ห้วงหนึ่งของความคิด

7.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.28 น.

  5 ตอน
  26 วิจารณ์
  11.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 15.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

5) เขา และผม ความ(ไม่)พอดี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บางครั้งเรื่องราวก็สร้างมาจากจินตนาการที่ผมไม่ได้คิด คุณเคยมองดอกกุหลาบสีแดงสดสมบูรณ์ว่าไม่สวยมั้ย คุณเคยมองความรักว่าไม่น่าค้นหารึเปล่า เคยได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง หมูปิ้ง ที่ไม่น่าอร่อยบ้างหรือเปล่า บางทีผมคิดว่าตัวเองเคยรู้สึกแบบนั้น ทุกอย่างเหมือนความไม่แน่นอนของความรู้สึกในตัวผม เวลาที่เราก้าวข้ามความเข้าใจในผู้คนได้ มันทำให้ผมมองเห็นโลกไปอีกรูปแบบ นั้นสิ ผมกำลังอยู่ในโลกแบบไหน

                ผู้คนเดินเข้าออกพร้อมกับเสียงดังเป็นจังหวะของประตูเลื่อน กลิ่นน้ำยาแอร์ผสมกับกลิ่นตัวของคนมากหน้าหลายตา ผมยืนมองน้ำหลากหลายยี่ห้อในตู้เบื้องหน้า สับสนกับตัวเองว่าอยากดื่มน้ำจริงไหม หลายครั้งที่สังเกตตัวเองว่ามักทำอะไรด้วยความเคยชินโดยไม่รู้ตัว มันเหมือนนิสัยลึก ๆ ในความรู้สึกที่ถูกตัวเราเองฝึกช้า ๆ เหมือนกับผมที่เมื่อเดินเข้ามาในเซเวน หรือร้านขายของชำ ผมกลับเลือกตรงไปที่ตูน้ำ แล้วยืนมองขวดน้ำหลากยี่ห้อเลี่ยงกันเป็นละเบียบ มองกล่องนมที่เลี่ยงต่ำไปสูง ยืนมองอยู่เป็นพักก่อนจะตัดสินใจได้ว่าซื้อน้ำเปล่าแบบเดิม คิดมาถึงตรงนี้ ผมเปิดตู้แช่ออก ไอเย็นกระทบกายให้ความรู้สึกหวิวหวิว เสียงตู้ดังซา ๆ เหมือนกระซิบคุยกับสิ่งใดก็ตามที่เปิดมัน มองขวดน้ำดื่มที่เรียงเบื่องหน้า หยิบขึ้นมาหนึ่งขวดก่อนจะปิดตู้ เหมือนพึ่งผ่านความเคยชินที่ไม่จำเป็น ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าหิวน้ำไหม แต่ก็เลือกหยิบมาแล้ว ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หิว บอกตัวเองแบบเดิม

                เดินดูขนมขบเคี้ยวต่อ ความเคยชินตั่งแต่วัยเด็ก กลิ่นความหลังยังหลอกหลอนให้ถอนใจ ไม่เลยผมไม่ได้หยิบขนมที่วางอยู่บนชั้น มันเหมือนแรงต่อต้านที่มีขึ้นมาเพียงเดี๋ยวเดียวในอก ตัดสินใจว่าไม่น่าจะซื้ออะไรอีก สองขาก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ วางของลงให้พนักงานคิดเงิน ความคิดเหม่อลอย ก่อนจะหยิบช็อกโกแลตขึ้นมาวางจายด้วย อาการสับสนเกิดวนในท้อง เหมือนลางสังหรณ์บอกบางอย่าง เหมือนชีวิตกำลังโลดแล่นไปในความบังเอิญ หรือผมกำลังคิดไปเองคนเดียว อาจเป็นเพียงเสี่ยวความคิดหวนหาหนึ่งที่ผมกำลังสับสน

                จ่ายเงินและได้ของมา วิธีปกติของโลกที่ต้องแลกเปลี่ยน สองขาก้าวเดินอีกครั้งหลังหยุดรอบางอย่างที่ต้องการ ในระหว่างที่กำลังจะก้าวออกจากประตูเลื่อน ที่เปิดรอผมอยู่ สายตาก็ต้องสะดุดลง ผมกำลังถูกชิวิตเล่นตลกอีกครั้ง ความทรงจำบางฉากลอยเข้ามาในหัว ภาพใบหน้าของเธอในอดีตเลือนราง ก่อนที่คนเบื่องหน้าผมจะทันได้เดินหลบ ก่อนที่ผมจะทันได้เดินหลีกทาง เหมือนความเคยชินที่เราประติดประต่อนิดน้อยในหัวใจ มันก้ออกมาวิ่งเล่นด้วยความหวนหา

                “สบายดีมั้ย” “สบายดีเปล่า”

                แม้ใบหน้าของเธอจะมีความแปลกใจที่เจอผม แม้ใบหน้าของผมจะยังคงแสดงความเรียบนิ่งแบบเดิม แต่ผมคิดว่าเราต่างก็มีความรู้สึกสับสนเหมือนกัน เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่เคยเป็นมา สองขาก้าวหลีกให้เธอเข้ามาใน 7 11 ก่อนผมจะเดินออกไปโดยไม่ทันได้ตอบคำถาม เมื่อเราสวนทางกันกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่ไม่คุ้นเคยลอยมาจากตัวเธอ   ผมยกยิ้มกับตัวเองเพียงนิดเดียว ความสับสนเหมือนจะจางหายไปไม่หลงเหลือในเวลาที่เดินออกมาจากตรงนั้น

                ในช่วงนี้ชีวิตของผมสร้างความสับสนอยู่บ่อยครั้ง สิ่งเดียวที่ทำให้หายได้คงมีแค่การปล่อยความคิดลอยออกไป และมีครั้งนี้เท่านั้นที่เหมือนมันจะหายไปเมื่อเจอเธอ   ความรักที่เกิดขึ้นในโลกของวัยเยาว์ มันรางเลือนในความทรงจำของผมไปเสียแล้ว แม้มันจะเกิดขึ้นแค่เมื่อสองสามปีก็ตาม สิ่งเดียวที่จำได้คือความรู้สึกร้อนแรงและอารมณ์เหนื่อยหน่าย ประหนึ่งช่วงชีวิตที่แปลกแยกและบ้าบิ่น

                ผมนั่งลงตรงม้านั่งหนึ่งเมื่อรู้สึกว่าเมื่อยเกินจะเดินต่อไป   มองดูรอบตัวที่ไม่คุ้นชิน แต่ผมคุ้นเคยกับการเดินเหม่อเสียแล้ว ในบางครั้งผมก็เดินไปโดยไม่ทันได้มองทาง มันเป็นเรื่องที่แย่และดีในเวลาเดียวกัน มีครั้งหนึ่งที่ผมเดินไปด้วยอาการเหม่อลอย ผมได้เจอกับสถานที่ ๆ ว่างเปล่า เหมือนรอเวลาของการแต่งแต้ม ที่นั้นเป็นลานกว้างไร้คนเหลียวมอง   มีต้นไม้ใหญ่อยู่สามถึงสี่ต้น ที่พอจะมีร่มเงาบ้าง   ในวันนั้นสถานที่นั้นได้กลายเป็นที่เงียบสงบของผม เหมือนโลกหยุดหมุนอยู่ในกำมือ ทุกอย่างนิ่งเนิ่นนาน ความรู้สึกว่างเปล่าเข้าครอบครองหัวใจในเวลาที่สูดอากาศ   และเมื่อตอนเย็นมาถึง ผมจากที่แห่งนั้นกลับสู้สถานแห่งตนเอง ผมก็ลืมทางไปกลับไปแล้ว

                มองร้านค้าที่เรียงรายผ่านสายแดดตอนบ่ายแก ถนนและชีวิตของผู้คนในแต่ละแบบที่คล้ายกัน ผมชอบการมองออกไปในวิถีที่พวกเขาแสดงออกมาให้ได้เห็น   มนุษย์มักจะสร้างโลกของตัวเองได้น่าสนใจเสมอ สำหรับผมแล้วการมองพวกเดียวกันอยู่ในโลกของตัวเองนั้น เหมือนการดูหนังชีวิต แต่ในบางทีมันก็น่าเบื่อเกินจะรับรู้เรื่องราวในชีวิตของใครอีกคน นั้นอาจเพราะเราอิ่มตัวในช่วงที่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยว

                สายลมเปลี่ยนฤดูพัดเอาไอร้อนและเย็นปนเปมากระทบตัว ยกมือปัดผมที่ปกหน้าออก พึ่งสังเกตุว่ามันยาวมากแล้วเหมือนกัน อีกไม่นานคงโดนบ่นให้หูชาแน่นอน แม่มักจะบอกเสมอว่าไม่ชอบคนผมยาว ซึ่งตรงข้ามกับผมที่พยายามไว้ผมให้ยาว ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกหลอกหลอมด้วยมั้ย แต่ทุกครั้งที่พยายามจะไว้ผมยาวผมก็ต้องอดใจไม่ไหวตัดมันทุกที   ยิ่งมีแรงกระตุ้นจากคำเดิน ๆ ของแม่ที่มักจะบอกให้ดันอยู่ตลอด   แม่มักจะบอกว่าคนผมยาวไม่ค่อยสะอาด   ผมไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลยเพราะแม่เป็นคนไว้ผมยาว

                เปลี่ยนฤดูอีกครั้ง   ลมหนาวกำลังมาเยือนในเดือนพฤษจิกายน ที่จริงแล้วผมคิดว่ามันมาช้าไปในปีนี้ ฤดูหนาวเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ทำให้ผมรอคอย อาจจะเพราะเหตุการณืที่อยู่ในความรู้สึกมันเกิดขึ้นในฤดูหนาวบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเร่องราวที่สุข เรื่องราวชวนขบขัน หรือเรื่องราวเอื่อยเฉื่อยที่น่าจดจำ ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนความจำสั้นนะ ในบางทีผมก็ลืมอะไรง่าย ๆ เช่นเมื่อวาน หรืออาจลืมเรื่องในชีวิตวุ่นวายไปบ้าง แต่ผมก็จดจำความรู้สึกในตอนต่าง ๆ ของชีวิตได้ดีมาก   บางทีผมก็คิดว่ามันมากเกินไปจนความรู้สึก....

                “บู” ไอเย็นจากบางอย่างนาบลงบนแก้ม มันดึงผมจากห้วงภวังค์ที่ลอยออกไปในถนน ของร้านค้ามากมาย ผมหันไปตามเสีย “บู”ที่คุ้นหูด้วยความเซ็งในโชคของวันนี้  บางครั้งเรื่องบังเอิญก็ไม่น่าสนุก ผมมองเขาที่นั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะมองออกไปข้างหน้าเงียบ ๆ ในมือของเขามีโออิชิรสน้ำผึ้งมะนาวตัวการของไอเย็น ถ้าโลกกล้มสิ่งที่ไม่อยากจะเจอก็คงหนีไม่พ้นคนรู้จัด ผมไม่ค่อยอยากเจอใครเลยในเวลาที่ความคิดกำลังลอยไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตัวตนในใจของผมกำลังล่องลอย

                “ทำไมมานั่งตรงนี้” เสี่ยงทุ่มที่ได้ยินอยู่ชินหูดังขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก เขาไม่ได้มองมาทางผม เราไม่ได้มองมาที่กันและกันนานแล้ว ความว่างเปล่าของตัวเราสองคนสร้างระยะห้างที่มีมาเสมอ โลกของเขาเหมือนแสงที่มั่นคงของพระอาทิตย์ ส่วนผมคงเป็นได้เพียงสีเทาของเงาบาง ๆ จากเมฆบนฟ้า แต่อะไรก็ตามที่ผมเปรียบมานี้ มันคือเรื่องที่ดีสำหรับผมมาก   การที่ผมต้องเป็นสีเทาให้คนสนใจน้อยนั้น   มันสร้างหนทางที่ผมได้นั่งมอง เดินมอง ยืนมองอย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสนใจ

                “นั่งมองคนนะ แล้วมาเจอได้ไง” คำพูดเรียบนิ่งของผมคงสร้างความขุ่นมัวได้เหมือนเดิม เมื่อเขาถอนหายใจช้า ๆ อย่างคนเซ็งในตัวผม ก่อนความเงียบจะเข้าครอบงำสถานการณ์ของเราอีกครั้ง เวลายังคงเดินไปรอบตัวของเราสองคน ม้านั่งที่ผู้คนผ่านไปมาโดยไม่สนใจกลับทำให้ผมโหวงเหวง   เขาขยับตัวบิดขี้เกียจก่อนจะหันมามองทางผม ยิ้มขี้เล่นที่ยังส่งมาให้เหมือนทุกครั้ง  

                “เดินมองคนนะ แล้วก็มาเจอ” คิ้มของผมกระตุกทันทีที่ได้ยินคำตอบ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตามถึงคำตอบ แต่มันก็อดไม่ได้ ความรู้สึกหมั่นเขี้ยวที่ไม่ได้มีมาซักพักทำให้หัวใจเต้นไหวเร็วขึ้น   ตัวตนของเขายังคงเดิมมาตลอด   ขี้เล่นและชอบแกล้ง   ซึ่งผมไม่ค่อยชอบอะไรที่วุ่นวายเอาเสียเลย ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาผมมักจะเซ็งในอารมณ์สุด ๆ

                “งั้นทำไมไม่เดินต่อ” ผมบอกเขาไปก่อนจะมองเด็กนักเรียนวัยรุ่นเดินมาในสายตา เสียงเกรียวขวดโออิชิเปิดดังจากคนข้าง ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงอ่า เบา ๆ   ผมใช้หางตามองเขาก่อนจะหยุดชะงัด น้ำเปล่าของผมถูกเปิดดื่มไปเสียแล้ว เขามองผมแล้วยิ้มขอบคุณ มันดูยียวนกวนเท้ามากกว่าขอบคุณ แต่ก็เท่านั้น ผมไม่ได้ตั่งใจจะซื้อน้ำมากินอยู่แล้ว ความสุขของเขาคงมากพอจนไม่อยากขัดขวาง

                “อย่าพึ่งไล่กันดิ ดูสาวก่อนดิ นั้นนักเรียนขาว ๆ เลย” ยิ้ม หัวเ ราะ   สิ่งที่ผมมักจะเห็นบนดวงหน้าของเขา แสงจ้าประจำของความเป็นคนอารมณ์ดี ผมมองไปตามมือของเขาก่อนจะถอนหายใจอย่างเซง ๆ เขาอาจจะบ๊องแล้วก็ได้ สาวที่เขาบอกคือเด็กอนุบาลที่กำลังเดินมาข้างแม่  

                “กวนเหรอ นั้นรุ่นลูกเลยมั้ง” เหมือนความเคยชินที่ไม่อยากจะคุ้น แต่หมัดของผมก็ออกไปชนเบา ๆ ที่ต้นแขนของเขา   โลกหยุดค้างไปสามวินาที ก่อนผมจะชักหมัดกลับ แล้วยิ้มเก้อ ๆ ให้กลับสายตาอึ่งของเขา

                “โทษที ลืมตัว” เขาเงียบไปก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ บนใบหน้าที่แต้มความสุข แววตาขี้เล่นนั้นกำลังหัวเราะ ผมรีบหันกลับมามองท้องถนนที่ผู้คนในร้านกำลังออกมาเดินเก็บของ เมื่อแหงนมองบนฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสีไปก็ทำให้อดคิดไม่ได้ เวลาที่ผมใช้ในโลกที่เพริดเพลินนี้มันน้อยจริง ๆ บางครั้งผมก้อยากให้กาลเวลาไปไวกว่านี้ เดินไวไวให้ชีวิตคนผ่านไปอย่างแก่ชรา แต่บางครั้งผมก้อยากให้เวลาเดินช้าลงอีก เพื่อให้ชีวิตที่แก่ชราได้คนหาความเด็กอีกหน  

                “กลับเหอะ เย็นแล้ว” น้ำเสียงที่เหมือนบอกกล่าว หากแต่มันเป็นคำสั่งชั้นดีของศาลเตี้ยในตัวเขา ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก ก่อนเขาจะลุกขึ้นยืน จับขวดโออิชิเปล่าเดินไปทิ้งถังขยะตรงมุมถนน ผมยังคงนั่งมองการกระทำของเขา และมองถนนเบื่อหน้าโดยไม่คิดจะลุกยืนไปไหน ความคิดของผมกำลังทิ้งสมอลงสู่ภาพถนน ผู้คน และร้านค้า เสียงเท้าเขาเดินมาใกล้ก่อนจะหยุดข้าง ๆ

                “กลับเถอะ หิวแล้ว” ไม่พูดเปล่า แต่เขาจับแขนของผมก่อนจะดึงให้ลุกขึ้นยืน เขายังคงเป็นตัวเอาเองอย่างน่าเบื่อหน่าย ผมกลอกตาไปมาแล้วมองหน้าเขาเอาเรื่อง เรายืนมองหน้ากันซักพัก เขายิ้มอย่างสนุกส่วนผมหน้าตาตายด้าน และมีความเซ็งสุดชีวิต

                ผมหันไปหยิบถุง 7-11 ขึ้นถือก่อนจะออกเดินโดยไม่รอเขา บางครั้งผมก็คิดไม่ตกว่าเขาสนุกมากหรือเปล่ากับการแกล้งผม แต่ในบางหนเขาก็ใจดีและดุแลผมได้อย่างไม่มีที่ติ ยังไม่มีเสียงเดินตามมาของเขา ผมแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองข้างหลัง ในขณะที่เสียงตุบเบา ๆ ตังขึ้น   ภาพเขาล้มหน้าคะมำทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างหยุดไม่ได้ ใช้แล้วในบางทีเขาก็ซุ่มซ่ามเกินเยียวยา   ผมรีบเดินกลับไปเพื่อพยุงเขาให้ยืนอย่างมั่นคง

ก่อนจะทันได้ตั่งตัว เขาก็ล็อคคอผมไว้ แล้วหัวเราะเสียงใสในแบบตัวเอง

                “พอแล้ว หัวเราะบ้าอะไรหละพี่” ผมบอกเขาเบา ๆ ก่อนจะเดินไปทั้ง ๆ ที่ยังมีพี่ล็อคคอไว้ เขายังคงบ้าและน่าเบื่อหน่ายเสมอ พี่ชายของผม

 

 

-----------------------------------------------------------------

ขอบคุณที่ติดตาม หรือหลงเข้ามา

เรื่องที่ออกมาจากห้วงหนึ่งของความคิด มันไม่มีสาระ ไม่มีระบบ ไม่มีสิ่งตายตัว

แต่มันมีความรู้สึกของผมนะ 555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ คำผิดยังคงมีมากมาย เพราะรอบนี้ผมไม่ได้แก้คำผิด

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา