กรงแลตน

9.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.00 น.

  4 ตอน
  16 วิจารณ์
  8,843 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 18.04 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) กรงแลกรรม กระทำแลตน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

กรงแลกรรม กระทำแลตน

 

แมวสีขาวตัวกลม เดินอุ้ยอ้าย อยู่ในห้องของผมตั่งแต่เช้า สอง สาม วันมานี้ผมนอนหลับสบายและมีนาฬิกาปลุกเป็นเสียงของสัตว์หน้าขนตัวจุ่น แสนน่ารัก แต่เจ้าเหมียวตัวนี้ไม่ใช่ของผมหลอก หนุ่มโสดวัยสามสิบกว่าอย่างผมไม่เลี้ยงแมว ผมเคยคิดจะถามเจ้าเหมียวเหมือนกัน ว่ามาจากไหน แต่ก็มีความคิดด่าตัวเองว่าบ้าตามมาทุกครั้ง จนล้มเลิกและไม่อยากรู้อะไรในตัวมันนัก ในเมื่อมันเป็นเพียงเจ้าแมว ขี้เกียจ ขนสีขาว นัยน์ตาสีขาวตัวหนึ่งเท่านั้น

 

                เจ้าแมวกลมนั่งเลียขนข้างประตูในยามเช้า ดวงตาขาวของมันมองที่ผมทันที เมื่อผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง บนเตียง ผมมองสบตาแมวขาว นัยสายตามันเหมือนผสมไปด้วยห้วงอารมณ์เห็นใจและสงสารอย่างแปลกประหลาด ทุกครั้งที่ผมจ่องเข้าไปในตาของมัน ผมมักรู้สึกถึงความหดหู่สิ้นหวัง ตาสีขาวเหมือนสิ่งแปลกปลอมที่ว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด เหมือนตกอยู่ในวังวนของอดีต และปัจจุบัน แต่ไม่มีอนาคต   ซึ้งมันทำให้ผมถูกใจเจ้าเหมียวเหลือเกิน ผมละสายตาจากมัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ สองสามครั้ง แมวขาวเดินเข้ามาคลอเคลียถูตัวที่ขาของผม เช้านี้ไม่สดใสจริง ๆ

 

                เสียงเปิดฝักบัวดังขึ้นเบา ๆ ด้วยเกลียวที่เก่า ก่อนที่น้ำเย็นใสจะพุ่งกระทบร่างกายกำยำสมส่วน น้ำไหลสัมผัสตั่งแต่ศีรษะที่สูงลงไปหาเท้า ที่ต่ำอย่างรวกเร็ว แล้วไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ ผมยืนนิ่ง ๆ หลับตา ปล่อยให้ความคิดโลดแล่นไปกับสายน้ำเย็น ซึมซับกับความรู้สึก รู้สัมผัสของน้ำยามไหลไปตามรูขุมขน เหมือนมือที่อ่อนนุ่มแสนเย็นชืดลูบไล้ไปตามตัว มันช่างน่าหวาดหวั่นอย่างประหลาด

 

                ผมค่อย ๆ ละเลงฟอกสบู่ไปตามร่างกายอย่างช้า ๆ เงยหน้าฟังเสียงน้ำที่ไหลหระทบพื้น เหมือนเสียงดนตรีจังหวะแปลก ที่บรรเลงสอดประสานกับเสียงหัวใจ   ผมไม่รู้ว่าเป็นเครื่องดนตรีชนิดไหน จะบอกว่าเป็นดนตรีสายน้ำก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว แต่ในความรู้สึก จังหวะมั่นช่างเจ็บปวด เหมือนเสียงโหยหวนแสนไพเราะของอดีต

 

                เมื่อถูสบู่มาจนถึงหน้าอกก็ต้องรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจากสัมผัสที่ฝ่ามือแล่นเข้าสู่หัวใจ แผลเป็นยาวที่หน้าอกเด่นชัดในทุกครั้งที่สัมผัสโดน ทุก ๆ ครั้งมันช่างน่าหวาดกลัว และเจ็บปวด ลูกผู้ชายมีแผลเป็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแผลเป็นเหล่านั้น มันเหมือนหมุดที่ตอกย้ำถึงเหตุการณ์ในอดีต อย่างชัดเจนและไม่มีทางลืมเลือน หมุดของผม แผลเป็นของผม มันก่อความแค้น เมื่อนึกถึง

 

...

..

.

 

สุริยาลับฟ้าไปแล้ว เมฆคล้อยลอยผ่ายจันทร์นวล เต็มดวง ทำให้แสงวูบไหว แสงตัดสว่างบ้าง นวลบ้าง และก็มืดบ้างเป็นช่วง ๆ ตามเงาของต้นไม้ในทางเปลี่ยว ทางใกล้บ้านที่ผมเดิน และคุ้นชินกับทางทั้งชีวิต แสงจันทร์วันนี้สวยงามนวลตาอย่างหน้าประหลาด ให้ความรู้สึกอบอุ่น ลุ่มหลง ยามสัมผัสแสงจันทร์เหมือนได้รับอ้อมกอด มันอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกในตัวนะตอนนั้น ที่ทำให้ผมลุ่มหลงไปกับบรรยากาศยามค่ำคืน ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ในขณะที่ยังก้าวขาเดินไปเลื่อย ๆ ตามประสาคนชินเส้นทาง ไม่ใช่ว่าไม่กลัวล้ม กลัวแต่ก็ต่อต้านหัวใจที่โหยหาความงามของตัวเองไม่ได้เสียแล้ว ในยามแสงจันทร์ต้องหน้าอย่างเต็มแต้ม ห้วงหนึ่งของผม อยากจะหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของมันเสียแล้ว หากทำได้ ก็คงจะดีกว่านี้ และในยามที่เดินไปอยู่ใต้เงาไม้ที่มืดสลัว ก็เหมือนกับผมกำลังถูกกลืนกิน จากสัมผัสเย็น ๆ ที่แล่นเข้าสู่หัวใจ

 

                “สวัสดีครับ” ผมได้ยินเสียงคนเรียกจากด้านหลัง เสียงนั้นทำลายภวังค์ทั้งหมดของผม ก่อนที่ผมจะหันหลังเพื่อตามหาเจ้าของเสียงนั้น เสียงนั้นแววเสียงสดใสของวัยรุ่นหนุ่ม แต่ช่างไร้มนุษย์สัมพันธ์สิ้นดี ในตอนนั้นโลกของผมยังสวยอยู่ไม่ได้คิดเอะใจอะไรเลย ในจังหวะที่หันไป ก็มีเสียงของหนัก ๆ กระทบกับบางอย่าง นั้นเป็นเสียงสุดท้ายสำหรับการชมจันทร์ของผม สัมผัสสุดท้ายในตอนนั้นคือความปวด อย่างหนักที่ท้ายทอย ก่อนสัมผัสจะค่อย ๆ ลางเลือน ดวงตาของผมค่อย ๆ ปิดลง ภาพวัยรุ่นหน้าตาดีกำลังยืนยิ้มอยู่ ยิ้มที่แสนจะเลวร้าย

 

                ในความฝันมีความผาสุกและเจ็บปวด เรื่องที่มีความสุขที่สุดเกิดขึ้นในความฝันบ่อยครั้ง เรื่องที่เจ็บปวดก็เช่นกัน ดังนั้น บางเรื่องที่เกิดจากความจริงเราจึงอยากให้มันเกิดขึ้นเพียงในความฝัน เรื่องจริงคือฝันร้าย ความเจ็บปวดคือความจริงที่ได้รับและคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ในตอนนั้นตอนที่ผมได้แผลเป็น ผมอยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ฝันร้ายแห่งความจริงที่เกิดขึ้น

 

                น้ำเย็นสาดกระเซ็นเต็มหน้าของผมอย่างแรง ผมเริ่มรู้สึกตัวสติหวนกลับมา อาการปวดที่ต้นคอยังคงปวดตุบ ๆ ร่างกายหนังอึ่งเหมือนแต่ละส่วนเป็นเหล็กตัน แขนขยับไม่ได้เพราะโซ่ที่มัดข้อมือห้อยไว้ ผมสะบัดหัวขยับคอไร่อาการปวด ยังดีที่มันช่วยได้เล็กน้อย สายตาค่อย ๆ ไล้มองไปรอบ ๆ ตัว ทั้งห้องมืดมิด มีแสงสลัวแค่ตรงที่ผมยืนอยู่เท่านั้น ผมปรับสายตาให้เข้ากับความมืด หวังจะมองหาต้นตอของสายน้ำที่สาดใส่ แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด แต่รสสัมผัสกลับเด่นชัดว่ามีสายตาหลากคู่มองผมอยู่ อย่างไม่ปลอดภัยนัก หรือว่าผมตายแล้ว? หรือนี้คือนรก ผมพยายามออกเสียงพูดแต่ก็มีออกมาเพียงความเงียบ เพราะปากของผมถูกปิดมัดไว้ด้วยผ้า นี้มันอะไรกัน?

 

                “ตื่นแล้วหรือมึง “ เสียงที่ผมคิดว่าเคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ดังขึ้นข้าง ๆ ตามมาด้วยเสียงเบา ๆ เหมือนคนกระซิบ เสียงเหล่านั้นเย็นเยือกเหมือนเสียงของไกปืนแห่งความโกรธ ก่อนที่ท่อนเหล็กหน้าจะลอยฟาดกระแทกท้องของผมดัง อุก ความเจ็บและจุกแล่นพล่านจากหน้าท้องสู่สมองเป็นเหมือนสัญญาณเริ่มต้น เสียงหัวเราะดังได้ยินเป็นระยะ หูของผมอื้ออึงไม่สามารถจับใจความได้อย่างแน่ชัด ความเจ็บบดบังทุกสิ่งเสียแล้ว

 

                ท่อนเหล็กถูกฟาดตามสัดส่วนของร่างกาย ซ้ำ ๆ เน้นและแรง สัมผัสเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ใจอยากจะขาดตายเสียตรงนั้น รอยแดงจากการถูกทุบตี แยกไม่ออกจากรอยเลือด น้ำตาไหลหลังจากความเจ็บปวด เสียงกระดูกหัก เสียงร่างกาย ประท้วงบอกให้พอได้แล้ว มันช่างทรมานเหลือเกิน แล้วทุกอย่างก็หยุดลง เสียงท่อนเหล็กดังกระทบพื้น เหมือนถูกคว้างทิ้ง ผ้าที่มัดปากของผมถูกแก้ เลือดตีขึ้นทะรักออกมาอย่างหยุดไม่ได้ ไม่มีเสียงพูดอีกแล้ว ปวดจนใจจะขาดดิน ผมภาวนาขอให้ทุกอย่างจบเพียงเท่านี้ แต่ก็เปล่าเลยเมื่อรู้สึกได้ถึงรสสัมผัสเย็นวาบ และของสะท้อนแสงแวววาว ผมเบิกตากว้างอย่างสิ้นหวัง นี่ไม่ใช่นรก แต่นี้ไม่ต่างกันเลย แม้แต่นิด ผมขยับปากน้อย ๆ เปล่งเสียงออกมาเบา ๆ “อย่า”

 

                เสียงหัวเราะดังขึ้นก้องสะท้อน มันดังชัดในโสตประสาทผมอย่างประหลาด มันเป็นเสียงของวัยรุ่น ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย เจ็บปวดเหลือเกิน หน้ากลัวเหลือเกิน ใบมีดถูกยื่นมาแตะที่หน้าอกผม หัวใจของผมเต้นไปอยู่นอกตัวแล้วเป็นแน่ ผมรู้สึกได้ถึงหน้าของตัวเองที่คงจะซีดสลด เหมือนกระดาษที่พร้อมจะฉีกขาด

 

                “เฮ้ยผิดตัวเว้ย มึงจับมาผิดคน” เสียงใหม่ดังดั่งระฆังทองบอกหมดเวลา มาพร้อมกับแสงจันทร์และประตูที่เปิดออก ทั้งห้องดูสว่างขึ้นมาอย่างนวลตา ใบมีดถูกลดลง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก มันคงจบแล้ว จบเพียงเท่านี้ ผมไอออกมาเป็นเลือดอีกสองสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้ แสงจันทร์ส่องต้องใบหน้าของเด็กห้าคนอย่างไม่ชัดนัก มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกถึงความซวยที่ตัวเองมี ผมมั่นใจว่าไม่เคยเจอเด็กวัยรุ่นพวกนี้มาก่อน ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ โลกชั่งโหดร้าย หัวใจของผมหวาดกลัว และกำลังหดตัวลงทีละน้อยในความคิด กลุ่มเด็กวัยรุ่นคุยกันซักพักก่อนจะกลับมาล้อมผมไว้ ผมขยับปากถามว่าจะปล่อยแล้วหรือ แต่ก็ไม่มีเสียงอีกตามเคย ผมหันมองรอยยิ้มชั่ว ๆ ของพวกเขา ความหวาดกลัวเกิดขึ้นอีกเท่าตัว ผิดตัวไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ปล่อยผมละ ?

 

                มีดแวววาวถูกยกขึ้นอีกครั้ง สติของผมเริ่มเตลิดผมส่ายหน้าขอความเห็นใจให้พวกเขาหยุด คมแหลมลางไปทั่วบริเวณหน้าท้องของผม อย่างหวาดเสียง กดเพียงน้อยก็ทะลุถึงข้างใน แต่มีดก็ยังลากวนไปมาเหมือนจะหาตำแหน่งที่เหมาะสม เสียงพูดดังขึ้นรอบตัวแต่ผมหาได้สนใจไม่ มีดน่าสนใจที่สุดในเวลานั้น ปลายมีดลากขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าอก ใจผมหายวาบ ความเย็นลึกปักลงไปในเนื้อ สัมผัสเจ็บและทรมานทำให้ผมร้องรั้นอย่างสุดเสียง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าไม่มีเสียงลอดออกมาเลย เลือดเย็นไหลออกอาบมีด ก่อนที่มีดจะถูกเลื่อนกรีดเป็นแนวขวาง ยาวถึงอีกฝั่ง ผมร้องขอให้หยุดอีกครั้ง ร้องขอความเมตตา แต่ก็ไม่มีใครให้สิ่งที่ผมต้องการ มีดยังคงกรีดปาดเนื้อไปช้า ๆ เคลื่อนตัวทีละน้อย เหมือนเล่นสนุก ยกขึ้น และแทงกรีดใหม่อย่างระวังไม่ให้เข้าลึกถึงอวัยวะภายใน ความเจ็บปวดร้าวเหลือทน ก่อความดำมืดขึ้นในอก จนทำให้สติสุดท้ายของผมดับวูบลง อาบกองเลือดและน้ำตา

 

                เสียงนกร้องเพลงและสายลมเบา ๆ ปลุกผมให้ตื่นจากฝันร้ายช้า ๆ เปลือกตาหนักอึ้งร่างกายเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง รู้สึกว่าขยับมากไม่ได้ เพียงขยับน้อยนิดความปวดร้าวจากกระดูกก็เข้าถึงหัวใจ ห้องสีฟ้าสะอาดตา ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวโบกสะบัดตามสายลม แสงแดดอ่อน ๆ ส่องเข้ามาในห้องบ่าง ๆ หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นความมืด   และเหล่าผู้ก่อกรรม ภาพเหตุการณ์ไหลกลับสู้สมอง ความเจ็บแล่นไปทั่วร่างอีกครั้ง ผมพยายามยกมือขึ้นแตะผ้าพันแผลที่หน้าอก ภาพเลือดไหลและคมมีดชัดเจนในหัว ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่นี้คงเป็นโรงพยาบาล

 

                ผมเบาใจเป็นอย่างมากที่ได้มาอยู่ที่นี้ ขาข้างซ้ายเข้าเฝือกไว้ มีรอยเมจิกเขียนว่า”ขอโทษ” ผมไม่รู้ว่าใครเขียนไว้ แต่มันไม่สำคัญแล้วนะตอนนั้น หัวใจของผมมันดำมืดเสียแล้ว โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยเป็น โลกของผมตอนนี้ช่างโสมม เหมือนกองขยะชีวิตที่ทิ้งคนเขลาได้ตลอดเวลา แม้สายน้ำตาก็เยียวยาไม่ได้ ในเมื่อมันดำมืด และเหนียวเกาะกิน ผมก็พร้อมแล้วที่จะจมมืดไปกับมัน ห้วงแห่งหัวใจที่ไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีทางลืมเลือดบทชีวิตแห่งความเจ็บปวด และบอบช้ำ ไม่มีทางลืมกรรมที่ถูกกระทำแน่นอน

 

.

..

...

 

ผมปิดฝักบัวหลังจากล้างคราบต่าง ๆ ออกหมด จนมั่นใจว่าสะอาด   คว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดแล้วพันลอบเอว ก่อนจะเดินออกไปแต่งตัวอย่างสบายอารมณ์ ทุก ๆ อย่าง ดำเนินไปอย่างปกติสุข ผ่านมา 3 เดือนแล้ว นับตั่งแต่วันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ไม่มีการขึ้นโรงขึ้งศาล ตำรวจปิดคดีอย่างง่ายดายและเงียบเชียบ ด้วยอำนาจของเงิน แต่ใครจะสนกฎหมายที่มีช่องโหว่มากมายนั้น   ผมเลื่อนจานข้าวให้เจ้าเหมียว ก่อนจะลูบหัวมันเบา ๆ อย่างหมั่นเขียว มันขู่เบา ๆ อย่างกวนใจในเวลากินของมัน ผมหยิบหนังสือพิมพ์ของเช้าวันนี้ขึ้นมาอ่านอย่างสนุกและสุขล้น ยิ้มทะลักกับข่าวหนึ่ง

 

“สังหารโหด 5 ศพวัยรุ่นชายในโกดังร้าง

พบศพไวรุ่นชาย 5 ศพในโกดังร้างแถบชานเมือง สภาพศพถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม สันนิฐานว่าถูกตีด้วยท่อนเหล็ก ไปทั่วร่างกาย และใช้มีดกรีดตามตัวและตัดเส้นเลือดปล่อยให้ตายอย่างช้า ๆ จากการตรวจค้นที่เกิดเหตุไม่พบอาวุธ และล่องลอยของฆาตกร ….”

 

                หึหึหึ ผมหัวเราะก้องบ้านอย่างเสียสติ ในใจเบาโหวงเหมือนได้ปลดปล่อย ใครจะสนกฎหมายกัน กฎแห่งโลกคืออ่อนแอต้องเป็นเหยื่อ กฎแห่งกรรมคือกรรมสนอง หึหึหึ

 

               

                แมวสีขาวเดินมาหยุดอยู่หน้าของผู้ให้ข้าว ให้น้ำ อย่างเชื่องช้า สายตาของมันจ้องมองอย่างลึกล้ำไปที่ชายเลขสามสิบ กรงกรรมมาในทุกรูปแบบและมาอย่างไม่ทันตั่งตัวเสมอ มันเดินพาร่างปุกปุยเข้าไปหาเขาก่อนจะร้องเหมียว เหมียว เป็นจังหวะแปลก ๆ และเดินอุ้ยอ้ายหายไปอย่างไม่ทันสังเกต

 

 

                เสียงแมวดังก้องทั่วทั้งโสตประสาทของผม

 

                เสี่ยงนั้นเป็นจังหวะแปลก ๆ

 

                ผมนั่งนิ่งตาลอยอย่างมีสติ ผมรับรู้ทุกการกระทำของตัวเองแต่กลับควบคุมมันไม่ได้ เสียงของแมวลอยล่องก้องไปมา มือของผมวางหนังสือพิมพ์ลง ทั้ง ๆ ที่ผมยังอยากอ่านข่าวต่อไป ผมเริ่มรู้สึกถึงความแปลกประหลาดของร่างกาย รสสัมผัสยังคงรู้สึกแต่กลับดูเหมือนเชื่องช้า ร่างกายของผมกำลังทำกิจวัตรประจำวันเองตรงเวลา และไม่ฝังคำสั่งผมเลยแม้แต่น้อย จังหวะหนึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ร้างกายผมเสียแล้ว ความยินดีปนสงสัยเกิดขึ้นในจิตใจผม ทำไมร่างกายเราไม่ทำตามคำสั่งจากความคิดของเรากัน?

 

                ร่างกายของผมเดินออกมานอกบ้านโดยไม่สนจะปิดหรือตรวจล็อคบ้านเลยด้วยซ้ำ ผมเริ่มรู้สึกหวั่นในอก ความกลัวกำลังก่อตัว มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกัน ร่างกาย ผมคุมร่างกายไม่ได้ ผมทำได้เพียงมองดูการกระทำต่าง ๆ ของร่างกายตัวเอง   เลวร้าย ใช้นี้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก ผมเหมือนถูกขัง คงเป็นเพียงจิตใจที่ถูกร่างกายขังไว้ในกรงแห่งตน ภาพเมฆฝนยามเช้าให้ความรู้สึกหดหู่มากขึ้น แต่ก็เพียงเท่านั้นเมื่อมองลอดผ่านกรงนี้ มองผ่านช่องดวงตาอย่างเศร้าหมอง เหมือนนักโทษแดนประหาร

 

                ร่างกายเปิดประตูรถออกมา   ไม่เลย ผมไม่อยากไปทำงานในวันนี้ ทุก ๆ อย่างมันสับสนไปหมด เกิดอะไรขึ้น? ผมถามคำถามนี้กลับตัวเองเป็นรอบที่ร้อย ร่างกายของผมขึ้นไปนั่งบนรถอย่างเร่งรีบโดยคำประท้วงของผมยังไร้ผลเช่นเดิม ทุก ๆ อย่างเหมือนเริ่มไวขึ้นในความเป็นจริง แต่ผมผู้ถูกขัง ผมคือวิญญาณหรือ ? ในนี้ช่างให้ความรู้สึกเชื่องช้า ผมมองเห็นทุกอย่าง แล้วผมจะมองเห็นไปเพื่ออะไร ในเมื่อ ร่างกายของผมทำทุกอย่างเหมือนโดนเชิดใย น่าน้อยใจจริง ๆ

 

                รถส่งน้ำแข็งเคลื่อนตัวออกจากประตูบ้าน โดยมีผมนั่งน้ำตาตกในเป็นผู้โดยสารและร่างกายเนื้อเป็นผู้ขับขี่ เสียงร้องเหมียวของเจ้าแมวยังคงดังเป็นจังหวะก่องกล่อมจิตใจ และตอกย้ำความรู้สึกของผมนัก รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างประหลาด ช้าบ้าง เร็วบ้าง เหมือนมันกำลังรอเวลาและมองหาบางอย่าง ภาพบ้านเลือนที่คุ้นเคยปรากฏในสายตาอย่างหดหู่ ผ่านมาและ หายไป หลังแล้ว ก็อีกหลัง   รถเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อเจอบางสิ่งอยู่บนถนน เสียงจังหวะหัวใจของผมเต้นช้าลง เสียงตึกตัก เริ่มเบาอ่อนเหมือนกลั้นหายใจ รถเลื่อนเข้าไปใกล้สิ่งนั้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นตามการเหยียบของเท้า  หัวใจก็เต้นเบาแทบหยุดเต้น

 

                สิ่งนั้นบนถนนปรากฏสู่สายตาของผม เมื่อเห็นชัดเจน หัวใจของผมกลับมาเต้นเข้าสู่จังหวะปกติ เด็กหนุ่มที่กำลังเดินอย่างเหม่อลอยข้ามถนนด้วยรอยยิ้ม ผมพยายามสั่งให้เท้าเหยียบเบรกรถ แต่ก็ไร้ผลตามเคย น้ำตาของผมหลังออกมาอีกครั้งอย่างไม่มีสาเหตุ และครั้งนี้ร่างกายของผมก็ร้องออกมาด้วย ผมไม่รู้ตัวเองเลยว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ก้อนความสะใจจะเกิดขึ้นน้อย ๆ แต่ก็มีความเศร้ามากกว่า ก่อนแรงกระแทกจะหยุดรถ ทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ หยุดแม้แต่น้ำตาแห่งความสับสนในความรู้สึกสุขใจ

 

                ร่างเด็กหนุ่มนอนหงายจมกองเลือดอยู่บนพื้นสะท้อนเข้ามาในแววตาของผม ความสุขเล็ก ๆ ค่อย ๆ ก่อตัว และกำลังกลืนกินบางสิ่งในจิตใจ เด็กหนุ่มในกองเลือดทำให้ผมนึกถึง ช่วงเวลาที่กดมีดลงไปบนความแค้น กดลงบนร่างวัยรุ่นเหล่านั้นผู้มอบตัวตนใหม่ให้ผม สัมผัสของเลือดในตอนที่สาดกระเซ็นมาโดนนั้นยังตรึงอยู่ มันเย็นและสดชื่น แม้ภาพเด็กถูกรถชนตรงหน้าจะกำลังยิ้มอยู่ ผมก็อดสนุกไม่ได้ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าร่างกายกำลังหยิบบางสิ่งออกมาจากเกะรถ

 

                กระบอกปืนแวววาวถูกจับผ่านระยะสายตา ผมตกใจสุดชีวิตเมื่อเห็นมัน ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมร่างกายเหมือนหมอกสีดำ ร่างกายค่อย ๆ ยกปืนขึ้นจ่อที่ขมับช้า ๆ ไม่ ไม่ผมไม่อยากตาย ผมร้องตะโกนอย่างสุดเสียง ต่อต้านเต็มที่แต่ก็ไร้ผล ร่างกายของผมยังคงจ่อปืนและหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสาย สัมผัสเย็น ๆ ตรงขมับเด่นชัด   เสียงปังดังขึ้นและก่องอื้ออึงอยู่ในหัวของผม กระสุนแล่นทะรุออกอีกฝั่ง เลือดสีแดงกระเด็นเต็มไปหมด ก่อนที่สายตาของผมจะพร่าเลือนและปิดลง แมวสีขาวตัวนั้น กำลังยืนอยู่บนกระโปรงรถ ดวงตาข้างหนึ่งของมันค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำช้า ๆ แล้วทุกอย่างก็ดับไป

-----------------------------------------------------------------------------

 

                555+ เสียงหัวเราะล่าของยมทูตหนุ่มน้อย หน้าตาหล่อเหลาดวงตา ผม และผิวขาวสว่าง เข้ากับชุดเสื้อคลุมสีขาวอย่างมาก เขากำลังอารมณ์ดีด้วยภารกิจที่สำเร็จไป สายตาเขาทอดมองไปยังศพทั้งสอง อย่างชื่นชมในผลงานของตน แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อสายตาแลเห็นบางคนบนถนน เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เกลียดชัง และอยากที่จะกำจัดทิ้ง เมฆหลั่งฝนลงมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเขา เธออยู่ที่นี้?

 

                “ใช่เธออยู่ที่นี้” เจ้าแมวสีขาวเอ่ยขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มละสายตาจากหญิงในชุดเดรสสีดำ แมวสีขาวมองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตร แมวตัวนี้คือคู่หู คือบัดดี้ของเขา

 

                “เจ้ารู้อยู่แล้วเหรอ ว่าเธอต้องมา” ยมทูตถามอีกครั้งก่อนจะหันไปมองหญิงในชุดเดรสสีดำ เธอกำลังยืนคุยกับฆาตกร ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ เขาจำหมอนั้นได้ดวงวิญญาณหมายเลข 13.1313 ผู้หายสาบสูญ ชายผู้นั้น ผู้มอบความหวัง

 

                “ไปกันเถอะงานของเราจบแล้ว” แมวสีขาวบอกกับยมทูต ก่อนจะสยายปีกสีดำใหญ่ออกมา

 

                “กลับไปทำรายงาน อีกแล้ว ข้าไม่ชอบเขียนเลย” ยมทูตบ่นออกมาอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงรายงานที่ต้องทำเมื่อกลับไป เขามองหญิงในชุดเดรสอีกครั้ง ก่อนจะถูกเจ้าเหมียวจับแล้วบินขึ้น

 

                หึหึ เธอคนนั้นช่างร้ายกาจจริง ๆ ช่างน่าสนุกนัก แต่สายลมที่พัดฝนมักไม่ยืนยาวหลอก เธอผู้ถูกตัดขาดกำลังทำสิ่งใดกัน ข้าแมวสีขาวผู้มองดูทุกสิ่งบนโลก กำลังเฝ้ามองเจ้าอยู่ แล้วเราจะเจอกัน หญิงในชุดเดรสสีดำ

---------------------------------------------------------------------------------

 

 

เหอะ ๆ เสร็จแล้ว อีกตอน และก็คงจะหยุดตอนนี้  ส่วนตัวผมคิดว่าตอนนี้ไม่ดีเลย

แต่บางคนอาจจะบอกว่าไม่ดีตั่งแต่เรื่องแล้ว 555

หวังว่ามันจะสนุกไม่มากก็น้อยครับ  ลงก่อนวันสำคัญ 

แล้วเขียนเรื่องวันวาเลนไทน์ต่อ 55 ลงทันไม่ทันไม่รู้ รู้ว่าไม่ลง 55

และอีกครั้ง เรื่องนี้คำผิดยังคงมี แม้ว่าผมจะแก้แล้ว -3-

ขอบคุณที่อ่าน ขอบคุณที่วิจารณ์ครับ  ขอทุกคนจงมีวันของตนเองบ่อย ๆ

 

อย่าสร้างกรงแห่งตนละ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา