เด็กชายกับปู่โสม(เฝ้าทรัพย์)
เขียนโดย นิกซ์
วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.
แก้ไขเมื่อ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 14.13 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) ตอนที่ 3 พรสวรรค์ที่แอบแฝงกับโทสะที่ปะทุ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่ออกมาจากป่าช้า วาโยก็ตรงดิ่งไปหา ตาโชค ที่ทำหน้าที่ดูแลโรงครัวของวัด ตาโชค เป็นคนใจดี เด็กวัดที่ไม่ได้เป็นพวกเจ้าเบิ้มก็ไม่กล้าช่วย เพราะไม่อยากโดนลูกหลง ด้วยตัวเจ้าเบิ้มตัวอ้วนใหญ่ราวกับเด็กสองคนรวมกัน แรงรึก็มาก เด็กทั้งหลายก็กลัว ซ้ำแม่ยังเป็นผู้มีอิทธิพล ชอบเกเรคนไปทั่วโดยเฉพาะ วาโย ซึ่งหลายคนก็รู้ ตาโชคเองก็รู้ว่าวาโยโดนเจ้าเบิ้มรังแกลับหลังอยู่เสมอๆ และที่โดนประจำคือ ไม่เหลืออาหารเย็นให้
ตาโชคจึงเก็บข้าวไว้ให้ และจะเรียกให้วาโยมากินข้าวที่โรงครัว หากวันไหนวาโยกลับไปกินข้าวที่บ้าน ก็จะบอกล่วงหน้าวาโย จะกลับไปบ้านในช่วงวันหยุด เสาร์ - อาทิตย์
"อ้าว เจ้าโย ไหนมาซะดึกแบบนี้ กูนึกว่ามึงกลับบ้านไปแล้วนะ"
"อ่านหนังสือเพลินน่ะครับ"
"หิวล่ะสิ วันนี้มีไข่เจียวกับต้มจืดนะ อ้อ มีข้าวคลุกของเหลือให้ไอ้ดำสองตัวด้วย"
เด็กชายยิ้มกว้าง ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะ
ชายชราจัดการตักข้าว นำช้อนส้อมให้พร้อมวางไว้ให้ วาโยจัดการเปิดฝาชีที่มีไข่เจียวและแกงจืด ตาโชควางจานข้าวเอาไว้ให้ เด็กชายยกมือไหว้ขอบคุณ จากนั้น ชายชราก็นำกับข้าวเหลือๆคลุกข้าวใส่ชามสังกะสีให้ ไอ้ดำสองตัว สัตว์เลี้ยงของเด็กชาย หมาแมวคู่นี้ ช่างน่ารัก พอวางข้าวให้ สองดำก็ร้องเบาๆเป็นเชิงขอบคุณ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ เด็กชายก็ทำหน้าที่ล้างจานให้ ก่อนจะลาตาโชคกลับไปยัง ที่พัก คือกุฏิหลวงพ่อเจิด
ซึ่งหลวงพ่อเจิด นั่งอ่านหนังสือรออยู่
"ไปไหนมา เจ้าโย"
"อ่านหนังสือเพลินไปหน่อยน่ะครับ"
"งั้นเหรอ เออ มะลิเค้าฝากมาให้แน่ะ"
หลวงพ่อเจิด นำถุงกระดาษส่งให้
เด็กหนุ่มรับมา แล้วเปิดถุง
"โดนัท เหรอ? เห็นเราเป็นหนูทดลองรึไงนะ"
"อย่าให้หลานกู ได้ยินเชียว งอลแน่"หลวงพ่อเจิดรู้ดีว่า มะลิ หลานคนสวย คงจะมีใจให้ วาโย แล้ว เพราะวาโยมีเค้าความเป็นหนุ่มหล่ออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว พ่อกับแม่รึหน้าตาก็ดีทั้งคู่ ซ้ำยังเป็นเด็กที่นิสัยดี เรียนเก่ง ผิดกับเจ้าเบิ้มที่เรียนแย่โง่เป็นควายดีแต่ใช้กำลัง ทำให้แม่มาโวยใส่ครูที่โรงเรียนตลอดว่า สอนลูกไม่ดีไม่โทษตัวเด็กเลย ข้อเสียของวาโย คงจะมีอย่างเดียวคือ ไม่สู้คนเอาเสียเลย นิ่งเป็นพระอิฐพระปูน
"โถ่ หลวงพ่อ มะลิฝากของให้ผมทีไร มีแต่ขนมทุกที"
"จะกินไหม"
"กินครับ"
"กินไป อย่าบ่น"
วาโยจำต้องกินโดนัท แสนอร่อยอย่างช่วยไม่ได้ โดยมีเจ้าหมาดำแมวดำมองอย่างออดอ้อน
"กินไม่ได้ นี่ของชั้น"
"งกว่ะ ไอ้นี่นิ"
เด็กหนุ่มมองหลวงพ่อที่แซวตน"โดนัทมันหวานนะครับ หลวงพ่อ มันไม่มีกับหมาแล้วก็แมว เดี๋ยวดุขึ้นมาจะยุ่ง"
"เออ จริง แล้ววันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างงล่ะ โดนเจ้าเบิ้มมันรังแกรึเปล่า"
วาโยยิ้ม ตอบตามความจริง "ไม่มีอะไรครับ เพราะไม่เจอกัน"
"หลบไปที่ห้องพักครู กับ ป่าช้าอีกแล้วสินะ"
เด็กชายพยักหน้า ที่หลบภัยของวาโย คือห้องพักครู และ ป่าช้า เพราะเป็นที่ๆเจ้าเบิ้มไม่กล้าทำอะไร
"วาโย ระวังหน่อยก็ดีนะ ป่าช้า ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นป่าที่เอาไว้ฝังคนตาย โดยเฉพาะพวกกตายโหง ที่ตายก่อนวัยอันควร วิญญาณบางดวงที่ไปไหนไม่ได้ อาจต้องการตัวตายตัวแทนนะ ข้าว่าเอ็งหาที่อื่นหลบภัยดีกว่า"
"ขอบคุณครับ"
วันต่อมา...
วาโย นำเงินเก็บส่วนหนึ่งซื้อของใส่บาตร กรวดน้ำ และไปซื้อธูปเทียน ไฟเเช็ค หมากพลู บุหรี่ พวงมาลัย เหล้าขาว และที่สำคัญคือขนมจีน ที่เด็กชายซื้อไปมาก ทำเอาคนทั้งหลายแปลกใจ อะไรทำให้เด็กชายคนนี้ มาซื้อของราวกับจะไปเซ่นไหว้ใครอย่างนั้นแหละ ถามก็ไม่ตอบ เดินหนีเฉย พอได้ของที่ต้องการ วาโย พร้อมด้วยหมาแมวดำ ก็ตรงไปยังป่าช้าของวัดในยามค่ำ โดยที่วาโย ได้ทำสัญลักษณ์ไว้ตามต้นไม้ เด็กหนุ่มเดินมาลึกมาก...
จนกระทั่ง เดินมาถึงต้นไทรใหญ่
วาโย จัดการนำของเซ่นที่ซื้อมาจัดแจงวางไว้ใต้ต้นไทร แล้วจุดธูปไหว้
'อู้หู้ เอ็งมาจริงๆด้วย ไอ้หนู'
"ผมไม่รู้จะถูกปากไหม ลองกินดูนะครับ"
วาโยยิ้มให้ วิญญาณปู่โสม ที่มาหา
'อืม ขนมจีนเจ้านี้ อร่อยเด็ดนัก และเหล้านี่อีก ขอบน้ำใจเอ็งมาก ที่อุตส่าห์ทำบุญกรวดน้ำมให้ แล้วยังเอาเครื่องเซ่นพวกนี้มาให้อีก'
หลังจากนั้น...
วาโยก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคม จากวิญญาณปู่โสม ซึ่งเด็กหนุ่มคนนี้สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว ผู้ถ่ายทอดให้ต้องแปลกใจ
กว่าเด็กชายจะเรียนเสร็จก็เกือบรุ่งสาง
จากนั้นก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว ที่ตอนเช้าวาโยจะไปเรียน บ่ายจะช่วยงานที่วัด ตกเย็นจะไปที่ป่าช้า ทำเอาตาโชคนึกกังวลว่า วาโยไปทำอะไรที่ป่าช้า นานสองนาน ตาโชคจึงนำเรื่องนี้ มาปรึกษาหลวงพ่อปลื้ม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส
หลวงพ่อปลื้มก็ตกใจไม่น้อย ที่เด็กคนนี้ชอบไปนั่งเล่นที่ป่าช้า แรกๆช่วงค่ำก็กลับมา หลังๆเกือบรุ่งสาง ถึงจะกลับ
"นี่พระเจิดไม่รู้รึยังไง"
"พระเจิดเองก็คิดว่า มันกลับไปที่บ้านมันน่ะครับ หลวงพ่อ ผมห่วงมันจัง"
หลวงพ่อปลื้ม จึงเข้าฌาณอยู่ครู่ ก็รู้สาเหตุแล้ว"ไม่ต้องไปกังวลหรอกโยมโชค เจ้าวาโย มันเข้าตำราว่า คนดีผีคุ้มจริงๆ"
ตาโชคเกาหัวแกร๊กๆอย่างงงๆ
"อาตมาว่า โยมควรจะไปหาข้าวให้เจ้าโยมันเถอะ มันคงจะหิวแล้ว"
ตาโชคไปทำตาม ก็พบว่าเจ้าตัวแสบ มานั่งรอที่โรงครัวพร้อมหมาแมว ของมันแล้ว
"ไปไหนมา ข้าเป็นห่วงนะโว้ย"
"ไปเล่นมาครับ"
"ไปเล่นที่ไหนว่ะ"
"ป่าช้า"
"ไอ้โย กูถามจริงๆเถอะว่ะป่าช้า ออกจะน่ากลัวแบบนั้น มันมีอะไรน่าสนุก"
"ไม่บอก"
สีหน้าที่ไม่รู้ทุกข์ รู้ร้อน อะไรของเด็กชาย ก็ทำให้ตาโชคถอนใจ ...คิดมากไปเองมั๊ง...
จากนั้นก็เอาข้าวเย็นที่เก็บไว้มาให้ เด็กชายที่หิวโซและสองดำที่หิวโหย
จากนั้น วาโยก็ทำไปที่กุฏิหลวงพ่อเจิด แสร้งทำเป็นว่าหลับ เมื่อรู้ว่าหลวงพ่อเจิดจำวัดแล้ว วาโย ก็ค่อยๆย่องออกจากกุฏิไป
เจ้ากรุ๊งกิ๊งและทองดำต่างคอยอยู่นอกกุฏิอย่างแสนรู้ว่าเจ้านายจะออกมาในยามวิกาล
แต่พอมาถึงหน้าปากทางที่จะไปเจออาจารย์ ก็เจอวิญญาณตนหนึ่งที่ตนรู้ว่าชื่อ ห้าว มาห้าม
'ไอ้หนู ไปพักก่อนเถอะ วันนี้ ท่านไม่ว่าง'
เด็กายพยักหน้าก่อนจะกลับไปที่กุฏิแล้วเข้านอน
อีกด้าน ที่ศาลาวัด
ที่ซึ่ง ท่านเจ้าอาวาส หลวงปลื้ม กำลังนั่งสมาธิแต่เพียงลำพัง ท่ามกลางแสงเทียนที่จุด เพียงเล่มเดียว
ไม่นาน ก็มีชายร่างสูงใหญ่ กำยำ ไร้ศีรษะ สวมโจงกระเบนแดงไม่สวมเสื้อ เข้ามากราบ ท่านสามครั้ง
"เจริญพร ขอบใจที่อุตส่าห์มา"
'ขอรับ ที่หลวงพ่อเรียกผมมา ก็ด้วยเรื่องเจ้าเด็กคนนั้นใช่รึไม่'
ภิกษุชราพยักหน้า "ใช่ อาตมารู้ว่า โยมได้สอน คาถาอาคมให้มันกัน มันไม่ใช่ของที่เด็กอย่างมันควรจะรู้"
'กระผมเห็นว่ามันมีพรสวรรค์ในด้านนี้ขอรับ และกระผมเชื่อว่า มันจะไม่เอาไปใช้ในทางที่ผิดแน่ เดิมทีกระผมนั้นสงสารมันที่โดนรังแกจนต้องมาอ่านหนังสือ ที่ป่าช้าอยู่ตลอด กระผมเห็นมาตั้งนานแล้ว'
"แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้เจอกันล่ะ"
'ตอนนั้น ผมเห็นว่ามันโดนพวกผีตายโหงสะกดให้เข้ามาในเขตของมัน กระผมมาพบเข้าจึงช่วยได้ทันการณ์'
หลวงพ่อปลื้มหัวเราะเบาๆ"นี่ล่ะน้า คนดีผีคุ้ม เอาเถอะจะสอนวิชาให้มันก้ไม่เป็นไร อาตมาไม่ว่า แต่ขออย่านานเกินชั่วยามได้ไหม อาตมาเป็นห่วง"
'ขอรับ'จากนั้นวิญญาณปู่โสมก็กราบลาสามครั้งแล้วจากไป
หลวงพ่อปลื้ม จึงนำกระดานชนวน ที่ได้เขียนดวงของวาโยมาดู "ชีวิตเอ็งยังไงก็ต้องผูกพันธ์กับอาถรรพ์จริงๆนะ วาโย"
หลังจากนั้น วาโยก็ไปเรียนคาถอาคมกับปู่โสม ทุกคืน วันละหนึ่งขั่วยาม นับวันก็เก่งกล้า เพราะเป็นเด็กหัวไว แต่เด็กหนุ่มก็เเบ่งเวลา อย่างเหมาะสม ทำให้ วาโย เก่งทั้ง การเรียน กีฬา และคาถาอาคม นอกจากนี้ วาโยก็เริ่มเรียนมวยไทยและกระบี่กระบองเพิ่มเติม ทำให้เป็นที่ชื่นชอบกับทุกคน ยกเว้นเจ้าเบิ้ม ที่ตั้งตนเป็นศัตรู ต่อวาโย อย่างเปิดเผย เจ้าเบิ้มพยายามจะกลั่นแกล้งวาโยในทุกรูปแบบ แต่วาโยก็สามารถหลีกเลี่ยงเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง ซึ่งสร้างความเจ็บแค้น กับเจ้าเบิ้มที่สุด
วันหนึ่ง...เป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้คนอย่างวาโย ที่นิ่งเป็นพระอิฐพระปูน ระเบิดโทสะ
วาโยวัย สิบสอง กำลังซ้อมกระบี่กระบองอยู่ที่ชมรม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"ไง มะลิ"
'โย โยๆ เกิดเรื่องแล้ว'
"มีอะไรเหรอ มะลิ"วาโยหันมาถามเพื่อนสาว ที่มีทีท่าตื่นตระหนก
'เจ้ากรุ๊งกริ๊ง และ เจ้าทองดำ โดนรถชน'
"อะไรนะ! ตอนนี้ พวกมันอยู่ไหน!"
'เราให้คนพามันไปที่โรง'บาลสัตว์แล้ว คงจะไม่เป็นไรแล้ว'
วาโยทิ้งดาบไม้ในมือ รีบไปหยิบกระเป๋าเรียน แล้ววิ่งไปที่ โรง'บาลสัตว์ที่ใกล้ที่สุดอย่างรีบร้อน ก็เจอมะลิที่รออยู่
วาโยเข้าไปถามหมอเรื่องอาการของสัตว์เลี้ยงตน
"อาการยังทรงตัวอยู่ครับ ดีที่น้องๆเค้ามีสุขภาพแข็งแรง ให้พักสักเดือนก็หายดีแล้ว แล้วค่าใช้จ่าย..."สัตวแพทย์ปรายตามองเด็กหนุ่ม ที่เป็นเพียงเด็กประถม
"ไม่ต้องห่วงครับ ผมจ่ายไหว ช่วยลูกรักของผมด้วยนะครับ"
สัตวแพทย์มองเด็กหนุ่มอย่างชื่นชมกับความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง
วาโย มาดูอาการของสัตว์เลี้ยงแสนรักที่นอนให้น้ำเกลือ เด็กหนุ่มน้ำตาไหลพรากเพราะความสงสารเ สัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนแท้ มะลิที่นั่งข้างๆไม่รู้จะปลอบใจยังไง จึงทำได้แต่ ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
หลังจากที่เช็ดน้ำตา "มะลิ พอจะรู้มั้ย ว่าใคร ทำสัตว์เลี้ยงของเรา"
"ไม่รู้จ้ะ รู้แต่ว่า เป็นคนตัวอ้วนขับมอ'ไซค์สีแดง รุ่นใหม่ น่ะจ้ะ
นั่นล่ะ ทำให้เค้ารู้ว่าตัวการมันเป็นใคร ทำตัวเค้า เค้าไม่ว่า แต่มาทำสัตว์เลี้ยงของเค้าแบบนี้ อย่าหวังเค้าจะปรานีเลย
วาโย พามะลิไปส่งที่บ้านแล้วตรงไปที่วัด พร้อมอารมณ์โกรธ จนทุกคนที่พบเจอสังเกตได้
ทางเจ้าเบิ้ม ที่เป็นตัวการขับมอ'ไซค์ ชนหมาแมว สัตว์เลี้ยงสุดรักของศัตรูก็ชวนเพื่อนมาเลี้ยง ขนมพร้อมคุยโว อย่างภูมิใจ
"ฮ่าๆ กูอยากจะหน้าไอ้โย มันจริงจริ๊ง เห็นหมาแมวมันตายแบบนั้นน่ะ"
ลูกน้อเบอร์หนึ่งเอ่ยขึ้น"ลูกพี่ครับ ผมได้ข่าวว่า มะลิพาไอ้หมาแมวพวกนั้นไปส่งโรง'บลแล้วนะครับ"
"จริงเหรอว่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจะหาทางเอายาเบื่อไปวางยาพวกมัน หึ ดูซิจะอึดไหม!"
"มึงคงไม่สมหวังหรอก!!"เสียงของวาโยดังขึ้น พร้อมกับตัววาโยที่กระโดดถีบเจ้าเบิ้ม ทำเอาร่างอันเทอะทะเต็มไปด้วยไขมัน กระเด็น ทำเอา ลูกน้องคนอื่นของเบิ้มตะลึง
คนหนึ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างของลูกพี่ใหญ่ ที่เหลืออีกสองเข้าล็อคตัวแต่ก็โน วาโยจัดการด้วยแม่ไม้มวยไทย กันคนละตุ้บสองตุ้บ จนสลบ จากนั้นเด็กหนุ่มที่พกความแค้นมาเต็มอก ก็ผลักลูกน้องของเจ้าเบิ้มจนกระเด็น โดยที่วาโย เข้าไปเตะซ้ำจนสลบ
ส่วนเจ้าเบิ้มหัวโจก ที่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
เด็กหนุ่มหันมา "หมาแมวกูผิดอะไร เคยไปขี้รดบนหัวมึงไง"
คนถูกถามตัวสั่น หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
เด็กหนุ่มไม่รอช้าเตะเข้าที่ก้านคออีกรอบ จนร่างอันเทะทะล้มลง เค้าไม่รอช้า นั่งคล่อม โดยที่เท้าของเท้า เหยียบ แขนทั้งสองข้างเอาไว้ แล้วระดมหมัดชกหน้าแบบไม่ยั้ง
"กูอดทนกับมึงมามากลแล้ว ไอ้อ้วน กูจะให้บทเรียนที่มึงไม่มีมันลืม ไปทั้งชีวิต!"
หลังจากที่ชกจนหนำใจ ใบหน้าของเบิ้ม บวมช้ำ เลือดกลบปาก กลบจมูก ฟันร่วงไปหลายซี่
เด็กหนุ่มหอบหายใจ สองมือเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นก็ยืนขึ้นหยิบคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วว่าคาถา พึมพัมอยู่ครู่ แล้วมองร่างที่ตนเหยียบแล้วแสยะยิ้ม "กูจะมอบของขวัญชิ้นนี้นะ ถือน้ำใจจากกู มึงมองแผลนี้แล้วจำเอาไว้ให้ดีล่ะ"ว่าจบ เบิ้มพยายามดิ้นแต่โดน อีกฝ่ายเหยียบแขนไว้
จากนั้น วาโยก็จัดการใช้คัตเตอร์กรีดเข้าที่กลางอกของคนที่ตนเหยียบอย่างเเผ่วเบาเป็นรูปกากบาก จนเลือดซึมเล็กน้อย แต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดแก่คนที่โดนกรีดเป็นอย่างมาก จากนั้นวาโยก็กระทืบซ้ำที่กลางอกไปหลายที จนเจ้าเบิ้มร้องขอ"ยอมแล้วๆ หยุดเถอะ อย่าทำเลย เจ็บไปหมดแล้ว"
เสียงโหยหวนของเจ้าเบิ้มดัง จนตาโชคที่ผ่านมาเห็นเข้าพอดี ต้องรีบวิ่งมาจับวาโยแยออกไป
"พอแล้วโว้ย ไอ้โย เดี๋ยวก็ตายหรอก"
หลังจากที่ห้ามวาโยที่ได้ ก็เล่นเอาหอบ เรื่องก็ถึงหูหลวงพ่อปลื้ม กับหล่วงพ่อเจิด งานนี้ทำเอาพระทั้งสองกุมขมับ
หลวงพ่อเจิดบ่น"โยเอ้ย มึงก็ทำเกินไป"
หลวงพ่อปลื้มมองวาโย อย่างหนักใจ จากที่ฟังคนที่เห็นเหตุการณ์แต่ไมกล้าห้าม เล่า ก็รู้ว่า ต้นเหตุมาจาก การที่เจ้าเบิ้มไปขับมอ'ไซค์คันใหม่ชน หมาแมวของวาโย จนต้องเข้าโรง'บาล พอวาโยรู้ก็ ตามมาจัดการเอาคืน จากนั้นเจ้าเบิ้มและพวกก็ต้องเข้าโรง'บาล ตามระเบียบ คนอื่นเจ็มแค่เล็กน้อย แต่เจ้าเบิ้มอาการหนักสุด
...จากเด็กพระอิฐพระปูนกลายมาเป็นเด็กที่โดนเทพสงครามเข้าสิงแบบนี้ น่ากลัววุ้ย...
"โย ครั้งนี้เอ็งทำเกินไปนะ อาตมาคงต้องสั่งสอนเอ็งล่ะ"ว่าแล้วก็หยิบหวาน วาโยรู้อยู้แล้วว่าต้องโดนตี จึงยอมแต่โดยดี เพราะถือว่าเค้าไม่ผิด
ทุกครั้งที่หลวงพ่อปลื้มตี ใครหลายคนอาจจะรู้ว่า เค้าต้องเจ็บ แต่วาโยไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด คงเป็นเพราะความเข้มแข็งของเค้าก็ได้
จากนั้นหลวงพ่อปลื้มก็ไล่ให้วาโยกลับไปที่กุฏิกับหลวงพ่อเจิดก่อน
ตาโชคที่เห็นว่า วาโยโดนหวายตีก้นก็จัดการหายามาทาให้
วาโยไม่ร้องเลย เค้าไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด...
วันต่อมา คุณวิไลก็มาโวยวายจะเอาเรื่องวาโยให้ได้
"เดี๊ยนไม่ยอมนะคะ หลวงพ่อ ไอ้เด็กนี่ต้องเอาเข้าโรงเรียนดัดสันดานให้เข็ดหลาบนะคะ!"
หลวงพ่อปลื้มมองวิไลอย่างเอือมระอา "อาตมาว่า ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกโยมวิไล ความจริงลูกโยมน่ะ ก็ระรานเค้าเอาไว้เยอะนะ แต่ต้นเหตุครั้งนี้ก็เป็นเพราะลูกโยมไม่ทำร้ายสัตว์เลี้ยงเจ้าโยเค้าด้วย"
"ไม่จริ๊ง ลูกเดี๊ยนออกจะเป็นเด็กดีนะคะ"
หลวงพ่อเจิดเอ่ยขึ้นบ้าง"ไม่เชื่อ โยมก็ไปถามที่ตลาดดูเถอะ เมื่อวานลูกโยมขี่มอไซค์สีแดงชนสัตว์เลี้ยงเค้ามานิ"
กระแต แม่ค้าที่มาทำบุญที่วัดเอ่ยขึ้นกับ กระจง เพื่อนแม่ค้าที่มาด้วยกัน" เมื่อวานแกเห็นมั้ย มีคนขี่มอ'ไซค์ชนหมาแมวของพ่อวาโย เข้าน่ะ"
กระจงสนับสนุน"จริง คนขับ ชั้นว่าคล้ายกับลูกชายของคุณวิไลนะเธอ แถมรถอีก เจ้าเบิ้มมันขี่อวดไปทั่วตลาดอยู่นะ"
เสือ เด็กวัดรุ่นพี่ ที่เห็นเหตุการณ์จึงสนับสนุนอีกคน"ป้าครับ ลูกของป้าระรานเจ้าโยมานานแล้วนะครับ เค้าจะโกรธจนเอาคืนแบบนั้นก็ไม่แปลก เจ้าโยก็ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับ เจ้าเบิ้มเลย เจ้าเบิ้มลูกป้าก็แกล้งตลอด ผมว่าป้าเงียบๆไว้เถอะนะ เดี๋ยวจะอายเอา ที่ลูกป้า ตัวเท่าความมาโดนเด็กเท่าหมา อัดยับแบบนั้นน่ะนะ แถมเจ้าโยคงจะถึงขีดสุดจริงๆถึงได้ระเบิดออกมแบบนั้นนะครับ" เมื่อวานเสือเห็นเหตุการณ์จริงๆแต่ไม่กล้าห้ามวาโย ที่มีสภาพโดนเทพสงครามเข้าสิง นั่นคงจะขีดสุดของเด็กหนุ่มจริง ปกติ วาโยเป็นคนสุภาพจะไม่ขึ้นมึงกูกับใครแบบนี้
คุณวิไลรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าไปฉาดใหญ่ ทำได้แต่กัดฟันกรอดๆอย่างเจ็บแค้น กราบลาหลวงพ่อทั้งสองแล้วลงจากศาลาไป
แต่หลังจากนั้น ข่าวลือเรื่องที่เจ้าเบิ้มโดนวาโยอัดยับจนต้องเข้าโรง'บาลก็ลือกันให้แซด ทำเอา คุณวิไลอับอายยิ่งนัก ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนนินทาสมน้ำหน้าตัวเธอเเละลูก ส่วนสามีที่หย่าร้างหรือพ่อของเจ้าเบิ้ม อย่าง 'อิฐ'ก็ด่าซ้ำว่า สมควรแล้วแล้วแหละ เลี้ยงลูกตามใจ สร้างความเดือดร้อน ระรานคนเค้าไปทั่ว แบบนี้
ซ้ำร้าย แผลของเจ้าเบิ้ม ที่วาโย กรีดเป็นกากบาก ก็ยังคงสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าเบิ้มอยู่ แผลยังคงเป็นแผลสด แถมเลือดซึมตลอดจนหมอ สมัยใหม่ส่ายหน้า ร้อนถึงหลวงพ่อปลื้มต้องมาดูอาการ หลวงพ่อปลื้มดูอาการแล้วก็ส่ายหน้า "น้ำมนต์ก็เอาไม่อยู่ ต้องขอให้คนที่ทำมาแก้นะโยมนะ อาตมาแก้ไม่ได้จริงๆ"
"แล้วไอ้เด็กนั่นจะยอมหรือคะ หลวงพ่อช่วยจัดการด้วยเถอะค่ะ"คุณวิไลน้ำตานองหน้าเพราะสงสารลูกชาย
"ลองขอพระเจิดดูนะ ท่านสนิทกับวาโย ดี ตาโชค ก็ได้ อาตมาจะไม่ยุ่ง"
จากนั้นคุณวิไล ก็ไปขอร้องให้ตาโชค ช่วยพูด ตาโชคก็ไม่ช่วย
"ลูกคุณน่ะ ก็สมควรโดนแล้ว ไอ้เบิ้มโคตรขี้เกียจ แถมยังไม่เคยเหลือข้าวให้โย และยังจะเคยแกล้งเอาหินกรวดปนข้าว แกล้งมันอีก ถ้าเป็นผม มันจะโดนยิงกว่านี้ ไปๆ อย่ามยุ่ง ถึงผมช่วยพูด มันคงไม่ยอมช่วยหรอก"
พอไปขอให้พระเจิดช่วย ท่านก็ส่ายหน้า "โยมไม่ขอร้องเอาเองเถอะ"
"โถ่ หลวงพ่อ ช่วยลูกชั้นด้วยเถอะค่ะ ชั้นผิดเองที่ตามใจลูกแบบนี้"
พระเจิดส่ายหน้า "อาตมาจะช่วย แต่มีข้อแม้"
"อะไรคะ"
"โยมกับลูกห้ามไประรานครอบครัวของเจ้าโย เพื่อนของเจ้าโย และ ตัวเจ้าโย มันนะ และโยมก็เลิกตามใจลูกด้วย อย่าให้ลูกโยมไประราน รังแกคนอื่นอีก"
คุณวิไลยิ้มทั้งน้ำตา"ค่ะๆชั้นสัญญา"
จากนั้น พระเจิด และคุณวิไล ก็ไปหาวาโย โดยพระเจิดก็ให้ตาโชค ไปหาวาโยด้วย พระเจิดรู้ดีว่า วาโยอยู่ที่ไหน
วาโย กำลังนั่งอ่านหนังสือบนต้นไทร พอเห็นผู้มาเยือน เด็กหนุ่มกระโดดลงมาจากต้นไม้อย่างชำนาญ แล้วยกมือไหว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"นมัสการหลวงพ่อ สวัสดีครับ ตาโชค สวัสดีครับ คุณวิไล"
พระเจิดรู้ดีว่าวาโยยังคงโกรธอยู่ เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมา นั้นเเข็งกระด้าง
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร วาโยชิงพูดเสียก่อน
"จะมาขอให้ผมช่วนแก้ อาคม เหรอครับ"
พระเจิดเอ่ยเสียงอ่อน"วาโย ไอ้เบิ้มมันก็ได้รับบทเรียนเเล้ว ถอดอาคมเถอะ ถือว่าเห็นแก่อาตมานะ"
คุณวิไลถึงกับคุกเข่าอ้อนวอนทั้งน้ำตา"ชั้นขอล่ะ ช่วยลูกชั้นด้วยเถอะ เค้าสำนึกผิดแล้ว ชั้นเองก็สำนึกผิดแล้ว ชั้นขอโทษ ฮือๆ"
"คนที่ควรขอโทษคือ ลูกของป้านะครับ แต่...ผมเห็นแกหลวงพ่อเจิด ผมจะยกโทษให้"
จากนั้น วาโยก็นำคัตเตอร์ออกมา แล้วนำขวดน้ำที่ตนหยิบติดมือ มาด้วย จากนั้นก็ตรงไปที่ต้นไม้ ต้นนั้นก่อนจะพูดกับต้นไม้เบาๆ จากนั้นก็ว่าคาถาอย่างรวดเร็วที่คัตเตอร์แล้วกรีดที่ต้นไม้ต้นนั้น จนยางออกมา เด็กหนุ่มใช้ขวดน้ำที่ยังมีน้ำอยู่ เปิดฝารองยางที่ไหลลงมา จากนั้นก็ปิดฝาเขย่าจนน้ำเปลี่ยนสี แล้วส่งให้ตาโชค "เอาน้ำนี่ ไปพรมที่แผล อย่าให้พยาบาลกับหมอเห็นนะครับ แล้วแผลจะตกสะเก็ดหายเอง ผมขอตัวก่อน"ว่าจบ วาโยก็เดินจากไป
คุณวิไลรีบทำตามที่วาโยบอก ผลปรากฏว่า แผลของเจ้าเบิ้มหายจริงๆแต่มันยังคงเหลือ แผลเป็นเอาไว้ หลังจากกลับจากโรง'บาล นิสัยของเจ้าเบิ้มก็เปลี่ยนไป ไม่เกเรใครอีก แถมพอเห็นหน้าวาโย ก็กลัวตัวสั่นราวกับหนูกลัวแมว ทำเอาเด็กคนอื่นร้องเฮกันไปตามๆเพราะไม่ต้องโดนแกล้ง โดนไถ่ตังค์อีก
สำหรับสัตว์เลี้ยงของวาโย หลังจากที่รักษาอยู่นาน ก็หายดีเป็นปกติ
หลังจากนั้น คนรอบตัวก็ดูเหมือนจะเกรงๆวาโย มากกว่าเดิม บางส่วนก็ยังเห็นว่าวาโยเป็นเพื่อนที่ดี มะลิเองก็เช่นกัน สำหรับเธอวาโย ก็คือ วาโย คนเดิม ที่อ่อนโยนใจดี
ต่อมา...วาโยก็ ย้ายไปเรียนต่อม.ปลายที่กรุงเทพด้วยวัยสิบสี่ เพราะสอบข้ามชั้นได้ โดยที่เด็กหนุ่มแยกไปอยู่หอพัก พร้อมสัตว์เลี้ยง นานๆทีจะกลับมาที่อยุธยาโดยที่เค้าจะมาเยี่ยม คุณปู่ หลวงพ่อปลื้มกับหลวงพ่อเจิด ตาโชค และมะลิ เพื่อนสาวที่แสนดี โดยไม่ลืมที่จะไปเยี่ยมปู่โสม ที่ถ่ายทอดวิชาอาคมให้ และไม่ลืมที่จะซื้อขนมจีนไปเซ่นไหว้
...
สนุกไหมครับคุณผู้อ่าน อยากรู้รึยัง ว่าผมเป็นมือปราบได้ยังไง เอาไว้เล่าในตอนหน้านะครับ
ติดตามต่อในตอนหน้าค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ