เด็กชายกับปู่โสม(เฝ้าทรัพย์)

8.7

เขียนโดย นิกซ์

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.42 น.

  10 ตอน
  9 วิจารณ์
  15.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 14.13 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ตอนที่ 1 ผมชื่อ วาโย ศิริกุล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มหาวิทยาลัยรัฐ แห่งหนึ่ง 

ณ โรงอาหารของมหาลัย

ร่างบอบบางของเด็กสาวอายุราวสิบแปด ผิวขาวนวล ผมดำยาวถักเปียสองข้างแบบหลวมๆดูน่ารัก

ตรงเข้าไปหา ร่างสูงของใครบางที่กำลังก้มหน้าก้มตา อยู่กับโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ 

"โย"เธอร้องเรียกสั้นๆ

เด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้ามองโน๊ตบุ๊คเงยหน้าขึ้นมา "มะลิ มีธุระอะไรเหรอ"

มะลิ เข้ามานั่งข้างๆเด็กหนุ่ม "ทำอะไรอ่ะ"

"มะลิยังไม่ตอบคำถามของเราเลยนะ"

เด็กสาวแก้มป่อง "ก็เราอยากไปกินบิงซู ที่เปิดใหม่ ไม่ไกลจากมอ อ่ะ โยพาไปเลี้ยงหน่อยได้มั้ย?"

"ได้สิ ไปตอนไหน"

"โยทำงานอยู่ใช่ไหม"

"อืม อีกดี๋ยวก็เสร็จแล้วแหละ ไปกันเย็นนี้ดีมั้ย นานทีจะว่างนะ"

"จริงอ่ะ ขอบคุณนะโย ใจดีจัง"

เด็กหนุ่มยิ้มรับ แล้วหันมานั่งทำงานต่อ โดยมีมะลิ แฟนสาว นั่งฟังเพลง อ่านหนังสือ รอเค้าอยู่ข้างๆ ท่ามกลางสายอิจฉาของเหล่าคนที่ผ่านไปมา

ผ่านไป ชั่วโมงกว่า วาโยถอดแว่นกรอบดำที่สวมอยู่ออก พลางนวดรอบๆตา และขมับ

"เสร็จแล้วเหรอ โย"

"อืม ปวดตามากเลย ส่งงานแล้ว ไปกันเลยไหม สี่โมงเย็นแล้ว"

"ดีจ้ะ"

วาโยจัดการเก็บของให้เรียบร้อยก่อนจะพาแฟนสาวไปยังร้านบิงซูที่อยากกิน

เริ่มเรื่องมาตั้งนาน ลืมแนะนำตัว ต้องขอโทษ คนอ่านทุกคนด้วยนะครับ แล้วก็

สวัสดีครับ ผมชื่อ วาโย ศิริกุล เรียกว่าวาโย ก็ได้นะ หรือจะเรียกโย ก็ได้ อายุ 18 ผมเป็นนักศึกษาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ปี2  อย่าสงสัย ผมแค่เรียนข้ามชั้น แล้วสอบเข้ามาได้ครับ

ผมน่ะเป็นคนอยุธยาครับ พ่อกับแม่ เป็นคนอยุธยา ทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ได้หย่าร้างกันแล้ว โดยที่ผมไปอยู่อาศัยกับปู่ของผม ที่อยุธยาเนี่ยแหละ ไม่ไปไหนเลย ส่วนพ่อผมก็แต่งงานใหม่ ไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว ส่วนแม่ก็เหมือนกัน แต่งงานใหม่ ย้ายไปที่กรุงเทพเรียบร้อย เราไม่ค่อยจะติดต่อกันน่ะนะ จริงๆแล้วตัวผมน่ะ ไม่ได้เป็นแค่นักศึกษา หรอกนะ แต่ผมเป็นมือปราบวิญญาณ ถามว่ามือปราบวิญญาณคือใคร? แล้วทำอะไร? จะบอกให้ฟังนะครับ  มือปราบวิญญาณคือเหล่าหนุ่มสาวที่ถูกคัดเลือกจากครอบครัวธรรมดา และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอิ่มบุญ โดยเริ่มแรกผู้ถูกเลือกจะได้รับการฝึกถ่ายทอดคาถาและวิชาไสยเวทย์ก่อน จากนั้นก็มาเป็นผู้ช่วยของมือปราบรุ่นพี่ก่อน แล้วค่อยไต่เต้าขึ้นเป็นมือปราบ ส่วนมือปราบที่ไม่ได้มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอิ่มบุญก็จะเป็นพวกที่มาจากครอบครัวธรรมดาซึ่งหาได้น้อยมากและ ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมยังเป็นมือปราบที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย  

มือปราบวิญญาณนั้นมีหน้าที่กำจัดวิญญาณร้ายที่เหล่ายมทูตตามตัวไปไม่ได้ เช่นวิญญาณตายโหงเพราะยังไม่ถึงฆาต เหล่ามือปราบนั้นจะเป็นหนุ่มสาวที่อายุ18 ถึง 25 ปีเท่านั้นหลังจากที่อายุเลยเกณฑ์ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหรืออยากจะเป็นมือปราบต่อก็ตามใจ ทุกคนจะต้องมีสัตว์เลี้ยงหรือไม่ก็วิญญาณผู้ช่วย เช่น กุมารทองหรือรักยม ก็ได้ตามสะดวก อย่างผมจะเป็นสัตว์เสี้ยงที่เป็นสัตว์อาคม ครับ มีสองตัวหนึ่งคือ แมวดำพันธุ์โกนจา ชื่อกรุ๊งกริ๊ง และเจ้าทองดำ หมาพันธุ์ผสม บอกไว้เลยนะครับว่าค่าจ้างสูงมากเลยนะครับ สำหรับแต่ภารกิจแต่ละภารกิจ แต่การทำงานก็ยากมากเหมือนกัน จะต้องปิดบังไม่ให้ใครรู้ 

สำหรับการถูกเลือกนั้นน่ะ ต้องดูว่า เด็กคนนั้น มีสัมผัสที่ 6 รึไม่ มีพื้นฐานด้านวิชาอาคมรึเปล่า?จะมีพวกกรณีพิเศษ ที่ถูกเลือกมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆอย่างผมที่ถูกเลือกตอนอายุ 15 สามารถใช้คาถาอาคมแบบโบราณได้ ธาตุศาสตร์ ได้ทุกธาตุ โดยที่มาฝึกกับทางศูนย์มือปราบเพียงไม่กี่วัน ทางนั้นก็ให้เป็นมือปราบได้เลย คาถาที่ได้รับการถ่ายทอด จากศูนย์มือปราบวิญญาณ จะเป็นคาถาพื้นฐานที่เหล่ามือปราบต้องรู้และสามารถใช้ได้น่ะครับ ส่วนคาถาโบราณน่ะเหรอ? อืม...จะว่ายังไงดีล่ะ จะให้ว่าใครถ่ายทอดวิชานี้ให้ผมเลยเนี่ย มันก็ไม่สนุกน่ะสิครับ อ่า...คุณอยากรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ผมเข้ามาเป็นมือปราบ ถ้าจะให้สนุก ผมคงต้องเริ่มเล่าตอนที่ผมยังเป็นเด็กๆ ตอนห้าขวบเลยดีกว่า พร้อมฟังไหมครับ ฮ่ะๆ ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะครับ ทุกคน

หลายปีก่อน จังหวัดอยุธยา

ตัวผมในวัยเด็ก อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านในจังหวัดอยุธยา แต่ผมรู้ดี ความสัมพันธ์ในครอบครัวของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากที่ไม่เคยทะเลาะกัน ก็ทะเลาะกันเสียงดังแทบทุกคืน จนตัวผมในวัยห้าขวบ ไม่สามารถข่มตาให้นอนได้ ผมพยายามที่จะเอาหมอนมาปิดหู ดิ้นให้หลับก็ไมหลับซักที เสียงทะเลาะกันของพอกับแม่ยังคงจะดังเข้ามาในห้องนอนของผม

สุดท้าย พ่อกับแม่ของผมก็ตัดสินใจหย่าขาดจากัน เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทางใครทงมัน สำหรับตัวผม ที่ไม่ขอไปอยู่กับใคร จึงขอมาอยู่กับปู่ ญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ของผมที่อยุธยา ปู่ของผมชื่อ มิ่งขวัญ หรือที่ใครๆก็เรียกแกว่า ปู่มิ่ง เป็นหมออาคม คอยช่วยคนจากการโดนคุณไสยฯและยังเป็นหมอดู ที่ช่วยทำนายทายทักชะตาชีวิตคน บ้านปู่มิ่งหรือที่ตอนนี้กลายเป็นบ้านของผม ไปแล้วน่ะนะ หัวกระไดไม่แห้งเลย เพราะมีคนที่ต้องการขอให้ปู่มิ่งช่วยทำนายทายทักชะตาชีวิต เยอะมาก บ้านของเราอยู่ใกล้กับวัดนะครับ วัดนี้ ขึ้นชื่อว่า ป่าช้าผีดุ ตอนเด็กๆตั้งแต่จำความได้ ผมมองเห็นและสื่อสารกับวิญญาณได้ แต่ใครๆหลายคนไม่เข้าใจ คิดว่าผมเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่มีใครยอมเล่นกับผมเลยสักคน ผู้ใหญ่หลายคนรังเกียจ จะมีเพียงแต่ ยายจัน คุณยายที่เปิดร้านขายขนมไทยที่หน้าประตูวัดและที่ตลาด แกใจดีกับผมมากๆเลยครับ ไม่เคยรังเกียจผม แกมักจะให้ขนมผมบ่อยๆ ทุกครั้งที่เเกเจอผม และนั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของผม...

ยามสายของวันหนึ่ง เด็กชายหน้าตาน่ารัก ตัวขาวซีด ผมดำ แต่งกายสะอาดสะอ้าน สวมชุดเสื้อยืด สีส้ม และกาเกงลูกหมีสีดำ ในมือถือตุ๊กตาตัวโปรดกำลังจะไปเดินเล่น ในป่าที่ประจำของเค้า วาโย ศิริกุล หรือ หนูโย วัย 5 ขวบ

เด็กชายตัวน้อยมาหยุดอยู่ที่บ้านของยายจัน คุณยายขายขนมที่แสนใจดีของเค้า วันนี้เค้า หยุดมองยายจันในชุดสีเสื้อคอกระเช้าสีเลือดหมูตัวเก่งโดยที่สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าซีด คู่กับผ้าถุงสีกรม ทุกอย่างก็ดูปกตินะ แต่ทำไมยายถึงร้องไห้ล่ะ ทำไมไม่เข้าไปในบ้านล่ะ

"สวัสดีครับ คุณยาย"

ยายจันหันมามองแล้วยิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะคุกเข่าสะอื้น

"คุณยายเป็นอะไรเหรอครับ มาร้องไห้ตรงนี้ทำไม ทำไมไม่เข้าไปในบ้านล่ะครับ"

ยังไม่ทันที่ยายจันจะตอบอะไรเด็กชาย 

"หนูโย หนูคุยกับใครอยู่ลูก"เสียงของป้าแจ่มร้องถาม

เด็กชายตอบซื่อๆ"ผมก็คุยกับยยจันน่ะสิครับ ไม่รู้ยายจันเป็นอะไร ร้อนไห้อยู่ตรงนี้"เด็กชายชี้ไปที่เบื้องหน้าตน

ทำเอาป้าแจมลูกสาวคนโตของยายจัน หน้าซีด

"มีอะไรรึโยมแจ่ม" พระรูปหนึ่งในวัยกลางคนตรงเข้ามาทัก ท่านชื่อเจิด เป็นหลานของยายจัน ที่บวชพระมานานแล้ว ตั้งใจจะย้ายมาจำพรรษาวัดที่ใกล้บ้านยาย ที่ตนเคารพ

"หลวงพี่คะ หนูโยบอกว่า แม่ของหนูร้องไห้อยู่ตรงนี้ค่ะ"

พระท่านมองดูเด็กชายอย่างพินิจ "ไอ้หนู เอ็งเห็นยายจันจริงๆเหรอ"

เด็กชายพยักหน้า

หลวงพี่หันไปถามแจ่มที่หน้าซีด"โยมเเจ่ม ได้จุดธูปขออนุญติให้วิญญาณโยมแม่ เข้ามาในบ้านรึยัง"

แจ่มนึกอยู่ครู่ "จริงด้วย ต้องรีบแล้ว"

พระรูปนั้นหันไปมองเด็กชายที่มองตาแป๋ว "ไอ้หนู ชื่ออะไรวะ"

"ชื่อโย ครับหลวงพ่อ"

"เอ็งรู้รึเปล่า ว่ายายจันน่ะตายแล้วนะ"

"จะตายได้ยังไงครับ เมื่อวานผมยังเจอยายอยู่เลย และตอนนี้ก็ด้วย ยายยืนเช็ดหน้าตาอยู่ตรงนี้อยู่เลย"เด็กชายชี้ไปที่ข้างๆตัว

"ที่เอ็งคุยด้วยน่ะ คือผี ยายจันเสียแล้วตั้งแต่เมื่อคืน"

เด็กชายดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อย น้ำตาคลอเบ้า

ไม่นานแจ่มได้ทำการไหว้เจ้าที่ขออนุญาติให้วิญญาณของแม่ให้เข้าไปในบ้าน ป้าเเจ่มหันมาถามเด็กชายทั้งน้ำตา

"หนูโย เห็นยายจันไหม ตอนนี้อยู่ตรงไหน แกเป็นยังไงบ้าง"

เด็กชายตอบ โดยที่น้ำตาได้ไหลออกมา "ยายจันยืนอยู่ข้างๆป้าแจ่มแล้วครับ กำลังยิ้มด้วย ไม่ร้องไห้แล้ว" คำตอบของเด็กชายทำเอาสาวใหญ่ ร้องไห้โฮ 

พระเจิดออกความเห็น"ท่าทาง ไอ้เด็กนี่จะมองเห็นผีนะ โยมแจ่ม"

"จริงเหรอคะ หลวงพี่ ปกติชั้นเห็นเด็กคนนี้ชอบทักทายใครก็ไม่รู้ จนคนแถวนี้คิดว่า หนูโยปัญญาอ่อน น่ะค่ะ จะมีแม่เนี่ยแหละที่เมตตาไม่รังเกียจ เอ็นดูเจอทีไร ก็ให้ขนมทุกที"แจ่มพยายามเช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหล

"โยมเเจ่ม เด็กน่ะ มันบริสุทธิ์ คิดยังไง ก็พูดยังนั้น ที่เค้าทักทายคน ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เค้าเห็นวิญญาณทักทายเค้า เค้าก็ทักตอบ คนที่ไม่เข้าใจก็หาว่าบ้า จริงๆแล้ว ไอ้เด็กนี่ก็หน้าตา น่าเอ็นดู ดีออก"

แล้วจูงมือเด็กชายเข้าไปในบ้าน ให้จุดธูปไหว้แม่ของตน ที่ผ่านมา แจ่ม ยอมรับว่าเคยรังเกียจ หนูโย เพราะคิดว่า บ้า ปัญญาอ่อน แต่ที่ไหนได้ เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีสัมผัสพิเศษ สามารถมองเห็นเเละสื่อสารกับวิญญาณได้ หากไม่มีเด็กคนนี้ วิญญาณแม่ของตนคงต้องร้องไห้ อยู่หน้าบ้านแน่ๆ

วาโยในตอนนี้กำลังนั่งเล่น อยู่ตรงมุมหนึ่งของลานบ้าน พอป้าแจ่ม เอาน้ำกับขนมมาให้ แล้วกลับไปคุยกับกลุ่มญาติ หลังจากนั้น กลุ่มญาติและแขกที่มาช่วยงาน ก็หันมามองเด็กชายวาโยด้วยสายตา ที่ต่างออกไปจากเดิม จากที่เคยรังเกียจ กลับเป็นสายตาหลากหลาย ทั้ง แปลกใจ รู้สึกผิด เห็นใจ ปะปนกัน

"โย"เสียงหวานๆของใครบางร้องเรียก

เด็กชายหันมาพบว่าคนที่เรียกคือ เด็กหญิงแก้มยุ้ย ผมแกละ ในชุดกระโปรงสีดำ อายุน่าจะรุ่นเดียวกัน

"เธอชื่ออะไร"

"มะลิ เรามีเรื่องอยากจะถาม..."

"อะไร"

เด็กหญิงน้ำตาซึม "คุณยาย พูดอะไรรึเปล่า"

"หือ?"เด็กชายหันไปมองข้างตัวของมะลิ พบว่ายายจันนั่งอยู่ข้างๆ

'หนูโยจ๊ะ ช่วยบอกมะลิหน่อยได้ไหม บอกตามที่ยายจะพูดให้หนูฟังนะ '

"ทำไมยายไม่บอกเองล่ะครับ"

มะลิดูตกใจกับกิริยาของโย เพราะโยไม่ได้มองมาที่เธอ 

'มะลิ ไม่ได้ยินเสียงของยายน่ะจ้ะ ยายตายแล้ว หลาน'ยายจันตอบเด็กชายน้ำตาซึม 'ช่วยยายหน่อยนะ หนูโย มะลิ หนูต้องเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนนะ'

วาโยพูดตามที่ยายจันพูดทุกคำ มะลิและลูกหลานคนอื่นของยายจันที่เข้ามาฟังด้วยน้ำตาซึม เพราะทุกคำพูด กลายเป็นคำสั่งเสียถึงลูกหลานทุกคน

พอพูดจบ ทุกคนก็ปล่อยโฮ ลั่น มีเพียงพระเจิดที่ไม่ร้องไห้

ท่านตรงมาลูบหัวเด็กชายสองสามที "ไอ้หนูเอ้ย ขอบใจจริงๆ"

หลังจากวันนั้น เรื่องที่วาโย เห็นสามารถคุยวิญญาณได้ ก็ลือกันให้ทั่ว เร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง งานนี้ทำเอาคนที่เคยกล่าวหาว่า วาโย เป็นเด็กปัญญาอ่อน หน้าม้านไปตามๆกัน สำหรับปู่มิ่งนั้น ก็ดีใจระคนแปลกใจที่หลานชาย มีสัมผัสพิเศษ แต่ก็ไม่อยากให้หลานชายต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ และไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับหลานชาย เพราะอยากให้หลานชายเติบโตมาอย่างเด็กทั่วไป จึงนำไปฝากเป็นเด็กวัด ข้างๆบ้านตน

ซึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสและพระเจิดก็รับปากจะดูแลให้เป็นอย่างดี

...

อ๊ะๆ คิดว่านี่ จบอย่างHappyแล้วสินะครับ นั่นน่ะยังไม่จบ หลังจากนี้อาจจะไม่Happy อย่างที่คิด

 

 

 

อ่านในตอนหน้านะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา