ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง

9.9

เขียนโดย มังกุมภ์

วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.

  48 ตอน
  40 วิจารณ์
  52.69K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

27) อกหักมารักกับม๊า ตอน.1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
        
            ช่วงเรียนมัธยม ผมไปชอบสาวนางหนึ่ง ซึ่งปกติแล้วผมจะเฉยๆกับสตรี แต่เธอคนนี้ทำให้ผมสลัดอาการเฉยทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เรียกได้ว่าอยากจะร้องว่า 'รักเธอว์เข้าแว้วเต็มทรวงงง' (เพลงโบราณโคตร) มารู้เอาทีหลังว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นน้องสาวของเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับผมนี่แหละ ด้วยความที่ไม่เคยจีบสาวมาก่อน ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้เธอมาเป็นคู่แหวว ไปยืนหาหนังสือแนวๆจีบหญิงมาอ่าน แต่ละวิธีอ่านแล้วก็หมดแรงทำตาม เพราะมันเหมือนกับก๊อปปี้หนังย้อนยุค แต่ละมุขนี่อ่านดูแล้วเหมือนฟันจะผุเพราะหวานเจี๊ยบ ไปปรึกษารุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์โชกโชน ก็ได้คำแนะนำแบบเกาหลีคือ วอนนอนคุก
          สุดท้ายเมื่อหมดหนทาง ผมก็เลยใช้วิธีแบบซื่อๆของผมนี่แหละ คือเดินไปสะกิดไหล่แล้วบอกว่า
          "นี่ๆ เป็นแฟนกันเตอะ"
          เธอหันกลับมามองหน้า พร้อมกับหัวเราะเป็นคำตอบ ซึ่งผมก็ไม่สามารถถอดรหัสได้ว่าการหัวเราะนี่คือ yes หรือ no  เลยถามกลับไปแบบเข้าข้างตัวเองอีกว่า
          "หัวเราะนี่คือตกลงใช่มั๊ย?" 
          คราวนี้เสียงหัวเราะดังกว่าเดิมอีกพร้อมกับคำตอบแบบไม่ต้องถอดรหัส
          "จะบ้าเหรอ ไม่เอา ไม่เป็น"
          พูดจบ เธอก็หันไปคุยกับกลุ่มเพื่อนของเธอต่อ ปล่อยให้ผมยืนเกาหัวตัวเองยิ๊กๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เลยเกาแก้เก้อไปงั้นแหละ เพื่อนๆเธอต่างก็มองผมแล้วอมยิ้มแก้มตุ่ย
          ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะเกิดเทศกาลหรือเหตุการณ์อะไรขึ้น ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ลอยกระทง ราหูอมจันทร์ สุริยุปราคา ผมจะสะกิดชวนเธอเป็นแฟนตลอด แต่คำตอบที่ได้ก็คือเสียงหัวเราะพร้อมกับบอกว่า
          "ไม่"
          ผมสะกิดชวนแบบนี้อยู่นาน เรียกว่าไหล่เธอแทบจะด้านเพราะโดนสะกิดชวนนี่แหละ ส่วนพี่ชายเธอ ซึ่งเป็นเพื่อนผม ก็เหมือนรู้ๆอยู่ว่าผมไปทำไหล่น้องสาวของมันด้าน แต่เพื่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร
          และแล้วผมก็ได้คำตอบเพิ่มว่าทำไมเธอถึงตอบปฏิเสธ นั่นก็คือ เพื่อนของเธอ ซึ่งก็เป็นเพื่อนของผมด้วย มาบอกผมว่า เธอมีแฟนแล้ว
          ผมเอง พอได้ฟังเรื่องจากเพื่อนของเธอ ก็ได้รับรู้อาการที่เรียกว่า "อกหัก" ในตอนนั้นเอง เพื่อนเธอเห็นผมนั่งยิ้มแฉ่งหลังจากได้ฟังเหตุผลที่เธอเล่า ก็ถามผมว่าเป็นอะไรไป ยิ้มแฉ่งเลย
          "อกหักอ่ะดิ๊"
          ผมตอบไปพร้อมกับยิ้ม
          "หน้าแบบเนี้ยนะ อกหัก"
          เพื่อนพูดพร้อมกับหัวเราะ
          "เดี๋ยวเธอไปเราค่อยร้องไห้ละกัน ตอนนี้ร้องไม่ออก หมดแรง"
          เพื่อนมองหน้าผมแล้วอมยิ้มแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าไอ้แฉ่งนี่มันอกหักจริงๆหรือป่าว
          "ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ไม่รู้ว่ามันจะเลิกกับแฟนเมื่อไหร่ แฟนมันเจ้าชู้จะตาย ยังไงเราก็เชียร์เอสนะ"
          เพื่อนตอบมาให้กำลังใจคนอกหักสดๆร้อนๆ
          หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยไปสะกิดไหล่เธออีกเลย จังหวะบังเอิญได้เจอกัน ผมก็ทักทายเป็นปกติ ทั้งๆที่นิ้วมันอยากจะสะกิดไหล่เธอเหลือเกิ๊น เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก ผมชอบเธอ แต่ก็ไม่อยากให้เธอกับแฟนมีปัญหากันนั่นเอง เหตุผลลึกลงไปอีกคือ กลัวแฟนเธอมาต่อยผม เพราะรู้สึกว่าจะเป็นรุ่นพี่ด้วย
           ผมเลยกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแบบนิ้วไม่กระดิกสักพักใหญ่ๆ จนผมได้เจอเพื่อนคนเดิม ซึ่งก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกันเพราะว่าเรียนอยู่คนละที่กัน คุยกันสักพัก เพื่อนก็บอกผมว่าเธอคนนั้นกับแฟนเลิกกันแล้วนะ
           ได้ฟังเพียงแค่นี้นิ้วชี้อันน้อยก็เริ่มกระดิกอยากสะกิดขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความตื่นเต้นจนลืมขอเบอร์ติดต่อ กว่าจะรู้สึกตัวเพื่อนก็แยกไปแล้ว ผมก็ได้แต่คันนิ้ว เพราะจะไปสะกิดถึงบ้านก็อาจจะโดนเพื่อนห้องเดียวไล่เตะออกมาก็เป็นได้
           จนกระทั่งปิดเทอม ในวันหนึ่งขณะที่ผมกะลังยืนอ่านหนังสือที่ร้านประจำ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นสาวนางหนึ่งหน้าตาท่าทางคุ้นๆ ยืนอยู่ที่เค้าเตอร์ของร้าน เธอนั่นเอง ผมจึงละจากชั้นหนังสือเดินไปหาเธอซึ่งกำลังยืนหันหลังอยู่ นิ้วน้อยๆของผมก็ไปสะกิดไหล่อันคุ้นเคย
             “นี่ๆ เป็นแฟนกันเตอะ”
             เจ้าตัวสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันขวับกลับมามองหน้าผม แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
              “บ้า! ไม่เอา”
             เฮียเจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาดูเราสองคน พอเห็นหน้าผมอันเป็นลูกค้าประจำก็ยิ้มๆพร้อมกับหันกลับไปจัดหนังสือต่อ ผมชวนเธอคุยจนได้ความว่า เธอมาทำงานพิเศษช่วงปิดเทอมที่ร้านนี้
              “ก็ดีดิ เรามาร้านนี้ประจำอยู่แล้ว ปกติก็เกือบทุกวันแหละ “
             ผมพูดด้วยความดีใจที่จะได้เจอเธอบ่อยๆ
             “ทำไม่นานหรอก เดี๋ยวใกล้ๆเปิดเทอมก็ต้องเลิกแล้ว”
             เธอพูดพร้อมกับมองหนังสือในมือผม เป็นวรรณกรรมเล่มหนึ่งส่วนอีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับไพ่ยิปซี ซึ่งผมชอบสะสมเพราะมันสวยดี
             “ดูไพ่ยิปซีเป็นด้วยเหรอ?”
             เธอถามพร้อมกับมองผมด้วยตาประกายวาววับ
             “โอ๊ย อย่างแม่นเล้ย เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งดูให้เจ๊ข้างบ้านตอนนี้เรียกเราพ่อหมอแล้ว”
             ผมตอบพร้อมกับคิดแผนในใจขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นผมว่า ตาผมคงวาววับมากกว่าเธออีก
             “ว่างๆ ดูให้หน่อยสิ อยากดูอะ”
             เธอพูดแกมขอร้องผม แน่ละใครปฏิเสธก็บ้าแล้ว ผมจึงตอบตกลงพร้อมกับนัดหมายเธอให้มาดูที่บ้านผม พอถึงวันนัดซึ่งเป็นเวลาบ่ายแล้ว เธอมาหาผมที่บ้าน ผมจึงชวนเธอมานั่งที่บ้านป้าซึ่งอยู่ติดกัน ป้าผมค่อนข้างจะคุ้นกับเธอ เพราะสั่งของที่บ้านเธอบ่อยนั่นเอง พอได้ที่นั่งเรียบร้อย พ่อหมอจำแลงก็เริ่มทำมาดขรึมจริงจังพร้อมกับบอกว่า
              “ไพ่ยิปซี ไม่ใช่ของเล่นนะ เวลาหยิบต้องมีสมาธิ ใช้มือซ้ายหยิบ ไพ่ที่ออกมาส่วนใหญ่คำทำนายจะแม่นประมาณ 80% ขึ้นไป เพราะงั้น ต้องตั้งใจ อย่าทำเล่นๆ ถ้าหยิบมั่วๆเล่นๆ ได้ไพ่ไม่ดีเดี๋ยวจะแย่เอา”
                เธอได้ฟังผมบอกแบบนั้นก็เริ่มกลัว บอกว่าไม่กล้าดูแล้วอ่ะ กลัวเจอไพ่ไม่ดี ผมเลยบอกว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก แต่มันก็แม่นนะ ด้วยความอยากรู้อนาคตของตัวเองอย่างแรง เธอจึงเริ่มหยิบไพ่มาทีละใบจนครบสิบใบ ผมเรียงไพ่ตามที่หนังสือบอก ก้มดูไพ่แต่ละใบ พร้อมกับทำนายว่า
             “เพิ่งเลิกกับแฟนมาใช่มั๊ย?”
             ใบหน้าขาววอกแบบลูกคนจีนของเธอมีอาการซีดเพราะความตกใจ ก่อนจะถามผมว่า
              “เอ้ย รู้ได้ไง ไพ่ใบไหนที่บอกแบบนั้น?”
              “ไพ่ไม่ได้บอกหรอก ยัยแป๊กบอก”  
              เสียงดังตุ้บตามมาเพราะพ่อหมอโดนทุบไหล่ เหมือนจะเอาคืนที่ไปสะกิดเขาบ่อย
              “อยากดูเรื่องอะไร?” พ่อหมอถาม
              “เรื่องเรียนอ่ะ เป็นไงมั่ง” น้องไหล่ด้านถามมา
               ผมดูไพ่ให้เธอไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงที่รอคอยก็คือ ดูเรื่องความร๊ากกก ไพ่ใบแรกที่เธอหยิบมาเป็นไพ่ the magician ใบอื่นๆตามๆมา ซึ่งอยากจะบอกว่า เข้าทางพ่อหมอละ
                "ตำแหน่งใบนี้หมายถึงอดีตที่ผ่านมา เนี่ยเพิ่งเลิกกะแฟนเห็นไหม ไพ่สามดาบ"
               ผมชี้ไปที่ไพ่ที่เป็นรูปหัวใจถูกมีดปักสามเล่ม เธอพยักหน้าหงึกๆ ผมเลยถามว่าทำไมถึงเลิกกับแฟน เธอบอกว่าแฟนเป็นรุ่นพี่อยู่ ม.6 จบแล้วต้องไปเรียนที่ กทม. เธอกลัวว่าพี่แกจะไปมีแฟนใหม่แล้วโดนบอกเลิก เลยชิงบอกเลิกก่อน พ่อหมอกลืนน้ำลายลงคอ คิดในใจว่ามันกลัวยังไงวะเนี่ย ทำยังกะมีเรื่องไปชกกะใครเลย "เปิดก่อนได้เปรียบ" ยังงั้นแหละ แล้วก็สลัดความคิดทิ้งชี้นิ้วไปที่ไพ่ใบที่หก
               "ตำแหน่งนี้หมายถึงอนาคตที่จะมาถึง สามถ้วย หมายถึงการเริ่มต้นมีรักใหม่ หรือคบคนใหม่ ตีความว่าไม่เกินหนึ่งหรือสองปี จะมีแฟนใหม่แหละ"
               ผมตอบไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง เธอพยักหน้าหงึกๆ แล้วถามว่า
               "แล้วแฟนใหม่จะเป็นลักษณะยังไง ไพ่บอกมั๊ย?"
               "เป็นหมอ" ผมตอบไป
               "หืออ หมอเนี่ยนะ ต้องป่วยเข้าโรงบาลเหรอ ถึงจะมีหมอมาจีบ"
               เธอถามกลับมาแบบซื่อๆ เพราะกำลังคิดอยู่ว่าหมอที่ไหนจะมาจีบ
               "เปล่า หมายถึง หมอดูตะหาก" ผมตอบไปยิ้มๆ
               หน้าขาวๆของเธอเริ่มกลายเป็นสีชมพู จ้องหน้าผม
               "การันตีว่าไม่เกินสองปีนี้แน่นอน เพราะไพ่ที่เหลือมันเป็นแนวโน้มแบบนั้นหมด"
               พ่อหมอรุกคืบไปอีก ตามหลักที่ว่า "เปิดก่อนได้เปรียบนั่นแหละ"
               คราวนี้จากชมพูเริ่มกลายเป็นสีแดง พร้อมกับบอกพ่อหมอว่า
               "พอๆ ไม่ดูและ ไม่เห็นแม่นเลย พ่อหมอมั่วนี่หว่า กลับแล้ว"
               พูดจบเธอก็ลุกไปลาป้าผมก่อนจะขี่แมงกะไซด์กลับ ซึ่งก่อนกลับพ่อหมอตะโกนเตือนไปว่า
               "จำไว้เน้อ ไม่เกินสองปีนี้แน่น๊อนนน"
               เธอหันมาชู 'มะเหงก' ให้พ่อหมอเป็นค่าดู ก่อนจะหัวเราะพร้อมกับขี่แมงกะไซด์ออกไป
               (พักแค่นี้ก่อนนะครับ พิมพ์ตกๆหล่นๆ เพี๊ยนๆแปลกๆ ขออภัยด้วย ง่วงแล้ว เดี๋ยวมาโม้ใหม่ตอน 2 นะครับ)
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา