มหัศจรรย์แห่งหนังสือ

8.7

เขียนโดย candle

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.

  9 chapter
  34 วิจารณ์
  34.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

4) Neverending Story

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        

 

               

                                      

          

          “นี่มิใช่นิทานสำหรับเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นตำนานการค้นหาสำหรับทุกคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งอาจอ่านและตีความตามระดับความเข้าใจของตนด้วยเหตุว่า นี่คือเรื่องราวแห่งการเดินทางภายในจิตวิญญาณของมนุษย์ จากพัฒนาการขั้นแรกสุด จากชั้นผิวเปลือกนอกไประดับจิตวิทยา ดิ่งลึกเข้าสู่ความเข้าใจตัวตนภายใน อันเหตุผลไม่อาจเอื้อมถึง”

          จากบทกล่าวนำในหนังสือโดย พจนา จันทรสันติ

 

          หนังสือที่ไม่รู้จบ-หนังสือแห่งหนังสือ

 

          ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้หลายปีมากแล้ว หากจะถามว่าฉันเลือกซื้อหรืออ่านหนังสือแบบไหนก็ต้องบอกว่าด้วยชื่อเรื่องเป็นสิ่งแรก จะเลือกจากชื่อนักเขียนเหรอก็ไม่ได้รู้จักอะไรเลยแค่อ่านเพราะอยากอ่าน ชอบที่จะอ่าน ไม่ได้รู้จักนักเขียนคนดังหรือมีรสนิยมในการอ่านแต่อย่างใด ดังนั้นชื่อเรื่องจึงสามารถดึงดูดผู้อ่านเช่นฉันได้มากกว่าสิ่งอื่นใด

 

          และเมื่อฉันหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากจำนวนหนังสือซึ่งวางอยู่ในชั้นหนังสือมากมายในร้าน มันคงจะดัง คลิ๊ก!!! ทันทีด้วยเช่นกัน แม้หน้าปกของหนังสือเล่มนี้จะไม่ใช่รูปงูสองตัว ที่ตัวหนึ่งสีขาวตัวหนึ่งสีดำ ต่างตัวต่างงับหางอีกตัวไว้ก็เถอะ (ก็อันนั้นมันเล่มของบาสเตียนนี่เนอะ) เล่มของฉันเป็นภาพหน้าปกอัทเทรอูขี่ฟาลคอร์มังกรนำโชค

 

          เมื่อพูดถึงมังกรนำโชคของนอกเรื่องนิดแล้วกัน ตอนที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้มีลูกหมาเพิ่งเกิดใหม่และมีตัวนึงหน้ามันแบบใช่เลยเหมือนแด๊ะ มันเลยได้ชื่อว่า ‘มังกรนำโชค’ ไปโดยปริยาย และมันก็เป็นที่โจษขานในหมู่เด็กตัวเล็กๆ ที่แวะเวียนมาเที่ยวที่บ้าน ‘หมาชื่อมังกรๆ’ (เฮ้อ...มันแปลกรึไงไม่รู้นะ)

 

          ฉันเองก็ไม่ได้แตกต่างจากบาสเตียนในเรื่องสักเท่าไหร่ ฉันไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ในห้องใต้หลังคาของโรงเรียนเช่นบาสเตียน ฉันเปิดอ่านขณะเดินออกจากร้านหนังสือนั่นแหละ เดินอ่านไปเรื่อยๆ ริมถนนไม่สนใจผู้คนรอบตัว

 

          ในจำนวนหนังสือทั้งหมด ‘จินตนาการไม่รู้จบ’ เป็นหนังสือเล่มที่ยับเยินที่สุด อันที่จริงหนังสือส่วนใหญ่ของฉันก็ยับเยินทั้งนั้น ทั้งที่ประกาศว่า ‘ฉันรักหนังสือ’ แต่ในความหมายของฉันมันเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้นเอง หากหนังสือเล่มไหนประทับใจเป็นพิเศษฉันก็จะอ่านมันหลายรอบหน่อย อ่านขณะกินข้าว อ่านขณะดื่มกาแฟ อ่านขณะเดิน อ่านในทุกอิริยาบถ และยังคิดว่าจะอ่านให้ได้ตามราคาหนังสือซะด้วยสิ (ก็หนังสือราคามันแสนแพง ดังนั้นควรอ่านให้มันสมราคากันหน่อย) การอ่านหลายๆ รอบ ในช่วงวัยที่ต่างกันยังทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ อีกด้วย

 

          ไม่ได้แค่อ่านอย่างเดียว เพราะอีกมือฉันจะถือปากกาหรือดินสอไว้ด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นปากกาหลากหลายสีสัน ตรงประโยคไหนที่ประทับใจก็จะขีดเส้นใต้ไว้ หรือส่วนไหนที่มีความคิดต่างฉันก็จะเขียนความคิดของฉันใส่ลงไปเสร็จสรรพ เช่นนี้แล้วหนังสือของคนรักหนังสือเช่นฉันจึงด่างพร้อยไม่สวยสด แต่ฉันกลับยิ่งรักมันมากกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว

 

          ออกนอกลู่นอกทางไปซะยาวเหยียดวกกลับมาจินตนาการไม่รู้จบต่อแล้วกัน “Neverending Srory” จินตนาการไม่รู้จบ แต่งโดย มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ เป็นนักเขียนชาวเยอรมัน และเพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้ความทรงจำของฉันประทับไว้ว่านักเขียนเยอรมันนั้น คือผู้ซึ่งเขียนหนังสือได้ล้ำลึกนั่นเอง นี่ทำให้สืบเนื่องไปว่าฉันมักหยิบหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนเยอรมันโดยไม่ดูตาม้าตาเรือหรือศึกษาให้ถ่องแท้ว่า ตัวเองนั้นมีมันสมองอันน้อยนิดแค่ไหน เข้าใจปรัชญาได้ล้ำลึกหรือเปล่า...  

 

          ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นคู่มือของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพและสิ่งแวดล้อมในเยอรมัน ซึ่งมันไม่แปลกเพราะเนื้อหาของเรื่องตีความได้ในแง่นั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับของเหล่าหลากสายเผ่าพันธุ์ในอาณาจักรจินตนาการเพื่อองค์ยุวจักรพรรดินีซึ่งทรงประชวรด้วยโรคประหลาด และความว่างเปล่าซึ่งขยายอาณาเขตขึ้นเรื่อยๆ นั่นคงหมายถึงการตัดไม้ทำลายป่านั่นเอง

 

          เรื่องราวบอกเล่าถึงการผจญภัยของเด็กน้อยชื่อ Bastian Balthazar Bux ในดินแดนแห่งจินตนาการแหละความฝันโดยผ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ‘ตำนานไม่รู้จบ’ เรื่องราวเริ่มตรงที่เด็กชายเข้าไปในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง และถูกดึงดูดด้วยหนังสือเล่มนั้นจนถึงขนาดขโมยมันออกมา

          ขณะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเด็กชายอ่อนแอ และไม่กล้าสู้คน มักโดนเพื่อนแกล้งอยู่เสมอ เด็กชายเป็นคนค่อนข้างโดดเดี่ยวและแปลกแยกในสังคม

 

          บาสเตียนผ่านเข้าไปในหนังสือเล่มนั้น โดยผ่านเรื่องราวการผจญภัยของอัทเทรอูเด็กชายผิวเขียวอีกทีหนึ่ง ด้วยความอยากช่วยอาณาจักรจินตนาการที่กำลังถูกความว่างเปล่ากลืนกิน และองค์ยุวจักรพรรดินีจำเป็นต้องถวายพระนามใหม่จากชาวมนุษย์ หายนะที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรจินตนาการเพราะมนุษย์หลงลืมจินตนาการไม่มีความเชื่อในสิ่งเหล่านั้นแล้วนั่นเอง

 

          “ผู้ที่สามารถถวายพระนามแด่ยุวจักรพรรดินี

          ผู้ที่สามารถช่วยให้ทรงคืนพระชนม์...นั้นน่ะหรือ

          ทั้งเจ้า ทั้งข้า เทวดาน้อย เหล่ายักษา...ก็มิใช่คือ

          ผู้จะพาเราทั้งปวงให้พ้นห้วงมนต์ผีร้าย

          เราทำได้เพียงสิ่งซึ่งเราถูกสรรค์มาให้ทำ

          ไม่อาจล้ำทำสิ่งใหม่ขึ้นมาได้

          ไม่อาจเปลี่ยนสิ่งใดให้กลับกลาย

          ด้วยเราเป็นเพียงกายตัวละครในอักษราลักษณ์

          ทว่า...มีดินแดนหนึ่งนอกเหนือแคว้นจินตนาการ

          โลกภายนอก...คือนามที่ขานไข

          ผู้คน ณ ที่นั้นหลากหลายแตกต่างกันไป

          และฉลาดล้ำในเรื่องจินตนาการ

          บุตรซึ่งกำเนิดจากคนเหล่านี้

          หรือที่บางคราเรียกว่ามนุษย์

          เป็นผู้มีพรสวรรค์อันพิเศษสุด

          นับแต่โลกเราผุดก่อเกิดมา

          พวกเขาเป็นผู้ถวายพระนามใหม่

          ทุกยุคสมัยแด่ยุวจักรพรรดินี

          ด้วยหนทางรักษามีเพียงวิธีนี้

          แต่...กลับไม่มีมนุษย์มาเยือนนครจินตนาการ

          วันเวลาล่วงเลยผันผ่านนานเนา

          พวกเขาลืมหนทางเข้ามาสิ้น

          ลืมว่าเรามีตัวตนอยู่อาจิณ

          ไม่ยลยิน...ไม่เชื่อในการมีอยู่ของเราอีกแล้ว

          โอ...แม้เพียงมีบุตรมนุษย์สักคนมาที่นี่

          โอ...ทุกสิ่งคงมีแต่สุขสันต์

          แม้เพียงเด็กสักคนได้ฟังคำอ้อนวอนของเรานั้น แล้วก็พลันก้าวเข้ามา

          สำหรับเขาอยู่แสนใกล้ สำหรับเรากลับแสนไกล

          เราไม่อาจออกไปตามพวกเขาได้

          เพราะโลกของเขาไซร้ คือโลกแห่งความเป็นจริง”

 

          เด็กชายมนุษย์ครั้นได้ออรีน (เครื่องรางขององค์ยุวจักรพรรดินี) มาครอบครอง กลับใช้ไปในทางที่ผิด สร้างสิ่งที่ไม่ควรสร้าง เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ควรเปลี่ยนแปลง ใช้มันเพื่อความปรารถนาของตัวเองอันไม่สิ้นสุด หลงลืมความถูกผิดเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ โดยหารู้ไม่ว่าอำนาจที่ได้มานั้นต้องแลกด้วยความหลงลืมตัวตนไปทีละน้อยในทุกครั้งที่เขาตั้งความปรารถนา

 

          ‘เมื่อนานแสนนาน นับร้อยปีมาแล้ว ยุวจักรพรรดินีทรงประชวรหนักต้องได้รับการถวายพระนามใหม่ ซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ทำการถวายได้ แต่มนุษย์ก็ได้เลิกมายังอาณาจักรจินตนาการมานานแล้วโดยไม่มีใครรู้ว่าทำไม หากองค์ยุวจักรพรรดินีทรงสิ้นพระชนม์ย่อมถึงคราวสิ้นสุดอาณาจักรจินตนาการ

 

          คืนหนึ่งมนุษย์ผู้หนึ่งก็มาถึง เขาถวายพระนามใหม่พระองค์ทรงหายประชวร จึงทรงให้สัญญาแก่เด็กชายว่า...ความปรารถนาของเขาในอาณาจักรจินตนาการจะกลายเป็นจริง...ไปตราบจนเขาพบว่าสิ่งใดคือความปรารถนาที่แท้จริง

 

          จากความปรารถนาหนึ่งไปสู่ความปรารถนาหนึ่ง โดยมิได้มีเพียงความปรารถนาที่ดีเท่านั้น หากยังมีความปรารถนาที่เลวร้ายอยู่ด้วย ทุกความปรารถนาเด็กชายจะสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับโลกมนุษย์ซึ่งเขาจากมาไปส่วนหนึ่ง เขามิได้ใส่ใจเรื่องนี้เพราะเขาล้มเลิกความต้องการกลับสู่โลกแล้ว

          เขาตั้งความปรารถนาไปเรื่อยๆ และเมื่อไม่มีความทรงจำก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งความปรารถนา เขาจึงแทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาปรารถนาจะเป็นคนอื่นมากกว่าตนเองเสมอ และเขาไม่เคยยอมเปลี่ยนแปลงความปรารถนานี้เลย...’

 

          จากตอน สู่การแสวงหาครั้งยิ่งใหญ่

 

          “เจ้าต้องไม่ไปแทรกแซงกำหนดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า เพราะนับจากนี้ความเห็นส่วนตัวของเจ้าไม่มีค่าอีกต่อไป และด้วยเหตุผลเดียวกันเจ้าต้องไปโดยไม่มีอาวุธ ต้องปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามแต่มันจะเกิด ทุกสิ่งในสายตาเจ้าล้วนต้องมีค่าเท่าเทียมกันไม่ว่าคนดีหรือปีศาจ สวยงามหรือน่าเกลียด โง่หรือฉลาด...เจ้าทำได้เพียงแสวงหา ไต่ถาม อย่าได้ตัดสินใจ”

 

          จากตอน มอร์ลาผู้ชราภาพ

 

          “ไว้เมื่อเจ้ารู้มากเท่าๆ กับที่เรารู้เมื่อไหร่ เจ้าก็จะเห็นเองว่าไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญเลย ทุกอย่างวนเวียนซ้ำซาก กลางวันแล้วก็กลางคืน ร้อนแล้วก็หนาว โลกนี้ว่างเปล่าไร้จุดหมาย ทุกอย่างหมุนเป็นวังวน มีเริ่มก็ต้องมีจบ มีเกิดก็ต้องมีตาย ทุกอย่างย่อมถึงกาลสิ้นสุดไม่ว่าดีหรือเลว สวยงามหรือน่าเกลียด ทุกอย่างว่างเปล่าไม่จีรังยั่งยืน ไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญนักหรอก”

 

          จากตอน อิกรามุลผู้มีจำนวนมาก

 

          “อะไรที่เราเริ่มต้นไว้ เราก็จะทำมันไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ เราต้องไปต่อไป ไม่มัวพะวงกับสิ่งที่จะตามมา”

 

          จากตอน เมืองผีสิง

 

          “เพราะสิ้นหวังในทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นล่ะที่ทำให้พวกเจ้าอ่อนแอ ความว่างเปล่ากำลังกลืนกินพวกเจ้า”

 

          “พวกเมืองผีสิงที่กระโดดลงในความว่างเปล่า...พวกมันจะกลายเป็นมายาภาพในใจของมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลัว...ทั้งที่ไม่มีอะไรน่ากลัว ปรารถนา...ในสิ่งไร้สาระที่ทำให้ตนเองเจ็บปวด สิ้นหวัง...ทั้งที่ไม่ควรสิ้นหวัง”

 

          “มนุษย์มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ และความเชื่อก็ถูกชักจูงได้ พลังในการชักจูงของความเชื่อจึงเป็นสิ่งเดียวที่มีอำนาจเหนือมนุษย์”

 

          จากตอน สู่หอคอยงาช้าง

 

          “หากผู้ใดรู้คำตอบในทุกสิ่ง ตัวตนของเขาก็จักไม่อาจดำรงอยู่ได้ต่อไป”

 

          จากตอน ผู้เฒ่าแห่งภูเขามหัศจรรย์

 

          “การที่เราปรารถนาอะไรสักอย่างหนึ่งและเฝ้าคอยมันมานานนับเป็นปีๆ เราจะมั่นใจว่าเราอยากได้มันจริงๆ ก็ต่อเมื่อเรายังไม่ได้มันมาเท่านั้น ในทันทีที่ดูเหมือนว่าความฝันของเราอาจกลายเป็นจริงขึ้นมา เราจะพบว่าจู่ๆ เราก็นึกอยากให้ตัวเองไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย”

 

          “คนเราจะหนีไปที่อื่นได้ก็เมื่อเรารู้ว่าจะไปไหนเท่านั้น”

 

          จากตอน ป่าแห่งราตรีกาลเพอริลิน

 

          “การเริ่มต้นมืดมิดเสมอ”

          “กระทำ ในสิ่งที่ใจปรารถนา”

 

          จากตอน ความตายหลากสี

 

          “หากไม่มีความปรารถนาอันแท้จริง ท่านก็ต้องวนเวียนอยู่ในนั้นจนกว่าจะรู้ว่าตนต้องการสิ่งใดแน่”

 

          “ท่านต้องกระทำเฉพาะในสิ่งซึ่งท่านต้องการจะทำอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งใดนอกเหนือจากนั้น”

 

          “จากความปรารถนาหนึ่งไปสู่อีกความปรารถนาหนึ่ง จากความปรารถนาแรกไปจนความปรารถนาสุดท้าย มันจะนำท่านไปพบกับสิ่งที่ท่านต้องการอย่างแท้จริง”

 

          จากตอน เผ่าพันธุ์อคาริส

 

          “โดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ เขาได้สร้างความหายนะที่คาดไม่ถึงขึ้นมาเสียแล้ว มันจะอยู่ที่นี่อีกนานหลังเขาจากไป และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามันคงฆ่าหรือทำร้ายผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายทีเดียว”

 

          “เครื่องรางให้พลังยิ่งใหญ่แก่เจ้า ทำให้ความปรารถนาทุกอย่างของเจ้ากลายเป็นความจริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็เรียกเอาบางสิ่งไปจากเจ้าด้วย มันเอาความทรงจำเกี่ยวกับโลกมนุษย์ไป”

 

          “ถูกกล่าวโทษเพราะสิ่งที่ท่านทำ ถูกกล่าวโทษเพราะสิ่งที่ท่านคิด”

 

          จากตอน เมืองแห่งอดีตจักรพรรดิ

 

          “คนพวกนี้...ครั้งหนึ่ง...ล้วนเคยเป็น ไม่ก็อยากจะเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรจินตนาการมาแล้วทั้งนั้น”

          “ทีแรกไม่อยากกลับ ส่วนตอนนี้...จะว่าไปแล้ว...ก็คือกลับไม่ได้”

 

          “เพราะพวกเขาต้องตั้งความปรารถนาที่จะกลับเสียก่อนถึงจะกลับได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเลิกตั้งความปรารถนาแล้ว เพราะใช้ความปรารถนาข้อสุดท้ายไปกับเรื่องอื่นเสียหมด”

 

          “คนเราตั้งความปรารถนาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจไม่ได้หรอกหรือ”

 

          “ท่านตั้งความปรารถนาได้ตราบเท่าที่ท่านยังจำโลกของท่านได้เท่านั้น คนเหล่านี้ใช้ความทรงจำของตนจนหมดสิ้น เมื่อไม่มีอดีตก็ย่อมไม่มีอนาคต...พวกเขายังคงอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ เพราะพวกเขาเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อีกแล้ว”

 

          “เมื่อไหร่ที่ใครก็ตามสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิสำเร็จ ออรีนจะหายไปเฉยๆ จะว่าไปแล้วก็คือ ท่านจะใช้อำนาจของธิดาจันทราเองชิงอำนาจไปจากพระองค์ได้หรือ”

 

          จากตอน สุภาพสตรีเอโยลา

 

          “ด้วยเจ้าเป็นผู้พบหนทางมา

          เราจึงแน่ใจว่าต้องเป็นเจ้า

          ฤดูร้อนนับร้อยปีผันผ่านนานเนา

          ที่เราได้แต่เฝ้ารอคอย

          ทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมสรรพ

          เพื่อรองรับความหิวความกระหาย

          เชิญเจ้าดื่มเจ้ากินให้สุขสบาย

          แล้วพักผ่อนคลายในความอ่อนโยน

          ทุกข์ยากเหนื่อยล้าเดินทางมาแสนไกล

          จงเข้าพักใจคลายทรมาเถิดหนา

          เรายินดีต้อนรับอย่างที่เจ้าเป็นมา

          ไม่ว่าดีงามหรือเลวร้ายสักเพียงไร”

 

          “เจ้าเดินทางไปบนหนทางแห่งความปรารถนา ซึ่งย่อมไม่เคยเป็นทางตรงอยู่แล้ว เจ้าเดินทางที่อ้อมไปไกลมาก แต่มันก็เป็นหนทางของเจ้า”

 

          **

          **

 

          แต่เพราะเด็กชายมีเพื่อนที่ดีเช่นอัทเทรอู เขาจึงหาหนทางกลับโลกมนุษย์ได้ โดยอัทเทรอูยอมรับปากว่าจะจบเรื่องที่บาสเตียนทิ้งค้างไว้ให้จบ เด็กชายจึงได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตและสามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้ ด้วยความปรารถนาสุดท้ายของเขาคือ

          เขาปรารถนาจะรักผู้อื่นได้

 

          แล้วคุณเล่าหากได้รับพลังจากออรีน และสามารถทำความปรารถนาทุกอย่างให้กลายเป็นจริงได้ คุณจะใช้พลังอำนาจที่ได้มานั้นทำในสิ่งที่ถูกที่ควรได้หรือไม่ หรืออำนาจจะทำให้คนเราหลงลืมตัวตนของตนเองไปโดยไม่รู้ตัว...เฉกเช่นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

 

          “โลกซึ่งมีรายละเอียดทุกอย่างตามความพอใจ โลกซึ่งเขาสร้างหรือทำลายสิ่งใดก็ได้ตามความต้องการ โลกที่ทุกชีวิตไม่ว่าดีหรือเลว สวยงามหรืออัปลักษณ์ ฉลาดหรือโง่ ล้วนเป็นผลงานของเขาเพียงผู้เดียว เขาจะได้ครองราชย์ในตำแหน่งสูงสุดกว่าใคร ได้เล่นเกมส์สนุกชั่วนิรันดร์ กับโชคชะตาของข้าแผ่นดินของเขา”

 

          คิดเห็นเช่นไรกับประโยคนี้ของบาสเตียน...?

 

          หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้ผู้คนไม่หลงลืมอาณาจักรจินตนาการ  และหวังให้คิดได้ว่า  อำนาจนั้นทั้งหอมหวานและน่ากลัวเช่นไรเมื่อคุณได้มันมา

 

                        By ผู้แบ่งปันจินตนาการ     

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา