ห้วงหนึ่งของความคิด

7.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.28 น.

  5 ตอน
  26 วิจารณ์
  11.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 15.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) ระหว่างว่าง ผม(ไม่)ได้ ตั่งคำถามว่าทำไม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ไอแดดร้อนลอยขึ้นจากพื้นถนนยางมะตอยมองเห็นลาง ๆ ในอากาศ รถลาวิ่งขวักไขว่สวนกันไปมาน่าสับสน ทำให้รู้สึกว่ามันช่างวุ่นวาย ชีวิตคนคงมีน้อยมากที่จะอยู่อย่างสงบไม่หวังไขว่คว้าหาสิ่งสบายมาแกตนในยุคแบบนี้ เฮ้อ ผมถอนหายใจยาวแล้วยกแก้วลาเต้ขึ้น   อากาศวันนี้ร้อน กลางถนนมีไอแดด ในมือผมก็มีไอของกาแฟที่แตกต่างจากกลางถนนมาก อย่างน้อยในแก้วในมือผมก็หอมกว่า  

 

มองแก้วกาแฟในคำถามก็ผุดขึ้นมามากมายเหมือนดาวในคืนเดือนดับ รู้สึกแปลกที่วันนี้ตัวเองเลือกที่จะสั่งกาแฟร้อนมากินในอากาศร้อนแบบนี้ แม้ในร้านจะมีเครื่องปรับอากาศที่ออกจะเย็นสบายแต่เมื่อมองความจริงข้างนอกร้านกลับทำให้เครื่องปรับอากาศไร้ตัวตนลงทันที มันคงเหมือนคำถามว่าทำไมของคนเราที่ผุดขึ้นมาทุกวันเมื่อเราเจอเรื่องแปลกในเพียงเล็กน้อย เล็กน้อยมากจริง ๆ เราก็ตั่งถาม ทำไม แล้ว

 

                ทำไมลวดลายของลาเต้อาร์ทถึงดูสวยแบบนี้ รูปหัวใจ ไม่รู้ว่าคนทำจะใส่ใจทำมันด้วยมั้ย แล้วผมจะกล้ากินมันไหมหากเขาใสใจทำ ที่นี้เป็นร้านประจำที่ผมมักจะมาเวลาที่หัวใจของผมว้าวุ่น มาบ่อยเสียจนคนในร้านจำหน้าได้ แต่ผมไม่เคยสั่งกาแฟร้อนมากินหรอกปกติจะสั่งแต่ลาเต้เย็นสักแก้ว แล้วนั่งจิบให้ความว้าวุ่นในใจนั้นคลายลง แต่ทำไมนะทำไมวันนี้อยากกินกาแฟร้อนขึ้นมา ผมก็ตอบคำถามของตัวเองไม่ได้อยู่ดี ก่อนจะยกขึ้นจรดริมฝีปากแล้วจิบเบา ๆ ชิมรสชาติขมหวานหอม อืม มันก็ลาเต้นิหว่า

 

                วางแก้วที่กาแฟลดลงเกือบครึ่งลงบนจานลองแก้วลายหัวใจสีส้ม พึ่งสังเกตว่าร้านนี้แต่งร้านใหม่ จากผนังที่เคยทาสีเขียววอมฟ้าสบายตา ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นสีฟ้าตัดกับชมพูอ่อนน่ารักไม่เบา  มีสติ๊กเกอร์ติดผนังรูปหัวใจหลากสีหลายดวงติดไว้พอดีพอประมาณไม่ดุละลานตาเกินงาม แต่ผมคงต้องให้มันติดลบสำหรับสีชมพู ผมไม่ค่อยชอบสีนี้เท่าไหร่มันดูหวานเกินไป และที่สำคัญสีแห่งความรัก ผมเหนื่อยกับความรัก

 

                หันไปมองรอบร้านจนไปสบตาเข้ากับพนักงานคนหนึ่ง เหมือนเธอจะมองผมอยู่นานเพราะพอเราสบตากันแก้มของเธอขึ้นสีแดงจาง ๆ ผมส่งยิ้มให้พอเหมาะพอดีก่อนจะเรียกให้เธอเดินมา หันไปยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งเมื่อกลิ่นหอมลอยเข้าจมูกอีกครั้ง ความรู้สึกเบื่อก็ก่อตัวในใจผมอย่างไม่มีสาเหตุ วางแก้วที่กาแฟในแก้วไม่สวยเหมือนตอนแลกแล้วลงเบามือ   ความคิดเริ่มสับสนในตนเองเหลือเกิน

 

                “ครับ รับอะไรอีกดีครับ” หลุดจากความคิดของตนเองหันไปมองผู้ก่อเสียงขัดด้วยสายตาวางเปล่า คำถามทำไมผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมเป็นผู้ชาย ? ผมมองเขาก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยเป็นการถามว่ามีอะไรอย่างสงสัย ร้อยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูแปลก ๆ แล้วผมก็ต้องรู้คำตอบว่าทำไมถึงเป็นผู้ชาย   คำตอบนั้นถูกส่งผ่านแววตาของพนักงานหนุ่มมายังผมอย่างไม่ชอบหน้า แววตาหงุดหงิดและหวงของ   ผมเข้าใจดีทีเดียว เขาคงคิดว่าผมจะจีบพนักงานหญิงคนนั้น ผมยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาน้อย ๆ ทำให้พนักงานหนุ่มหน้าเสียไปนิดหน่อย

 

                “ เอาเค้กเชอร์เบทที่นึงครับ” พนักงานชายจดอยู่หยุกกยิกก่อนจะ หันหลังแล้วเดินจากไป ผมละสายตาจากเขาแล้วหันไปมองนอกร้านผ่านกระจกเหม่อลอย   ความว่างเปล่าของชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งมันคงทำให้เราสับสนแบบนี้เสมอ ความคิดของผมมักจะมาลอยลองเหมือนเมฆสีหม่นขาวที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าข้างนอกนะตอนนี้   มันกำลังลอยอย่างสบายใจในสายตาผมมันสบายใจมากเกินไปด้วยซ้ำ มานึกลองมองดูตัวเองบ้างก็คล้ายมันอยู่บ้าง วันนี้เป็นอีกวันที่ว่างงาน ป๋าและแม่ไปทะเลกันสองคนตามเคย ตื่นเช้ามาเจอโพสต์อิทแปลก ๆ ด้วยลายมือลายเดิม ครั้งนี้กลับรู้สึกหน่วงในอกมากกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะไม่มีอะไรฝากไว้ให้เฝ้า   จนเกิดคำถามทำไมอีกครั้งในรอบเช้า   โทรถามทันที่ที่เกิดคำถามขึ้นมาในหัว คำตอบที่ได้จากคุณแม่ที่รักคือ ทำไมไม่ไปดูเอง ผมไม่แปลกใจเลยถ้าวันหนึ่งมีคนมาทักผมว่าทำไมเหมือนแม่จัง

 

                นอกจากรถมากมายที่วิ่งสวนกันไปมาผู้คนก็ไม่น้อยหน้าเท่าไหร่นัก ริมฟุตบาทเต็มไปด้วยผู้คนเดินเท้าพลุ่งพล่านน่าเวียนหัว แล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดกับวัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่ง ที่กำลังเดินจับมือกันมาแบบคนรัก มองดูแล้วให้ความรู้สึกที่หลากหลายน่าดูทีเดียว แน่นอนคนไม่มีคู่แบบผมคงต้องมีความรู้สึกอิจฉา และชื่นชมไปพร้อมกัน แต่ห้วงหนึ่งของความคิดผมมันก็กำลังตกลงสู่ความหว่าเว้ที่เหว่ว้าว่างเหวง ภาพของรักแรกในอดีตลอยขึ้นมาในหัว แม้จะเรือนลางแต่ก็ประติดประต่อได้ ภาพจาง ๆ ดั่งช่วงเวลาที่ขาดหาย กลับมาทำให้เหนื่อยใจอีกหน มันทำให้ผมคิดว่าไม่น่ามองวัยรุ่นรักคู่นี้เอาเสียเลย

 

                เหมือนความว่างเปล่าในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งฟุต ตั่งหนึ่งฟุตที่เรารู้สึกเดี่ยวโดด ประหนึ่งก้อนน้ำตาลหนึ่งก้อนตกลงกลางมหาสมุทรที่แปลกแยก   ไม่นานผมก็คงถูกกลืนกินด้วยความว่างเปล่าในใจ บางครั้งก็น่าขำกับตัวเองที่มักจะรู้สึกแบบนี้ กลัวที่ตัวเองจะมีความว่างเปล่าเพิ่มมากขึ้นมาในชีวิต กลัวไว้ก่อนทั้งที่รู้ว่าคนเราไม่มีทางที่จะว่างเปล่า เพราะในห้วงหนึ่งของชีวิต ในห้วงหนึ่งของจิตใจ เรามักจะถูกเติมเต็มอย่างไม่รู้ตัว เพราะเราไม่รู้ตัวเราเลยเสาะหามันตลอดเวลา ทำให้บางครั้งผมก็คิดว่าเราเองละมั่งที่เดินเข้าหาความว่างเปล่าที่เรามโนขึ้นเอง

 

                เหมือนถูกดึงกลับด้วยเสียงบางอย่าง ดึงตนเองกลับสู่โลกของความเป็นจริงที่ไม่มีทางทำให้ใครว่างเปล่า กลับสู่โลกของสัตว์สังคม เสียงกระดิ่งหน้าร้านนั้นเองที่ดึงกลับมา วัยรุ่นคู่รักคงเขาร้านมาแล้ว ผมยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้งจนหมด รู้สึกว่าจากกาแฟร้อนจะกลายเป็นกาแฟเย็นอยู่แล้ว ผมคงมานั่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานพอดู ไม่รู้ว่าพนักงานในร้านจะเบื่อมั้ย กาแฟแก้วเดียวนั่งทั้งชาติ คนในร้านเริ่มเยอะขึ้น โต๊ะเริ่มถูกจับจองนั่งดื่มด้วยอากาศที่ร้อน หรือเพราะบรรยากาศของร้านและรสชาติกาแฟก็ไม่ทราบ แต่ผมว่าคงเป็นภาพรวมหลากหลาย เลยทำให้ร้านนี้มีคนเข้าเยอะ หน้าพนักงานชายคนที่มารับออเดอร์แทนพนักงานหญิง กำลังมองผมอยู่ด้วยสายตาที่ไม่อยากอธิบายจริง ๆ   คนคงเยอะไปสินะ

 

                เหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง อะไรที่เกี่ยวกับตัวเอง เสมองคนโต๊ะข้างหน้าแบบเนียน ๆ กลัวว่าเขาจะหาว่าเราเป็นโรคจิต (ที่จริงเสมองของมันก็มองตรงแบบคนซื่อนะแหละ55) แล้วก็ต้องสะอึกในใจนิดหน่อย มากันเป็นคู่อีกแล้ว หันไปมองอีกโต๊ะ สะอึกในใจอีกครั้ง เริ่มสังเกตว่าร้านนี้มากันเป็นคู่เยอะ ความรู้สึกหม่นหมองในตัวเองเริ่มเข้าโจมตี จับโทรศัพท์ขึ้นมามองดูปฏิทินทันทีเมื่อมีคำถามว่าทำไม ทำไมคนเป็นคู่เยอะ มันวันอะไรกัน? รู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ละนะ

 

                มองคนนั่งกันหยอกล้อเป็นคู่จนเซ็ง และเริ่มไม่น่าสนใจ หันไปมองข้างนอกร้านอีกครั้ง มองถนน มองผู้คน แล้วก็ปรับโฟกัสมองเงาตัวเองที่สะท้อนลาง ๆ ในกระจกใส พอให้มองเห็นโครงหน้า และชัดเจนที่สุดคงเป็นดวงตาที่เหม่อลอยอย่างน่าเบื่อ หน้านิ่ง ๆ สงบเหมือนคนไร้ซึ่งอารมณ์ใดจะแสดงออก ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง ทำไมเราถึงไม่มาเป็นคู่บ้าง คำถามลอยขึ้นอีกหน และมีคำตอบอยู่ในเงาในกระจก คงเพราะไอ้หน้าตาแบบนี้สินะ

 

                เสียงโวยวายจากโต๊ะหนึ่งดั่งขึ้น เป็นโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าผมไปอีกสองโต๊ะ ด้วยการที่ผมนั่งมุมหลังสุดของร้านจึงมองเห็นได้ชัดตา วัยรุ่นผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งกำลังบ่นว่าพนักงานหญิงคนที่มองผม เสียงดังแว่วแว่วว่าทำของมาเสิร์ฟผิด ผมมองภาพวัยรุ่นและพนักงานด้วยความรู้สึกขัน แต่สีหน้ายังคงนิ่งดั่งเดิม แค่ได้ของผิดไปมันแย่มากรึเปล่า ? คำถามนี้วนกลับมาถามตัวเองในชั่วอึดใจ นั้นสิถ้าเกิดลูกค้าแพ้ของที่เราทำผิดคงแย่ แต่แบบนี้พนักงานก็คงแย่เหมือนกัน เสียงบนของวัยรุ่นหญิงยังคงดังแว่วเป็นระยะ แล้วผมก็ต้องแปลกใจกับคนที่เดินออกมาเคลียสถานการณ์ ใบหน้านั้นช่างคุ้นเคย ใบหน้าที่มุ่งมั่น เหมือนแฟ้มความจำในสมองเริ่มถูกลื้อค้น แต่มันก็มีหลากสิ่งหลายอย่างจนค้นไม่ค่อยเจอ รู้สึกคุ้นหน้ากับหมอนี้จริง ๆ

 

                ทุกอย่างกลับสู่ปกติสุขอีกครั้ง ผมยังคงมองเข้าคนนั้นอยู่อย่างไม่เกรงสายตาที่กำลังมองตอบ สายตามุ่งมั่นสบกับสายตาน่าเบื่อของผม คิวของเขากระตุกข้างหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปถือถาดบางอย่างตรงมาหาผม เสียงจานวางกระทบโต๊ะได้ยินเบาบางดังคลิก ในขณะเดียวกันเมื่อมองหน้าเขาใกล้ขึ้นผมจึงรู้ ไม่ต้องลื้อแฟ้มในหัวอีกแล้วเพราะตอนนี้เหมือนความรู้สึกของผมดังคลิก ผมยิ้มให้เขาน้อย ๆ ตามแบบของตัวเอง แต่สายตายังคงเดิมไม่มีสิ่งใดแสดงออกไปนอกจากความเบื่อ และเขาก็ยิ้มเหมือนเดิม สายตายังคงมุ่งมั่นแบบที่เป็นเขา

 

                “ผมจำได้ว่าไม่ได้สั่งแก้วนี้นะครับมะกรูด” ผมเอ่ยถามเขาทันทีที่เขาวางกาแฟเย็นแก้วหนึ่งลงตรงหน้าพร้อมกับเค้กเชอร์เบทส้ม แล้วผมก็นึกออกว่าลืมอะไรไป ผมลืมว่าสั่งเชอร์เบทไว้ คงเพราะลูกค้าเยอะเลยทำให้ได้ช้า แต่ใครจะสน ผมมีเวลาว่างพอที่จะนั่งรอหากไม่ถูกไล่ออกจากร้านเสียก่อน เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมถูกเลื่อนออก มะกรูดนั่งลงพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ หากไม่สั่งเกตคงไม่เห็นด้วยซ้ำ ก่อนจะกลับมายิ้มให้ผม หมอนี้เป็นคนที่แปลกตั่งแต่เจอที่ทะเลครั้งนั้น เป็นคนไม่กี่คนที่เข้าหาผม

 

                “ของแถมไง ฉันให้ ค่ารอนาน ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีกนะนาย” ใช่เลย ผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีก เรื่องที่โลกกลมคงเป็นเรื่องจริงในเรื่องของผม ผมหยิบช้อนขึ้นละสายตาจากเขาแล้วตักเชอร์เบทขึ้นชิม อืม หวานอมเปรี้ยว เย็นพอเหมาะอร่อยทีเดียว แต่มันก็ยังคงน่าเบื่ออยู่เพราะสูตรนี้ผมก็เคยทำกินเองที่บ้าน   รสชาติแบบนี้เปะ

 

                “ทำไม? ไม่อยากเจอผมเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นมองเขานิ่ง ก่อนจะก้มลงตักขึ้นอีกคำ “ อร่อยดีนะ มะกรูดทำงานที่นี่เหรอ”

 

                “ใช่ ผมทำงานที่นี่แหละ แล้วนายหละวันนี้ไม่ทำงานเหรอ หรือหนีเที่ยวอีก” เขาพูดก่อนจะยิ้มและหัสเราะออกมา ผมงงกับการหัวเราะของเขา เลยเงยหน้ามองด้วยสายตาสงสัย ทำไมอารมณ์ดี ทั้งที่ทั้งร้านดูวุ่นวายขนาดนี้ คนเรานี้ก็แปลกดี อยู่ดีดีก็หัวเราะออกมา หวังว่าเขาคงไม่บ้าเหมือนเมื่อครั้งนั้นที่ไปทะเล นึกถึงแล้วก็รู้สึกปวดในตับ ตอนนั้นหมอนี้ชวนผมทานอาหารทะเล แม้จะรู้ดีว่าตัวเองแพ้อาหารทะเล สุดท้ายก็จบที่โรงพยาบาล ดีที่ไม่เป็นไรมากยังเที่ยวต่อได้

 

                “เปล่า วันนี้ถูกปลดออกจากงาน เลยเคว้ง” เขาดูตกใจเมื่อผมบอกออกไป แววตามุ่งมั่นสั่นไหวชั่ววูบก่อนจะกลับแบบเดิม ทำไมต้องตกใจนะ คำถามผุดขึ้นอีกแล้ว หรือผมจะกลายเป็นเจ้าหนูจำไมไปแล้วกัน แต่ก็จริงทำไมต้องตกใจ หรือผมบอกเข้าผิดไป

 

                “ตก..”   “ลูกค้าเขาอีกแล้วนะ” ผมบอกขัดเขาขณะที่เห็นลูกค้าคู่หนึ่งเดินเขามานั่ง เขามองหน้าผมก่อนจะบอกขอตัวแล้วเดินหายเข้าไปหลังร้าน ผมมองตาเข้าไปอย่างแปลก ๆ แววตาของเขาเมื่อกี้ไม่ได้มุ่งมั่นแต่เป็นแววตาของคนเป็นห่วง สงสัยเขาคงมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ถึงไม่ได้แสดงออกก็ตาม คนเรานี้ก็แปลกดี เก็บความรู้สึกที่อยากบอกคนอื่นไว้มากมายภายใต้ หน้ากากยิ้ม ผมไม่เข้าใจคนเหล่านี้เท่าไหร่ หรือเพราะผมแตกแยกกันนะ คิดในอีกแง่หนึ่งคงต้องขำตัวเองคงเพราะแบบนี้ถึงต้องมานั่งคนเดียวในร้านแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่โต๊ะอื่นเขามีคู่กันหมด

 

                ของอร่อยกินได้เพลินจนเราไม่ทันฉุดคิดว่ามันใกล้หมด ผมวางช้อนลงอย่างเซ็งในอารมณ์ เชอร์เบทของผมหมดซะแล้ว ไม่อยากให้มันหมดเลย แต่ทุกอย่างย่อมมีวันหมด เหมือนกันกับเวลาแห่งความคิดของผม ที่มักจะหมดลงทุกครั้งที่มีคนขัดจังหวะ แต่มันก็จะถูกสร้างขึ้นใหม่ได้เสมอเป็นวังวน หรือวัฏจักรของห้วงความคิด ที่มันสร้างขึ้นได้และหลงลืมได้ ห้วงความคิดมันก็ต่างอยู่หน่อยตรงที่บางอย่างเราก็จำจดจนลืมไม่ลง

 

                เหมือนเวลาในร้านของผมจะหมดลงเพราะผมเริ่มหายเบื่อ มองออกไปนอกร้านอีกหน ท้องฟ้าไม่เป็นสีฟ้าสดใสอีกแล้ว เมฆทึบหน้ากำลังเคลื่อนตัวมาบังบทฟ้าคราม อีกไม่นานสายฝนคงลงมาชะล้างหลายสิ่งให้สดใสขึ้นมาบ้าง ความหวังหนึ่งผุดขึ้นในใจผม หวังว่าสายฝนจะชะล้างความว่างเปล่าในชีวิตลงบ่าง เอาความเบื่อหน่ายมาแลกเปลี่ยนคงจะดีไม่น้อย ผมลุกขึ้นและเดินตรงไป โดยไม่ลืมหยิบแก้วกาแฟฟรีที่ยังไม่ได้ดื่มติดมือไปด้วย

 

                เดินไปจ่ายเงินเองโดยไม่เรียกพนักงานที่กำลังวุ่นวาย ทำไมร้านนี้ไม่รับคนอีก จะได้แบ่งเบากว่านี้ ผมเห็นมะกรูดเริ่มว่างเมื่อคนในร้านเริ่มลดลงเบาตาขึ้น สีหน้าเหนื่อย บอกว่าเขาคงทำงานหนักที่สุด อันนี้ผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่คนเราคงทำงานเท่ากัน ไม่มีงานไหนในโลกเหนื่อยน้อยกว่ากันในความคิดของผม เดินไปใกล้จะถึงเค้าเตอร์หน้าร้าน รสเชอร์เบทยังติดอยู่ในปากนิดหน่อย ให้รู้สึกเสียดาย น่าจะสั่งกลับบ้านสักกล่อง แต่คงไม่ดีกว่า หากเราทานของอร่อยมากไปของอร่อยสิ่งนั้นคงกลายเป็นไม่อร่อยด้วยความจำเจเป็นแน่

 

                ยืนอยู่หน้าเค้าเตอร์ หลังเคาเตอร์มีพนักงานหนุ่มกำลังไร่พนักงานหญิงที่มองผมด้วยสายตาวิ๊บวั๊บ ออกไปเสิร์ฟของให้ลูกค้าแทน เธอเดินออกไปด้วยใบหน้าขัดใจ ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับพนักงานชายหน้าตาบอกไม่รับแขก สงสัยจริงว่าผมไปทำอะไรให้หมอนี่กันนะ ผมยื่นเงินให้เขาตรงหน้า แต่เขาไม่ได้เก็บเงินไป มีมือใหม่เข้ามาหยิบเงินไปแทนเขา ผมเงยหน้าหันไปมองมือใหม่ที่หยิบเงิน พนักงานชายหน้าไม่รับแขกเดินหายไปเสิร์ฟของแล้ว ทิ้งไว้แต่ผม กับมะกรูดที่กำลังมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะเบา ๆ กับท่าทีของพนักงานชาย แล้วผมก็เกิดความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว ขณะที่มะกรูดหันไปหยิบเงินทอน

 

                “สนุกไหม งานนี้” เสียงนิ่งเรียบของผมดังออกไปตามสิ่งที่คิด การกระทำของมะกรูดหยุดกึกทันที เขาหันกลับมาสบตาผมแล้วยิ้มมุ่งมั่นอย่างเป็นเอกลักษณ์ เขาดูเหมือนคิดอยู่ว่าจะตอบผมอย่างไรดี สร้างความสงสัยให้ผมไม่น้อยว่าตัวเองถามอะไรผิดรึเปล่า แต่ก็ไม่มีคำตอบจากเขา มะกรูดส่ายหัวไปมาแล้วกลับไปหยิบเงินทอนให้

 

                ผมมองเงินทอนในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับมะกรูดอีกครั้ง ผมยังอยากได้ยินคำตอบจากเขาแต่ก็เงียบสนิท ผมตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูหน้าร้าน คงได้เวลากลับไปอยู่บ้านที่เงียบอีกครั้งแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังอยากอยู่อีกซักพักแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร แล้วความรู้สึกเหนื่อยก็เข้าเล่นงานผมเมื่อเปิดประตูร้านออก ความชื้นและลมแร่งลอยตีหน้า ให้ความรู้สึกอยากหันหลังกลับ ไวเท่าความคิดผมหันหลังกลับทันทีพร้อมกับฝนฤดูร้อนหลังลงมา สายตาไปสะดุจกับบางอย่างที่แปะไว้หน้าประตูร้าน อ่านซักพักก่อนจะดึงมันออก หึหึ ไม่ง้อนายก็ได้มะกรูด

 

                ใบประกาศรับสมัครงานถูกวางลงบนเค้าเตอร์ มะกรูดเงยหน้ามองผมแล้วอมยิ้มเหมือนว่าเรื่องนี้เขาคิดไว้อยู่แล้ว

 

“อยากรู้ก็ต้องลองจริงไหม” ผมบอกเขาแล้วเราก็หัวเราะออกมาลั่นร้าน ลูกค้าคนอื่นหันมามองเป็นตาเดียว

                “หน้าตาน่าเบื่อแบบนี้ร้านผมเจ๊งแน่นอน” เขาบอกก่อนจะเดินนำผมเข้าไปคุยกันหลังร้าน ผมคิดตามคำพูดของเขา นั้นสินะแขกคงกลัวผมกันหมด แต่ผมก็พึ่งรู้เดียวนั้นเองว่า ร้านนี้เป็นร้านของเขา วัยรุ่นผู้มุ่งมั่น ผมหยุดเดินตามเขา หยุดคิดชั่วขณะหนึ่ง บางครั้งชีวิตคงต้องลองเพื่อลดช่องว่างในตัวเองเช่นกัน เขาหันมามองเมื่อเห็นผมหยุดเดิน ยักคิ้วขึ้นเชิงถามว่ามีอะไร

 

                “เปล่า แค่คิดว่าน่าเบื่อดี” เขาหุบยิ้มทันที แล้วมองหน้าผมอย่างเซ็งในตัวผม อะไรก็มันน่าเบื่อจริง ตามนั้น ทำไมนะคนเราต้องเหาะหา แล้วผมกำลังหาอะไรมาเติมช่องว่างทำไม นั้นสิทำไม

               

 

               

 ----------------------------------------------------

ลงตอนไหมครับ เหนื่อยนะครับเวลาช่องว่างมันเพิ่มอีกตั่งฟุตหนึ่ง

เรื่องนี้ไม่มีสาระสำคัญครับ มีเพียงเรื่องเบื่อ ๆ ของผมเท่านั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในหัวเรา 55

 

หวังว่าจะชอบไม่มากก็มากมายครับ

เช่นเดิม คำผิดยังคงมีครับ ชอบคุณที่อ่าน ขอวันว่างจงเป็นของคุณ

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา