มหัศจรรย์แห่งหนังสือ

8.7

เขียนโดย candle

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.

  9 chapter
  34 วิจารณ์
  34.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) เจ้าชายน้อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                        
 
                   
          
          จงอ่านอย่างช้าๆ อ่านนานๆ อ่านแล้วขอให้เรื่องราวที่เกิดขึ้น จงแฝงฝังอยู่ในจิตสำนึกของท่านตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นคนแก่ชรา
 
          เพื่อให้โลกของเรามีคนที่ “มองเห็นสิ่งสำคัญด้วยหัวใจ” มากขึ้น
          เพื่อให้โลกของเรามีคู่รักที่ “ตัดสินอะไรๆ จากการกระทำมากกว่าคำพูด” มากขึ้น
 
          อันนี้เป็นส่วนหนึ่งจากความในใจผู้แปล (สมบัติ เครือทอง)
 
          หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้เป็นหนังสือที่เมื่อครั้งเยาว์วัยฉันกลับคิดไปว่า มันเป็นแค่นิทานเล่มหนึ่ง ก็ชื่อเรื่องมันชวนให้คิดไปได้นี่นะ
 
          ‘เจ้าชายน้อย’ เป็นหนังสือของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ‘อองตวน เดอ แซงแตกซูเปรี’ (มิน่าตอนเป็นเด็กมันถึงได้อ่านยากอ่านเย็น)
 
          เนื้อเรื่องของเจ้าชายน้อยเป็นการสื่อถึงความคิดซึ่งแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ กับสื่อถึงความสัมพันธ์ของคนใกล้ชิดและตามความเข้าใจของคนอ่านเช่นฉัน คิดว่าสื่อถึงชีวิตครอบครัวด้วยระหว่างสามีภรรยา อันนี้ฉันตีความเอาจากเจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบของเขาไม่แน่ใจหรอกว่าจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าก็แค่คนอ่านคนหนึ่งที่ยังด้อยปัญญา แต่คนเราย่อมตีความได้แตกต่างกันอยู่แล้วแม้จะเป็นหนังสือเล่มเดียวกันก็เถอะนะ (ออกตัวไว้ก่อน)
 
          เนื้อเรื่องบอกเล่าถึงเรื่องราวของเด็กชาวจากดาวอื่นคือ ‘เจ้าชายน้อย’ ผู้เดินทางออกจากดวงดาวของตัวเองเพียงเพราะเริ่มระแวงแคลงใจในตัวดอกไม้ของเขา
 
          ดาวดวงแรกมีพระราชาอาศัยอยู่
          
          “ใต้ฝ่าพระบาท...พระองค์ปกครองอะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
          “ก็ทุกสิ่งทุกอย่าง” พระราชาตรัสตอบอย่างง่ายดาย
          “แล้วดวงดาวพวกนั้นเชื่อคำสั่งของพระองค์ด้วยหรือพระเจ้าค่ะ”
          “แน่นอนดวงดาวทั้งหมดเชื่อฟังข้า ข้าไม่ยอมให้เกิดเรื่องวุ่นวายหรอก”
 
          “ข้าพระองค์อยากจะดูพระอาทิตย์ตก ขอให้พระองค์สั่งให้พระอาทิตย์ตกให้ข้าพระองค์ดูเพื่อความเพลิดเพลินใจด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”
 
          “หากข้าสั่งให้นายพลผู้หนึ่งบินจากดอกไม้ดอกหนึ่งไปสู่ดอกไม้อีกดอกหนึ่ง เหมือนกับผีเสื้อตัวหนึ่ง หรือให้เขาเขียนโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งหรือให้เขาแปลงร่างเป็นนกทะเล และหากว่านายพลผู้นั้นทำตามคำสั่งที่ได้รับไม่ได้ ในกรณีนี้ถือว่าเป็นความผิดของเขาหรือของข้าล่ะ”
 
          “เป็นความผิดของพระองค์พระเจ้าค่ะ”
 
          “ถูกต้อง เวลาจะขออะไรจากใคร ก็ต้องขอในสิ่งที่เขาจะให้ได้ อันว่าอำนาจนั้นจะต้องมีพื้นฐานอยู่บนเหตุผลเป็นอันดับแรก หากเจ้าสั่งให้พลเมืองของเจ้ากระโจนลงทะเล พวกเขาก็จะลุกฮือขึ้นก่อการปฏิวัติ ข้ามีสิทธิ์ที่จะขอให้ทุกคนทำตามคำสั่งเพราะคำสั่งของข้ามีเหตุผล”
 
          “ข้าพระองค์ไม่มีอะไรจะทำอีกแล้ว ข้าพระองค์จะต้องเดินทางต่อไป”
 
          “อย่าไปนะข้าจะตั้งให้เจ้าเป็นรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นไง”
 
          “แต่ไม่มีนักโทษให้ตัดสินพิจารณาคดีเลยนี่พระเจ้าค่ะ”
 
          “งั้นก็จงตัดสินตัวเองสิ นั่นเป็นสิ่งที่ยากที่สุด การตัดสินพิจารณาตัวเองนั้นยากกว่าการตัดสินคนอื่นมากเชียวนะ หากตัดสินตัวเองได้ก็หมายความว่าเจ้าเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง”
 
          “พวกผู้ใหญ่นี่ก็แปลกจริงๆ”
 
          ดาวดวงที่สองเป็นที่อาศัยของคนหลงตัวเองผู้หนึ่ง
           
          “สวัสดีจ๊ะ นายมีหมวกที่แปลกจังเลย”
          “ก็เอาไว้ถอดโค้งคำนับเวลามีคนเรียกร้องให้ฉันออกมา แต่แย่หน่อยที่ไม่เคยมีใครผ่านมาที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว” คนหลงตัวเองตอบ
          “เธอยกย่องชมเชยฉันจริงๆ รึเปล่า” เขาถามเจ้าชายน้อย
          “ยกย่องชมเชยหมายความว่าอย่างไรกันรึ”
          “ยกย่องชมเชยก็หมายถึงการยอมรับว่าฉันเป็นคนรูปหล่อที่สุด แต่งตัวดีที่สุด รวยที่สุดและฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้นะซิ”
          “ฉันชื่นชมในตัวนาย เพียงแต่ว่าทำอย่างนั้นแล้วนายจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ”
          “พวกผู้ใหญ่ก็ทำอะไรแปลกๆ แบบนี้เสมอ”
 
          ดาวดวงต่อมามีชายขี้เมาผู้หนึ่งอาศัยอยู่
           
          “นายกำลังทำอะไรอยู่รึ”
          “ฉันดื่ม”
          “ทำไมต้องดื่มด้วยล่ะ”
          “เพื่อลืม”
          “ลืมอะไรรึ”
          “เพื่อให้ลืมว่าฉันมีความละอายใจ”
          “ละอายใจเรื่องอะไรล่ะ”
          “ละอายใจที่จะดื่มนะซิ”
          “พวกผู้ใหญ่นี่แปลกประหลาดมากจริงๆ”
 
          ดาวดวงที่สี่เป็นที่อยู่ของนักธุรกิจ
          
          “นายทำอะไรกับดาวเหล่านั้น”
          “ก็ไม่ได้ทำอะไร ฉันเป็นเจ้าของมัน”
          “แต่ฉันพบพระราชาพระองค์หนึ่งผู้ซึ่ง...”
          “พระราชาไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่พระองค์ ‘ปกครอง’ ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
          “แล้วการเป็นเจ้าของดวงดาว นายได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ”
          “มันก็ทำให้ฉันร่ำรวย”
          “ร่ำรวยแล้วมีประโยชน์ยังไงรึ”
          “ก็ทำให้ซื้อดวงดาวอื่นได้อีกหากว่ามีใครพบเข้า”
          “แล้วนายทำอย่างไรกับมัน”
          “ฉันก็จัดระบบให้พวกมันนับซ้ำแล้วซ้ำอีก...”
          “แต่นายเก็บดาวไว้ไม่ได้นี่”
          “ใช่ฉันเก็บมันไว้ไม่ได้ แต่ฉันก็เอามันไปใส่ไว้ในธนาคารได้”
 
          “ฉันเป็นเจ้าของดอกไม้ดอกหนึ่งที่ฉันรดน้ำให้ทุกวัน เป็นเจ้าของภูเขาไฟสามลูกที่ฉันขูดเขม่าออกทุกอาทิตย์ นอกจากนั้นฉันยังขูดเขม่าลูกที่ดับแล้วนั่นด้วย...การที่ฉันเป็นเจ้าของภูเขาไฟ เป็นเจ้าของดอกไม้จึงนับว่ามีประโยชน์ต่อพวกเขา แต่นายไม่มีประโยชน์ต่อดวงดาวเลย”
 
          “พวกผู้ใหญ่ช่างน่าประหลาดเสียเหลือเกิน”
 
          ดาวดวงที่ห้ามีคนจุดโคมไฟอาศัยอยู่
           
          “ถึงแม้สิ่งที่ชายผู้นี้กระทำอยู่ดูเหลวไหลไร้สาระ แต่ก็ยังไร้สาระน้อยกว่าพระราชา น้อยกว่าคนหลงตัวเอง น้อยกว่านักธุรกิจ น้อยกว่านักดื่ม เพราะอย่างน้อยมันก็มีความหมาย เมื่อเขาจุดโคมไฟเขาได้ก่อให้เกิดดวงดาวขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง หรือดอกไม้อีกดอกหนึ่ง เมื่อเขาดับโคมไฟ ดวงดาวหรือดอกไม้ก็จะหลับใหลตามไปด้วย งานของเขาจึงมีความงามอยู่ในตัวเอง มันมีประโยชน์อย่างแท้จริงก็เพราะความงามนั่นเอง”
 
          “คนอื่นๆ อย่างพระราชา คนหลงตน คนขี้เมาหรือนักธุรกิจอาจนึกดูถูกเหยียดหยามชายผู้นี้ แต่สำหรับฉันนั้น เขาเป็นคนๆ เดียวที่ไม่มีอะไรน่าหัวเราะเยาะ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาทำอะไรเพื่อสิ่งอื่นมากกว่าเพื่อตัวเองก็เป็นได้”
 
          ดาวดวงที่หกมีนักภูมิศาสตร์อาศัยอยู่
           
          ชายชราผู้ซึ่งกำลังเขียนหนังสือเล่มโต
          “ดาวของคุณสวยมากทีเดียว มีมหาสมุทรมั๊ยนี่”
          “ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” นักภูมิศาสตร์ตอบ
          “งั้นภูเขาล่ะ”
          “ก็ยังไม่รู้อีกเหมือนกัน”
          “แล้วเมือง แม่น้ำและทะเลทรายต่างๆ นั้นล่ะ”
          “ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
          “แต่ท่านเป็นนักภูมิศาสตร์”
          “ก็ใช่ แต่ฉันไม่ใช่นักสำรวจ”
          ..
          ..
          “ผมมีดอกไม้ดอกหนึ่งด้วย”
          “เราไม่บันทึกดอกไม้ ก็เพราะว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน”
          “คำว่าจีรังนั้นหมายความว่าอย่างไร”
          “หมายถึงสิ่งที่เกรงกันว่าจะสูญหายไปในกาลข้างหน้า”
 
          “ดอกไม้ของฉันไม่จีรังยั่งยืน และเธอมีหนามแหลมไว้ป้องกันตัวจากอันตรายบนดวงดาวของฉันเพียงสี่อันเท่านั้น แล้วนี่ฉันยังทอดทิ้งเธอไว้บนนั้นตามลำพังได้ลงคออีกหรือนี่”
 
          ดาวดวงที่เจ็ดเป็นโลกมนุษย์
           
          “ฉันคือสุนัขจิ้งจอก”
          “มาเล่นกับฉันหน่อยเถิด ฉันรู้สึกเศร้ามากเหลือเกิน” เจ้าชายน้อยชวน
          “ฉันยังเล่นกับเธอไม่ได้หรอก เธอยังไม่ได้ทำให้ฉันเชื่องเลย”
          “ทำให้เชื่องหมายความว่าอย่างไร”
 
          “มันเป็นสิ่งที่ถูกลืมมานานแล้ว มันหมายความว่าสร้างความผูกพัน สำหรับฉันในตอนนี้เจ้าก็เป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ เหมือนเด็กคนอื่นๆ นับร้อยนับพัน ฉันจึงไม่ต้องการเจ้า และเจ้าก็ไม่ต้องการฉันด้วยเหมือนกัน
          สำหรับเจ้า ฉันก็เป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกตัวอื่นอีกนับร้อยนับพัน แต่ถ้าหากเจ้าทำให้ฉันเชื่องเราก็จะต้องการซึ่งกันและกัน สำหรับฉันเจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวในโลก สำหรับเจ้าฉันก็จะเป็นหนึ่งเดียวในโลกเช่นกัน”
 
          “พวกมนุษย์ไม่มีเวลาที่จะทำความรู้จักกับอะไรๆ ต่อไปอีกแล้ว พวกเขาซื้อข้าวของสำเร็จรูปจากพ่อค้า แต่เนื่องจากไม่เคยมีพ่อค้าขายเพื่อนมาก่อนเลย มนุษย์ก็เลยไม่มีเพื่อนอีกแล้ว ถ้าเจ้าอยากมีเพื่อนละก็ จงทำให้ฉันเชื่องซิ”
 
          “ในตอนแรกเจ้าจะต้องนั่งบนพื้นหญ้าห่างจากฉันหน่อยหนึ่งก่อน ฉันจะคอยชำเลืองดูเจ้า และเจ้าต้องไม่พูดอะไรเลย ภาษาเป็นบ่อเกิดแห่งความเข้าใจผิด แต่ว่าหลังจากนั้นแต่ละวันเจ้าก็จะเขยิบนั่งเข้ามาใกล้ได้อีกหน่อย”
 
          “ถ้ามาในเวลาเดิมก็จะดีกว่า หากเจ้ามาในตอนบ่ายสี่โมงเย็น พอบ่ายสามโมงฉันก็จะเริ่มมีความสุขแล้ว ยิ่งเวลาล่วงผ่านไปเท่าไหร่ฉันก็จะรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น พอจวนจะถึงสี่โมงเย็นฉันก็จะรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวายใจ แล้วฉันก็จะพบคุณค่าของความสุข
          แต่หากเจ้ามาไม่เป็นเวล่ำเวลา ฉันก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าควรจะเตรียมแต่งใจไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดังนั้นจึงต้องมีพิธีรีตองกันบ้าง”
 
          “พิธีรีตองหมายถึงอะไรรึ” เจ้าชายน้อยซัก
 
          “มันเป็นสิ่งที่ถูกลืมไปนานแล้วเช่นกัน มันคือสิ่งที่ทำให้วันหนึ่งๆ แตกต่างไปจากวันอื่นๆ ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งต่างไปจากช่วงเวลาอื่นๆ”
          “และนี่คือความลับของฉัน สิ่งที่สำคัญนั้นเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องมองด้วยหัวใจ”
 
          เจ้าชายน้อยพบกับพนักงานสับรางรถไฟ
          “พวกเขารีบร้อนกันจัง พวกเขาตามหาอะไรอยู่หรือ”
          “พนักงานประจำหัวรถจักรก็คงไม่รู้เหมือนกัน”
          “อ้าว...พวกเขากลับมากันแล้วเหรอ พวกเขาไม่พอใจในที่ที่ไปยังงั้นหรือ”
          “ไม่เคยมีใครพอใจในที่ที่ตัวเองอยู่” พนักงานสับรางตอบ
          “มีแต่เด็กๆ เท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
 
          เจ้าชายน้อยพบพ่อค้าขายยาเม็ดสำเร็จรูปแก้ความกระหายน้ำ เมื่อกินยานี้หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะไม่รู้สึกกระหายอีกต่อไป
          “ทำไมต้องขายของแบบนี้ด้วยล่ะ” เจ้าชายน้อยถาม
          “ก็เพราะมันประหยัดเวลาได้มากเลยนะซิ”
          “แต่สำหรับฉันนั้น หากมีเวลาเหลือใช้ห้าสิบสามนาทีละก็ ฉันจะเดินไปที่บ่อน้ำพุแห่งใดแห่งหนึ่งโดยไม่ต้องเร่งรีบ”
 
          นั่นคือส่วนหนึ่งจากหนังสือ เป็นช่วงตอนที่ฉันประทับใจ
 
          หนังสือเล่มเล็กบางเฉียบแค่จำนวนร้อยกว่าหน้า รวมทั้งความในใจของผู้แปลแล้วด้วย หากแฝงไว้ด้วยปรัชญาชวนให้คิดกันไปได้ต่างๆ นาๆ หนังสือเล่มนี้เรียกว่าเป็นหนังสือทรงคุณค่าเล่มหนึ่ง แม้ฉันเองในคราวแรกที่ได้อ่านจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยก็ตามแต่ อย่างที่เคยบอกไว้ แค่เพราะหลงเข้าใจผิดไปว่ามันคือนิทานเล่มหนึ่ง อันที่จริงมันก็ยังคงเป็นนิทานเล่มหนึ่งอยู่นั่นแหละ แต่ด้วยช่วงวัยที่เติบโตขึ้นกับมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป ช่วยให้เข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนสื่อได้ชัดเจนขึ้นก็เท่านั้นแม้จะไม่ทั้งหมด
 
          ฉากในความทรงจำของฉันก็ยังคงเป็นฉากเจ้าชายน้อยมายังโลกมนุษย์ และเจอกับสุนัขจิ้งจอก ‘ทำให้เชื่อง’ สื่อถึงอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ทั้งที่ทำให้เชื่องโดยทั่วไปหมายถึงคนกับสัตว์เลี้ยง คนทำให้สัตว์เลี้ยงเชื่อง แต่ในทางกลับกันเคยคิดบ้างไหมว่าสัตว์ก็คงคิดเช่นเดียวกัน ทำในเชื่องในฝั่งของสัตว์คงจะหมายถึงทำให้คนที่เลี้ยงเชื่องนั่นเอง (และเมื่อนั้นแหละขอบอกเลยว่าคุณได้ตกเป็นทาสมันแล้ว)
 
          รวมความหมายของมันถึงความสัมพันระหว่างผู้คนก็ด้วย คนหนึ่งต่ออีกคนหนึ่ง หรือต่ออีกหลายๆ คน การทำให้เชื่องช่วยเสริมสร้างมิตรภาพ ความรักความผูกพันให้ก่อเกิด ทำให้คนๆ หนึ่งพิเศษกว่าคนอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ความเป็นเพื่อนก่อรูปร่างขึ้น แม้สังคมทุกวันนี้การหาเพื่อนแท้แม้สักเพียงคนหนึ่งช่างยากเย็น ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ความเคลือบแคลงไม่ไว้วางใจในผู้คนมีมากขึ้นนั่นเอง
 
          หวังว่าวิธีคิด กับมุมมองของเด็กชายอย่างเจ้าชายน้อยช่วยให้ใครสักคนที่ได้อ่านได้เก็บเอาไปคิด ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยไหนของชีวิต และก็ยังหวังอีกด้วยว่าผู้ใหญ่กับเด็กจะสื่อสารกันได้ดีขึ้น เข้าใจกันได้มากขึ้น...
 
          **
 
          by...ผู้แบ่งปันจินตนาการ (ใครก็ไม่รู้พิมพ์คำนี้ในช่องแชทอุ๊บอิ๊บซะเลย)

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา