ห้วงไฟเก่า

-

เขียนโดย หนุ่มวิเวก

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 08.33 น.

  6 ตอน
  2 วิจารณ์
  9,302 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) คล้ายกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                    ตกดึกในค่ำคืนถึงในขณะที่ทุกคนในบ้านนอนหลับกันหมด

 

มีเพียงวุฒิคนเดียวที่ยังลืมตาโพลง

เรื่องแววกำลังจะแต่งงานยังค้างคาอยู่ในหัว

 

เขาน้ำตาซึมพลางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอารมณ์เสียเมื่อตอนเย็น

ยิ่งทำให้อารมณ์เขาไม่เป็นสุข เขาอึดอัดในใจจนนึกอยากตะโกนให้ดังสุด

 

แต่ทำไม่ได้ เขานอนไม่หลับทั้งที่หัวถึงหมอนมาจนค่อนสว่างเขาคิดถึงอดีตอยู่ในหัวตลอดเวลา

 

 

“สวัสดีครับ น้องใหม่คนนี้น่ารักจัง” วฒิสะกิดเพื่อนซี้แล้วชี้ไปยัง เฟรชชี่หน้าใส

 

ใบหน้าเรียวจมูกรับกับใบหน้าอย่างลงตัว ผิวพรรณขาว เนียน

 

สะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงความมีชาติตระกูล

 “อ๋อ น้องคนนี้ชื่อน้องแวว เด็กคณะเราเองแหละ ได้ข่าวว่าชมรมเชียร์ลีดเดอร์กำลังตามตื้อเข้า

 

ชมรมแน่ะ แล้วทำไมเหรอ เอ็งสนใจรึไง” เพื่อนซี้ชักสงสัยวุฒิ

 

“อืม ก็ใช่นะสิ เข้าไปคุยกับน้องเป็นเพื่อนข้าหน่อยดิ”

 

“ เฮ้ยเอ็งอย่าฝันสูงหน่อยเลยน่า น้องเขาเริ่ดขนาดนั้นคงไม่สนใจคนอย่างเราๆหรอกน่า”

 

 “เออน่าอย่างน้อยให้เขาเห็นหน้าก็ยังดีป่ะ”

 

วุฒิกระชากแขนเพื่อนเดินเข้าหาน้องใหม่ที่กำลังนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่โต๊ะหินอ่อน

 

ที่อยู่ข้างสนามฟุตบอลห่างออกไปประมาณสิบเมตร

 

 “สวัสดีครับ พี่ชื่อวุฒิครับ ส่วนพี่คนนี้ชื่อปอนแต่น้องชื่ออะไรเหรอ

 

เราสองคนเป็นรุ่นพี่ที่คณะน้องนะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่น้องชื่ออะไรครับ

 

อ่อพี่รู้แล้วน้องแววใช่มั้ยครับ”

 

วุฒิสุภาพวางท่าพ่อไก่แจ้เบ่งไหล่ผายเหมือนเวลาที่มันเกี้ยวพาราสีไก่ตัวเมีย

 

ที่มันคาดหมายตรงหน้า เขายังประทับใจในเหตุการณ์วันนั้น

 

วุฒิโอบกอดไปที่เยาว์ที่นอนหลับสนิทโดยไม่เขานอนกอดเธออยู่อย่างนั้น

 

น้ำในตาไหลอาบสองแก้มเขาร้องไห้ ในมือซุกไปในกางเกงนอน

 

แล้วซบลงที่หน้าอกอุ่นของภรรยา เขากลั้นเสียงอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา

 

แม้แต่เล็กน้อยแล้วผลอยหลับไปจนถึงเช้า

           

 

                  ยังคงมีคนอีกมากมายที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่ารัก 

 

แท้จริงแล้วความรักคืออะไร ในเมื่อบางคนใช้เวลาไม่นานเพื่อหาคำตอบ

 

แต่บางคนกลับใช้เวลาตลอดชีวิตเพื่อหาความหมายนี้เช่นเดียวกับวุฒิชายลูกสอง

 

ที่ยังคงค้นหาความหมายของสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกวูบไหวทุกครั้งที่เขาคิดถึงแวว 

 

ความรักของวุฒิอาจจะหมายถึงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง

 

แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นความทรงจำที่ทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด 

            

 

                 เมื่อจบภาคการศึกษาในปีแรกที่อัศดาเข้าเรียน เขาตัดสินใจ

            “ผมมายื่นใบลาออกครับ” ในห้องธุรการคณะ เขาเขียนใบลาออกจากสถาบัน

ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่างในใจ เขายังไม่ลืม

         

การเรียนในสถาบันการศึกษาชื่อดังในกรุงเทพที่อัศดาสอบเข้าเอนทรานซ์ติด

เป็นสิ่งที่ทำให้เขายัง

คิดถึงอยู่เสมอ บรรยากาศชีวิตน้องใหม่ที่มาจากบ้านนอกอย่างเขา

ยังมีเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ยังเป็น

อุทาหรณ์ ที่เขาอาจจะต้องใช้เวลาที่ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่จะลืมเลือน

          

 

“น้องถาปัตย์มาทางนี้เลย เพื่อนเข้ากลุ่มรอทางนี้”

 

เขาได้ยินเสียงรุ่นพี่สาวสวยที่กำลังกวักมือเรียกน้องใหม่ของคณะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคณะเดียวกัน

          

 

“สวัสดีครับพี่ ผมเด็กถาปัตย์ครับ”อัศดา ยกมือไหว้รุ่นพี่สาวสวย

          

“น้องถาปัตย์เหรอจ้ะ น้องชื่ออะไรเหรอเดินไปหาเพื่อนในกลุ่มทางโน้นเลยจ้ะ นั่นแน่ะรวมกลุ่มกันทางโน้น”

 

รุ่นพี่ชี้มือบอกน้องใหม่ แล้วอัศดาก็เดินไปเข้ากลุ่มรวมกับเพื่อนใหม่

          

“เฮ้ยชื่ออะไรวะ กูชื่อชิ้ง”เพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ในกลุ่มอยู่ก่อนแล้วกล่าวแนะนำตัวเองแก่อัศ

          

“เราชื่อ อัศ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

          

“มาจากต่างจังหวัดเหรอ เออยินดีที่ได้รู้จัก “ทำไมเลือกถาปัตย์วะ

 

กูเลือกเพราะเป็นสถาปนิกแล้ว

 

มันเท่ห์ รวยด้วย ”ชิ้งรู้ทันทีที่อัศดาพูดสำเนียงแปร่งๆ

         

 

“เราเลือกเพราะคิดว่าเรียนจบคณะนี้แล้วจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดเราได้น่ะ”

 

อัศดาเล่าถึงอุดมการณ์ การสนทนาของเพื่อนใหม่ทั้งสองทำความรู้จักกันในวันแรกที่รู้จักกัน

           

 

อัศดาว่าที่สถาปนิกใหม่จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ที่เขารู้จัก

 

เขาไม่เคยอดหลับอดนอนมาก่อน หลายครั้งที่อาจารย์ให้การบ้าน

 

เป็นงานออกแบบในหลายวิชาพร้อมกัน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อย

 

เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าชีวิตนักศึกษาสถาปัตย์จะต้องทำงานส่งอาจารย์เยอะขนาดนี้

 

เมื่อกลับไปทบทวนความคิดอีกครั้ง เขานึกถึงคืนวันนั้น

           

 

อาหารภัตตาคารราคาแพงถูกวางไว้บนโต๊ะ

 

ให้บรรดานักศึกษาปีหนึ่งกลุ่มหนึ่งนั่งรอกันด้วยความหิว

 

ในค่ำคืนแห่งความสุข อัศดาและเพื่อนทุกคนลงมือทานอาหารกันด้วยความเอร็ดอร่อย

         

“เคยกินป่าววะอัศ อาหารแบบนี้” ชิ้งถามเพื่อนใหม่จากต่างจังหวัด

         

 

“ไม่เคยว่ะ มีอะไรบ้างวะเนี่ยต้องใช้ตะเกียบกินเหรอ ไม่ค่อยถนัด”

         

“เออ ไก่อบที่มีไฟลุกท่วมตัวอยู่นี่เขาเรียกว่าไก่อบภูเขาไฟ

 

ส่วนเป็ดย่างหวานๆนี่เขาเรียกว่าเป็ดปักกิ่ง แล้วกานนี้เขาเรียกปลาจาระเม็ดนึ่งมะนาว

 

 

และผัดคะน้าน้ำมันหอย นั่นข้าวผัดปูกูสั่งมาช่วยกันกิน”

 

แนะในกลนำเมนูอาหารโอชะพลาง ขณะที่ใช้ตะเกียบหยิบไก่อบเป็นชิ้นอย่างชำนาญ

         

 

“อ๋อ ไม่เคยกินเลย อร่อยดีนะ”

         

 

“เอารู้จักไว้อัศ ต่อไปจะได้มากินบ่อยๆละ”

 

นัท เพื่อนที่นั่งรวมอยู่บนโต๊ะอาหารทุกคน

 

ต่างกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อนในชีวิต 

 

หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแปร้ ชิ้งที่เป็นสารถีเจ้าของรถเก๋งคันเก่ง

 

ก็พาเพื่อนทุกคนตระเวนชมบรรยากาศยามราตรีของเมืองกรุง อัศดารู้สึกว่าอยากกลับแล้ว

            

 

“ชิ้ง กลับกันเถอะเราว่า ตอนนี้ดึกมากแล้วนะ”อัศดารู้สึกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว

            

 

“เออน่า เดี๋ยวพาไปดูที่นี่ก่อนเดี๋ยวค่อยกลับ”ชิ้งพูด

 

ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังหยอกล้อเล่นกันสนุกสนานอยู่ในรถ

             

 

รถแล่นบนถนนกลางเมืองกรุง ไฟฟ้าสว่างทั่วไปหมดทั้งเมือง

 

ตึกอาคารสูง รูปทรงแปลกตาเรียงราย

 

บ้างมีไฟสีสันสดใสเปิดตามร้านรวงข้างทางให้เห็นเป็นระยะ

 

 

บรรยากาศยามค่ำคืนเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจแก่นักศึกษาบ้านนอกที่เพิ่งเคยนั่งรถเก๋งท่องเที่ยว

            

“นี่เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มึงเคยเห็นในทีวีไง จำได้มั้ยอัศ”

 

ชิ้งแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อนใหม่ปีหนึ่งของสถาบันรู้จัก

           

 

“โห นี่เหรอวะที่ที่เขามาชุมนุมประท้วงทางการเมืองบ่อยๆ

 

เราเพิ่งเคยมาถ่ายรูปครั้งแรกเลยนะเนี่ย สวยว่ะ

 

พวกเราทุกคนยืนตรงนี้เรียงแถวให้เห็นหน้าพวกเราทุกคนได้มั้ย

 

ชิ้งนายไปกดกล้องให้หน่อย เราอยากได้รูปหมู่”อัศวานให้ชิ้งช่วยเป็นตากล้อง

           

 

“ได้สิ พวกมึงยืนเรียงแถวตรงนี้นะ เดี๋ยวกูจะไปยืนถ่ายตรงข้ามถนนฝั่งโน้น”

 

วิ่งข้ามถนนเพื่อไปยืนเป็นช่างภาพที่ฟุตบาต

            

 

ภาพเขายืนถ่ายรูปหมู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เขายังจำได้

 

รถแล่นต่อมายังเสาชิงช้าเข้าชิ้งจอดรถที่เขาขับพาเพื่อนเที่ยวจอดไว้ข้างทาง

 

ทุกคนลงจากรถเพื่อไปยืนตั้งท่าถ่ายรูป อัศยืนถ่ายรูปในขณะที่ชิ้งเป็นตากล้องกิตติมศักดิ์

 

“แชะ”เสียงลั่นชัตเตอร์ของชิ้ง ในขณะที่เพื่อนทุกคนกำลังเป็นนายแบบถ่ายรูปหมู่ มีเพียงชิ้งคน

 

เดียวเท่านั้นที่ไม่ประสาจะเข้าเฟรมเหมือนคนอื่น

 

“เฮ้ย นัทไปเป็นตากล้องให้เราถ่ายรูปคู่กับชิ้งหน่อยสิ”อัศอยากมีรูปคู่กับชิ้ง

 

“ไม่เป็นไรว่ะ กูมาบ่อย พวกมึงถ่ายกันไปเถอะ ขอกูเป็นตากล้องอย่างเดียว”ชิ้งกล่าว

          

 

                                  ในห้องสมุดของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันแห่งหนึ่ง

ขณะนี้เป็นเวลาสิบโมงเช้า อัศเห็นอาจารย์นั่งอยู่ที่โต๊ะ อ่านหนังสือรอใครบางคน

         

“สวัสดีครับอาจารย์ ขอโทษด้วยครับผมมาสาย”

         

“อะไรกันนี่มันสิบโมงแล้ว ทำไมเพิ่งมา”

         

“อาจารย์ครับ ผมทำงานได้แค่นี้ครับ อนุโลมให้ผมผ่านได้มั้ยครับ

 

ผมขอโทษจริงๆที่ไม่เมาสาย ต่อไปผมจะปรับปรุงตัวให้เป็นคนตรงต่อเวลาครับอาจารย์

 

สงสารผมเถอะนะครับ”

         

“ไม่ได้ผมให้คุณผ่านไม่ได้ คุณมาสายตั้งชั่วโมง เลยเวลาส่งงานมามากแล้ว”

         

“หมายความว่าผมต้องเรียนซ้ำชั้นเหรอครับ อาจารย์”

         

“ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณไม่มีความรับผิดชอบ”

 

อาจารย์ประจำรายวิชายกมือรับไหว้เด็กบ้านนอกที่ขอลากลับ

         

อัศดานอนหลับในห้องของนัทและชิ้ง เป็นเวลาสิบโมงเช้า

 

ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจากการออกท่องราตรีกับเพื่อนเมื่อคืน

 

ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังติ๊ดๆๆๆ เขารีบตื่นขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อมองไปที่หน้าปัดนาฬิกา

        

“เฮ้ย สิบโมงแล้วเหรอ”เขาอุทาน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขามีส่งงาน

 

เพื่อนในห้องทุกคนกำลังหลับกันสนิท ชิ้งเดินเข้ามาในห้อง

 

หลังจากเพิ่งไปเข้าห้องน้ำรวมของอพาร์ตเมนต์

       

“อะไรวะ มีอะไรเหรออัศ” ชิ้งพูดตอนที่เห็นอัศที่กุลีกำลังกุจอออกจากห้อง

       

“กูมีส่งงานน่ะสิ ทำไมมึงไม่ปลุกกูวะไอ้ชิ้ง”

 

เขาพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องของเพื่อน

 

แล้วรีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองเพื่อไปแต่งชุดนักศึกษา

 

และเตรียมงานที่จะไปส่งอาจารย์ที่สถาบัน

       

อัศดากลับจากสถาบันมาถึงอพาร์ตเมนต์แล้วร่ำไห้ต่อหน้าเพื่อนทุกคน

      

 

 

“กูต้องเรียนซ้ำชั้นว่ะ”

 

 

 

เพื่อนทุกคนใบหน้าเรียบเฉยไม่มีใครพูดอะไร ชิ้งอมยิ้ม

          

                เมื่อคืนวานในเวลาสองทุ่ม อัศดาทำงานเพียงคนเดียวในอพาร์ตเมนต์กลางเมืองหลวง

 

เขาต้องส่งงานพรุงนี้ตอนเก้าโมงเช้าอัศดาเป็นนักศึกษาที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด

 

เขาสอบเอนทรานซ์เข้าเรียนสถาบันการศึกษาระดับประเทศ

 

ในคณะที่คนในหมู่บ้านต่างตั้งความหวังกับเขาหลังจากที่เขาเรียนจบ

 

แล้วจะนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด

 

ที่อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้มีเพื่อนร่วมชั้นเดียวกันอาศัยอยู่เป็นเพื่อนอีกห้อง

 

แต่เป็นเพื่อนที่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพนี้เอง อัศเดินไปเปิดประตูที่มีเสียงเคาะดังให้ได้ยิน

       

 

“เฮ้ย ไอ้อัศพรุ่งนี้มึงมีส่งงานเหรอวะ”

 

เพื่อนร่วมชั้นที่เดินเข้ามาในห้องถามขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังนั่งทำงานเขียนแบบในห้อง

       

 

“เออ ใช่ว่ะชิ้ง เราต้องส่งงานซ่อมที่เรายังสอบตกพรุ่งนี้

 

ไม่เราจะไม่ได้ขึ้นปีสอง”เขาคุยกับเพื่อนที่ชื่อชิ้ง

       

“เฮ้ย ขำๆไม่เหนื่อยบ้างเหรอ เครียดมากไปละม้าง

 

กูเห็นทำงานคนเดียวมาตั้งแต่เลิกเรียนแล้วเนี่ย

 

เอามั้ยคืนนี้พักก่อนเดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านดังในย่านนี้

 

กูกำลังจะออกไปพอดีชวนเพื่อนในห้องไว้แล้ว เดี๋ยวพวกมันกำลังมา”

        

 

“ไม่ไหวว่ะ เราต้องส่งงานพรุ่งนี้จริงๆกลัวเสียเวลา

 

ไม่งั้นเราเรียนไม่จบแน่ พวกนายไปกันเถอะเราขอตัวทำงาน เข้าใจมั้ย”

       

 

“เฮ้ย น่าไปแปบเดียวจะไปเสียเวลาอะไร

 

เดี๋ยวรีบกลับมาส่งไม่เกินเที่ยงคืน ค่อยกลับมาทำต่อ

 

น่าจะได้เปิดโลกทัศน์ ทันใดนั้นพวกเพื่อนๆที่ชิ้งนัดไว้ก็มาถึง

 

ทุกคนเดินเข้ามาในห้องของอัศรวมตัวสมทบเพื่อตื้อให้อัศไปกินข้าวข้างนอกพร้อมกัน

       

 

“เฮ้ยทำไมวะไอ้อัศ ไม่อยากไปเปิดหูเปิดตากันบ้างเหรอ

 

หมกมุ่นกับการเรียนมากไปแล้วมั้ง เดี๋วกลับมาพวกกูช่วยทำ

 

แปบเดียวก็เสร็จ ขำๆน่า”เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ย

       

 

“ไม่อยากไปกับพวกกูเหรอวะไอ้อัศ รังเกียจพวกกูป่าวเนี่ย

 

อุตสาห์หวังดีอยากให้มึงได้เห็นโลกภายนอกบ้าง

 

กูน้อยใจว่ะที่มึงคิดแบบนี้กับพวกกู อยากไปกันยังไอ้นัท

 

ถ้าไอ้อัศไม่ไปคืนนี้กูก็ไม่ไป”ชิ้งยืนกรานด้วยความน้อยใจ

       

 

“เออ ไอ้อัศคนเดียวจะทำให้พวกเราไม่ได้ไปแล้วว่ะ

 

ตื้อให้ได้เว้ยชิ้งด้วยความที่เขาเป็นคนซื่อๆ

 

จึงรู้สึกสงสารและเห็นใจเพื่อนทั้งหมดที่กำลังจะอดไปเที่ยวราตรีกัน

 

เพราะเจ้าของรถที่ชื่อชิ้งยืนกรานที่จะไม่ไปหากอัศไม่ไปด้วย

       

อัศดาตกลงที่จะไปทานอาหารค่ำกับเพื่อนตามคำชวน

                                                                                                 หนุ่มวิเวก

         

 

       วุฒิอ่านเรื่องสั้นที่เยาว์วางทิ้งไว้ที่โต๊ะหินอ่อนจบก็อึ้งด้วยความสงสารในตัวพระเอกที่ชื่ออัศดา ขึ้นมาทันที

 

เขาคิดว่าตัวเขาและอัศดาช่างเป็นความเหมือนที่แตกต่าง

 

การเป็นคนบ้านนอกที่เข้ามาเรียนในวิชาชีพเดียวกัน

 

และต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นความเหมือนอย่างกับเป็นคนเดียวกัน

 

แต่แตกต่างวาสนากันตรงที่อัศดาผู้ที่มีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาบ้านเกิดนั้นเรียนไม่จบเพราะลาออก

 

จากสถาบันเนื่องจากปัญหาทางสังคม

 

ส่วนวุฒิเรียนจบและได้ทำงานเป็นสถาปนิกสมใจทั้งที่เขาเองนั้น

 

ไม่เคยคิดแม้แต่จะนำวิชาความรู้ที่มีกลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองเลย

 

แม้แต่น้อยเขาละอายใจขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าตัวเองช่างเป็นคน

 

ที่แก่ตัวอะไรเช่นนี้ในขณะที่เขานั่งพักอ่านหนังสือนอกจบตอน

 

เยาว์ผู้เป็นภรรยาก็เดินจากในบ้านมานั่งสมทบที่ม้านั่งตรงข้าม

 

บนโต๊ะมีทั้งคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คและกระดาษร่างแบบและอุปกรณ์การเขียนเกลื่อนโต๊ะ

 

“คุณอ่านเรื่องสั้นกับเขาด้วยเหรอ เห็นทุกทีเอาแต่ดูทีวี

 

 

สงสัยวันนี้ฝนจะตก”เยาว์พูดแซวเล่น เมื่อเห็นวุฒิบรรจงสายตา

 

ท่องไปในตัวอักษรที่ถืออยู่ในมือ วุฒิวางหนังสือลง

 

 

“แหม คุณผมก็อยากคลายเครียดบ้าง เห็นคุณชอบอ่านจัง

 

อยากรู้ว่าเรามีอะไรดีถึงทำให้คุณติดใจในงานวรรณกรรม

 

สนุกดีผมอ่านถึงตอนเพื่อนที่หวังดีน่ะ ดูแล้วอัศดานี่เป็นเด็กที่น่าสงสารเนอะ

 

ตั้งใจจะเป็นสถาปนิกแต่คบเพื่อนไม่ดี จนเสียอนาคตไม่ได้เป็นสถาปนิกเหมือนเราเลย”

 

 

“ติดใจล่ะสิ นักเขียนคนนี้น่ะได้รางวัลบ่อยนะคุณ คุณรู้จักนามปากกาเขามั้ย เขาดังนะ”

 

“ต่อไป ผมจะอ่านหนังสือให้มากขึ้น อ่านแล้วทำให้ผมมีปัญญาขึ้นเยอะเลย

 

เออว่าแต่ช่วงนี้เราสองคนไม่ค่อยมีงานให้ทำเลยนะ

 

เสร็จงานบ้านคุณวิทย์ก็ไม่มีงานอื่นให้ทำต่อใช่มั้ยเนี่ย”

 

 

วุฒิเริ่มพูดเข้างาน

 

“ใช่ ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ หลังจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่

 

เดี๋ยวก็มีข่าวชุมนุมประท้วงอยู่บ่อยๆ คนรวยๆก็ไม่มีใครอยากจะลงทุนก่อสร้างอะไรเลย

 

ไม่เหมือนตอนเราเรียนจบใหม่ๆช่วงก่อนฟองสบู่

 

ที่ธุรกิจภาคการก่อสขยายตัว จนเราสองคนมีรายได้สามารถซื้อบ้าน

 

ซื้อรถได้เป็นของตัวเอง เราสองคนต้องช่วยกันหางาน

 

 

ถึงจะได้โครงการเล็กก็ยังดีกว่าไม่ได้งานนะ

 

เดี๋ยววันนี้ฉันจะเปิดแฟนเพจรับงานของเรา”

 

 

งผลกระทบถึงครอบครัวของเธอ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของวุฒิก็ดังขึ้น

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา