ห้วงหนึ่งของความคิด

7.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.28 น.

  5 ตอน
  26 วิจารณ์
  11.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 15.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) อีกหนึ่งวันทรงจำ ผม(ไม่)สับสน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
กระจกบาง ขวางกันโลกไว้ ทิ้งทุกอย่าโดยไร้สิ่งปิดบัง มันคือกระจกใสที่ไม่สะท้อนสิ่งใดแต่กลับทะรุเห็นโปร่งถึงอีกด้าน ด้านที่ไม่มีสิ่งใดร้อมรอบคือด้านนอกที่มีทุกอย่าง ตอนนี้ผมกำลังยืนมองมันจากด้านใน ที่มีห้องของร้านกาแฟ กรอบที่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์มากมายอะไร วันนี้ลูกค้าในร้านเบาบางอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันที่ไม่พิเศษเท่าไหร่ มันเป็นวันปกติธรรมดา ที่ยังคงความเบื่อในตัวเองไว้ให้ผมได้เข้าใจว่าน่าเบื่อต่อไป
 
                ข้างนอกนั้นท้องฟ้ากำลังสองแสงเปลี่ยนไป   สีฟ้าครามกำลังถูกส่งลารับ สีส้มทองของยามเย็นกำลังจะพาสีดำของราตรีมากลืนกินทุกสิ่ง ต้นไม้ไหวลู่ลมเป็นริ้วพริ้วโอนอ่อน   เห้นเพียงนี้ก็บ่งบอกแล้วว่าลมแรงผิดปกติ ริ้วเมฆสีดำใหญ่ไกลลิบขอบฟ่นั้นคงเคล่อนตัวมาไว้ตามลมแรง ผมถอนหายใจเบา ๆ กับสิ่งที่เห็น ยิ้มออกมาอีกครั้ง อย่างน้อยวันนี้อาจจะได้เห้นฝน
 
                แหงนมองนาฬิกาติดผนังสีชมพูลายหัวใจ เวลาเดินไปไวในแต่ละวัน ทำงานที่นี้ได้เกือบสามอาทิตย์แล้ว รู้จักและคุ้นเคยกับทั้งสามคนอย่างดี แต่ความรู้สึกกลับยังคงเดิม ชีวิตนี้ก็แปลกเหมือนเคยสินะ
 
                ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ผมบอกตัวเองซ้ำวนไปมาในหัว ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้องพักพนักงาน มันเหมือนห้องนั่งเล่นมากกว่า มะกรูดกำลังนั่งเขียนรายการของที่ขาดเหลืออยู่บนโซฟามุมห้องด้วยท่าทางมุ่งมั่นตามแบบของเขา
 
                “ผมจะกลับแล้ว” ไม่มีเสียงส่งมาถึงผม มีเพียงการเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ก่อนเขาจะทำงานต่อ ผมนับถือในสติของเขา ไม่นึกเลยว่าวัยรุ่นแบบเขาจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟได้ ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างเรียบร้อย ร้านของเขาไม่มีปัญหาเลยตั้งแต่ผมอยู่มา เขาเป็นวัยรุ่นพันร้านได้เลย ผิดกับผมที่ยังคงลอยไปมาหาที่ลงให้ตัวเองไม่ได้ นี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำงานที่นี้ได้นานแค่ไหนกัน
               
                ประตูร้านถูกผลักเปิดออก เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นชินหู ผมก้าวเดินเหม่อลอยออกจากร้าน ไปตามทางฟุตบาธสีหม่นเก่าข้างถนนวุ่นวาย อากาสวันนี้ไม่ร้อน ยามเย็นแบบนี้ถือว่าอากาศลวนทีเดียว วันนี้ยังไม่อยากกลับเลย ผมมีจุดหมาย จุดหมายที่อยากจะไปในตอนเย็น อยากไปมาหลายวันแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเลย จุดหมายนี้เคยไปมาแล้ว ผมยังจำครั้งแรกที่ไปได้ดี
 
                ลมหอบฝุ่นบางปลิวคลุ้ง ผมใช้มือบังตาไว้ แต่สุดท้ายก็พบกับอาการเคืองตา เลื่อนมือขยี่เบา ๆ ให้พอหายแล้วเงยมองฟ้า นี้แหละสาเหตุที่ทำให้ฝุ่นเข้าตาเรา   ลมฝนมาแล้วเมฆสีแดงเพราะแสงอาทิตย์ตกดินกำลังถูกต้อน เมฆฝนมาไวจนน่าหวัน อย่างน้อยวันนี้ผมก็ไม่ได้ทำใจมาเปียกฝน   หากมันตกลงมาคงแย่อยู่ สองขาสาวก้าวยาวขึ้น ผมรีบเดินต่อไปให้ถึงที่หมาย หวังว่าฝนจะรอผมก่อน
 
                ผู้คนยังคงเป็นแบบที่น่าสนใจในความคิดของผม สายตาที่มองดูผู้แปลกหน้าของคนนั้นยังคงน่าสนใจเสมอ กริยาที่แต่ละคนแสดงต่างกันไปบนถนน เสียงที่สนใจคนอื่นบ้าง ไม่สนใจบ้าง คุยกับคนรู้จักบ้าง และเดินเงียบแบบผมบ้าง ช่างการเดินที่ก้าวยาวบ้าง สั้นบ้าง มองดูกริยาแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว
 
                แม้ในชีวิตจริงคนเราก็เกิดมาด้วยคนอื่นทั้งนั้น แต่กลับมีความเหงาที่ตนเองสร้างขึ้นในใจ ความเหงาที่ส่งเสียงเป่าหูให้เราอดคิดไม่ได้ว่ากำลังอยู่อย่างเดียวดาย  นั้นสิผมมีป๋า แม่ พี่ ย่าอยู่ แต่ผมด็ยังคงหวั่นในอกถึงความเดียวดายในใจ สุดแล้วผู้คนคงขี้เหงาหากเรามีเงาในใจที่ปกปิด ชีวิตสีอะไรทุกคนล้วนแต่จะตามหามันสีสันเพื่อไม่เหงา
 
                นี้ผมกำลังเพ้ออะไรอยู่ กัน ผมคงเดินเหม่อจนลืมไปว่าบนทางนี้ยังมีผู้คนเดินสวนเสมอ แรงกระแทกชัดในสัมผัส ผมมองดูตัวเอง มองดูผู้ที่วิ่งมาชนผม เจ้าตัวเล็กล้มอยู่บนถนน แก้มยุ้นบนใบหน้าเล็กแดงระเลื่อ น้ำตาคลอ นั่งจุมปุ๊งอยู่บนพื้นเบื่องหน้า ผมนั่งลงช้า ๆ ลูบหัวของเด็กซุ่มซ่าม
 
                “ไม่ร้องนะครับสุดหล่อ ฮึบ” ผมปลอบเด็กน้อยก่อนจะอุ้มขึ้นจากพื้น ความแปลกใจเกิดคำถามขึ้นแต่ผมก็มองผ่านไป ตัวของเขาเบามาก เหมือนน้ำหนักน้อย หรืออาจจะเป็นผมที่คิดไปเอง แรงของผู่ใหญ่คงจะมากกว่า เด็กในอ้อมแขนดูเงียบลงเมื่อผมอุ้มขึ้น ผมก้มลงมองหน้าเจ้าหนูน้อย ดวงตาใส ๆที่มีน้ำเอ่อคลอกำลังจ้องผมเช่นกัน
 
                ความรู้สึกอบอุ่นเอนดูคงเป็นแบบนี้ ผมไม่มีน้อง และผมก็เกลียดเด็กมาก แต่ผมกลับรู้สึกเอนดูเด็กน้อยปากแดงคนนี้อย่างประหลาด เจ้าเด็กนี้ตาดต แพขนตาสวย แต่ตัวเบาไปหน่อยสงสัยว่าจะกิน้อยไป ผมหันหน้าหนีทันทีที่เด็กนั้นจับเสื่อผมเช็ดหน้า เอาละสิ ผมทำตัวไม่ถูกเลย มองซ้ายขวาไปรอบ ๆ อย่างมีความหวัง เด็กน้อยมากับใครกันนะ
 
                “หนุ่มน้อยชื่ออะไรครับ” ผมถามเจ้าเด็กที่ยังใช้เสื้อผมซับน้ำตา รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เสียงของผมมันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เป็นครั้งแรกที่สัมผัสในหัวใจผมลดความเบื่อหน่ายลงบ้าง ผมยกมือข้างที่ว่างลูบหัวเจ้าเด็กนี้ช้า ๆ ความจริงเด็กก็ไม่ได้แย่แฮะ
 
                “...” ไม่มีเสียงตอบกลับมาของร่างเล็ก หากแต่ผมกลับไม่เอะใจอะไรมากนัก แต่ความสงสัยกลับผุดขึ้นในหัวอย่างไม่มีที่ปิดกั้น เด็กน้อยยื่นนิ้วเล็กสวยชี้ไปที่อีกฝั่งของถนน ผมเริ่มรู้สึกตัวทันที เหมือนหลายอย่างหยุดลงเมื่อผมเจอกับเจ้าเด็กนี้ เหมือนผมลืมเวลาและระยะทางไปเสียหมด หรือบางทีผมคงจะเหม่อเกินไป เพราะตอนนี้ที่หมายของผมอยู่อีกฟากถนนแล้ว
 
                แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่ผมเดินมาถึงที่นี้ได้ไวเกิน แต่คงเป็นเพราะผมหลงอยู่ในห้วงความคิดเกินไป ผมมองหน้าเด็กน้อยในออมอกอีกครั้ง เขากำลังใช้นิ้วมือชี้ยิก ๆ ไปทางสวนสาธารณะฝั่งตรงข้าม ผมมองตามปลายนิ้วนั้นไปก่อนสวิตส์จะคลิ๊กดังติ๊กในหัว อยากไปที่นั้นสินะ
 
                อุ้มเด็กน้อยข้ามถนนมาอย่างไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง สายตาเหล่าคนที่มองผมอย่างแปลก ๆ และการพูดซุบซิบนินทา แต่ไม่เป็นไรผมพาเจ้าเด็กน้อยมาถึงสวนสาธารณะปลอดภัยก็พอ ไม่แน่ใจว่าเป็นผมคนเดียวหรื่อเปล่าที่พาเด็กน้อยมา ทำไมในความรู้สึกมันถึงเหมือนว่าเจ้าเด็กนี้พาผมมายังสวนนี้แปลก ๆ ก่อนที่จะหาเหตุผลของความสับสนในใจ ร่างเล็กในอ้อมอกของผมก็ดิ้นขยุกขยิกจนผมต้องปล่อยลงไปยื่นกับพื้นเอง เขาแหงนหน้ามองผมก่อนจะยิ้มให้ ร้อยยิ้มสดใสสมวัย เหมือนมีประกายวิ้ง ๆ ออกมา หากแต่นัยน์ตานั้นกลับดูไม่ออก ถึงอารมณ์ที่มีในตัวเด็กน้อย
 
                ผมมองเขายืนยิ้มอยู่พักหนึ่งความเงียบของเราถูกกลบด้วยเสียงลมพัด เสียงฟ้าฝน ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวผมก็ถูกเด็กน้อยจับมือแล้ว มือของเขาเย็นและนิ้ม เหมือนกำลังจับขนตุ๊กตา เด็กน้อยค่อย ๆ ดึงผมให้เดินตามเขาไป ผมมองการกระทำของเขาอย่างเอ็นดู เด็กหนอเด็กคงกำลังจะให้ผมพาไปหาผู้ปกครอง
 
                สายลมที่มาพร้อมกับเมฆครึ้มบนฟ้า ใบไม้ที่ไหวล้วงลงดิน ไม่ได้เป็นอุปสักเลยสำหรับผู้คนที่รักสุขภาพ ในสวนสาธารณะแห่งนี้ยังคงมีคนออกกำลังกายไม่ขาดสาย แต่ส่วนมากอากาศแบบนี้ผมจึงเห็นแต่วัยรุ่นเป็นส่วยใหญ่ วัยว้าวุ่นที่ไม่กลัวฝนฟ้าอากาศยังคง ออกมารวมกลุ่มทำกิจกรรมกันสนุกสนาน  ยิ่งผมมองพวกเขา ความรู้สึกห่วงในอกเหมือนยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะพาผมไปที่ไหน ผมรู้เพียงตอนนี้ผมกำลังเดินอยู่บนทางแปลกไม่คุ้นชิน ในสวนสาะษรณะ
 
                ไม่รู้ว่าเราหยุดเดินกันเมื่อไหร่ มือของผมมีสัมผัสเล็กบีบให้ได้สติคืนมาอยู่กับเนื้อกับตัว พึ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองในวันนี้สติสตางค์เหม่อรอยมากผิดปกติ มองรอบตัวก็พบว่าผมกำลังยืนอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียว ข้างถนน เหลียวมองข้างหลังเป็นสระน้ำสะท้อนเงามัว ๆ ของเมฆก้อนใหญ่บนฟ้า ไม่นานน้ำในสระก็เริ่มระริกไหวเกิดคลื่นวงเล็กวงน้อยเต็มสระ ผมแบมือข้างที่ว่างออกก่อนจะยกขึ้นรองรับหยดน้ำฝนที่โปรยปรอยลงมาเหมือนไอน้ำ แหงนหน้ามองฟ้าที่กำลังหยุดนิ่งแสดงหน้าสีดำส่งมาให้
 
                “เฮ้อ” เผลอถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว ลืมไปสนิทว่ามีเจ้าตัวเล็กยืนจับมือผมอยู่ข้าง ๆ มือเล็กเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เด็กน้อยกำลังดึงเสื้อของผมยิก ๆ ทำให้ผมก้มลงมองดูร่างเล็กข้างตัว เขามองหน้าผมอยู่ สายตาแน่นิ่งยังคงไม่สะท้อนสิ่งใดในแววตา หากแต่ผมกลับเข้าใจในความหมายของเขาอย่างแปลกใจกับตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเข้าใจเขานิ้วเล็กชี้ข้ามถนนอีกครั้ง ผมมองตามนิ้วเล็กนั้นไป เด็กน้อยกำลังสื่อบอกผมว่าจะไปที่นั้น ผมก้มลงมองใบหน้าของเด็กน้อยอีกหน สายตาของเขากำลังเหม่อมองสนามบาสที่มีวัยรุ่นวิ่งเลี้ยงลูกอยู่กลางสนาม
 
                “พี่ของเธออยู่ที่นั้นเหรอ คนไหนหละ”
 
                เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามของผม มือเล็กที่กุมมือผมอยู่เริ่มดึงให้ผมเดินข้ามถนน เรากำลังตรงไปยังสนามบาสที่มีวัยรุ่นสิบกว่าคนอยู่ ส่วนมากกำลังเล่นบาสในสนาม และอีกส่วนกำลังนั่งมองชมการแข่ง   ลมเริ่มพัดโหมแรงขึ้นไปอีก ใบไม้ปลิวฟรุ้งในอากาศ กลิ่นดินเริ่มชื่นลอยแตะจมูก หัวใจของผมกำลังลอยล่อง ผมไม่แน่ใจว่าสติของผมยังอยู่ครบรึเปล่า แต่ผมแน่ใจว่ายังเดินไปสนามบาสที่วัยรุ่นอยู่ ไม่นานเราก็มาถึงขอบสนาม สองเท้าหยุดเดินตามร่างเล็กยื่นนิ่งไม่เคลื่อนไหว สายตาของเขาจับจ้องวัยรุ่นตัวสูงคนหนึ่ง ที่กำลังวิ่งไล่แย่งลูกบาส ในสนาม ผมมองตามสายตาของเข้าอย่างรู้สึกหดหู่ในอก บางอย่างในตัวผมกำลังสั่นไหว ทำไมผมถึงรู้สึกเศร้าในเวลาผ่อนคลายแบบนี้กัน
 
                เด็กน้อยดึงให้ผมนั่งลงไปบนพื้นข้างสนาม   ในเวลานั้นผมรู้สึกขำตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ทำตามอย่างว่าง่าย ผมหลงมาตามเจ้าเด็กนี้ได้ยังไงกันนะ ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่มันก็สนุกปนเศร้าอย่างบอกไม่ถูก บรรยากาศช่างงงงวย
 
                “คนนั้นพี่ชายผม เรียกเขาให้ผมบ่าง” ผมมองหน้าเด็กน้อยที่พึ่งกระซิบข้างหู เสียงใสพูดกับผมครั้งแรก น้ำเสียงฟังดูเหมือนโหยหาอย่างไม่เข้าใจ ผมพยักหน้าตกลง แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่เรียกพี่ชายตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ติดใจมาก
 
                “คุณครับ คุณคนที่ใส่เสื้อสีฟ้าครับ” อยากหัวเราะกับตัวเองที่ทำอะไรไม่แปลก ๆ  เพียงเรียกครั้งแรกทุกสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ผมเป็นจุดเดียว ผมไม่ได้สนใจกับสายตาพวกนั่น ผมกำลังสนใจวัยรุ่นร่างสูงเสื้อสีฟ้าที่กำลังมองผมตาปริบ ๆ อยู่กลางสนาม ผม ยันตัวลุกขึ้นก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร อย่างน้อยก็พยายามยิ้มแล้ว
 
                แม้ผมยิ้มก็คงไม่เหมือนยิ้มนักสำหรับคนขี้เบื่ออย่างผม วัยรุ่นเสื้อฟ้าชี้ที่ตัวเองก่อนจะวิ้งเขามาหาผมช้า ๆ เมื่อผมพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าเรียกเขาไม่ผิดตัว มองดูโครงหน้าที่เข้ม ๆ แล้วไม่เห็นจะเหมือนกับเด็กน้อยที่ลากผมมาเลย เขามาหยุดอยู่หน้าผมก่อนจะยิ้มแห้งแล้งอย่างรักษามารยาทกลับมาให้
 
                “เรียกผมทำไม เรารู้จักกันเหรอ” สายลมโหมพัดเท่าไหร่ ก็ยังคงแรงเท่านั้น น้ำเสียงที่เจือแววไม่พอใจนั้นยังดังชัด กระทบโสต   ฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น แต่ผมไม่สามารถไปไหนได้เลยเหมือนขาถูกยึดไว้ในขณะที่วัยรุ่นรอบสนามเริ่มกลับบ้าน
 
                “ผมพาน้องคุณมาส่ง” สายตาของวันรุ่นเสื้อสีฟ้าเบิกโตอย่างตกใจ ผมมองร่างของเขาที่กำลังสั่น สายตาเบื่องหน้ากำลังสื่อถึงความสับสน ไม่พอใจ และความเศร้า
 
                “ อย่ามาล้อเล่น ไหนละน้องของผม แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีน้อง” เสียงรอดไลฟันนั้นฟังดูอดทน เขาคงกำลังข่มความโกรธไม่ให้ตวาดผมออกมา ท่ามกลางสายฝนผมกำลังมึนงงว่าทำไมเขาต้องโกรธ ผมก้มลงมองเด็กน้อยที่ยื่นอยู่ข้างตัวอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏคือความว่างเปล่า ไม่มีใครยืนอยู่ข้างตัวผม ร่างเล็กนั้นหายไปแล้ว ความสับสน สงสัยกำลังตีตื้นในความคิด นี้มันเรื่องบ้าอะไรที่กำลังเกิดกับผม
 
                “เมื่อกี้เขายืนอยู่ตรงนี้” ผมบอกวัยรุ่นเสื้อสีฟ้า แล้วชี้ให้เขาดู เหมือนเขาจะสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว แต่สายตากำลังทำให้ผมอยากหัวเราะออกมา สายตาเหมือนเขากำลังมองคนบ้าอยู่ หรือผมกำลังจะเป็นคนบ้าในสายตาเขาแล้วกันนะ แต่ผมยังคงจำสัมผัสนุ่มที่มื่อได้ มันยังไม่จางหาย ไปไหน ผมไม่ได้หลอนไปเองแน่นอน
 
                ‘พี่ครับ ช่วยบอกเขาที ว่าผมจะไปแล้วนะ ผมอยากให้เขาไปหาผมครั้งสุดท้าย’
 
                สายลมแรงหยุดลงแล้ว เหมือนผมที่สติกำลังหยุดนิ่ง เสียงเด็กน้อยดังขึ้นในหัว ผมเริ่มไม่ใจสิ่งที่เจอ เด็กคนนั้นเป็นอะไรกันนะ แต่ผมกลับยังคงเหมือนเดิม   ทำตามที่เข้าบอกอย่างไม่ค้าน เหมือนคนว่านอนสอนง่าย ผมมองหน้าเขาอย่างนึกสนุก วันนี้คงเป็นวันที่แปลกและน่าขนลุกไปเลย ผมที่ไม่ค่อยได้ทักใครกลับมายืนทำอะไรขัดกับตัวเองแบบนี้
 
                “นายชื่ออะไร” ผมตัดสินใจถามออกไป เขาดูตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินผมถามแบบนี้ กอนสีหน้าของเขาจะดูเซ็ง ๆ เหมือนว่ากำลังเจอความเบื่อหน่าย สีหน้าแบบนี้ทำให้ผมยิ้มออกมาทันที คน ๆ นี้ดูสนุกน่าแกล้ง
 
                “ผมเหรอ ผมชื่อสีคราม แล้วคุณหนะ เล่นอะไรอยู่” ผมยังยิ้มให้กับคนหน้าตาเซ็งโลก เขาคงไม่เชื่อแน่ แต่ผมก็จะต้องบอกเรื่องที่รับปากแล้ว
 
                “เด็กคนนั้น ฝากผมบอกกับคุณว่า เขาจะไปแล้ว น้องอยากให้คุณไปหาเป็นครั้งสุดท้าย” นิ่งสนิท ลมนิ่ง แต่ฝนกลับตกหนักขึ้น ผมมองหน้าที่ซีดลงของคนตรงหน้า แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรดี สีครามเหมือนคนกำลังจะล้มลงในความหมดหวัง หรือผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
 
                ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดยั้ง เหมือนน้ำตาที่ออกมาจากคนตรงหน้าของผม                แปลกที่ผมพึ่งเจอกับเขา เรากำลังเจอเหตุการณ์แปลก ๆ พร้อมกัน ไม่รู้ว่าชีวิตเล่นตลกอะไร แต่ความสนุกมันก็ค่อย ๆ ลดลงเป็นความสงสาร เสียงกระซิบปรอบของผมไม่รู้จะไปถึงเขาไหม แต่เสียงสะอื้นของวัยรุ่นเบื่องหน้ากลับดังชัดในโสต
 
                เขาเริ่มออกเดินตรงไปที่รถก่อนจะหันมามองผม เราสองคนสบตากันเหมือนรู้จักกันมาแรมปี ผมเดินไปหาเขา มองสภาพของคนตรงหน้าอย่างสับสน อยากยอมรับว่าผมยังสนุกแต่ก็สงสาร ผมแบมือตรงหน้า   เขามองมางง ๆ ก่อนจะปาดน้ำตาออก   ผมถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะคว้ากุณแจรถที่เขาห้อยเอวไว้มาอย่างไม่สบอารมณ์
 
                “ขึ้นดิ ผมจะไปส่ง” เขามองผมอย่างสับสน และงงหนักกว่าเดิม เหอะ ๆ สมควร ผมก็งงตัวเองเหมือนกันที่ไปสงเขาโดยที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ผมว่าจิตใจของเขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้แน่ แต่นั้นก็เป็นเพียงข้ออ้างหนึ่ง เพราะตอนนี้ผมกำลังสับสนจนอยากหาทางออกเต็มที
               
                .....
...
..
..
.
                ชีวิตของเรามีสิงที่สำคัญเสมอ เมื่อสิ่งสำคัญผสมกับความคิดถึง ความโหยหา หรือผสมกับสิ่งใดก็ตาม มันคงรวมกันเป็นกลุ่มก้อนแห่งตัวตน
 
                ผมกำลังยืนอยู่ในห้องสีฟ้าสะอาดตา ผมกำลังยืนมองวัยรุ่นร่างสูงโปร่งและหญิงวัยกลางคนนั่งกอดร่างไร้วิญญาณของเด็กร้องไห้ ผมเข้าใจแล้วว่าเด็กคนนั้น เด็กน้อยที่ลากผมไปหาพี่ชายหายไปไหน   เข้ากำลังออกเดินทางไปยังที่แสนไกล โดยก่อนไปเข้าได้บอกลาคนสำคัญ ผมมองร่างไร้วิญญาณของเขาด้วยความรู้สึกโล่งโปร่ง ผมไม่รู้สึกสงสารเขาที่ต้องจากไปไว ความคิดนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของผมเลย เหมือนกำลังมองวังวนแห่งความเป็นไปที่สมบูรณ์
 
                ไม่มีอะไรในห้องนี้ให้ผมอยู่ดูอีกแล้ว ผมได้คำตอบแห่งความสับสนของตนเอง มองคนในห้องของโรงพยาบาลอีกหน ก่อนจะตัดสินใจถอยออกจากห้องเงียบเชียบ คงต้องกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วเพราะตัวผมกำลังเปียก ฝนยังคงตกหนักขึ้น สายลมกำลังไหวแรงอีกครั้ง ผมเดินออกมาจากโรงพยาบาลก่อนจะมองหาทางกลับบ้าน ผมคงต้องเดินตากฝนกลับไปเอารถที่ร้านกาแฟ   แหงนหน้ามองฝนที่ตกลงมาแล้วถอนหายใจ เสียงกระซิบเล็ก ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูแข่งกับเสียงลมพัด หากแต่เสียงเล็กนั้นมันกัดหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
 
                “ขอบคุณครับพี่ชาย” เสียงเล็กค่อย ๆ หายไป หลงเหลือเพียงผมที่ยืนนิ่งตากฝนบนฟุตบาธ ผมกำลังโดนผีหลอก ผีที่ไม่น่ากลัวหรือมันเป็นแค่ห้วงหนึ่งของความคิดผมกันนะ
......................................................................
 
สวัสดีครับ ไม่ได้ลงเรื่องนาน (คิดว่านะ)  ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน  กราบงาม ๆ ที่ตัดครับ
 
ไม่มีอะไรมาก อยากบอกว่า  วันนี้ มีคำผิดอีกแล้ว ขอทุกคนจงมีความสุขไม่มากก้น้อยในเรื่องนี้ครับ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา