กรงแลตน
9.0
เขียนโดย นายน่าเบื่อ
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.00 น.
4 ตอน
16 วิจารณ์
8,688 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 18.04 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) ตนแลตน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตนและตน
ในยามโพล้เพล้ สลัว สลัว แสงทองของวันค่อย ๆ จางหาย อาทิตย์ค่อย ๆ อัสดงลารับขอบฟ้า ฟ้าครามเปลี่ยนสีทีละน้อยทีละนิด ความมืดของราตรีกาล คืบคานไล่ต้อน ทำให้มืดมัวไปทั่วทุกหนแห่งในไม่ช้าเป็นแน่ แต่ความมืดใดเล่าจะอยู่ยงได้นานในสังคมมนุษย์ ผู้คิดว่าตัวเองสูงนัก สวิทช์ไฟแตะเพียงปลายนิ้วกดสัมผัส หลอดกลมมล ขาวนวล หลากหลายแบบ ก็กระพริบแสง สองสามครั้งไม่นานก็สว่างไสว ไปทั่วอีกครั้ง
ในขณะที่ทุกบ้านเปิดไฟสว่าง บ้านหลังหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรมากนักในชนบท แต่วันนี้จะแปลกออกไปหากมีใครสังเกต ว่าห้องของ ติน เด็กหนุ่ม วัยรุ่นที่กำลังจะย่างเข้าสู่รั้วมหาลัยนั้นมันผิดปกติไปจากเดิม ไฟที่ตินมักจะเปิดอ่านหนังสือในห้อง หลังฟ้าดับ ทุก ๆ วันนั้น มันไม่เปิดในวันนี้ เพื่อนบ้าน คนรอบข้างไม่เอะใจมากนัก คิดเพียงแต่ว่าทุกอย่างคงจะมีเหตุผลในตัวมันเอง ใช่แล้ว ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวมันเอง
ห้องนอนสลัวและอับแสงลงทุกขณะ ตามการขึ้นของดวงจันทร์และการตกของดวงอาทิตย์ หน้าต่างที่เปิดไว้ มีลมเย็น เอื่อย ๆ พัดเข้ามาเป็นระยะ สายลมช่างสัมผัสเบาหวิวชวนเคลิบเคลิ้ม สู้ห้วงนิทรา เสียเหลือเกิน สำหรับยามเย็นเช่นนี้ ในห้องที่ดูเป็นระเบียบ ข้าวของถูกจัดเป็นที่เป็นทางดูสะอาดตา ของใช้ถูกจัดวางอย่างคำนึงถึงการหยิบจับใช้สอยได้สบาย ชั้นหนังสือมุมขวาของห้องติดกับประตู ถูกทำความสะอาดอย่างดี ไม่มีไรฝุ่นจับแม้แต่น้อย บ่งบอกถึงการดูแลอยากมาก ไม่มีสิ่งใดในห้องของเด็กหนุ่มที่ส่งเสียง นอกจากเสียงหายใจ และเสียงเต้นของหัวใจของเด็กหนุ่ม ซึ่งหากไม่ตั่งใจฝักก็ไม่อาจได้ยินและรับรู้ได้ ว่าเสียงนั้น ไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอเอาเสียเลย
เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงที่เคย นุ่มอุ่น แต่บัดนี้เข้ากลับคิดว่าช่างแข็งกระด้าง และหยาบมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเตียงหินอ่อนก็ไม่ปาน สายตาที่เหม่อจ่องตรงออกไปข้างหน้าเหมือนมองวิวสลัวนอกหน้าต่าง สายตานั้นบ่งบอกว่าติน กำลังตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความคิดอย่างไม่มีใครดึกขึ้นมาได้ นอกจากตัวตนของตินเอง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ถูกลื้อออกจากแฟ้มในสมอง ฉายขึ้น ในหัวของติด เริ่มต้นตั่งแต่เหตุการณ์สำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง ในตอนทุกข์ ในตอนสุข ภาพทุกอย่างหวนกลับมาอย่างโหยหา อาจเป็นเพราะเขาต้องการค้นหาบางอย่างจากมัน หรือมันต้องการค้นหาเข้ากันแน่
ภาพเหล่านั้นเริ่มตั่งแต่ ความสุขแรก ตอนจำความได้ ฉายมาจนถึงเมื่อวาน เมื่อชั่วโมงที่แล้ว แล้วก็จบลงที่ภาพของห้องนี้ เหมือนการเดินไปข้างหน้าของเข็มนาฬิกา เพียงแต่มัน เดินช้าและหยุดรออารมณ์ของเด็กหนุ่มในช่วงนั้น จนวนไปเริ่มใหม่อย่างเชื่อช้า อ้อยอิ่ง เหตุการณ์ลอยผ่านเป็นความทรงจำที่เลื่อนลอย ความทรงจำเหล่านี้ค่อย ๆ ทำให้เข้ารู้สึกลอยล่อง ตกอยู่กลับอดีต แล้วเวลาก็เหมือนหยุดเดิน
ครันภาพวนกลับมา สู่ความทรงจำหนึ่งเมื่อครั้งเยาว์วัย ฉายภาพเด็กน้อยที่นั่งอุ้มลูกสุนัขนัวเล็กหน้ารักวิ่งเล่นรอบบ้านอย่างสนุกสนาน ตินเผยยิ้มน้อย ๆ กลับภาพนี้ก่อนภาพก่อนจะเริ่มตัวสั่น เด็กน้อยอุ้มลูกสุนัขแปลเปลี่ยนเป็นร้องไห้เสียแล้ว ทุกอย่างอึมครึมในวันฝนตก เข้าจำได้ว่านั้นเป็นความรู้สึกแห่งการสูญเสียผู้เป็นที่รักครั้งแรก เด็กหนุ่มเคยคิดว่ามันเป็น สิ่งที่ทรมานจิตใจมากที่สุดแล้ว จนไม่นานมานี้
“เจ็บปวดหรือโดดเดี่ยว” มีเสียงแทรกดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท อย่างแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบที่ข้างหู ภาพทรงจำหยุดอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน ค้างเติ่งอยู่ในหัว ตินค่อย ๆ มองหาต้นตอของเสียง หวังอยากได้ยินอีกครั้ง สายตาที่เหม่อลอยดูมีความสงสัยขึ้นมาอย่างประหลาด ไล่เลียงมองตั่งแต่ ชั้นหนังสือ โต๊ะ อ่านหนังสือ ถังขยะ ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ดูไล่ไปจนทั่วห้อง ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตใดอื่น นอกจากตัวเขาเอง ความรู้สึกเย็นวาบโรมเลีย ตั่งแต่กลางหลังไปจนทั่วทั้งตัว เหมือนถูกมือเย็น ๆ สัมผัสลูบไปทั่วร่าง ความกลัวกำลังเกิดเมื่อนึกถึง สิ่งผิดธรรมชาติที่จะมาในรูปแบบต่าง ๆ แต่แปลก ที่หัวใจของติน เริ่มเต้นนิ่งแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอขึ้นอย่างแปลกประหลาด
“ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรกันอยู่แล้ว” เสียงประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง เป็นรอบที่สอง ตินดึงผ่าห่มขึ้นมาคลุมรอบร่างของตน ก่อนจะสังเกตรอบ ๆ อีกครั้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนรอบแรก เกิดเสียงลมฟัดเสียดสีกับผ้าม่าน ไหววูบ ตินหันไปดูทางหน้าต่างห้องทันที ก่อนจะต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น ภาพที่สะท้อนบนกระจกเงาบานใหญ่ที่ตั่งอยู่พิงพาดอยู่กลับขอบหน้าต่าง เด็กหนุ่มเริ่มฉงนใจ เขาจำได้ว่าไม่มีกระจกบานใหญ่ขนาดนี้อยู่ในห้อง แต่นั้นก็ยังไม่น่าแปลกเท่ากับภาพที่สะท้อนในกระจก ม่านตาของตินเบิกกว่าง อย่างตกใจ คำถามผุดดังก้องในโสต “ใครกันที่นั่งกอดเราจากข้างหลังอยู่ในกระจก ? ”
ว่ากันว่าภาพในกระจกมักจะสะท้อนความจริงอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้เข้ามิอาจรู้ได้เลยว่ามันสะท้อนใคร ในเมื่อเขาอยู่ตนเดียวโดดเดี่ยวในห้อง ขังตัวเองด้วยจิตของตน ไว้ตั่งแต่เช้า ประดุจดั่งนกน้อยในกรงที่ไม่มีเจ้าของใส่ใจ ให้อาหาร แล้วเหตุใดกระจกจึงสะท้อนภาพผู้ชายสองคนอยู่ตรงหน้านี้ คนหนึ่งนั่งกอดเข่า ห่มผ้า ซึ่งตินมั่นใจว่านั่นคือตัวเขาอย่างแน่นอน แล้วผู้ชายอีกคนนั่นหละ คนที่นั่งกอดเขาจากด้านหลังแล้วเอาคางเกยกับไหล่ซ้ายของตินอยู่นั้นเป็นใคร ด้วยห้องที่สลัว ๆ และมีเงาจากบางอย่างบดบัง ทำให้มองหน้า ชายในกระจกไม่ชัดนัก ความตระหนกเกิดกอบกุมจิตใจพร้อมกับความอบอุ่นแปลก ๆ ชายในกระจกยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กำชับ อ้อมกอด ทำไมกัน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกกลัวชายในกระจกเลย ?
“ผมคือคนที่คุณรู้จักดี และไม่รู้จักเลยไงหละ” เสียงกระซิบดังขึ้นในโสตอีกครั้ง เสียงช่างคุ้นเคยเกินกว่าที่จะกลัวได้ เมื่อได้ยินเสียง ตินพร่าง นึกว่าจะเป็นคนรอบตัวเขาหรือเปล่า แต่ก็นึกถึงใบหน้าของใครไม่ออกเลย เพราะภาพที่หยุดไว้ในหัว ภาพเหตุการณ์เมื่อสามสี่วันก่อน มันลอยเด่นรการเล่นซ้ำอยู่ในหัวของติน
“ตินจะคิดอะไรให้เสียเปล่าเราคือคนที่คุณจากไปไม่นาน เมื่อนานมาแล้ว” สิ้นเสียงกระซิบภาพที่ค้างรออยู่ในหัว ก็เล่นซ้ำขึ้น ภาพของร่างพ่อแม่ที่ถูกพาไปนอนในโรง ภาพงานฌาปนกิจ ภาพของเหล่าญาติ และคนสนิท เดินมาบอกเสียใจ และปลอบประโลม เขา เขาสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่งไปถึงสองคนพร้อมกัน ความจริงที่แสนโหดร้าย คอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่าตินโดดเดี่ยวในโลกกว่างแล้ว น้ำตาเด็กหนุ่มไหลอาบพวงแก้มอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสั่นเทิบ สะอื้นอึก ความเจ็บปวดวิ่งตรงกัดกินหัวใจ สายตายังคงจ้องคนในกระจกอย่างไม่ลดละ ชายในกระจกค่อย ๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าตินอย่างช้า ๆ ภายนอกกระจกไร้สัมผัส ใดเลย แต่ทว่า สายน้ำตาแห่งความโศกเศร้า ของเขากลับหยุดไหลช้า ๆ หรือคน ๆ จะเป็นคุณพ่อ พ่อหรือเปล่า ?
“นายกำลังลืมสิ่งสำคัญ นายกำลังลืมเรา” ใบหน้าที่ยิ้มในตอนแรกของชายในกระจก แปลเปลี่ยนสลดลงแล้วในตอนนี้ ตินไม่เข้าใจ เขาไม่ใช่พ่อหลอกหรือ แล้วเขาเป็นใครกัน ใครกันที่ตอนนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ตินรู้สึกคุ้นเคยกับชายในกระจกเหลือเกิน มากจนคิดไม่ออกว่าชายในกระจกคือใคร
ติ ติ๊ด ๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ขัดจังหวะทุกสิ่ง ตินตกในเล็กน้อยก่อนจะระสายตาจากกระจกไปมองต้นตอของเสียง นากาบอกตัวเลขว่า ตีสี่แล้ว เวลาเดินไม่เคยรอสิ่งใดจริง ๆ
“ อ่า ผมคงต้องไปแล้ว” เดี๋ยวสิ เด็กหนุ่มคิดประท้วงในใจ เรายังไม่เห็นหน้านายเลยชายในกระจก คุณเป็นใครกัน จะได้เจอกันอีกไหม ? คำถามหลากหลายมากมายเกิดดังก้องในหัวของเด็กหนุ่ม ชายในกระจกเผยยิ้มอีกครั้งมาให้ แสงจากรถยนต์ข่างนอกส่องเข้ามาในหน้าต่างเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ม่านตาตินเบิกกว่าง ความตกใจและความโง่แล่นผ่าน ความโศกและความเสียใจหายหมดสิ้น
“เราจะอยู่ใกล้ ๆ นาย จะคอยดูนายตลอด” อ้อมกอดกระชับขึ้น อบอุ่นกว่าครั้งใด อย่างสุดซึ้ง “อย่าเศร้าเลย เพราะเราจะเป็นทุกข์ จงสุขเพราะเราจะสุข อย่าขังเราไว้ในกรงอีกเลย เราคือคนที่รักนายที่สุด” กระจกค่อย ๆ แตกร้าว แล้วกลายเป็นผีเสื้อราตรีสีดำ มากมาย ค่อย ๆ กระพือปีกบินขึ้นช้า ๆ เกิดละอองสะท้อนแสงระยิบวิบวับ ทุก ๆ อย่างตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเด็กหนุ่ม ใบหน้าของชายคนนั้น กระจก และผีเสื้อ
ไม่มีภาพใดจากอดีตลอยขึ้นมาอีกหากเข้าไม่นึกถึง ในหัวของตินว่างเปล่าลอยล่อง ม่านเปลือกตาค่อย ๆ ต่ำลง ทุก ๆ อย่างเหมือนหยุดนิ่งตกสู่ความมืดสลัวอีกครั้ง สายลมพัดเอื่อยเย็นสบายจากด้านนอกผ่านหน้าต่าง กระทบประโลมจิต แล้วเด็กหนุ่มก็หลับใหลสู่ห้วงนิทรา ของการพักผ่อน
....
..
.
.
เสียงไก่พันธ์ คอดีขันดังก่องในตอนเช้า มาพร้อมกับเสียงวิทยุ ของข้างบ้าน ที่มักจะเปิดบ่อย ๆ ในช่วงเวลานี้ ความรู้สึกคัน ๆ ที่ปลายจมูก เป็นเหมือนนาฬิกาปลุก ที่ทำให้เด็กหนุ่มนอนอุตุตื่นขึ้น ตินค่อย ๆ ลืมตามองที่มาของกลิ่นหอม ๆ และบางอย่างที่เกาะจมูกของเขาอยู่ ผีเสื้อราตรีสีดำคือสิ่งแลกของเช้าวันนี้ที่เขามองเห็น และมันก็เหมือนจะมองเห็นเขาตื่นเช่นกัน ผีเสื้อกระพือปีกแล้วบินขึ้นลวดลาย บนปีกสวยงามเป็นรูปวงน้ำ มีละออง สะท้อนแสงหลุดร่วงระยิบระยับ แต่เพียงเขากระพริบตา มันก็หายไปเสียแล้ว เขาไม่คิดใส่ใจอะไรมาก เพียงแต่ติดใจเท่านั้น มันทำให้เข้าหวนนึกถึงชายในกระจกเมื่อคืน เขายิ้มออกมาอย่างสดชื่น หันไปมองนาฬิกา ถ้าไม่รีบจะไม่ทันใส่บาตรพระแน่นอน
ท้องฟ้าวันนี้ไม่ปลอดโปร่งนัก ฟ้าเบื่องบนครึ้มสลัวเมฆหม่นปกคลุม สายลมเย็นพัดผ่านสั่นสะท้าน เช้านี้ไม่เป็นเช้าที่สดใสเอาเสียเลย ต่างกับอารมณ์ของเด็กหนุ่ม ที่สดใส เจิดจ้า ลาวกลับยกตึกใหญ่สูงเสียดฟ้าที่บดบังแสงในใจออกหมดแล้ว เหลือเพียงทุ่งกว้างกับมวลดอกไม้ นานาชนิดที่เขารู้จักเท่านั้น ตินยืนอยู่หน้าบ้านของตนเพื่อรอใส่บาตรพระ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เค้านอนไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มดูโทรมเหมือนคนอดนอนเลย ใบหน้าของเขากลับอิ่มเอม ผ่องใสเปล่งปลั่ง เหมือนคนที่นอนมาอย่างเต็มอิ่ม มีเพื่อนบ้านเข้ามาทักตินบ้าง แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เพราะสิ่งที่สะกดความสนใจของเขาตลอดเช้าคือสิ่งที่เกาะอยู่บนนิ้วของเขาในตอนนี้
ผีเสื้อราตรีสีดำสวย รวดรายหม่นงดงาม ยามที่ได้จ้องมองเหมือนถูกตราตรึงเข้าสู่ราตรีนิรันดร์กาล แม้มันจะเป็นผีเสื้อราตรีแต่ในวันนี้มันกลับบินอยู่เกือบจะทั่วบ้านของเขา และทุกครั้งที่เจอตินจะหยุดมองความสวยสีหม่นนั้น ลวดลายบนปีกสะกดเขาอย่างมิอาจละสายตา มันบินเข้ามาเกาะเขาเสมอ เหมือนต่างคนต่างอยากเจอกัน แม้เข้าไม่อยากละสายตาเพียงใดแต่เมื่อตาเริ่มแห้ง และเขากระพริบตา เจ้าผีเสื้อราตรีก็จะหายไปทุกครั้ง เหมือนเมื่อตอนตื่นนอนไม่มีผิด
ในยามที่ตินมองผีเสื้อเข้าหวังทุกครั้งให้มันพาเขาเจาะลึกลงไปหาชายในกระจกคนนั้นที่นั่งกอดเขาเมื่อคืน ตินจำได้ว่า ใบหน้าที่เขาเห็นนั้นเป็นใบหน้าของเขาเอง เป็นเขาเองอย่างแน่นอน ตัวเองกอดตัวเอง แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเอง ก่อนที่กระจกจะหาย ปากของชายในกระจกขยับขมุบขมิบ “รักเราให้มาก ๆ “ มันทำให้ใจของตินคิดได้ทันทีว่าเขาลืมตัวตนของตนเองไปแล้วเสียหมดสิ้น เข้าสงสัยว่าเพราะเหตุนั้นหรือจึงเห็นภาพตนเองกอดตนเองเมื่อคืนนี้ และขณะที่กระจกกลายเป็นผีเสื้อโบยบิน มันเหมือนสลักที่ทำให้ตินจมปลักอยู่กับห้วงอดีต หลุดออกไปแล้ว
เขาตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปในปัจจุบัน เพราะไม่มีคนในอดีตคนใด จะดีใจหากคนในปัจจุบันไม่เดินไปในปัจจุบันของตนเองเป็นแน่
หลังจากใส่บาตรรับพรพระ เด็กหนุ่มรู้สึกเบ่งบานเต็มหัวใจ ความปิติผาสุกเกิดในใจอย่างเต็มเปี่ยมจนเอ่อล้น ขณะที่ติน ก้มสาละวนกับการเก็บของอยู่ ตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นคน ๆ หนึ่งกำลังเดินบนถนน ผู้หญิงผิวขาวซีดนวดตา สวมชุดเดรสสีดำสมส่วน กางร่มสีดำเดินแลดูหม่นหมองอย่างประหลาด น่าค้นหา แต่ที่ดูน่าสนใจกว่าคือเหล่าผีเสื้อราตรีสามสี่ตัวที่บินตามเธอ มันเหมือนมีมนต์สะกดให้ขาของตินเริ่มเดินตาม เธอคนนั้น และผีเสื้อ เขามีความรู้สึกว่าอยากคุยกับเธอ อยากจ่องมองผีเสื้อ เขายิ้มอย่างดีใจ
อากาศที่ไม่สดใสยามเช้า เสียงตึงใหญ่เกิดขึ้นบนถนนในแถบชนบท ร่างของติน ลอยขึ้นสู่ฟ้าก่อนจะค่อย ๆ หล่น แมะกับพื้น ในท่านอนหงาย ดวงตาของเขาเหมือนจ่องมองบางอย่างอยู่ ใบหน้ายิ้มแย้ม เปี่ยมสุขแม้ตอนที่ร่างกระทบพื้น เลือดค่อย ๆ ไหลนองทั่วบริเวณรอบตัวเด็กหนุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ด โปรยลงมา ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รถชนกรีดร้องผวา เด็กหนุ่มนอนแน่นิง พุงกระเพื่อมหายใจเบาบางโรยริน ฝูงผีเสื้อราตรีบินมาวนรอบ ๆ เขา มีตัวหนึ่งเกาะอยู่ปลายจมูกของติน ภาพผีเสื้อราตรีและภาพท้องฟ้าโปรยฝน นั้นเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตเขา กว่ารถพยาบาลจะมาก็สายไปเสียแล้ว
หญิงในชุดเดรสสีดำยืนมองเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ร้อยยิ้มเย็นเยือกปรากฏบนหน้าของเธอ ดวงตาหม่นจับจ่องไปยังร่างที่กำลังถูกหามขึ้นรถ ผู้คนรอบข้างไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลย ดุจอากาศ และนั้นก็เป็นเรื่องหน้ายินดีอย่างยิ่ง “ฝนโปรย ปรอย ๆ ท้องฟ้าอึมครึมดูท่าจะไม่มีแดดอุ่น ๆ นะครับวันนี้” เสียงทุ่มนุ่มลึกดังขึ้นข้าง ๆเธอ มันก้องเหมือนกระซิบข้างหู เธอมองเขาด้วยหางตาก่อนจะเอ่ย
“ยังไม่ชินหรือ นะขณะที่นายตายยังมีฝนตกเลย ฆาตกร”แล้วมอบยิ้มเย็น ๆ ให้
“เธอยังยิ้มสวยเหมือนเดิมเลยนะ” เข้าแสยะยิ้มให้เธอ
แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นกับทั้งสอง ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกจากปากของฆาตกร หรือชายในกระจกอีกเลย ไม่มีเสียงใดออกจากปากของหญิงชุดดำเช่นกัน สองคนยืนยิ้มรอเงียบ ๆ ก่อนผีเสื้อราตรีสีดำที่เกาะจมูกของตินจะบินกลับมา เธอยกมือขึ้นมาให้ผีเสื้อเกาะที่นิ้ว แล้วก็ก้าวเดินช้า ๆ บ่งบอกว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
หึหึหึ เสียงหัวเราะดังก้องจากคนทั้งสอง ที่เดินสวนคนไปบนทางเท้า ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ให้ความสนใจ หรือควรเห็น แล้วทั้งสองก็หายไปในฝูงชน
ในยามโพล้เพล้ สลัว สลัว แสงทองของวันค่อย ๆ จางหาย อาทิตย์ค่อย ๆ อัสดงลารับขอบฟ้า ฟ้าครามเปลี่ยนสีทีละน้อยทีละนิด ความมืดของราตรีกาล คืบคานไล่ต้อน ทำให้มืดมัวไปทั่วทุกหนแห่งในไม่ช้าเป็นแน่ แต่ความมืดใดเล่าจะอยู่ยงได้นานในสังคมมนุษย์ ผู้คิดว่าตัวเองสูงนัก สวิทช์ไฟแตะเพียงปลายนิ้วกดสัมผัส หลอดกลมมล ขาวนวล หลากหลายแบบ ก็กระพริบแสง สองสามครั้งไม่นานก็สว่างไสว ไปทั่วอีกครั้ง
ในขณะที่ทุกบ้านเปิดไฟสว่าง บ้านหลังหนึ่งก็ไม่ต่างอะไรมากนักในชนบท แต่วันนี้จะแปลกออกไปหากมีใครสังเกต ว่าห้องของ ติน เด็กหนุ่ม วัยรุ่นที่กำลังจะย่างเข้าสู่รั้วมหาลัยนั้นมันผิดปกติไปจากเดิม ไฟที่ตินมักจะเปิดอ่านหนังสือในห้อง หลังฟ้าดับ ทุก ๆ วันนั้น มันไม่เปิดในวันนี้ เพื่อนบ้าน คนรอบข้างไม่เอะใจมากนัก คิดเพียงแต่ว่าทุกอย่างคงจะมีเหตุผลในตัวมันเอง ใช่แล้ว ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวมันเอง
ห้องนอนสลัวและอับแสงลงทุกขณะ ตามการขึ้นของดวงจันทร์และการตกของดวงอาทิตย์ หน้าต่างที่เปิดไว้ มีลมเย็น เอื่อย ๆ พัดเข้ามาเป็นระยะ สายลมช่างสัมผัสเบาหวิวชวนเคลิบเคลิ้ม สู้ห้วงนิทรา เสียเหลือเกิน สำหรับยามเย็นเช่นนี้ ในห้องที่ดูเป็นระเบียบ ข้าวของถูกจัดเป็นที่เป็นทางดูสะอาดตา ของใช้ถูกจัดวางอย่างคำนึงถึงการหยิบจับใช้สอยได้สบาย ชั้นหนังสือมุมขวาของห้องติดกับประตู ถูกทำความสะอาดอย่างดี ไม่มีไรฝุ่นจับแม้แต่น้อย บ่งบอกถึงการดูแลอยากมาก ไม่มีสิ่งใดในห้องของเด็กหนุ่มที่ส่งเสียง นอกจากเสียงหายใจ และเสียงเต้นของหัวใจของเด็กหนุ่ม ซึ่งหากไม่ตั่งใจฝักก็ไม่อาจได้ยินและรับรู้ได้ ว่าเสียงนั้น ไม่เป็นจังหวะสม่ำเสมอเอาเสียเลย
เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงที่เคย นุ่มอุ่น แต่บัดนี้เข้ากลับคิดว่าช่างแข็งกระด้าง และหยาบมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเตียงหินอ่อนก็ไม่ปาน สายตาที่เหม่อจ่องตรงออกไปข้างหน้าเหมือนมองวิวสลัวนอกหน้าต่าง สายตานั้นบ่งบอกว่าติน กำลังตกอยู่ในห้วงเหวแห่งความคิดอย่างไม่มีใครดึกขึ้นมาได้ นอกจากตัวตนของตินเอง เรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ถูกลื้อออกจากแฟ้มในสมอง ฉายขึ้น ในหัวของติด เริ่มต้นตั่งแต่เหตุการณ์สำคัญบ้าง ไม่สำคัญบ้าง ในตอนทุกข์ ในตอนสุข ภาพทุกอย่างหวนกลับมาอย่างโหยหา อาจเป็นเพราะเขาต้องการค้นหาบางอย่างจากมัน หรือมันต้องการค้นหาเข้ากันแน่
ภาพเหล่านั้นเริ่มตั่งแต่ ความสุขแรก ตอนจำความได้ ฉายมาจนถึงเมื่อวาน เมื่อชั่วโมงที่แล้ว แล้วก็จบลงที่ภาพของห้องนี้ เหมือนการเดินไปข้างหน้าของเข็มนาฬิกา เพียงแต่มัน เดินช้าและหยุดรออารมณ์ของเด็กหนุ่มในช่วงนั้น จนวนไปเริ่มใหม่อย่างเชื่อช้า อ้อยอิ่ง เหตุการณ์ลอยผ่านเป็นความทรงจำที่เลื่อนลอย ความทรงจำเหล่านี้ค่อย ๆ ทำให้เข้ารู้สึกลอยล่อง ตกอยู่กลับอดีต แล้วเวลาก็เหมือนหยุดเดิน
ครันภาพวนกลับมา สู่ความทรงจำหนึ่งเมื่อครั้งเยาว์วัย ฉายภาพเด็กน้อยที่นั่งอุ้มลูกสุนัขนัวเล็กหน้ารักวิ่งเล่นรอบบ้านอย่างสนุกสนาน ตินเผยยิ้มน้อย ๆ กลับภาพนี้ก่อนภาพก่อนจะเริ่มตัวสั่น เด็กน้อยอุ้มลูกสุนัขแปลเปลี่ยนเป็นร้องไห้เสียแล้ว ทุกอย่างอึมครึมในวันฝนตก เข้าจำได้ว่านั้นเป็นความรู้สึกแห่งการสูญเสียผู้เป็นที่รักครั้งแรก เด็กหนุ่มเคยคิดว่ามันเป็น สิ่งที่ทรมานจิตใจมากที่สุดแล้ว จนไม่นานมานี้
“เจ็บปวดหรือโดดเดี่ยว” มีเสียงแทรกดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท อย่างแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบที่ข้างหู ภาพทรงจำหยุดอยู่เมื่อไม่กี่วันก่อน ค้างเติ่งอยู่ในหัว ตินค่อย ๆ มองหาต้นตอของเสียง หวังอยากได้ยินอีกครั้ง สายตาที่เหม่อลอยดูมีความสงสัยขึ้นมาอย่างประหลาด ไล่เลียงมองตั่งแต่ ชั้นหนังสือ โต๊ะ อ่านหนังสือ ถังขยะ ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ดูไล่ไปจนทั่วห้อง ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตใดอื่น นอกจากตัวเขาเอง ความรู้สึกเย็นวาบโรมเลีย ตั่งแต่กลางหลังไปจนทั่วทั้งตัว เหมือนถูกมือเย็น ๆ สัมผัสลูบไปทั่วร่าง ความกลัวกำลังเกิดเมื่อนึกถึง สิ่งผิดธรรมชาติที่จะมาในรูปแบบต่าง ๆ แต่แปลก ที่หัวใจของติน เริ่มเต้นนิ่งแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอขึ้นอย่างแปลกประหลาด
“ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรกันอยู่แล้ว” เสียงประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง เป็นรอบที่สอง ตินดึงผ่าห่มขึ้นมาคลุมรอบร่างของตน ก่อนจะสังเกตรอบ ๆ อีกครั้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนรอบแรก เกิดเสียงลมฟัดเสียดสีกับผ้าม่าน ไหววูบ ตินหันไปดูทางหน้าต่างห้องทันที ก่อนจะต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น ภาพที่สะท้อนบนกระจกเงาบานใหญ่ที่ตั่งอยู่พิงพาดอยู่กลับขอบหน้าต่าง เด็กหนุ่มเริ่มฉงนใจ เขาจำได้ว่าไม่มีกระจกบานใหญ่ขนาดนี้อยู่ในห้อง แต่นั้นก็ยังไม่น่าแปลกเท่ากับภาพที่สะท้อนในกระจก ม่านตาของตินเบิกกว่าง อย่างตกใจ คำถามผุดดังก้องในโสต “ใครกันที่นั่งกอดเราจากข้างหลังอยู่ในกระจก ? ”
ว่ากันว่าภาพในกระจกมักจะสะท้อนความจริงอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้เข้ามิอาจรู้ได้เลยว่ามันสะท้อนใคร ในเมื่อเขาอยู่ตนเดียวโดดเดี่ยวในห้อง ขังตัวเองด้วยจิตของตน ไว้ตั่งแต่เช้า ประดุจดั่งนกน้อยในกรงที่ไม่มีเจ้าของใส่ใจ ให้อาหาร แล้วเหตุใดกระจกจึงสะท้อนภาพผู้ชายสองคนอยู่ตรงหน้านี้ คนหนึ่งนั่งกอดเข่า ห่มผ้า ซึ่งตินมั่นใจว่านั่นคือตัวเขาอย่างแน่นอน แล้วผู้ชายอีกคนนั่นหละ คนที่นั่งกอดเขาจากด้านหลังแล้วเอาคางเกยกับไหล่ซ้ายของตินอยู่นั้นเป็นใคร ด้วยห้องที่สลัว ๆ และมีเงาจากบางอย่างบดบัง ทำให้มองหน้า ชายในกระจกไม่ชัดนัก ความตระหนกเกิดกอบกุมจิตใจพร้อมกับความอบอุ่นแปลก ๆ ชายในกระจกยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กำชับ อ้อมกอด ทำไมกัน ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกกลัวชายในกระจกเลย ?
“ผมคือคนที่คุณรู้จักดี และไม่รู้จักเลยไงหละ” เสียงกระซิบดังขึ้นในโสตอีกครั้ง เสียงช่างคุ้นเคยเกินกว่าที่จะกลัวได้ เมื่อได้ยินเสียง ตินพร่าง นึกว่าจะเป็นคนรอบตัวเขาหรือเปล่า แต่ก็นึกถึงใบหน้าของใครไม่ออกเลย เพราะภาพที่หยุดไว้ในหัว ภาพเหตุการณ์เมื่อสามสี่วันก่อน มันลอยเด่นรการเล่นซ้ำอยู่ในหัวของติน
“ตินจะคิดอะไรให้เสียเปล่าเราคือคนที่คุณจากไปไม่นาน เมื่อนานมาแล้ว” สิ้นเสียงกระซิบภาพที่ค้างรออยู่ในหัว ก็เล่นซ้ำขึ้น ภาพของร่างพ่อแม่ที่ถูกพาไปนอนในโรง ภาพงานฌาปนกิจ ภาพของเหล่าญาติ และคนสนิท เดินมาบอกเสียใจ และปลอบประโลม เขา เขาสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักยิ่งไปถึงสองคนพร้อมกัน ความจริงที่แสนโหดร้าย คอยย้ำเตือนอยู่เสมอว่าตินโดดเดี่ยวในโลกกว่างแล้ว น้ำตาเด็กหนุ่มไหลอาบพวงแก้มอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสั่นเทิบ สะอื้นอึก ความเจ็บปวดวิ่งตรงกัดกินหัวใจ สายตายังคงจ้องคนในกระจกอย่างไม่ลดละ ชายในกระจกค่อย ๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าตินอย่างช้า ๆ ภายนอกกระจกไร้สัมผัส ใดเลย แต่ทว่า สายน้ำตาแห่งความโศกเศร้า ของเขากลับหยุดไหลช้า ๆ หรือคน ๆ จะเป็นคุณพ่อ พ่อหรือเปล่า ?
“นายกำลังลืมสิ่งสำคัญ นายกำลังลืมเรา” ใบหน้าที่ยิ้มในตอนแรกของชายในกระจก แปลเปลี่ยนสลดลงแล้วในตอนนี้ ตินไม่เข้าใจ เขาไม่ใช่พ่อหลอกหรือ แล้วเขาเป็นใครกัน ใครกันที่ตอนนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก ตินรู้สึกคุ้นเคยกับชายในกระจกเหลือเกิน มากจนคิดไม่ออกว่าชายในกระจกคือใคร
ติ ติ๊ด ๆ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ขัดจังหวะทุกสิ่ง ตินตกในเล็กน้อยก่อนจะระสายตาจากกระจกไปมองต้นตอของเสียง นากาบอกตัวเลขว่า ตีสี่แล้ว เวลาเดินไม่เคยรอสิ่งใดจริง ๆ
“ อ่า ผมคงต้องไปแล้ว” เดี๋ยวสิ เด็กหนุ่มคิดประท้วงในใจ เรายังไม่เห็นหน้านายเลยชายในกระจก คุณเป็นใครกัน จะได้เจอกันอีกไหม ? คำถามหลากหลายมากมายเกิดดังก้องในหัวของเด็กหนุ่ม ชายในกระจกเผยยิ้มอีกครั้งมาให้ แสงจากรถยนต์ข่างนอกส่องเข้ามาในหน้าต่างเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ม่านตาตินเบิกกว่าง ความตกใจและความโง่แล่นผ่าน ความโศกและความเสียใจหายหมดสิ้น
“เราจะอยู่ใกล้ ๆ นาย จะคอยดูนายตลอด” อ้อมกอดกระชับขึ้น อบอุ่นกว่าครั้งใด อย่างสุดซึ้ง “อย่าเศร้าเลย เพราะเราจะเป็นทุกข์ จงสุขเพราะเราจะสุข อย่าขังเราไว้ในกรงอีกเลย เราคือคนที่รักนายที่สุด” กระจกค่อย ๆ แตกร้าว แล้วกลายเป็นผีเสื้อราตรีสีดำ มากมาย ค่อย ๆ กระพือปีกบินขึ้นช้า ๆ เกิดละอองสะท้อนแสงระยิบวิบวับ ทุก ๆ อย่างตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเด็กหนุ่ม ใบหน้าของชายคนนั้น กระจก และผีเสื้อ
ไม่มีภาพใดจากอดีตลอยขึ้นมาอีกหากเข้าไม่นึกถึง ในหัวของตินว่างเปล่าลอยล่อง ม่านเปลือกตาค่อย ๆ ต่ำลง ทุก ๆ อย่างเหมือนหยุดนิ่งตกสู่ความมืดสลัวอีกครั้ง สายลมพัดเอื่อยเย็นสบายจากด้านนอกผ่านหน้าต่าง กระทบประโลมจิต แล้วเด็กหนุ่มก็หลับใหลสู่ห้วงนิทรา ของการพักผ่อน
....
..
.
.
เสียงไก่พันธ์ คอดีขันดังก่องในตอนเช้า มาพร้อมกับเสียงวิทยุ ของข้างบ้าน ที่มักจะเปิดบ่อย ๆ ในช่วงเวลานี้ ความรู้สึกคัน ๆ ที่ปลายจมูก เป็นเหมือนนาฬิกาปลุก ที่ทำให้เด็กหนุ่มนอนอุตุตื่นขึ้น ตินค่อย ๆ ลืมตามองที่มาของกลิ่นหอม ๆ และบางอย่างที่เกาะจมูกของเขาอยู่ ผีเสื้อราตรีสีดำคือสิ่งแลกของเช้าวันนี้ที่เขามองเห็น และมันก็เหมือนจะมองเห็นเขาตื่นเช่นกัน ผีเสื้อกระพือปีกแล้วบินขึ้นลวดลาย บนปีกสวยงามเป็นรูปวงน้ำ มีละออง สะท้อนแสงหลุดร่วงระยิบระยับ แต่เพียงเขากระพริบตา มันก็หายไปเสียแล้ว เขาไม่คิดใส่ใจอะไรมาก เพียงแต่ติดใจเท่านั้น มันทำให้เข้าหวนนึกถึงชายในกระจกเมื่อคืน เขายิ้มออกมาอย่างสดชื่น หันไปมองนาฬิกา ถ้าไม่รีบจะไม่ทันใส่บาตรพระแน่นอน
ท้องฟ้าวันนี้ไม่ปลอดโปร่งนัก ฟ้าเบื่องบนครึ้มสลัวเมฆหม่นปกคลุม สายลมเย็นพัดผ่านสั่นสะท้าน เช้านี้ไม่เป็นเช้าที่สดใสเอาเสียเลย ต่างกับอารมณ์ของเด็กหนุ่ม ที่สดใส เจิดจ้า ลาวกลับยกตึกใหญ่สูงเสียดฟ้าที่บดบังแสงในใจออกหมดแล้ว เหลือเพียงทุ่งกว้างกับมวลดอกไม้ นานาชนิดที่เขารู้จักเท่านั้น ตินยืนอยู่หน้าบ้านของตนเพื่อรอใส่บาตรพระ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เค้านอนไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มดูโทรมเหมือนคนอดนอนเลย ใบหน้าของเขากลับอิ่มเอม ผ่องใสเปล่งปลั่ง เหมือนคนที่นอนมาอย่างเต็มอิ่ม มีเพื่อนบ้านเข้ามาทักตินบ้าง แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เพราะสิ่งที่สะกดความสนใจของเขาตลอดเช้าคือสิ่งที่เกาะอยู่บนนิ้วของเขาในตอนนี้
ผีเสื้อราตรีสีดำสวย รวดรายหม่นงดงาม ยามที่ได้จ้องมองเหมือนถูกตราตรึงเข้าสู่ราตรีนิรันดร์กาล แม้มันจะเป็นผีเสื้อราตรีแต่ในวันนี้มันกลับบินอยู่เกือบจะทั่วบ้านของเขา และทุกครั้งที่เจอตินจะหยุดมองความสวยสีหม่นนั้น ลวดลายบนปีกสะกดเขาอย่างมิอาจละสายตา มันบินเข้ามาเกาะเขาเสมอ เหมือนต่างคนต่างอยากเจอกัน แม้เข้าไม่อยากละสายตาเพียงใดแต่เมื่อตาเริ่มแห้ง และเขากระพริบตา เจ้าผีเสื้อราตรีก็จะหายไปทุกครั้ง เหมือนเมื่อตอนตื่นนอนไม่มีผิด
ในยามที่ตินมองผีเสื้อเข้าหวังทุกครั้งให้มันพาเขาเจาะลึกลงไปหาชายในกระจกคนนั้นที่นั่งกอดเขาเมื่อคืน ตินจำได้ว่า ใบหน้าที่เขาเห็นนั้นเป็นใบหน้าของเขาเอง เป็นเขาเองอย่างแน่นอน ตัวเองกอดตัวเอง แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเอง ก่อนที่กระจกจะหาย ปากของชายในกระจกขยับขมุบขมิบ “รักเราให้มาก ๆ “ มันทำให้ใจของตินคิดได้ทันทีว่าเขาลืมตัวตนของตนเองไปแล้วเสียหมดสิ้น เข้าสงสัยว่าเพราะเหตุนั้นหรือจึงเห็นภาพตนเองกอดตนเองเมื่อคืนนี้ และขณะที่กระจกกลายเป็นผีเสื้อโบยบิน มันเหมือนสลักที่ทำให้ตินจมปลักอยู่กับห้วงอดีต หลุดออกไปแล้ว
เขาตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปในปัจจุบัน เพราะไม่มีคนในอดีตคนใด จะดีใจหากคนในปัจจุบันไม่เดินไปในปัจจุบันของตนเองเป็นแน่
หลังจากใส่บาตรรับพรพระ เด็กหนุ่มรู้สึกเบ่งบานเต็มหัวใจ ความปิติผาสุกเกิดในใจอย่างเต็มเปี่ยมจนเอ่อล้น ขณะที่ติน ก้มสาละวนกับการเก็บของอยู่ ตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นคน ๆ หนึ่งกำลังเดินบนถนน ผู้หญิงผิวขาวซีดนวดตา สวมชุดเดรสสีดำสมส่วน กางร่มสีดำเดินแลดูหม่นหมองอย่างประหลาด น่าค้นหา แต่ที่ดูน่าสนใจกว่าคือเหล่าผีเสื้อราตรีสามสี่ตัวที่บินตามเธอ มันเหมือนมีมนต์สะกดให้ขาของตินเริ่มเดินตาม เธอคนนั้น และผีเสื้อ เขามีความรู้สึกว่าอยากคุยกับเธอ อยากจ่องมองผีเสื้อ เขายิ้มอย่างดีใจ
อากาศที่ไม่สดใสยามเช้า เสียงตึงใหญ่เกิดขึ้นบนถนนในแถบชนบท ร่างของติน ลอยขึ้นสู่ฟ้าก่อนจะค่อย ๆ หล่น แมะกับพื้น ในท่านอนหงาย ดวงตาของเขาเหมือนจ่องมองบางอย่างอยู่ ใบหน้ายิ้มแย้ม เปี่ยมสุขแม้ตอนที่ร่างกระทบพื้น เลือดค่อย ๆ ไหลนองทั่วบริเวณรอบตัวเด็กหนุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ด โปรยลงมา ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รถชนกรีดร้องผวา เด็กหนุ่มนอนแน่นิง พุงกระเพื่อมหายใจเบาบางโรยริน ฝูงผีเสื้อราตรีบินมาวนรอบ ๆ เขา มีตัวหนึ่งเกาะอยู่ปลายจมูกของติน ภาพผีเสื้อราตรีและภาพท้องฟ้าโปรยฝน นั้นเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตเขา กว่ารถพยาบาลจะมาก็สายไปเสียแล้ว
หญิงในชุดเดรสสีดำยืนมองเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ร้อยยิ้มเย็นเยือกปรากฏบนหน้าของเธอ ดวงตาหม่นจับจ่องไปยังร่างที่กำลังถูกหามขึ้นรถ ผู้คนรอบข้างไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลย ดุจอากาศ และนั้นก็เป็นเรื่องหน้ายินดีอย่างยิ่ง “ฝนโปรย ปรอย ๆ ท้องฟ้าอึมครึมดูท่าจะไม่มีแดดอุ่น ๆ นะครับวันนี้” เสียงทุ่มนุ่มลึกดังขึ้นข้าง ๆเธอ มันก้องเหมือนกระซิบข้างหู เธอมองเขาด้วยหางตาก่อนจะเอ่ย
“ยังไม่ชินหรือ นะขณะที่นายตายยังมีฝนตกเลย ฆาตกร”แล้วมอบยิ้มเย็น ๆ ให้
“เธอยังยิ้มสวยเหมือนเดิมเลยนะ” เข้าแสยะยิ้มให้เธอ
แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นกับทั้งสอง ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกจากปากของฆาตกร หรือชายในกระจกอีกเลย ไม่มีเสียงใดออกจากปากของหญิงชุดดำเช่นกัน สองคนยืนยิ้มรอเงียบ ๆ ก่อนผีเสื้อราตรีสีดำที่เกาะจมูกของตินจะบินกลับมา เธอยกมือขึ้นมาให้ผีเสื้อเกาะที่นิ้ว แล้วก็ก้าวเดินช้า ๆ บ่งบอกว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
หึหึหึ เสียงหัวเราะดังก้องจากคนทั้งสอง ที่เดินสวนคนไปบนทางเท้า ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ให้ความสนใจ หรือควรเห็น แล้วทั้งสองก็หายไปในฝูงชน
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ