ห้วงไฟเก่า
-
เขียนโดย หนุ่มวิเวก
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 08.33 น.
6 ตอน
2 วิจารณ์
9,311 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) คล้ายกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตกดึกในค่ำคืนถึงในขณะที่ทุกคนในบ้านนอนหลับกันหมด
มีเพียงวุฒิคนเดียวที่ยังลืมตาโพลง
เรื่องแววกำลังจะแต่งงานยังค้างคาอยู่ในหัว
เขาน้ำตาซึมพลางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอารมณ์เสียเมื่อตอนเย็น
ยิ่งทำให้อารมณ์เขาไม่เป็นสุข เขาอึดอัดในใจจนนึกอยากตะโกนให้ดังสุด
แต่ทำไม่ได้ เขานอนไม่หลับทั้งที่หัวถึงหมอนมาจนค่อนสว่างเขาคิดถึงอดีตอยู่ในหัวตลอดเวลา
“สวัสดีครับ น้องใหม่คนนี้น่ารักจัง” วฒิสะกิดเพื่อนซี้แล้วชี้ไปยัง เฟรชชี่หน้าใส
ใบหน้าเรียวจมูกรับกับใบหน้าอย่างลงตัว ผิวพรรณขาว เนียน
สะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงความมีชาติตระกูล
“อ๋อ น้องคนนี้ชื่อน้องแวว เด็กคณะเราเองแหละ ได้ข่าวว่าชมรมเชียร์ลีดเดอร์กำลังตามตื้อเข้า
ชมรมแน่ะ แล้วทำไมเหรอ เอ็งสนใจรึไง” เพื่อนซี้ชักสงสัยวุฒิ
“อืม ก็ใช่นะสิ เข้าไปคุยกับน้องเป็นเพื่อนข้าหน่อยดิ”
“ เฮ้ยเอ็งอย่าฝันสูงหน่อยเลยน่า น้องเขาเริ่ดขนาดนั้นคงไม่สนใจคนอย่างเราๆหรอกน่า”
“เออน่าอย่างน้อยให้เขาเห็นหน้าก็ยังดีป่ะ”
วุฒิกระชากแขนเพื่อนเดินเข้าหาน้องใหม่ที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่โต๊ะหินอ่อน
ที่อยู่ข้างสนามฟุตบอลห่างออกไปประมาณสิบเมตร
“สวัสดีครับ พี่ชื่อวุฒิครับ ส่วนพี่คนนี้ชื่อปอนแต่น้องชื่ออะไรเหรอ
เราสองคนเป็นรุ่นพี่ที่คณะน้องนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่น้องชื่ออะไรครับ
อ่อพี่รู้แล้วน้องแววใช่มั้ยครับ”
วุฒิสุภาพวางท่าพ่อไก่แจ้เบ่งไหล่ผายเหมือนเวลาที่มันเกี้ยวพาราสีไก่ตัวเมีย
ที่มันคาดหมายตรงหน้า เขายังประทับใจในเหตุการณ์วันนั้น
วุฒิโอบกอดไปที่เยาว์ที่นอนหลับสนิทโดยไม่เขานอนกอดเธออยู่อย่างนั้น
น้ำในตาไหลอาบสองแก้มเขาร้องไห้ ในมือซุกไปในกางเกงนอน
แล้วซบลงที่หน้าอกอุ่นของภรรยา เขากลั้นเสียงอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา
แม้แต่เล็กน้อยแล้วผลอยหลับไปจนถึงเช้า
ยังคงมีคนอีกมากมายที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่ารัก
แท้จริงแล้วความรักคืออะไร ในเมื่อบางคนใช้เวลาไม่นานเพื่อหาคำตอบ
แต่บางคนกลับใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อหาความหมายนี้เช่นเดียวกับวุฒิชายลูกสอง
ที่ยังคงค้นหาความหมายของสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกวูบไหวทุกครั้งที่เขาคิดถึงแวว
ความรักของวุฒิอาจจะหมายถึงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นความทรงจำที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อจบภาคการศึกษาในปีแรกที่อัศดาเข้าเรียน เขาตัดสินใจ
“ผมมายื่นใบลาออกครับ” ในห้องธุรการคณะ เขาเขียนใบลาออกจากสถาบัน
ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างในใจ เขายังไม่ลืม
การเรียนในสถาบันการศึกษาชื่อดังในกรุงเทพที่อัศดาสอบเข้าเอนทรานซ์ติด
เป็นสิ่งที่ทำให้เขายัง
คิดถึงอยู่เสมอ บรรยากาศชีวิตน้องใหม่ที่มาจากบ้านนอกอย่างเขา
ยังมีเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ยังเป็น
อุทาหรณ์ ที่เขาอาจจะต้องใช้เวลาที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่จะลืมเลือน
“น้องถาปัตย์มาทางนี้เลย เพื่อนเข้ากลุ่มรอทางนี้”
เขาได้ยินเสียงรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังกวักมือเรียกน้องใหม่ของคณะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคณะเดียวกัน
“สวัสดีครับพี่ ผมเด็กถาปัตย์ครับ”อัศดา ยกมือไหว้รุ่นพี่สาวสวย
“น้องถาปัตย์เหรอจ้ะ น้องชื่ออะไรเหรอเดินไปหาเพื่อนในกลุ่มทางโน้นเลยจ้ะ นั่นแน่ะรวมกลุ่มกันทางโน้น”
รุ่นพี่ชี้มือบอกน้องใหม่ แล้วอัศดาก็เดินไปเข้ากลุ่มรวมกับเพื่อนใหม่
“เฮ้ยชื่ออะไรวะ กูชื่อชิ้ง”เพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ในกลุ่มอยู่ก่อนแล้วกล่าวแนะนำตัวเองแก่อัศ
“เราชื่อ อัศ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“มาจากต่างจังหวัดเหรอ เออยินดีที่ได้รู้จัก “ทำไมเลือกถาปัตย์วะ
กูเลือกเพราะเป็นสถาปนิกแล้ว
มันเท่ห์ รวยด้วย ”ชิ้งรู้ทันทีที่อัศดาพูดสำเนียงแปร่งๆ
“เราเลือกเพราะคิดว่าเรียนจบคณะนี้แล้วจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดเราได้น่ะ”
อัศดาเล่าถึงอุดมการณ์ การสนทนาของเพื่อนใหม่ทั้งสองทำความรู้จักกันในวันแรกที่รู้จักกัน
อัศดาว่าที่สถาปนิกใหม่จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ที่เขารู้จัก
เขาไม่เคยอดหลับอดนอนมาก่อน หลายครั้งที่อาจารย์ให้การบ้าน
เป็นงานออกแบบในหลายวิชาพร้อมกัน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อย
เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าชีวิตนักศึกษาสถาปัตย์จะต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะขนาดนี้
เมื่อกลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง เขานึกถึงคืนวันนั้น
อาหารภัตตาคารราคาแพงถูกวางไว้บนโต๊ะ
ให้บรรดานักศึกษาปีหนึ่งกลุ่มหนึ่งนั่งรอกันด้วยความหิว
ในค่ำคืนแห่งความสุข อัศดาและเพื่อนทุกคนลงมือทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อย
“เคยกินป่าววะอัศ อาหารแบบนี้” ชิ้งถามเพื่อนใหม่จากต่างจังหวัด
“ไม่เคยว่ะ มีอะไรบ้างวะเนี่ยต้องใช้ตะเกียบกินเหรอ ไม่ค่อยถนัด”
“เออ ไก่อบที่มีไฟลุกท่วมตัวอยู่นี่เขาเรียกว่าไก่อบภูเขาไฟ
ส่วนเป็ดย่างหวานๆนี่เขาเรียกว่าเป็ดปักกิ่ง แล้วกานนี้เขาเรียกปลาจาระเม็ดนึ่งมะนาว
และผัดคะน้าน้ำมันหอย นั่นข้าวผัดปูกูสั่งมาช่วยกันกิน”
แนะในกลนำเมนูอาหารโอชะพลาง ขณะที่ใช้ตะเกียบหยิบไก่อบเป็นชิ้นอย่างชำนาญ
“อ๋อ ไม่เคยกินเลย อร่อยดีนะ”
“เอารู้จักไว้อัศ ต่อไปจะได้มากินบ่อยๆละ”
นัท เพื่อนที่นั่งรวมอยู่บนโต๊ะอาหารทุกคน
ต่างกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อนในชีวิต
หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแปร้ ชิ้งที่เป็นสารถีเจ้าของรถเก๋งคันเก่ง
ก็พาเพื่อนทุกคนตระเวนชมบรรยากาศยามราตรีของเมืองกรุง อัศดารู้สึกว่าอยากกลับแล้ว
“ชิ้ง กลับกันเถอะเราว่า ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ”อัศดารู้สึกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว
“เออน่า เดี๋ยวพาไปดูที่นี่ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ”ชิ้งพูด
ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานอยู่ในรถ
รถแล่นบนถนนกลางเมืองกรุง ไฟฟ้าสว่างทั่วไปหมดทั้งเมือง
ตึกอาคารสูง รูปทรงแปลกตาเรียงราย
บ้างมีไฟสีสันสดใสเปิดตามร้านรวงข้างทางให้เห็นเป็นระยะ
บรรยากาศยามค่ำคืนเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแก่นักศึกษาบ้านนอกที่เพิ่งเคยนั่งรถเก๋งท่องเที่ยว
“นี่เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มึงเคยเห็นในทีวีไง จำได้มั้ยอัศ”
ชิ้งแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนใหม่ปีหนึ่งของสถาบันรู้จัก
“โห นี่เหรอวะที่ที่เขามาชุมนุมประท้วงทางการเมืองบ่อยๆ
เราเพิ่งเคยมาถ่ายรูปครั้งแรกเลยนะเนี่ย สวยว่ะ
พวกเราทุกคนยืนตรงนี้เรียงแถวให้เห็นหน้าพวกเราทุกคนได้มั้ย
ชิ้งนายไปกดกล้องให้หน่อย เราอยากได้รูปหมู่”อัศวานให้ชิ้งช่วยเป็นตากล้อง
“ได้สิ พวกมึงยืนเรียงแถวตรงนี้นะ เดี๋ยวกูจะไปยืนถ่ายตรงข้ามถนนฝั่งโน้น”
วิ่งข้ามถนนเพื่อไปยืนเป็นช่างภาพที่ฟุตบาต
ภาพเขายืนถ่ายรูปหมู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เขายังจำได้
รถแล่นต่อมายังเสาชิงช้าเข้าชิ้งจอดรถที่เขาขับพาเพื่อนเที่ยวจอดไว้ข้างทาง
ทุกคนลงจากรถเพื่อไปยืนตั้งท่าถ่ายรูป อัศยืนถ่ายรูปในขณะที่ชิ้งเป็นตากล้องกิตติมศักดิ์
“แชะ”เสียงลั่นชัตเตอร์ของชิ้ง ในขณะที่เพื่อนทุกคนกำลังเป็นนายแบบถ่ายรูปหมู่ มีเพียงชิ้งคน
เดียวเท่านั้นที่ไม่ประสาจะเข้าเฟรมเหมือนคนอื่น
“เฮ้ย นัทไปเป็นตากล้องให้เราถ่ายรูปคู่กับชิ้งหน่อยสิ”อัศอยากมีรูปคู่กับชิ้ง
“ไม่เป็นไรว่ะ กูมาบ่อย พวกมึงถ่ายกันไปเถอะ ขอกูเป็นตากล้องอย่างเดียว”ชิ้งกล่าว
ในห้องสมุดของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันแห่งหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า อัศเห็นอาจารย์นั่งอยู่ที่โต๊ะ อ่านหนังสือรอใครบางคน
“สวัสดีครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับผมมาสาย”
“อะไรกันนี่มันสิบโมงแล้ว ทำไมเพิ่งมา”
“อาจารย์ครับ ผมทำงานได้แค่นี้ครับ อนุโลมให้ผมผ่านได้มั้ยครับ
ผมขอโทษจริงๆที่ไม่เมาสาย ต่อไปผมจะปรับปรุงตัวให้เป็นคนตรงต่อเวลาครับอาจารย์
สงสารผมเถอะนะครับ”
“ไม่ได้ผมให้คุณผ่านไม่ได้ คุณมาสายตั้งชั่วโมง เลยเวลาส่งงานมามากแล้ว”
“หมายความว่าผมต้องเรียนซ้ำชั้นเหรอครับ อาจารย์”
“ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณไม่มีความรับผิดชอบ”
อาจารย์ประจำรายวิชายกมือรับไหว้เด็กบ้านนอกที่ขอลากลับ
อัศดานอนหลับในห้องของนัทและชิ้ง เป็นเวลาสิบโมงเช้า
ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจากการออกท่องราตรีกับเพื่อนเมื่อคืน
ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังติ๊ดๆๆๆ เขารีบตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อมองไปที่หน้าปัดนาฬิกา
“เฮ้ย สิบโมงแล้วเหรอ”เขาอุทาน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขามีส่งงาน
เพื่อนในห้องทุกคนกำลังหลับกันสนิท ชิ้งเดินเข้ามาในห้อง
หลังจากเพิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมของอพาร์ตเมนต์
“อะไรวะ มีอะไรเหรออัศ” ชิ้งพูดตอนที่เห็นอัศที่กุลีกำลังกุจอออกจากห้อง
“กูมีส่งงานน่ะสิ ทำไมมึงไม่ปลุกกูวะไอ้ชิ้ง”
เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องของเพื่อน
แล้วรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองเพื่อไปแต่งชุดนักศึกษา
และเตรียมงานที่จะไปส่งอาจารย์ที่สถาบัน
อัศดากลับจากสถาบันมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้วร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนทุกคน
“กูต้องเรียนซ้ำชั้นว่ะ”
เพื่อนทุกคนใบหน้าเรียบเฉยไม่มีใครพูดอะไร ชิ้งอมยิ้ม
เมื่อคืนวานในเวลาสองทุ่ม อัศดาทำงานเพียงคนเดียวในอพาร์ตเมนต์กลางเมืองหลวง
เขาต้องส่งงานพรุงนี้ตอนเก้าโมงเช้าอัศดาเป็นนักศึกษาที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด
เขาสอบเอนทรานซ์เข้าเรียนสถาบันการศึกษาระดับประเทศ
ในคณะที่คนในหมู่บ้านต่างตั้งความหวังกับเขาหลังจากที่เขาเรียนจบ
แล้วจะนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด
ที่อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้มีเพื่อนร่วมชั้นเดียวกันอาศัยอยู่เป็นเพื่อนอีกห้อง
แต่เป็นเพื่อนที่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพนี้เอง อัศเดินไปเปิดประตูที่มีเสียงเคาะดังให้ได้ยิน
“เฮ้ย ไอ้อัศพรุ่งนี้มึงมีส่งงานเหรอวะ”
เพื่อนร่วมชั้นที่เดินเข้ามาในห้องถามขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังนั่งทำงานเขียนแบบในห้อง
“เออ ใช่ว่ะชิ้ง เราต้องส่งงานซ่อมที่เรายังสอบตกพรุ่งนี้
ไม่เราจะไม่ได้ขึ้นปีสอง”เขาคุยกับเพื่อนที่ชื่อชิ้ง
“เฮ้ย ขำๆไม่เหนื่อยบ้างเหรอ เครียดมากไปละม้าง
กูเห็นทำงานคนเดียวมาตั้งแต่เลิกเรียนแล้วเนี่ย
เอามั้ยคืนนี้พักก่อนเดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านดังในย่านนี้
กูกำลังจะออกไปพอดีชวนเพื่อนในห้องไว้แล้ว เดี๋ยวพวกมันกำลังมา”
“ไม่ไหวว่ะ เราต้องส่งงานพรุ่งนี้จริงๆกลัวเสียเวลา
ไม่งั้นเราเรียนไม่จบแน่ พวกนายไปกันเถอะเราขอตัวทำงาน เข้าใจมั้ย”
“เฮ้ย น่าไปแปบเดียวจะไปเสียเวลาอะไร
เดี๋ยวรีบกลับมาส่งไม่เกินเที่ยงคืน ค่อยกลับมาทำต่อ
น่าจะได้เปิดโลกทัศน์ ทันใดนั้นพวกเพื่อนๆที่ชิ้งนัดไว้ก็มาถึง
ทุกคนเดินเข้ามาในห้องของอัศรวมตัวสมทบเพื่อตื้อให้อัศไปกินข้าวข้างนอกพร้อมกัน
“เฮ้ยทำไมวะไอ้อัศ ไม่อยากไปเปิดหูเปิดตากันบ้างเหรอ
หมกมุ่นกับการเรียนมากไปแล้วมั้ง เดี๋วกลับมาพวกกูช่วยทำ
แปบเดียวก็เสร็จ ขำๆน่า”เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ย
“ไม่อยากไปกับพวกกูเหรอวะไอ้อัศ รังเกียจพวกกูป่าวเนี่ย
อุตสาห์หวังดีอยากให้มึงได้เห็นโลกภายนอกบ้าง
กูน้อยใจว่ะที่มึงคิดแบบนี้กับพวกกู อยากไปกันยังไอ้นัท
ถ้าไอ้อัศไม่ไปคืนนี้กูก็ไม่ไป”ชิ้งยืนกรานด้วยความน้อยใจ
“เออ ไอ้อัศคนเดียวจะทำให้พวกเราไม่ได้ไปแล้วว่ะ
ตื้อให้ได้เว้ยชิ้งด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อๆ
จึงรู้สึกสงสารและเห็นใจเพื่อนทั้งหมดที่กำลังจะอดไปเที่ยวราตรีกัน
เพราะเจ้าของรถที่ชื่อชิ้งยืนกรานที่จะไม่ไปหากอัศไม่ไปด้วย
อัศดาตกลงที่จะไปทานอาหารค่ำกับเพื่อนตามคำชวน
หนุ่มวิเวก
วุฒิอ่านเรื่องสั้นที่เยาว์วางทิ้งไว้ที่โต๊ะหินอ่อนจบก็อึ้งด้วยความสงสารในตัวพระเอกที่ชื่ออัศดา ขึ้นมาทันที
เขาคิดว่าตัวเขาและอัศดาช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่าง
การเป็นคนบ้านนอกที่เข้ามาเรียนในวิชาชีพเดียวกัน
และต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นความเหมือนอย่างกับเป็นคนเดียวกัน
แต่แตกต่างวาสนากันตรงที่อัศดาผู้ที่มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาบ้านเกิดนั้นเรียนไม่จบเพราะลาออก
จากสถาบันเนื่องจากปัญหาทางสังคม
ส่วนวุฒิเรียนจบและได้ทำงานเป็นสถาปนิกสมใจทั้งที่เขาเองนั้น
ไม่เคยคิดแม้แต่จะนำวิชาความรู้ที่มีกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองเลย
แม้แต่น้อยเขาละอายใจขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเองช่างเป็นคน
ที่แก่ตัวอะไรเช่นนี้ในขณะที่เขานั่งพักอ่านหนังสือนอกจบตอน
เยาว์ผู้เป็นภรรยาก็เดินจากในบ้านมานั่งสมทบที่ม้านั่งตรงข้าม
บนโต๊ะมีทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและกระดาษร่างแบบและอุปกรณ์การเขียนเกลื่อนโต๊ะ
“คุณอ่านเรื่องสั้นกับเขาด้วยเหรอ เห็นทุกทีเอาแต่ดูทีวี
สงสัยวันนี้ฝนจะตก”เยาว์พูดแซวเล่น เมื่อเห็นวุฒิบรรจงสายตา
ท่องไปในตัวอักษรที่ถืออยู่ในมือ วุฒิวางหนังสือลง
“แหม คุณผมก็อยากคลายเครียดบ้าง เห็นคุณชอบอ่านจัง
อยากรู้ว่าเรามีอะไรดีถึงทำให้คุณติดใจในงานวรรณกรรม
สนุกดีผมอ่านถึงตอนเพื่อนที่หวังดีน่ะ ดูแล้วอัศดานี่เป็นเด็กที่น่าสงสารเนอะ
ตั้งใจจะเป็นสถาปนิกแต่คบเพื่อนไม่ดี จนเสียอนาคตไม่ได้เป็นสถาปนิกเหมือนเราเลย”
“ติดใจล่ะสิ นักเขียนคนนี้น่ะได้รางวัลบ่อยนะคุณ คุณรู้จักนามปากกาเขามั้ย เขาดังนะ”
“ต่อไป ผมจะอ่านหนังสือให้มากขึ้น อ่านแล้วทำให้ผมมีปัญญาขึ้นเยอะเลย
เออว่าแต่ช่วงนี้เราสองคนไม่ค่อยมีงานให้ทำเลยนะ
เสร็จงานบ้านคุณวิทย์ก็ไม่มีงานอื่นให้ทำต่อใช่มั้ยเนี่ย”
วุฒิเริ่มพูดเข้างาน
“ใช่ ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ หลังจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่
เดี๋ยวก็มีข่าวชุมนุมประท้วงอยู่บ่อยๆ คนรวยๆก็ไม่มีใครอยากจะลงทุนก่อสร้างอะไรเลย
ไม่เหมือนตอนเราเรียนจบใหม่ๆช่วงก่อนฟองสบู่
ที่ธุรกิจภาคการก่อสขยายตัว จนเราสองคนมีรายได้สามารถซื้อบ้าน
ซื้อรถได้เป็นของตัวเอง เราสองคนต้องช่วยกันหางาน
ถึงจะได้โครงการเล็กก็ยังดีกว่าไม่ได้งานนะ
เดี๋ยววันนี้ฉันจะเปิดแฟนเพจรับงานของเรา”
งผลกระทบถึงครอบครัวของเธอ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของวุฒิก็ดังขึ้น
มีเพียงวุฒิคนเดียวที่ยังลืมตาโพลง
เรื่องแววกำลังจะแต่งงานยังค้างคาอยู่ในหัว
เขาน้ำตาซึมพลางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอารมณ์เสียเมื่อตอนเย็น
ยิ่งทำให้อารมณ์เขาไม่เป็นสุข เขาอึดอัดในใจจนนึกอยากตะโกนให้ดังสุด
แต่ทำไม่ได้ เขานอนไม่หลับทั้งที่หัวถึงหมอนมาจนค่อนสว่างเขาคิดถึงอดีตอยู่ในหัวตลอดเวลา
“สวัสดีครับ น้องใหม่คนนี้น่ารักจัง” วฒิสะกิดเพื่อนซี้แล้วชี้ไปยัง เฟรชชี่หน้าใส
ใบหน้าเรียวจมูกรับกับใบหน้าอย่างลงตัว ผิวพรรณขาว เนียน
สะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงความมีชาติตระกูล
“อ๋อ น้องคนนี้ชื่อน้องแวว เด็กคณะเราเองแหละ ได้ข่าวว่าชมรมเชียร์ลีดเดอร์กำลังตามตื้อเข้า
ชมรมแน่ะ แล้วทำไมเหรอ เอ็งสนใจรึไง” เพื่อนซี้ชักสงสัยวุฒิ
“อืม ก็ใช่นะสิ เข้าไปคุยกับน้องเป็นเพื่อนข้าหน่อยดิ”
“ เฮ้ยเอ็งอย่าฝันสูงหน่อยเลยน่า น้องเขาเริ่ดขนาดนั้นคงไม่สนใจคนอย่างเราๆหรอกน่า”
“เออน่าอย่างน้อยให้เขาเห็นหน้าก็ยังดีป่ะ”
วุฒิกระชากแขนเพื่อนเดินเข้าหาน้องใหม่ที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่โต๊ะหินอ่อน
ที่อยู่ข้างสนามฟุตบอลห่างออกไปประมาณสิบเมตร
“สวัสดีครับ พี่ชื่อวุฒิครับ ส่วนพี่คนนี้ชื่อปอนแต่น้องชื่ออะไรเหรอ
เราสองคนเป็นรุ่นพี่ที่คณะน้องนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่น้องชื่ออะไรครับ
อ่อพี่รู้แล้วน้องแววใช่มั้ยครับ”
วุฒิสุภาพวางท่าพ่อไก่แจ้เบ่งไหล่ผายเหมือนเวลาที่มันเกี้ยวพาราสีไก่ตัวเมีย
ที่มันคาดหมายตรงหน้า เขายังประทับใจในเหตุการณ์วันนั้น
วุฒิโอบกอดไปที่เยาว์ที่นอนหลับสนิทโดยไม่เขานอนกอดเธออยู่อย่างนั้น
น้ำในตาไหลอาบสองแก้มเขาร้องไห้ ในมือซุกไปในกางเกงนอน
แล้วซบลงที่หน้าอกอุ่นของภรรยา เขากลั้นเสียงอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา
แม้แต่เล็กน้อยแล้วผลอยหลับไปจนถึงเช้า
ยังคงมีคนอีกมากมายที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่ารัก
แท้จริงแล้วความรักคืออะไร ในเมื่อบางคนใช้เวลาไม่นานเพื่อหาคำตอบ
แต่บางคนกลับใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อหาความหมายนี้เช่นเดียวกับวุฒิชายลูกสอง
ที่ยังคงค้นหาความหมายของสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกวูบไหวทุกครั้งที่เขาคิดถึงแวว
ความรักของวุฒิอาจจะหมายถึงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นความทรงจำที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อจบภาคการศึกษาในปีแรกที่อัศดาเข้าเรียน เขาตัดสินใจ
“ผมมายื่นใบลาออกครับ” ในห้องธุรการคณะ เขาเขียนใบลาออกจากสถาบัน
ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างในใจ เขายังไม่ลืม
การเรียนในสถาบันการศึกษาชื่อดังในกรุงเทพที่อัศดาสอบเข้าเอนทรานซ์ติด
เป็นสิ่งที่ทำให้เขายัง
คิดถึงอยู่เสมอ บรรยากาศชีวิตน้องใหม่ที่มาจากบ้านนอกอย่างเขา
ยังมีเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ยังเป็น
อุทาหรณ์ ที่เขาอาจจะต้องใช้เวลาที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่จะลืมเลือน
“น้องถาปัตย์มาทางนี้เลย เพื่อนเข้ากลุ่มรอทางนี้”
เขาได้ยินเสียงรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังกวักมือเรียกน้องใหม่ของคณะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคณะเดียวกัน
“สวัสดีครับพี่ ผมเด็กถาปัตย์ครับ”อัศดา ยกมือไหว้รุ่นพี่สาวสวย
“น้องถาปัตย์เหรอจ้ะ น้องชื่ออะไรเหรอเดินไปหาเพื่อนในกลุ่มทางโน้นเลยจ้ะ นั่นแน่ะรวมกลุ่มกันทางโน้น”
รุ่นพี่ชี้มือบอกน้องใหม่ แล้วอัศดาก็เดินไปเข้ากลุ่มรวมกับเพื่อนใหม่
“เฮ้ยชื่ออะไรวะ กูชื่อชิ้ง”เพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ในกลุ่มอยู่ก่อนแล้วกล่าวแนะนำตัวเองแก่อัศ
“เราชื่อ อัศ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“มาจากต่างจังหวัดเหรอ เออยินดีที่ได้รู้จัก “ทำไมเลือกถาปัตย์วะ
กูเลือกเพราะเป็นสถาปนิกแล้ว
มันเท่ห์ รวยด้วย ”ชิ้งรู้ทันทีที่อัศดาพูดสำเนียงแปร่งๆ
“เราเลือกเพราะคิดว่าเรียนจบคณะนี้แล้วจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดเราได้น่ะ”
อัศดาเล่าถึงอุดมการณ์ การสนทนาของเพื่อนใหม่ทั้งสองทำความรู้จักกันในวันแรกที่รู้จักกัน
อัศดาว่าที่สถาปนิกใหม่จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ที่เขารู้จัก
เขาไม่เคยอดหลับอดนอนมาก่อน หลายครั้งที่อาจารย์ให้การบ้าน
เป็นงานออกแบบในหลายวิชาพร้อมกัน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อย
เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าชีวิตนักศึกษาสถาปัตย์จะต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะขนาดนี้
เมื่อกลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง เขานึกถึงคืนวันนั้น
อาหารภัตตาคารราคาแพงถูกวางไว้บนโต๊ะ
ให้บรรดานักศึกษาปีหนึ่งกลุ่มหนึ่งนั่งรอกันด้วยความหิว
ในค่ำคืนแห่งความสุข อัศดาและเพื่อนทุกคนลงมือทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อย
“เคยกินป่าววะอัศ อาหารแบบนี้” ชิ้งถามเพื่อนใหม่จากต่างจังหวัด
“ไม่เคยว่ะ มีอะไรบ้างวะเนี่ยต้องใช้ตะเกียบกินเหรอ ไม่ค่อยถนัด”
“เออ ไก่อบที่มีไฟลุกท่วมตัวอยู่นี่เขาเรียกว่าไก่อบภูเขาไฟ
ส่วนเป็ดย่างหวานๆนี่เขาเรียกว่าเป็ดปักกิ่ง แล้วกานนี้เขาเรียกปลาจาระเม็ดนึ่งมะนาว
และผัดคะน้าน้ำมันหอย นั่นข้าวผัดปูกูสั่งมาช่วยกันกิน”
แนะในกลนำเมนูอาหารโอชะพลาง ขณะที่ใช้ตะเกียบหยิบไก่อบเป็นชิ้นอย่างชำนาญ
“อ๋อ ไม่เคยกินเลย อร่อยดีนะ”
“เอารู้จักไว้อัศ ต่อไปจะได้มากินบ่อยๆละ”
นัท เพื่อนที่นั่งรวมอยู่บนโต๊ะอาหารทุกคน
ต่างกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อนในชีวิต
หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแปร้ ชิ้งที่เป็นสารถีเจ้าของรถเก๋งคันเก่ง
ก็พาเพื่อนทุกคนตระเวนชมบรรยากาศยามราตรีของเมืองกรุง อัศดารู้สึกว่าอยากกลับแล้ว
“ชิ้ง กลับกันเถอะเราว่า ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ”อัศดารู้สึกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว
“เออน่า เดี๋ยวพาไปดูที่นี่ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ”ชิ้งพูด
ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานอยู่ในรถ
รถแล่นบนถนนกลางเมืองกรุง ไฟฟ้าสว่างทั่วไปหมดทั้งเมือง
ตึกอาคารสูง รูปทรงแปลกตาเรียงราย
บ้างมีไฟสีสันสดใสเปิดตามร้านรวงข้างทางให้เห็นเป็นระยะ
บรรยากาศยามค่ำคืนเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแก่นักศึกษาบ้านนอกที่เพิ่งเคยนั่งรถเก๋งท่องเที่ยว
“นี่เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มึงเคยเห็นในทีวีไง จำได้มั้ยอัศ”
ชิ้งแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนใหม่ปีหนึ่งของสถาบันรู้จัก
“โห นี่เหรอวะที่ที่เขามาชุมนุมประท้วงทางการเมืองบ่อยๆ
เราเพิ่งเคยมาถ่ายรูปครั้งแรกเลยนะเนี่ย สวยว่ะ
พวกเราทุกคนยืนตรงนี้เรียงแถวให้เห็นหน้าพวกเราทุกคนได้มั้ย
ชิ้งนายไปกดกล้องให้หน่อย เราอยากได้รูปหมู่”อัศวานให้ชิ้งช่วยเป็นตากล้อง
“ได้สิ พวกมึงยืนเรียงแถวตรงนี้นะ เดี๋ยวกูจะไปยืนถ่ายตรงข้ามถนนฝั่งโน้น”
วิ่งข้ามถนนเพื่อไปยืนเป็นช่างภาพที่ฟุตบาต
ภาพเขายืนถ่ายรูปหมู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เขายังจำได้
รถแล่นต่อมายังเสาชิงช้าเข้าชิ้งจอดรถที่เขาขับพาเพื่อนเที่ยวจอดไว้ข้างทาง
ทุกคนลงจากรถเพื่อไปยืนตั้งท่าถ่ายรูป อัศยืนถ่ายรูปในขณะที่ชิ้งเป็นตากล้องกิตติมศักดิ์
“แชะ”เสียงลั่นชัตเตอร์ของชิ้ง ในขณะที่เพื่อนทุกคนกำลังเป็นนายแบบถ่ายรูปหมู่ มีเพียงชิ้งคน
เดียวเท่านั้นที่ไม่ประสาจะเข้าเฟรมเหมือนคนอื่น
“เฮ้ย นัทไปเป็นตากล้องให้เราถ่ายรูปคู่กับชิ้งหน่อยสิ”อัศอยากมีรูปคู่กับชิ้ง
“ไม่เป็นไรว่ะ กูมาบ่อย พวกมึงถ่ายกันไปเถอะ ขอกูเป็นตากล้องอย่างเดียว”ชิ้งกล่าว
ในห้องสมุดของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันแห่งหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า อัศเห็นอาจารย์นั่งอยู่ที่โต๊ะ อ่านหนังสือรอใครบางคน
“สวัสดีครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับผมมาสาย”
“อะไรกันนี่มันสิบโมงแล้ว ทำไมเพิ่งมา”
“อาจารย์ครับ ผมทำงานได้แค่นี้ครับ อนุโลมให้ผมผ่านได้มั้ยครับ
ผมขอโทษจริงๆที่ไม่เมาสาย ต่อไปผมจะปรับปรุงตัวให้เป็นคนตรงต่อเวลาครับอาจารย์
สงสารผมเถอะนะครับ”
“ไม่ได้ผมให้คุณผ่านไม่ได้ คุณมาสายตั้งชั่วโมง เลยเวลาส่งงานมามากแล้ว”
“หมายความว่าผมต้องเรียนซ้ำชั้นเหรอครับ อาจารย์”
“ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณไม่มีความรับผิดชอบ”
อาจารย์ประจำรายวิชายกมือรับไหว้เด็กบ้านนอกที่ขอลากลับ
อัศดานอนหลับในห้องของนัทและชิ้ง เป็นเวลาสิบโมงเช้า
ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจากการออกท่องราตรีกับเพื่อนเมื่อคืน
ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังติ๊ดๆๆๆ เขารีบตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อมองไปที่หน้าปัดนาฬิกา
“เฮ้ย สิบโมงแล้วเหรอ”เขาอุทาน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขามีส่งงาน
เพื่อนในห้องทุกคนกำลังหลับกันสนิท ชิ้งเดินเข้ามาในห้อง
หลังจากเพิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมของอพาร์ตเมนต์
“อะไรวะ มีอะไรเหรออัศ” ชิ้งพูดตอนที่เห็นอัศที่กุลีกำลังกุจอออกจากห้อง
“กูมีส่งงานน่ะสิ ทำไมมึงไม่ปลุกกูวะไอ้ชิ้ง”
เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องของเพื่อน
แล้วรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองเพื่อไปแต่งชุดนักศึกษา
และเตรียมงานที่จะไปส่งอาจารย์ที่สถาบัน
อัศดากลับจากสถาบันมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้วร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนทุกคน
“กูต้องเรียนซ้ำชั้นว่ะ”
เพื่อนทุกคนใบหน้าเรียบเฉยไม่มีใครพูดอะไร ชิ้งอมยิ้ม
เมื่อคืนวานในเวลาสองทุ่ม อัศดาทำงานเพียงคนเดียวในอพาร์ตเมนต์กลางเมืองหลวง
เขาต้องส่งงานพรุงนี้ตอนเก้าโมงเช้าอัศดาเป็นนักศึกษาที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด
เขาสอบเอนทรานซ์เข้าเรียนสถาบันการศึกษาระดับประเทศ
ในคณะที่คนในหมู่บ้านต่างตั้งความหวังกับเขาหลังจากที่เขาเรียนจบ
แล้วจะนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด
ที่อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้มีเพื่อนร่วมชั้นเดียวกันอาศัยอยู่เป็นเพื่อนอีกห้อง
แต่เป็นเพื่อนที่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพนี้เอง อัศเดินไปเปิดประตูที่มีเสียงเคาะดังให้ได้ยิน
“เฮ้ย ไอ้อัศพรุ่งนี้มึงมีส่งงานเหรอวะ”
เพื่อนร่วมชั้นที่เดินเข้ามาในห้องถามขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังนั่งทำงานเขียนแบบในห้อง
“เออ ใช่ว่ะชิ้ง เราต้องส่งงานซ่อมที่เรายังสอบตกพรุ่งนี้
ไม่เราจะไม่ได้ขึ้นปีสอง”เขาคุยกับเพื่อนที่ชื่อชิ้ง
“เฮ้ย ขำๆไม่เหนื่อยบ้างเหรอ เครียดมากไปละม้าง
กูเห็นทำงานคนเดียวมาตั้งแต่เลิกเรียนแล้วเนี่ย
เอามั้ยคืนนี้พักก่อนเดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านดังในย่านนี้
กูกำลังจะออกไปพอดีชวนเพื่อนในห้องไว้แล้ว เดี๋ยวพวกมันกำลังมา”
“ไม่ไหวว่ะ เราต้องส่งงานพรุ่งนี้จริงๆกลัวเสียเวลา
ไม่งั้นเราเรียนไม่จบแน่ พวกนายไปกันเถอะเราขอตัวทำงาน เข้าใจมั้ย”
“เฮ้ย น่าไปแปบเดียวจะไปเสียเวลาอะไร
เดี๋ยวรีบกลับมาส่งไม่เกินเที่ยงคืน ค่อยกลับมาทำต่อ
น่าจะได้เปิดโลกทัศน์ ทันใดนั้นพวกเพื่อนๆที่ชิ้งนัดไว้ก็มาถึง
ทุกคนเดินเข้ามาในห้องของอัศรวมตัวสมทบเพื่อตื้อให้อัศไปกินข้าวข้างนอกพร้อมกัน
“เฮ้ยทำไมวะไอ้อัศ ไม่อยากไปเปิดหูเปิดตากันบ้างเหรอ
หมกมุ่นกับการเรียนมากไปแล้วมั้ง เดี๋วกลับมาพวกกูช่วยทำ
แปบเดียวก็เสร็จ ขำๆน่า”เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ย
“ไม่อยากไปกับพวกกูเหรอวะไอ้อัศ รังเกียจพวกกูป่าวเนี่ย
อุตสาห์หวังดีอยากให้มึงได้เห็นโลกภายนอกบ้าง
กูน้อยใจว่ะที่มึงคิดแบบนี้กับพวกกู อยากไปกันยังไอ้นัท
ถ้าไอ้อัศไม่ไปคืนนี้กูก็ไม่ไป”ชิ้งยืนกรานด้วยความน้อยใจ
“เออ ไอ้อัศคนเดียวจะทำให้พวกเราไม่ได้ไปแล้วว่ะ
ตื้อให้ได้เว้ยชิ้งด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อๆ
จึงรู้สึกสงสารและเห็นใจเพื่อนทั้งหมดที่กำลังจะอดไปเที่ยวราตรีกัน
เพราะเจ้าของรถที่ชื่อชิ้งยืนกรานที่จะไม่ไปหากอัศไม่ไปด้วย
อัศดาตกลงที่จะไปทานอาหารค่ำกับเพื่อนตามคำชวน
หนุ่มวิเวก
วุฒิอ่านเรื่องสั้นที่เยาว์วางทิ้งไว้ที่โต๊ะหินอ่อนจบก็อึ้งด้วยความสงสารในตัวพระเอกที่ชื่ออัศดา ขึ้นมาทันที
เขาคิดว่าตัวเขาและอัศดาช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่าง
การเป็นคนบ้านนอกที่เข้ามาเรียนในวิชาชีพเดียวกัน
และต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นความเหมือนอย่างกับเป็นคนเดียวกัน
แต่แตกต่างวาสนากันตรงที่อัศดาผู้ที่มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาบ้านเกิดนั้นเรียนไม่จบเพราะลาออก
จากสถาบันเนื่องจากปัญหาทางสังคม
ส่วนวุฒิเรียนจบและได้ทำงานเป็นสถาปนิกสมใจทั้งที่เขาเองนั้น
ไม่เคยคิดแม้แต่จะนำวิชาความรู้ที่มีกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองเลย
แม้แต่น้อยเขาละอายใจขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเองช่างเป็นคน
ที่แก่ตัวอะไรเช่นนี้ในขณะที่เขานั่งพักอ่านหนังสือนอกจบตอน
เยาว์ผู้เป็นภรรยาก็เดินจากในบ้านมานั่งสมทบที่ม้านั่งตรงข้าม
บนโต๊ะมีทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและกระดาษร่างแบบและอุปกรณ์การเขียนเกลื่อนโต๊ะ
“คุณอ่านเรื่องสั้นกับเขาด้วยเหรอ เห็นทุกทีเอาแต่ดูทีวี
สงสัยวันนี้ฝนจะตก”เยาว์พูดแซวเล่น เมื่อเห็นวุฒิบรรจงสายตา
ท่องไปในตัวอักษรที่ถืออยู่ในมือ วุฒิวางหนังสือลง
“แหม คุณผมก็อยากคลายเครียดบ้าง เห็นคุณชอบอ่านจัง
อยากรู้ว่าเรามีอะไรดีถึงทำให้คุณติดใจในงานวรรณกรรม
สนุกดีผมอ่านถึงตอนเพื่อนที่หวังดีน่ะ ดูแล้วอัศดานี่เป็นเด็กที่น่าสงสารเนอะ
ตั้งใจจะเป็นสถาปนิกแต่คบเพื่อนไม่ดี จนเสียอนาคตไม่ได้เป็นสถาปนิกเหมือนเราเลย”
“ติดใจล่ะสิ นักเขียนคนนี้น่ะได้รางวัลบ่อยนะคุณ คุณรู้จักนามปากกาเขามั้ย เขาดังนะ”
“ต่อไป ผมจะอ่านหนังสือให้มากขึ้น อ่านแล้วทำให้ผมมีปัญญาขึ้นเยอะเลย
เออว่าแต่ช่วงนี้เราสองคนไม่ค่อยมีงานให้ทำเลยนะ
เสร็จงานบ้านคุณวิทย์ก็ไม่มีงานอื่นให้ทำต่อใช่มั้ยเนี่ย”
วุฒิเริ่มพูดเข้างาน
“ใช่ ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ หลังจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่
เดี๋ยวก็มีข่าวชุมนุมประท้วงอยู่บ่อยๆ คนรวยๆก็ไม่มีใครอยากจะลงทุนก่อสร้างอะไรเลย
ไม่เหมือนตอนเราเรียนจบใหม่ๆช่วงก่อนฟองสบู่
ที่ธุรกิจภาคการก่อสขยายตัว จนเราสองคนมีรายได้สามารถซื้อบ้าน
ซื้อรถได้เป็นของตัวเอง เราสองคนต้องช่วยกันหางาน
ถึงจะได้โครงการเล็กก็ยังดีกว่าไม่ได้งานนะ
เดี๋ยววันนี้ฉันจะเปิดแฟนเพจรับงานของเรา”
งผลกระทบถึงครอบครัวของเธอ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของวุฒิก็ดังขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ