ห้วงไฟเก่า
เขียนโดย หนุ่มวิเวก
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 08.33 น.
แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
5) วันเก่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความที่ธุรกิจภาคการก่อสร้างขยายตัว จนเราสองคนมีรายได้สามารถซื้อบ้าน
ซื้อรถได้เป็นของตัวเอง เราสองคนต้องช่วยกันหางาน
ถึงจะได้โครงการเล็กก็ยังดีกว่าไม่ได้งานนะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะเปิดแฟนเพจรับงานของเรา”
เยาว์พูดเสริมสาธยายเรื่องปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงขาลง
ส่งผลกระทบถึงครอบครัวของเธอ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของวุฒิก็ดังขึ้น
“ติ๊ด ๆๆ ติ๊ด ติ่ด ติด ติ๊ดๆๆ” เขายกหูโทรศัพท์ขึ้น
“สวัสดีครับ คุณวิทย์ มีธุระอะไรสำคัญให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
เสียงโทรศัพท์“สวัสดีคุณวุฒิ ไม่มีอะไรครับ ผมแค่โทรมาชวนไปองแบบทานข้าวกัน
จะได้ถือโอกาสคุยเรื่องแบบบ้านผมด้วยน่ะ”
เสียงคุณวิทย์ ลูกค้าคนล่าสุดจากสายโทรศัพท์
“ทานข้าวที่ไหนครับ วันไหนครับคุณวิทย์
ได้เลยครับผมคุณวิทย์สะดวกวันไหนผมไปได้ครับ”
“ร้านต่างๆนานา เกษตร-นวมินทร์ คุณรู้จักมั้ย
เป็นร้านฟังเพลงนั่งสบายๆ คนไม่มาก เอาเป็นวันศุกร์นี้ตอนหกโมงเย็นนะ
คุณไปรอผมที่ร้านแล้วผมจะตามไป อ้ออย่าลืมชวนคุณเยาว์ไปด้วยกันนะ ผมเลี้ยงเอง”
“ครับผม ขอบคุณครับ”การสนธนาจบลง คุณวิทย์วางสาย
“ใครโทรมาชวนไปทานข้าวเหรอคะคุณ”
“อ๋อคุณวิทย์ลูกค้าเราเอง เขาโทรมาชวนเราสองคนไปนั่งฟังเพลงกัน
ที่ร้านแถวเกษตร-นวมินทร์วันศุกร์นี้ เขาให้ผมชวนคุณไปด้วย ไปกันมั้ย”
“อ่อ ฉันคงไปไม่ได้น่ะ เดี๋ยววันศุกร์นี้กะว่าลูกกลับบ้านเสร็จ
จะพาไปทานข้าวบ้านตายายกัน ถ้าฉันไปกับคุณลูกอยู่บ้านกันสองคน
คงพาลูกนอนค้างกับพ่อแม่ที่บ้านนั้นเลยน่ะ” เยาว์ปฏิเสธคำชักชวน
“แล้วแต่ ตามใจ” วุฒิกล่าวทิ้งท้าย
เย็นวันศุกร์ที่มาถึงฟางและใบฟิร์นกลับจากโรงเรียนแล้ว
ฟางกำลังแต่งตัวเพื่อไปเยี่ยมตากับยายที่บางลำพู
ส่วนใบเฟิร์นกำลังซ้อมร้องเพลงคาราโอเกะไปพลางอยู่กับวุฒิที่กำลังรอ
จะไปส่งทั้งสามขึ้นรถแท๊กซี่ที่หน้าทีวี
“มายฮาร์ทวิวโกออน มายฮาร์ทวิวโกออน”
เสียงใบเฟิร์นร้องเพลงที่ยังไม่ค่อยถูกคีย์
“ร้องให้ถูกคีย์ด้วยลูกเพลงจะได้เพราะ มายฮาร์ทวิวโกออน
ต้องร้องเสียงสูงขึ้นไปอีกนิดแบบพ่อร้องนี่”
วุฒิสาธิตการร้องเพลงอย่างถูกคีย์ ให้ลูกสาวฟัง
“มายฮาร์ทวิวโกออน มายฮาร์ทวิวโกออน”
ใบเฟิร์นร้องดีขึ้น หลังจากได้ฟังครูร้องเป็นตัวอย่าง
“เออ แบบนั้นแหล่ะลูก เก่งมากลูก ซ้อมแบบนี้ไปเรื่อยๆนะ
ลูกพ่อจะต้องชนะเลิศได้รางวัลของโรงเรียนแน่ เชื่อพ่อสิ”วุฒิชมลูกสาวเปาะ
“ไปกันใบเฟิร์นลูก เสร็จแล้วค่ะคุณ มาลูกฟางใส่รองเท้าเร็ว”
เยาว์บอกให้ทุกคนออกจากบ้าน
หลังจากที่เยาว์และลูกทานอาหารค่ำ ทุกคนนั่งเล่นคุยกันที่หน้าทีวีที่โถงบ้าน
ตายายคุยเล่นกับหลานต่างยายแต๋วชื่นชมหลานคนเก่งที่เล่าเรื่องประกวดร้องเพลงให้ฟัง
“เก่งจังเลยหนูใบเฟิร์น นี่หัดร้องไปถึงไหนแล้วล่ะ ใกล้จะถึงวันประกวดแล้วสินะ”
“อีกสามวันฮับ คุณยาย พี่เฟิร์นเขาจะร้องเพลง วิวโคนม”
ฟางพูดชื่อเพลงแบบผิดๆ ทุกคนหัวเราะขึ้น
“ไม่ใช่ พูดไม่ถูก เพลงมายฮาร์ทวิวโกออนตะหากล่ะ ลองพูดซิ”
ใบเฟิร์นสอนน้องให้พูดใหม่
“มายฮาร์ทวิวโกนอน พูดได้แล้ว”
“ไม่ใช่ๆ มายฮาร์ทวิวโกออน”ใบเฟิร์นพูดเป็นตัวอย่างน้องอีกครั้ง
บรรยากาศในบ้านตาลพและยายแต๋วขณะนี้กำลังสนุกสนาน
ด้วยฟางเป็นตัวโจ๊กให้ทุกคนหัวเราะ
“คุณพ่อสอนให้ร้องให้ถูกคีย์ค่ะคุณยาย เมื่อตอนเย็นนี้ค่ะ”
หลานสาวตอบคำถามที่ยายรอ
“อืม ขอให้หนูเฟิร์นชนะประกวดได้รางวัลที่หนึ่ง
แล้วได้เป็นนักร้องดังสมความตั้งใจของคุณพ่อนะ”
คุณตาลพ พูดอวยพรให้กับหนูใบเฟิร์น ด้วยใจจริง
“ค่ะหนูจะร้องให้สุดฝีมือเลย เดี๋ยวจะเอารางวัลมาอวดคุณยายกับคุณตานะคะ”
“ดีมากหลานตา ร้องให้เพราะๆที่สุดเท่าที่หนูเคยร้องเลยนะ
ส่วนฟางก็ตั้งใจเรียน จะได้อ่านเขียนเก่งๆ กว่าตาละหลาน”
ตาลพพูดคุยกับหลานอย่างอบอุ่น
เยาว์กำลังล้างจานอยู่ในครัว ยายแต๋วเดินออกจากวงสนทนาหน้าทีวี
ตามลูกสาวมาช่วยกันล้างจานกันสองแม่ลูก
“หนูรู้สึกเหนื่อยค่ะแม่ กับใจที่ไม่มั่นคงของวุฒิ
เขายังรักและเสียดายกับแววอยู่ หนูไม่อยากให้ลูกต้องเป็นสิ่งสนองความขาดของชีวิตเขา
หนูอยากให้ลูกเรียนอะไรที่ลูกเป็นคนเลือกเอง
ที่หนูยอมให้เขาส่งลูกเข้าโรงเรียนฝรั่ง เพราะหนูสงสารเขาค่ะ
หนูไม่อยากเห็นเขาเสียใจ
หนูไม่กล้าหาญพอที่จะปฏิเสธ”
เยาว์ร้องไห้น้ำตาอาบสองแก้มในขณะที่เล่าบรรยายสิ่งที่เธออัดอั้นให้ยายแต๋วผู้เป็นแม่ฟัง
“เอาน่าลูก วุฒิเขาอาจจะตัดใจจากแววแล้วก็ได้
ที่เขาอยากให้ลูกมีอนาคตแบบนั้น
อาจจะเป็นเพราะเป็นความฝันของเขาเองก็ได้ไม่น่าจะเกี่ยวกับแววก็ได้นะลูก”
แม่ของเยาว์พูดให้กำลังใจ
“แต่แม่คะ หนูรู้สึกว่าช่วงนี้วุฒิเขาเปลี่ยนไป วันก่อนอยู่ดีดีก็
อารมณ์เสียตอนกินข้าว หนูไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ
หนูกลัวค่ะแม่หนูกลัวเขาจะเตลิด”
“เอาน่าลูกไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวให้หนูใบเฟิร์นขึ้นมีชื่อเสียง อะไรๆก็คงดีขึ้นน่ะลูก”
เยาว์หยุดร้องไห้แล้วล้างจานต่อจนเสร็จ
คืนนี้เธอและลูกนอนค้างคืนที่บ้านตาลพพ่อของเธอ
เพราะความรักเป็นได้ทุกสิ่ง เป็นที่พักพิงให้หัวใจ
ใครต่อใครจึงได้ค้นหาความหมายเพื่อจะได้เป็นเจ้าของความรัก
แต่สิ่งที่จะลืมไม่ได้นั่นก็คือ แม้ความรักจะเป็นของคนทุกคนบนโลกใบนี้
ความรักไม่ได้มีอายุและเปลี่ยนหน้าตาอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นความรักจึงไม่ใช่สิ่งที่ใช้ตาดูแล้วบอกได้มันคืออะไร
แต่ความรักคือสิ่งที่หัวใจจะบอกได้ซึ่งความหมายนั้น
ทันทีที่วุฒิมาถึงร้านก่อนลูกค้า เขาเดินไปที่โต๊ะที่คุณวิทย์จองเอาไว้กับร้าน
ศิลปะการตกแต่งภายในร้านมีเอกลักษณ์ที่แสดงความเป็นบ้านพื้นถิ่น
แบบรีสอร์ท แต่ดูหรูทีเดียวดวงไฟสีเหลืองนวลสง่างพอเห็นทุกอย่างได้ไม่ถึงกับสว่างนัก
เขาบรรจงนั่งลงที่เก้าอี้ไม้บุนวมสไตส์แปลกตา
ในระหว่างที่เขานั่งฟังเพลงไทยยุคเก่าพลางรอคุณประวิทย์นั้น
บรรยากาศในร้านอาหารทำให้เขาคิดถึงบ้านเกิด
นานๆครั้งจะมีหนังกลางแปลงเข้ามาฉายในหมู่บ้าน
วุฒิเด็กชายวัยแปดขวบ อ้อนวอนผู้เป็นบิดาที่ไม่ค่อย
สนับสนุนการเที่ยวเล่นกลางคืนกับเพื่อนคนอื่นในหมู่บ้าน
แต่ด้วยความที่เขาต้องการจะเปิดโลกทัศน์จากสิ่งที่มา
บริการความบันเทิงถึงบ้านไร่ปลายนาแห่งนี้ เขาจึงตื้อพ่อกับแม่อยู่นานจนสำเร็จ
โดยโปรแกรมที่เขาวางไว้กับเพื่อนวัยเดียวกันถูกเตรียมไว้หมดแล้ว
แล้วค่ำคืนแห่งความระทึกก็เริ่มขึ้น เด็กชายชำนิรีบรับประทานอาหารค่ำ
อาบน้ำแต่งตัวพร้อม นั่งถือเสื่อต้น กก ในมือรอเพื่อนอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน
ที่จะมารับไปที่ลานวัดในหมู่บ้าน
“ออกไปนอกบ้านอย่าไปเกเรที่ไหนต่อล่ะรีบไปรีบกลับล่ะ ได้ยินพ่อพูดมั้ย!!!”
พ่อกำชับเขาก่อน
“เฮ้ยพร้อมยังไอ้วุฒิ พวกข้ามากันแล้ว”เพื่อนของเขาปั่นจักรยานมาถึง
ร้องตะโกนเรียกเขามาแต่ไกล เขาเดินลงบ้านพร้อมเสื่อต้นกก
รีบจับจักรยานของตัวเองปั่นตามหลังเพื่อนไปในทันที“
พร้อมแล้ว ไปกันได้แล้ว” วุฒิขานรับ แล้วกลุ่มเด็กน้อยสี่คนก็
รีบมุ่งหน้าไปที่ลานฉายหนัง
วุฒิคาดหวังกับสถานบันเทิงสัญจรนี้เอาไว้สูง
เมื่อเขานึกย้อนไปถึงครั้งหนึ่งที่เขาเคยดูหนังผีตลกๆ
ตัวผีวิ่งไล่ชาวบ้านและกลุ่มนักปราบผีกันจ้าละหวั่นด้วยความตลกขบขัน
ภาพในหนังยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอยู่
เขาปั่นจักรยานไปอมยิ้มไปตลอดทาง
ท้องฟ้ามืดมิด วุฒิกับเพื่อนไปถึงลานฉายหนังแล้วพากันหาที่จอดจักรยาน
แถวนั้นไม่มีที่จอดมากนักพวกเขาจึงพากันเอารถจอดไว้ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
โดยไม่ต้องกลัวรถหายเพราะชาวบ้านแถวนี้ไว้ใจกันได้
“เดี๋ยวก่อน ข้าปวดฉี่ เอารถจอดไว้ตรงนี้แหล่ะ
พวกเอ็งไปรอข้าเลยเดี๋ยวข้าตามไป ฉี่ข้าจะราด”
เด็กชายวุฒิเกิดปวดฉี่ขึ้นมากะทันหัน เขาบอกเพื่อนที่มาด้วยกัน
ไปรอที่หน้าประตูผืนผ้าพลาสติกที่ทำเป็นผนังล้อมรอบจอฉายหนังเป็นวงกลมเว้น
พื้นที่ดูหนังภายใน ผู้ภายนอกโรงหนังผ้าพลาสติกคนยังเยอะ
เขานึกอายที่จะต้องยืนฉี่ใกล้คน จึงหาที่ฉี่ไกลสายตาคน
เขาเลือกฉี่ตรงข้างสุสานเก็บอัฐิที่มีเจดีย์ปูนเรียงรายตลอดรอบกำแพงวัด
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาฉี่เสร็จก็หอบเสื่อที่ทำด้วยต้นกกตามเพื่อนเข้าโรงหนังล้อมผ้าพลาสติก
“เออ มาแล้วเหรอ ไอ้วุฒิ หนังกำลังฉายตัวอย่าง ทำไมมาช้านักวะ”
เพื่อนวัยเด็กที่ชื่อทินรออยู่ก่อนกับเพื่อนอีกสองคอ ไก่ กับ สัน
“เออ เอ็งสามคนรอนานมั้ยวะ ข้าไปฉี่ตรงโน้น ตรงกำแพงวัดโน่น”
วุฒิตอบ
“เฮ้อๆๆๆๆ เฮ้อๆๆๆๆๆๆ ไอ้ตัวตลกในเรื่องนี่แสดงหลายเรื่องข้าชอบมันวะ”
สันหัวเราะอย่างได้อารมณ์ขณะที่ดูหนังตัวอย่าง
“เอ้อ ข้าก็ชอบ เดี๋ยวถ้าเรื่องนี้มาฉายข้าจะมาอีก”ไก่ก็ชอบเช่นกัน
หนังเริ่มต้นฉายได้เรื่องอย่าง ทุกคนนั่งดูด้วยลุ้นเอาใจช่วยพระเอก
ที่กำลังดวลปืนกับตัวร้ายในช่วงไคล์แม๊กซ์ หนังเรื่องแรกกำลังจะจบ
พระเอกถูกยิงไปที่ท่อนแขนหนึ่งนัด เขาล้มลงด้วยท่าทางสง่างาม
ส่วนผู้ร้ายหลบอยู่หลังต้นไม้ เสียงปืนนั่งดัง ฟิ้วๆๆ เป็นระยะ
เด็กน้อยทั้งสี่นั่งลุ้นตัวแข็งเกร็งด้วยความตื่นเต้น ปนความโมโหในตัวผู้ร้ายในใจ
พระเอกเล็งปืนสั้นไปที่อริแล้วยิง ปืนถูกที่ขาของมันแล้วนอนล้มลง
หอพับหนึ่งครั้งเป็นอันเข้าใจทั่วกันว่าตายแล้ว
พระเอกสามารถเอาชนะในการดวลปืนในเรื่อง ทุกคนยิ้มหายใจโล่งไปตามๆกัน
ทันใดรถตำรวจก็เข้ามาถึงเหตุการณ์ พระเอกเปิดเผยกับตำรวจ
และนางเอกว่าตัวเองเป็นร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา
จบหนังเรื่องแรกก็ถึงเวลาพักคั่นด้วยหนังตัวอย่าง
ตอนนี้ทั้งสี่คนเกิดปวดฉี่ขึ้น จึงชวนกันออกไปขอคนเฝ้าประตูออกไปฉี่พร้อมกัน
“เฮ้ยข้าปวดฉี่ว่ะ ทำไงดีวะ”
เด็กน้อยทินหัวหน้าก๊วนบ่นปวดฉี่เป็นคนแรก
“ข้าก็ปวด”
ทั้งวุฒิ ไก่ สัน ก็พูดพร้อมกันว่าปวดฉี่ตามทิน
“เราออกไปฉี่กันมั้ย เดี๋ยวข้าไปบอกคนคุมประตู" เสียงทินเสนอ
“เออไปดิ ปวดฉี่อีกแล้วว่ะ”
วุฒิสนับสนุน ทุกคนก็ลุกขึ้นเก็บเสื่อเดินไปที่ประตูทางเข้า
“น้าๆ ให้พวกเราไปฉี่ก่อนได้มั้ยพวกเราปวดฉี่ เดี๋ยวกลับมาดูใหม่”
ทินบอกผู้คุมประตู
“เออได้ มาเร็วๆนะ ไปกี่คน เรื่องที่สองกำลังจะฉายแล้ว”
ผู้คุมประตูเอ่ยปากอนุญาต
แล้วทั้งสี่ก็วิ่งแจ้นไปที่ที่วุฒิเคยฉี่แล้วรอบแรก ตอนนี้บรรยากาศบริเวณนี้เงียบ
อากาศเย็นยะเยือกได้ยินแต่เสียงจากเครื่องฉายหนังดังแว่วมาแต่ไกล
เด็กทั้งสี่ยืนเรียงแถวหันหน้าออกไปทางกำแพง ทันใดนั้น
ที่ด้านหลังทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ ได้ยินเสียงใบไม้ดังแคว่กๆ
“เฮ้ยพวกเอ็งได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าวะ ข้ารู้สึกหนาวๆแปลกว่ะ”
“เออ เสียงอะไรวะ หันไปดูซิไอ้ทิน เอ็งกลัวเหรอ”สันท้าทายหัวหน้าก๊วน
“เออ จะไปมีอะไรวะ เสียงหมาป่าว ไอ้ทินรีบดูหน่อย”
วุฒิยังหลอนๆ แล้วทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทินตะโกนลั่นป่าช้า
เมื่อทินหันหลังไปดูเห็นผู้ชายร่างกายตัวดำทะมึน เดินหันหลังไปทางเมรุ
“ผะ ผะ ผะ ผี ผี”แล้วรีบวิ่งแจ้นไปที่โรงฉายหนังล้อมผ้า
ไม่เห็นมีใครที่หน้าประตู เพื่อนทุกคนวิ่งตามจ้าละหวั่น ลืมเสื่อกกที่วุฒิเตรียมมาไว้ที่นั่น
เด็กสี่คนตัวสั่นงกๆ ตอนนี้หนังฉายเป็นเรื่องที่สองอยู่
“เฮ้ย พวกเอ็งว่าเมื่อกี๊เป็นผีป่าววะ”สันถามเพื่อนทุกคน
“เออข้าว่าเราโดนผีหลอกแน่เลยวะ กลางค่ำกลางคืนใครจะกล้าเดินไปใกล้เมรุ”
ทินก็คิดว่าเป็นผี
เพื่อนที่เหลือไม่มีใครพูดอะไร นั่งดูหนังต่อด้วยอาการกลัว
หนังเรื่องที่สองที่คณะฉายหนังฉายให้ดูวันนี้เป็นหนังผี
เรื่องที่มีผีปอบกับผีกระสือต่อสู้กัน ถึงฉากที่กระสือกำลังโดนปอบ
กัดกินไส้เลือดอาบแก้มปอบ ทุกคนผ่อนคลายเพราะในหนัง
มีเสียงประกอบเป็นดนตรีสร้างอารมณ์ตลกแก่ผู้ชม
หนังผีที่คดว่าจะน่ากลัวจึงเป็นหนังคลายเครียดโดยพลัน
หนังฉายจนจบเรื่องที่สองก็ได้เวลาที่ทุกคนต้องกลับบ้านพวกเขา
เดินไปที่จอดจักรยาน แต่แล้วก็พบว่าจักรยานของแต่ละคนยางแบน
พากันบ่นด้วยอารมณ์เสียที่ทำให้ลำบากต้องเดินจูงจักรยานกลับบ้าน
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ