มหัศจรรย์แห่งหนังสือ
เขียนโดย candle
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.
แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“เนิ่นนานมาแล้วที่มนุษย์ได้หลงลืมศาสตร์อันเก่าแก่ ที่เรียกว่าจินตนาการและความฝันนี้ เราได้ถูกสอนให้คิดอย่างมีเหตุผลมานานเกินไปจนกลายเป็นคนแข็งกระด้างและรู้จักแต่วัตถุเท่านั้น เราถูกสอนให้ใช้สมองยิ่งกว่าที่จะใช้หัวใจ ถูกสอนให้คิดยิ่งกว่ารู้สึก จนกระทั่งเราได้สูญเสียความละเอียดอ่อนที่จะมองเห็นสิ่งทั้งปวง อันเป็นนามธรรม
และด้วยเหตุที่ว่าสัจจะแห่งดวงวิญญาณนั้นดำรงอยู่ในอาณาเขตแห่งนามธรรมเท่านั้น สิ่งนี้จึงดูเหมือนจินตนาการและความฝันสำหรับเรา แต่เราอาจลืมที่จะฉุกคิดไปว่า โลกแห่งความเป็นจริงที่เรามีชีวิตอยู่นี้ อาจเป็นเพียงแต่ “Dream of The Devine” เท่านั้น
เราเป็นเพียงความฝัน และชีวิตจริงของเรานั้นเป็นเพียงความฝันอีกมิติหนึ่ง ในขณะที่ตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นอาจดำรงอยู่ในจินตนาการและความฝัน จากจุดยืนของชีวิตจริงนี้
เมื่อศาสตร์อันเก่าแก่เกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ได้ตกต่ำเสื่อมโทรมลงด้วยอารยะธรรมแผนใหม่ และเทคโนโลยี ความรู้เดิมที่หลงเหลือร่องรอยอยู่ จึงเป็นเพียงสัญชาติญาณอันลี้ลับที่บ่งบอกรหัสนัยผ่านจินตนาการและความฝันเท่านั้นเอง”
พจนา จันทรสันติ
จากบทกล่าวนำในหนังสือ “จินตนาการไม่รู้จบ”
แต่สำหรับฉันแล้วแม้กระทั่งทุกวันนี้มันยังคงอยู่ มันดูไร้เหตุผลแต่หากกลับทำให้ชีวิตมีความสุขอิ่มเอมใจอย่างประหลาด
เพราะความหลงใหลในเทพนิยายที่มีมากกว่าแค่สัตว์พูดได้อย่างในนิทานอิสป สิ่งรอบตัวกลายเป็นเรื่องน่าค้นหาขึ้นมาโดยพลันแบบเข้าทำนองว่าเทพนิยายพาไปซะงั้น
ต้นถั่วฝักยาวที่แม่ปลูกไว้ข้างบ้าน ต้องแอบย่องไปดูบ่อยๆ ต้นมันสูงแค่ไหนแล้ว กลายเป็นต้นถั่วอย่างของแจ๊คที่แทงยอดขึ้นไปบนท้องฟ้ารึยัง จะได้ปีนขึ้นไปขโมยไข่ทองคำของยักษ์
เจ้า‘หล้า’ หมาที่เลี้ยงไว้ล่ะ มันจะกลายเป็นหมาป่าใจร้ายไปไหม
กระจกในห้องนอนไหนลองพูดกับมันดูสิ “กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี” (แต่ไม่เห็นมันตอบกลับมาเลยแฮะ)
แอปเปิ้ลที่ซื้อมาล่ะแน่ใจนะว่ามันไม่ใช่แอปเปิ้ลพิษ
เจ้าหนูที่ได้ยินเสียงกุกกักอยู่บนหลังคา วันหนึ่งจะกลายมาเป็นม้าลากรถฟักทองของซิลเดอเรล่ารึเปล่า
แล้วฉันจะมีนางฟ้าเป็นแม่ทูนหัวกับเขาบ้างไหม
ภูติล่ะในรองเท้ามีสักตัวไหม ใต้หมอน ตามต้นไม้ดอกไม้แอบซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง โผล่หน้ามาให้เห็นหน่อยสิ เหล่านี้ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการอ่านเทพนิยายล้วนๆ ชีวิตช่างมีความสุขและจินตนาการก็ช่างบรรเจิดซะนี่กระไร
The Three Billy Goats Gruff
Puss in Boots
The Three Little Pigs
Hansel and Gretel
The Gingerbread Boy
Little Red Riding Hood
Jack and the Beanstalk
Goldilocks and the Three Bears
The Ugly Duckling
The Elves and the Shoemaker
เชื่อว่าไม่มากก็น้อยคนๆ หนึ่งจะต้องเคยอ่านเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นบ้างแล้วล่ะ และนี่ไม่ใช่นิทานหรือเทพนิยายทั้งหมดที่ฉันอ่าน มันลากยาวไปถึงเทพนิยายกรีกโรมันโน่นด้วย ซ้ำยังดูมีตัวตนยิ่งขึ้นไปอีก...
แต่ตอนนี้เรามาพูดกันถึงหนังสือเล่มที่จั่วหัวไว้ดีกว่า “พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ” แต่งโดย แฟรงก์ โบม ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกก็ในห้องสมุดโรงเรียนประถมนั่นแหละ แต่ที่ได้อ่านครั้งนั้นมันใช้ชื่อว่า “พ่อมดแห่งเมืองมรกต” ฉันไม่รู้หรอกว่าหนังสือเล่มนั้นมาอยู่ในห้องสมุดโรงเรียนตั้งแต่ครั้งไหน ปกถูกเย็บใหม่และสีสันของมันก็ไม่สะดุดตาอะไรเลยเขียวๆ ทึมๆ ก็จะเอาอะไรมากกับแค่โรงเรียนประถมเล็กๆ ในชนบท มีหนังสือให้อ่านนี่ถือว่าดีมากอยู่แล้ว และแค่เห็นชื่อเรื่องมันก็สามารถดึงดูดเด็กหญิงเช่นฉันได้อยู่แล้วล่ะ ใครจะไปสนว่ารูปภายนอกจะเป็นเช่นไร เนื้อหาข้างในนั่นต่างหากที่น่าค้นหายิ่งกว่า
ข้างในกระดาษกลายเป็นสีเหลืองไปหมดแต่ภาพประกอบที่แสนน่ารักก็ยังคงอยู่ ตัวหนังสือก็ยังคงชัดเจน บทที่ ๑ พายุไซโครน ทันทีที่ตัวหนังสือวิ่งเข้าสู่สายตาฉันก็ไปอยู่กับ ‘โดโรธี’ เรียบร้อยแล้ว ฉันใช้เวลาสำหรับการอ่านหนังสือเล่มนี้ 3-4 วัน ประมาณนั้นในเวลาช่วงพักกลางวัน เป็นหนังสือเล่มแรกเป็นเรื่องแรกที่เป็นเรื่องยาวสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ได้อ่าน ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีขณะที่วางหนังสือเพื่อไปเรียนในช่วงบ่าย หัวใจของฉันมันไม่ได้อยู่ที่ครูผู้สอนอยู่หน้าห้องเรียนแม้แต่น้อย มันคอยแต่จะคิดถึงเรื่องการเดินทางของโดโรธีอยู่เรื่อย และก็ยังคิดต่อไปอีกว่าตอนที่เราไม่ได้เปิดอ่านเนี่ยโดโรธีจะเดินทางไปถึงไหนแล้ว คุณเคยเป็นแบบนี้ไหมเมื่อคราวเป็นเด็ก เคยคิดไหมว่าตอนที่เราไม่ได้อ่านเรื่องราวเหล่านั้นมันจะยังคงดำเนินของมันไปเองรึเปล่า...?
มาคิดดูตอนนี้ขณะนั้นฉันคงเป็นเด็กที่แปลกน่าดู ช่วงพักกลางวันหลังจากกินข้าวแล้วแทนที่จะไปวิ่งเล่นกับเพื่อนฉันกลับมาขลุกอยู่ในห้องสมุด ก็มันเรื่องอะไรที่จะทำให้ตัวเองเหงื่อออกโดยการวิ่งเล่นในช่วงเที่ยงเล่าว่ามั๊ย ฉันคิดของฉันอย่างนั้นด้วย แต่อันที่จริงเพราะฉันชอบอ่านหนังสือมากกว่านั่นเอง ก็เมื่ออ่านหนังสือมันกลับมาเราเดินทางไปในอีกดินแดนหนึ่งนี่นา และมันก็น่าสนุกกว่ากันตั้งเยอะ
พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ เป็นเรื่องราวการเผชิญภัยของหนูน้อย ‘โดโรธี’ ซึ่งถูกพายุไซโครนหอบพัดไปพร้อมเจ้าหมาน้อยชื่อ ‘โตโต้’ขณะอยู่ในบ้าน แล้วก็ให้บังเอิญตกไปในดินแดนมหัศจรรย์และก็ให้บังเอิญอีกนั่นแหละที่บ้านหลังนั้นกลับหล่นไปทับเอาแม่มดแห่งทิศตะวันออกเข้า (เป็นแม่มดไม่ดี) กลายเป็นว่า โดโรธีมีความดีความชอบที่ช่วยปลดปล่อยชาว ‘มันชกินส์’ ซึ่งตกเป็นทาสของแม่มดผู้นั้นมาหลายปี หนูน้อยโดโรธีเลยได้รองเท้าเงินของแม่มดผู้นั้นมา โดโรธีอยากกลับบ้านแต่ไม่รู้ต้องทำยังไง แม่มดทางทิศเหนือ (แม่มดดี) เลยบอกให้โดโรธีเดินทางไปยังเมืองมรกตซึ่ง ‘ออซ ’ปกครองอยู่ ออซคงช่วยให้โดโรธีกลับบ้านได้
และก็เพราะการเดินทางไปยังเมืองมรกตของโดโรธีนี่แหละ ทำให้เด็กหญิงพบเจอกับ
หุ่นไล่กา ผู้อยากได้สมอง
ชายตัดไม้ดีบุก ผู้อยากได้หัวใจ
สิงโต ผู้อยากได้ความกล้าหาญ
ทั้งหมดจึงร่วมเดินทางผจญภัยไปด้วยกันเพื่อพบออซผู้ยิ่งใหญ่ โดยหวังว่าความต้องการของพวกเขาทั้งหมดจะเป็นจริงได้
สุดท้ายเมื่อเหล่าสหายทั้งหลายไปถึงเมืองมรกตจริงๆ กลับพบว่าออซผู้ยิ่งใหญ่กลายเป็นเพียงชายแก่ผู้หลอกลวง เขาเป็นเพียงคนธรรมดาซึ่งพลัดหลงเข้ามาในดินแดนนี้เช่นเดียงกับโดโรธี
มีประโยคในเรื่องสำหรับเด็กเล่มนี้ที่ทำให้ฉันประทับใจเช่นตอนที่หุ่นไล่กาพูดกับโดโรธี
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอจึงอยากจากดินแดนอันงดงามแห่งนี้กลับไปยังดินแดนที่หม่นหมอง แห้งแล้ง ที่เธอเรียกว่าแคนซัส
“นั่นเพราะเธอไม่มีสมอง” เด็กหญิงตอบ
“ไม่ว่าบ้านจะยากจนหม่นหมองเพียงใด เราผู้คนที่มีเลือดเนื้อก็อยากอยู่ที่นั่นมากกว่าในแดนใด แม้จะงดงามเพียงไรก็ตาม ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านหรอก”
ส่วนนี้คือตอนที่พวกเขาได้พบกับออซและรู้ว่าออซแท้จริงไม่ใช่พ่อมด
“เธอให้มันสมองฉันไม่ได้หรือ” หุ่นไล่กาถาม
“เธอไม่ต้องการมันหรอก เธอเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างทุกวัน ทารกก็มีมันสมองแต่เขาไม่รู้เองนะ ประสบการณ์เป็นสิ่งเดียวที่จะนำมาซึ่งความรอบรู้ และเธออยู่ในโลกนี้นานเท่าไร เธอก็จะมีประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้นแน่ๆ”
“แต่ความกล้าหาญของฉันล่ะ” สิงโตถาม
“เธอมีความกล้าหาญเยอะแยะฉันแน่ใจทีเดียว สิ่งที่เธอต้องการคือความมั่นใจในตนเอง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่จะไม่ตกใจกลัวเมื่อเผชิญอันตราย ความกล้าหาญที่แท้จริงคือการเผชิญอันตรายนั้นแม้เมื่อเธอกลัว และความกล้าหาญชนิดนั้นเธอก็มีอยู่ล้นเหลือแล้ว”
“แล้วหัวใจฉันล่ะ” ชายตัดไม้ดีบุกถาม
“ฉันคิดว่าเธอคิดผิดที่ต้องการหัวใจ มันทำให้คนส่วนมากไม่มีความสุข ถ้าเพียงแต่เธอจะรู้ เธอนั้นโชคดีที่ไม่มีหัวใจ”
“นั่นเป็นเรื่องของแต่ละความเห็น สำหรับฉันเอง ฉันจะทนกับความไม่เป็นสุขทั้งหมดโดยไม่บ่นเลยถ้าหากเพียงเธอจะให้หัวใจฉัน”
เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาตามหากลับอยู่กับพวกเขามาแล้วแต่ต้นนั่นเอง ฉันคิดว่าหนังสือสำหรับเด็กเล่มนี้มีอะไรน่าค้นหามากมายนอกจากความสนุกสนานยามเมื่ออ่านตอนเป็นเด็ก กับสิ่งที่ฉันค้นพบเมื่อตอนโตขึ้น ไม่มีหนังสือเล่มไหนไร้ซึ่งประโยชน์ฉันคิดของฉันอย่างนี้นะ อย่างน้อยที่สุดมันก็น่าจะสะกิดต่อมความคิดของเราได้บ้างล่ะหากเราอ่านและทำความเข้าใจกับมันได้เพียงพอ
ส่วนโดโรธีของเราเธอมีรองเท้าเงินอยู่แล้วนี่แม่มดกลินดาบอก
“รองเท้าเงินมีอำนาจมหัศจรรย์ และสิ่งที่น่าประหลาดที่สุดคือจะนำเธอไปยังสถานที่ใดในโลกนี้ได้ด้ยก้าวเท้าเพียงสามก้าว ที่ต้องทำเพียงแค่เคาะส้นมันพร้อมกันสามครั้งและออกคำสั่ง รองเท้าจะพาเธอไปยังสถานที่ซึ่งเธอปรารถนาจะไป”
และแล้วร้องเท้าเงินหลุดไปตอนที่โดโรธีบินผ่านอากาศไปยังแคนซัส และ...หากคุณเก็บมันได้ เคาะส้นมันพร้อมกันสามครั้งและออกคำสั่ง...คุณปรารถนาจะไปที่ไหนกันบ้างเอ่ย...
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ