวอีก"
วิญญาณนั้นตบเข่า'ฮ่ะๆ ในสมัยนี้เค้าไม่สอนการต่อสู้เลยรึอย่างไร เอาเถิดข้าจะส่งเคราะห์ให้ ข้าพอรู้วิชาหมัดมวย คาถาอาคมมาบ้าง เอ้า พูดกันมานาน ยังไม่รู้ชื่อกันเลย ข้าชื่อ มั่น ทำหน้าที่เป็น ปู่โสม เฝ้าทรัพย์ ที่นี่ เจ้าหนู เอ็งจะให้ข้าเรียกขานนามว่าอะไร นามที่เอ็งบอกข้ามา มันยาวไป'
"เรียกผมว่า วาโย ครับ"
วิญญาณนั้นหัวเราะชอบใจ 'ว่ายังไง วาโย เอ็งสนใจจะเรียนมวยและคาถาอาคมกับข้ารึไม่'
เด็กชายพยักหน้ารั่วๆ นัยตาเป็นประกาย ราวกับเด็กน้อยที่เจอของเล่นถูกใจ
"ครับๆผมอยากเรียน ครับ อาจารย์"
'ฮ่าๆ เรียกข้าว่าอาจารย์เลยเราะ เออ เริ่มเรียนวันพรุ่งก็แล้วกัน แต่ก่อนหน้านั้น ข้ามีเรื่องที่จักขอให้เอ็งช่วยเสียหน่อย'
"อะไรเหรอครับ"
'ข้าเปรี้ยวปากใคร่อยากจะดื่มสุราสักหน่อย หมากพลูบุหรี่ และขนมจีนอร่อยๆ เสียหน่อย เอ็งเอามาให้ข้าที่นี่ได้ไหม อ้อและข้าอยากจะขอให้เอ็งช่วยทำบุญกรวดน้ำมาให้ข้าบ้าง เอ็งพอจะทำได้ไหม'
"ผมจะพยายามครับ แต่ก่อนอื่น ผมอยากจะกลับไปที่พักแล้วครับ ไปส่งผมได้มั้ย"
'ได้ซี่ แต่เอ็งสัญญากับข้านะ'
"สัญญาครับ"
จากนั้น วาโยก็เดินตาม วิญญาณปู่โสม ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง
วิญญาณปู่โสมชี้ไปเบื้องหน้าตน 'ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงวัดแล้วไอ้หนู อย่าลืมสัญญาล่ะ'
"ครับ"เด็กชายพร้อมลูกหมาสีดำและแมวสีดำ ก็พากันกลับวัด
ติดตามต่อในตอนหน้านะคะ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ