ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง
9.9
เขียนโดย มังกุมภ์
วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.
48 ตอน
40 วิจารณ์
52.59K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
10) เข้าใจผิด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ภาษาท่าทางบุคลิกความสนิทสนม สิ่งต่างๆเหล่านี้เมื่อมารวมๆกันแล้วทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ การเข้าใจผิด
การเข้าใจผิดที่ว่านี้ หมายถึงเราคิดหรือพูดอะไรซักอย่าง แต่อีกฝ่ายตีความไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้าม หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพูดนั้นๆเลย ดังเช่นเรื่องนี้
ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน พี่ชายผมซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ที่ กทม. ได้พาเพื่อนจากกทม. มาเที่ยวที่บ้านที่ระยอง ซึ่งเขามากันแบบเรื่อยๆ คือการขี่แมงกะไซด์มากัน
อยากจะบอกว่า สำหรับที่บ้านผมซึ่งแม่และน้าๆซึ่งมีแต่ผู้หญิง พอรู้ว่าพี่ชายซ้อนแมงกะไซด์เพื่อนมาจาก กทม. ก็ตกอกตกใจกันมาก ด้วยความกลัวลูกชายหรือหลานชายโดนสิบล้อเอาไปกินซะก่อนถึงบ้าน แต่ยังไงพี่ผมและเพื่อนๆ ก็มาถึงกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีหนึ่งคันในนั้นกลิ้งลงข้างทางระหว่างเดินทาง ซึ่งก็สร้างบาดแผลให้เจ็บกันเล็กๆน้อยๆ พอเป็นพิธี
พอมาถึงบ้าน แม่และน้าๆผมก็ต้อนรับเพื่อนของพี่ชายเป็นอย่างดี หาข้าวปลาอาหารมาให้ เรียกว่ากินกันไม่ยั้ง เพราะบ้านผมเป็นร้านข้าวแกงนั่นเอง
หลังจากกินเสร็จพักผ่อนนอนแผ่กันเต็มที่แล้ว บรรดาเพื่อนพี่ผมซึ่งกำลังคะนอง ก็เริ่มประกาศศักดาให้เด็กระยองรู้จัก โดยการอัดแมงกะไซด์ซิ่งไปทั่วตัวเมืองระยอง เรียกได้ว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ กลุ่มของเพื่อนพี่ผม ก็ดังไปทั่วเมืองเล็กๆน่ารักของเรา เพราะว่าเสียงท่อที่แผดออกมานั้นมันดังสนั่นลั่นทุ่งของแท้ เรียกว่ามอไซด์แต่งในยุคนั้น เสียงมันเรียกร้องหาลูกตะกั่วโดยแท้ หลังจากออกไปซิ่งกันได้พักใหญ่ ก็กลับมากินข้าวที่บ้านแล้วก็นอนดูหนังฟังเพลงเล่นเกมกันตามสะดวก ผมก็เข้ากับเพื่อนพี่ได้เป็นอย่างดีเพราะรุ่นก็ไม่ต่างกันมากนัก บวกกับผมตัวค่อนจะใหญ่แถมหน้าแก่เกินวัย เลยดูเหมือนรุ่นเดียวกัน โม้มาเสียนานก็ยังไม่เข้าเรื่องเสียที เรื่องที่จะเล่านี้เกี่ยวกับเพื่อนพี่คนหนี่งที่ชื่อว่า โอเล่
โอเล่เป็นหนุ่มจากดอนเมือง ซิ่งแมงกะไซด์มากับพี่ผมด้วย ซึ่งรถของเขาก็แรงไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน อย่างว่าสำหรับคนรักรถ ก็ย่อมมีหวงเป็นธรรมดา
วันนึงโอเล่ตื่นมาพบว่ารถสุดรักของตัวเองหายไปจากบ้านผม ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งในนั้นขี่รถของโอเล่ออกไปข้างนอกพร้อมกับเพื่อนทุกคนในกลุ่ม เหลือโอเล่นอนสลบอยู่บ้านเพียงลำพัง
กว่าจะรู้ตัวว่าเพื่อนๆไปเที่ยวกัน ก็ปาไปเที่ยงกว่าแล้ว โอเล่จึงเดินมาหาผมพร้อมกับซักถาม ซึ่งผมก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้มากนัก เพราะว่าตื่นก่อนโอเล่ได้ไม่นาน ได้ยินเสียงแม่บอกมาว่า พวกนั้นไปเที่ยวทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมประมาณ 5 กิโล ด้วยความเป็นห่วงรถ โอเล่จึงชวนผมออกไปตามหาเพื่อนๆ ซึ่งพาหนะที่ผมมีอยู่นั้นก็คือ BMX
ผมอยากจะบอกว่า 5 กิโลสำหรับมอ’ไซด์หรือรถยนต์นั้นมันใกล้แค่เอื้อม แต่สำหรับ BMX แบบผมแล้ว ไม่ต่างจากเดินทางข้ามจังหวัดเลย
อากาศร้อนแดดแรงอันเป็นธรรมชาติของจังหวัดชายทะเลก็แผดเผาผิวเราจนเกรียมไหม้ได้ แต่โอเล่ก็ไม่ท้อ เพราะตัวดำอยู่ก่อนแล้ว ผมก็ตามใจเพื่อนพี่ด้วยการให้โอเล่เกาะ bmx คุ่ชีพปั่นไปตามหาเพื่อนๆที่ชายทะเล ระหว่างปั่นไป แดดก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย ความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาสู่ผม ซึ่งกำลังอยู่ในวัยฮอร์โมนถ้าเปรียบกับยุคนี้
พอถึงชายทะเล เราก็ปั่นไล่ไปตามถนนชายหาด เพื่อมองหาเพื่อนๆ ระหว่างทางนั้น ผมกับโอเล่ก็ได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะสติไม่ดี หรือว่าเมาจนฟิวล์ขาด กำลังนั่งยองๆฉี่อยู่ข้างถนน แต่ไอ้ที่ทำให้เราต้องตะลึง เพราะก็ว่าคุณเธอดันหันหน้าออกมาทางถนนซึ่งผมกำลังปั่นbmxอยู่ แน่นอนว่าผมซึ่งกำลังหาเพื่อนแต่ดันไปเจอคนนั่งฉี่แบบนี้ก็ประหลาดใจเป็นธรรมดา
ฝ่ายสาวเจ้าซึ่งกำลังฉี่อยู่ เห็นผมกับโอเล่มอง ก็ทำตาขวางพร้อมกับตะคอกว่า
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนฉี่เรอะ เดี๋ยวปั๊ดด !@#$#% ไป๊ ชิ้วๆๆ”
อ้าวอินี่ ในใจผมเริ่มโมโห เพราะอยู่ดีๆก็โดนด่า แถมคนด่ายังนั่งฉี่ไปด่าไปด้วย อากาศร้อน เหนื่อย หิว ทำให้ผมง่านขึ้นในทันใด ตั้งใจว่าขอกูจอดลงไปถีบมันซํกทีเถอะ คนบ้าก็คนบ้าเถอะวะ อยู่ๆมาด่าแบบนี้ กูผิดอะไรเนี่ย ผมจึงจอดรถโดยมีโอเล่ลงมายืนอยุ่ข้างๆ ผมมองสาวนั่งฉ่องด้วยความโมโหพร้อมพูดกับโอเล่ว่า
“ล่อแม่มเลยดีมั๊ย?”
จากนั้นผมก็หายโมโหเป็นปลิดทิ้ง เมื่อโอเล่มองหน้าผมด้วยหน้าตาหวั่นๆ พร้อมกับตอบมาว่า
"เฮ้ย นายเอาลงเหรอ คนบ้านะ น้ำก็ไม่อาบ เป็นโรคหรือป่าวก็ไม่รู้”
เอ่อ.. มึงคิดไปถึงไหนเนี่ยย .
การเข้าใจผิดที่ว่านี้ หมายถึงเราคิดหรือพูดอะไรซักอย่าง แต่อีกฝ่ายตีความไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้าม หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพูดนั้นๆเลย ดังเช่นเรื่องนี้
ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน พี่ชายผมซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ที่ กทม. ได้พาเพื่อนจากกทม. มาเที่ยวที่บ้านที่ระยอง ซึ่งเขามากันแบบเรื่อยๆ คือการขี่แมงกะไซด์มากัน
อยากจะบอกว่า สำหรับที่บ้านผมซึ่งแม่และน้าๆซึ่งมีแต่ผู้หญิง พอรู้ว่าพี่ชายซ้อนแมงกะไซด์เพื่อนมาจาก กทม. ก็ตกอกตกใจกันมาก ด้วยความกลัวลูกชายหรือหลานชายโดนสิบล้อเอาไปกินซะก่อนถึงบ้าน แต่ยังไงพี่ผมและเพื่อนๆ ก็มาถึงกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีหนึ่งคันในนั้นกลิ้งลงข้างทางระหว่างเดินทาง ซึ่งก็สร้างบาดแผลให้เจ็บกันเล็กๆน้อยๆ พอเป็นพิธี
พอมาถึงบ้าน แม่และน้าๆผมก็ต้อนรับเพื่อนของพี่ชายเป็นอย่างดี หาข้าวปลาอาหารมาให้ เรียกว่ากินกันไม่ยั้ง เพราะบ้านผมเป็นร้านข้าวแกงนั่นเอง
หลังจากกินเสร็จพักผ่อนนอนแผ่กันเต็มที่แล้ว บรรดาเพื่อนพี่ผมซึ่งกำลังคะนอง ก็เริ่มประกาศศักดาให้เด็กระยองรู้จัก โดยการอัดแมงกะไซด์ซิ่งไปทั่วตัวเมืองระยอง เรียกได้ว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ กลุ่มของเพื่อนพี่ผม ก็ดังไปทั่วเมืองเล็กๆน่ารักของเรา เพราะว่าเสียงท่อที่แผดออกมานั้นมันดังสนั่นลั่นทุ่งของแท้ เรียกว่ามอไซด์แต่งในยุคนั้น เสียงมันเรียกร้องหาลูกตะกั่วโดยแท้ หลังจากออกไปซิ่งกันได้พักใหญ่ ก็กลับมากินข้าวที่บ้านแล้วก็นอนดูหนังฟังเพลงเล่นเกมกันตามสะดวก ผมก็เข้ากับเพื่อนพี่ได้เป็นอย่างดีเพราะรุ่นก็ไม่ต่างกันมากนัก บวกกับผมตัวค่อนจะใหญ่แถมหน้าแก่เกินวัย เลยดูเหมือนรุ่นเดียวกัน โม้มาเสียนานก็ยังไม่เข้าเรื่องเสียที เรื่องที่จะเล่านี้เกี่ยวกับเพื่อนพี่คนหนี่งที่ชื่อว่า โอเล่
โอเล่เป็นหนุ่มจากดอนเมือง ซิ่งแมงกะไซด์มากับพี่ผมด้วย ซึ่งรถของเขาก็แรงไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน อย่างว่าสำหรับคนรักรถ ก็ย่อมมีหวงเป็นธรรมดา
วันนึงโอเล่ตื่นมาพบว่ารถสุดรักของตัวเองหายไปจากบ้านผม ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งในนั้นขี่รถของโอเล่ออกไปข้างนอกพร้อมกับเพื่อนทุกคนในกลุ่ม เหลือโอเล่นอนสลบอยู่บ้านเพียงลำพัง
กว่าจะรู้ตัวว่าเพื่อนๆไปเที่ยวกัน ก็ปาไปเที่ยงกว่าแล้ว โอเล่จึงเดินมาหาผมพร้อมกับซักถาม ซึ่งผมก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้มากนัก เพราะว่าตื่นก่อนโอเล่ได้ไม่นาน ได้ยินเสียงแม่บอกมาว่า พวกนั้นไปเที่ยวทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมประมาณ 5 กิโล ด้วยความเป็นห่วงรถ โอเล่จึงชวนผมออกไปตามหาเพื่อนๆ ซึ่งพาหนะที่ผมมีอยู่นั้นก็คือ BMX
ผมอยากจะบอกว่า 5 กิโลสำหรับมอ’ไซด์หรือรถยนต์นั้นมันใกล้แค่เอื้อม แต่สำหรับ BMX แบบผมแล้ว ไม่ต่างจากเดินทางข้ามจังหวัดเลย
อากาศร้อนแดดแรงอันเป็นธรรมชาติของจังหวัดชายทะเลก็แผดเผาผิวเราจนเกรียมไหม้ได้ แต่โอเล่ก็ไม่ท้อ เพราะตัวดำอยู่ก่อนแล้ว ผมก็ตามใจเพื่อนพี่ด้วยการให้โอเล่เกาะ bmx คุ่ชีพปั่นไปตามหาเพื่อนๆที่ชายทะเล ระหว่างปั่นไป แดดก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย ความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาสู่ผม ซึ่งกำลังอยู่ในวัยฮอร์โมนถ้าเปรียบกับยุคนี้
พอถึงชายทะเล เราก็ปั่นไล่ไปตามถนนชายหาด เพื่อมองหาเพื่อนๆ ระหว่างทางนั้น ผมกับโอเล่ก็ได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะสติไม่ดี หรือว่าเมาจนฟิวล์ขาด กำลังนั่งยองๆฉี่อยู่ข้างถนน แต่ไอ้ที่ทำให้เราต้องตะลึง เพราะก็ว่าคุณเธอดันหันหน้าออกมาทางถนนซึ่งผมกำลังปั่นbmxอยู่ แน่นอนว่าผมซึ่งกำลังหาเพื่อนแต่ดันไปเจอคนนั่งฉี่แบบนี้ก็ประหลาดใจเป็นธรรมดา
ฝ่ายสาวเจ้าซึ่งกำลังฉี่อยู่ เห็นผมกับโอเล่มอง ก็ทำตาขวางพร้อมกับตะคอกว่า
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนฉี่เรอะ เดี๋ยวปั๊ดด !@#$#% ไป๊ ชิ้วๆๆ”
อ้าวอินี่ ในใจผมเริ่มโมโห เพราะอยู่ดีๆก็โดนด่า แถมคนด่ายังนั่งฉี่ไปด่าไปด้วย อากาศร้อน เหนื่อย หิว ทำให้ผมง่านขึ้นในทันใด ตั้งใจว่าขอกูจอดลงไปถีบมันซํกทีเถอะ คนบ้าก็คนบ้าเถอะวะ อยู่ๆมาด่าแบบนี้ กูผิดอะไรเนี่ย ผมจึงจอดรถโดยมีโอเล่ลงมายืนอยุ่ข้างๆ ผมมองสาวนั่งฉ่องด้วยความโมโหพร้อมพูดกับโอเล่ว่า
“ล่อแม่มเลยดีมั๊ย?”
จากนั้นผมก็หายโมโหเป็นปลิดทิ้ง เมื่อโอเล่มองหน้าผมด้วยหน้าตาหวั่นๆ พร้อมกับตอบมาว่า
"เฮ้ย นายเอาลงเหรอ คนบ้านะ น้ำก็ไม่อาบ เป็นโรคหรือป่าวก็ไม่รู้”
เอ่อ.. มึงคิดไปถึงไหนเนี่ยย .
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ