กรงแลตน

9.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.00 น.

  4 ตอน
  16 วิจารณ์
  8,847 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 18.04 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ฆาตกรแลตน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ฆาตกรแลตน

               

               เสื้อคลุมหนาถูกคลุมร่างที่เย็นเยือกก่อนจะพาเดินออกห้องแห่งซี่กรงที่มืดมิด เหล่าคนผู้ทะนงในตำแหน่งกระซิบเย้ยหยัน ข้างหูอย่างหยาบคาย ก่อนจะพาข้าเดินไปตามทางมืดสลัว ที่มีเพียงแสงตะเกียงดวงน้อยติดผนังสาดส่องเท่านั้น ข้ากำลังเดินออกจากคุก สถานที่ที่เหล่าทรชนในร่างคนดีตัดสินผู้อื่นนั้นบาปแล้วขังไว้ คุกที่แสนมืดมิดและทรมาน แห่งนี้

               

 

               ข้าเดินตามไปทางตามที่ผู้คุมบอกมาเรื่อย เดินมาเกือบถึงทางออก แสงส่องอยู่ข้างหน้า ปลายเท้าข้าเดินอยู่ระหว่างทางเดินมืดของคุก ข้างหน้าคือแสง แสงแห่งตะวันที่โหยหา ก่อนจะถูกบอกให้หยุดเดินอย่างกะทันหัน ปลายมือข้าเท่านั้นที่ต้องแสงที่สาดส่อง ผ่านช่องประตูเข้ามาเพียงเล็กน้อย ความรู้สึกอุ่นแล่นผ่านฉับพลัน นานเหลือเกินกับความรู้สึกนี้ ข้าโหยหามัน ลมร้อนฉ่าจากด่านนอกพัดกระทบกายข้า ทุกอณูความรู้สึกทั่วร่างค่อย ๆ ตื่นตัว ความดีใจก่อตัวอีกครั้งกับสัมผัสที่ไม่ได้เจอมาแสนนาน อิสระที่ข้าโหยหาจากส่วนลึกของชีวิตกำลังจะเป็นจริงแล้ว 

                แรงผลักจากด้านหลังเป็นการบอกให้เดินต่อ ปลายท้าวก้าวแรกต้องแสง ทั้งตัวต้องแสง แสงแดดที่เคยบ่นว่าร้อนที่สุดในอดีตบัดนี้มันกลับอบอุ่นที่สุดในใจจิต ข้างนอกยังคงสวยมิเคยเปลี่ยน ข้าสูดอากาศลึก ๆ หายใจเอากลิ่นอาย แห่งข้างนอกคุก เข้าเต็มปอด อย่างกลัวว่ามันจะเป็นอากาศแห่งลมร้อนครั้งสุดท้าย ก่อนเงยหน้ามองดวงสุริยาที่สาดแสงร้อนแรงใส่ ช่างยาวนานในความรู้สึกเหลือเกินที่ไม่ได้เจอกัน อาทิตย์เจ้าใหญ่ขึ้นหรือเปล่า ยกมือที่มีโซ่ตรวนขึ้นหวังจะกอบกุมอาทิตย์จ้าไว้ในมือ แต่มันคงเป็นแค่ความหวังยังวันยังคำ คงมิเปลี่ยนแปลง

               

               แรงผลักเกิดขึ้นอีกครั้ง ข้าเซไปข้างหน้าเล็กน้อย ผู้คุมช่างขัดจังหวะแห่งห้วงความสุขยิ่งนัก คำเหยียดออกจากปากผู้คุมคนหนึ่ง

“ดีใจกับแสงครั้งสุดท้ายหรือฆาตกร”

 

               คำเหล่านั้นเสียดแทงความรู้สึก จิตใจ และร่างกายยิ่งนัก ข้ากำมือแน่น ความแค้นก่อตัวเป็นเหมือนก้อนด้ายกลม ๆ จุกในทรวงอก อยากจะขย้ำคนผู้นั้นยิ่ง ความจริงข้ามิได้เป็น ฆาตกร ข้าเป็นเพียงแกะตัวหนึ่ง ที่ถูกผู้คนใส่ร้ายเพียงเพราะความโง่เง่าของตนเองหลอกหลอน เป็นเพียงกวีผู้โดดเดียว ที่นั่งปั้นมนตราแห่งอักษร สะกดผู้คนที่ตาต้องมันเท่านั้น แต่แล้วทุกอย่างก็แปลเปลี่ยน เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ในช่วงบ่ายของวันว่างเมื่อนานมาแล้ว แต่มันเหมือนเกิดขึ้นเพียงลมพัดผ่านเมื่อวานเท่านั้น

                เสียงกระแทกประตูกระท่อมในสวนไม้ป่า ดังสนั่นลั่น หญิงสาว 10 กว่าคนพร้อมกองทหาร บุกเข้ามาในบ้านของข้า ความงงงวยเกิดขึ้นพร้อมอารามตกใจ ข้าถามชนกลุ่มนั้นอย่างนอบน้อม ถึงสาเหตุ ที่ต้องยกพลมาเช่นนี้ แต่ไม่ทันที่คำเอื้องเอ่ยของข้าจะจบ ข้าก็ถูกจับ เพียงเพราะหญิงสาวนางหนึ่งชี้มาทางข้า “มันนั่นแหละฆาตกรหั่นศพ” สิ้นเสียงนี้เท่านั้น เมื่อถูกทหารคุมตัว เพียงก้าวแรกที่เดินออกจากธรณีบ้าน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มีทั้งประชาชนคอยรุมประชาทัน ทั้งก้อนหิน ดิน และเศษขยะ สิ่งของลอยล่อง เพราะถูกปา เสียงด่าทอเสียหายแสนหยาบคาย จากคนที่ไม่เคยรู้จัก ถูกพาขึ้นรถแห่ประจานไปรอบเมือง ก่อนจะขึ้นศาลเพื่อตัดสิน คำพูดของข้าไม่มีผล ไม่มีใครเข้าขางหรือเหลียวแลเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครสงสัยซึ่งพยานหลักฐาน คำตัดสินคือข้าผิดสถานเดียว เดี๋ยวนั้นเองที่ข้ารู้ลึกซึ้งถึงคำว่า อยุติธรรม ของโลก หึหึ ฆาตกรผู้รับบาป เกิดขึ้น และข้าได้รับบทเด่นบทนี้ แต่ทว่า ปีศาจแห่งความโง และ ชั่วร้ายนั้น คงหนีไปไหนไม่ได้เสีย มนุษย์ผู้หลงในตนนั้นเอง

               

               ในเมื่อคำตัดสินสิ้นสุด ความผิดทั้งหลายจบลงที่ข้า ฆาตกรยังอยู่ หัวใจในยามนั้นมันเต้น ระรัว และดังก้อง ภาพทุกอย่างเลื่อนลอย ช้า ๆ ความกลัวเกิดขึ้นในจิต กลัวว่าอิสระจักเลือนรับหายไปชั่วนิรันดร์ กลองที่ถูกตีระรัวจนใกล้แตกไม่ต่างอะไรจากหัวใจข้าในตอนนั้น ความเย็นชืดโลมเลียไปทุกโสตประสาททั่วร่าง หูอื้อ มือสั่น สัมผัสได้ถึงเหงื่อที่ออกมา แล้วข้าก็พบว่ามนุษย์นั้น ต่ำทรามเพียงใด ข้าผิดหวังเหลือเกิน ผิดหวังจากเหล่ามนุษย์   ครั้งนั้นข้ารู้สึกเสียใจครั้งแรก ที่เกิดเป็น มนุษย์

               

 

               ขณะที่นึกย้อนไปถึงอดีต ปัจจุบันนั้น ข้าก็เดินมาถึงที่หมาย ที่ ๆ จะปลดปล่อยข้าเป็นอิสระชั่วนิจนิรันดร์ สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือ เวทีลงทัน ที่ทำจากไม้อย่างดีและแน่นหนา สูงจากพื้นประมาณเมตรครึ่ง เสาสองต้นตั่งตระหง่าน ตรงอยู่กลางเวที ห่างกันพอเหมาะ เสาทั้งสองถูกพาดผ่านด้วยท่อนไม้เป็นเหมือนทางเชื่อมไว้ ตรงกลางมีบ่วงประหาร หรือที่ชาวบ้านเรียก บ่วงฆาตกร แขวนไว้เพื่อรอมอบ ความตายให้แด่นักโทษประหารชีวิต แต่สำหรับข้ามันเหมือนบ่วงที่พร้อมแล้วสำหลับการดึงข้าเข้าสู่อิสรภาพ ลานประหารแขวนคอประจาน คือชื่อเต็มของสิ่งนี้ที่เรียกกันอย่างแพร่หลาย บันไดสี่ขั้น เป็นเอกลักษณ์ ทางขึ้นลงทางเดียวของเวทีลงทันแห่งนี้   ในขณะที่ก้าวเท้าแรก ขึ้นไปเหยียบบนบันไดขั้นที่หนึ่ง ห้วงจิตหวนรำลึกถึงก้าวแรก

 

                ก้าวแรกที่เดินย่างออกจากศาลหลังจบคำตัดสิน เหล่าผู้คุมพาเดินไปตามทางเดินโลง ๆ ที่ไม่มีหลังคา มีเพียงสวนหินเท่านั้นบนพื้นดิน ลวดลายสวยงามประณีต แต่ยามนั้นเมื่อเพียรมองดูอย่างพินิจ ลวดลายเหล่านั้นช่างหดหู่ อดสูยิ่ง ลายบนพื้นเหมือนเส้นแบ่งวงความคิดของมนุษย์ เมื่อละสายตา ข้าเงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีกาล เพื่อหวังจะดูทางช่างเผือกสวยงามอีกครั้ง แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังซ้ำในชีวิด นภามืดที่คิดว่าเวลานี้จะดารดาษไปด้วยดาวระยิบกลับมืดหมอง และมีแสงระยิบจุดเดียวเท่านั้นที่ส่องอยู่บนฟ้า ไม่มีแม้ดวงเดือน ดาวดวงเดียวที่ทอแสงจรัสอยู่บนฟ้ามืด ข้าหยุดมองจ้องดาวดวงนั้นด้วยความรู้สึกเจ็บในทรวงอก อย่างน้อยก็ได้เห็นดาว

                ผู้คุมผลักข้าแล้วสบถด่าอย่างกยาบกร้าน ภาพดาวดวงนั้นยังคงตรึงในตาอย่างมิลางเลือน ดาวดวงสุดท้ายที่ได้เห็นช่างเหมือนกับข้านัก โดดเดี่ยวเหมือนกับข้า สายน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นครั้งแรกตั่งแต่เกิดเหตุ ในขณะทุกย่างก้าวเข้าสู่คุกมืด ไปยังห้องขัง ที่ว่างเปล่า บ้านใหม่อันไม่หน้าอภิรมย์ น้ำตาหยดร่วงหล่นหายไป หายไปพร้อมกับอิสระของชีวิต

               

 

               ตอนที่เดินไปตามทางเดินนั้น ทางค่อย ๆ มืดลงช้า ๆ เหมือนตะวันดับในยามเย็น มิมีสิ่งใดเอ่ยบอกวันเวลาได้ เหมือนโลกหยุดหมุน และลอยเคว้งคว้าง ขณะยกเท้าแต่ละย่าง เสียงโซ่ตรวน ลากคราดครืด เสียดถูไปกับพื้นเย็นเยียบ ไม่มีเสียงใดลอดออกมาจากห้องของผู้ต้องหาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครพูดแม้แต่คนเดียว เมื่อมาถึงหน้าห้อง ๆ หนึ่ง ประตูถูกไข และเปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าด   แรกผลักส่งข้าเข้าไปในห้อง ประดูค่อย ๆ เลื่อนปิด แสงสุดท้ายคือเทียนดวงน้อย ก่อนจะเกิดเสียงลั่นจากการปิดประตู เป็นสัญญาณของนรกมืด บ้านใหม่ของข้า

               

               

 

                ก้าวเดินขึ้นพ้นบันไดสี่ขั้น ขึ้นมาเหยียบยืนอยู่บนเวทีเต็มร่าง ลมพัดแรงขึ้น บงบอกถึงสิ่งที่กำลังตามมา แดดร้อนแรกบัดนี้กลับลาหายไป เมฆครึ้มลอยล่องว่องไวตามกระแสแรงลม มาหยุดนิ่งเหนือศีรษะ ปกคลุมทั่วเวิ้งฟ้า เงยหน้ามองดูมันอย่างคำนึงและขอบคุณ นี้คงเป็นของขวัญจากเบื่อบนประทานให้ข้า เมฆดำมืดขึ้นเลื่อย ๆ ส่งเสียงร้องครวญคราง ครึกโครม ดังกึ่งก้องฟ้า เหมือนกำลังบรรเลงบนเพลงต้อนรับอิสระ ประสานเสียงกับประชาชนแสนโง่เงาที่มาดูการประหาร โห่ร้องขับไร่ “ไปตายซะไอ้ฆาตกร” ส่งอย่างอวยชัย บ้างมีก้อนหินลอยล่องเป็นของกำนัล แสนระทึกให้ ข้ากวาดตาไปรอบ ๆ ช้า ๆ อย่างพิรี้พิไร ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ปิดประสาทสัมผัส เปิดเพียงการรับฟัง เท่านั้น กางใบหูฝังเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นครั้งสุดท้าย เหยียดยิ้มอย่างผาสุก กับบทเพลงบรรเลง ก้อง

               

               ฟ้าร้องครึกโครม คนเย้ยหยัน ลมเสียดสี อ่า มันช่างไพเราะ ยิ่งในยามนี้ บทเพลงส่งสุดท้ายข้าขอบคุณจริง ๆ

               

 

                ลืมตาช้า ๆ ขึ้นมามองรอบ ๆ อีกครั้ง ก็ต้องสะดุจและตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า สุดปลายท้ายสุด ของเหล่าฝูงชน ที่โห่ร้อง ร่าง ๆ หนึ่งกำลังยืนมองมาที่ข้า ดวงตาสองคู่สีดำหม่น เพียงสบเข้าก็เย็นเยือกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง ดุจพายุน้ำแข็งทางตอนเหนือสาดกระซัด ผู้หญิงใบหน้าสะสวย เศร้า หมอง ในชุดเดรสสีดำพอดีร่างเล็ก ชุดดูทันสมัย กลางร่มดำที่เธอมักจะถือติดตัวอยู่ตลอดเหมือนเอกลักษณ์ ผิวขาวหม่นสะอาด ผ่องใส สะดุจตา แต่กลับมิมีใครสักเกตเลยแม้แต่น้อย แม้เธอจะยืนอยู่สุดปลายฝูงคน แต่เธอก็ยังเด่นชัดในความทรงจำข้าเสมอ ตอนนี้เธอคงจะยิ้มเย็นเยือก อย่างผาสุก เป็นแน่ หึหึหึ

               

               ข้าถูกพาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ่วง เสื้อคลุมหนาถูกถอดออกเหมือนถอดทุกสิ่งอย่างจากคุกทิ้ง หากไม่นับโซ่ตรวน ฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง ทุก ๆ คนบนลานก้มหลบ ข้ายืนอยู่อย่างมิกลัวเกรง จะผิดอันใดหายจะตายด้วยฟ้าผ่าแทนการถูกแขวนคอ เกิดกลิ่นใหม่ของเนื้อ ควันลอยคุ้ง ผู้ถือเสื้อนอนแน่นิ่ง   อยู่กลับพื้น มิรู้ว่าสิ้นลมหรือยัง จำได้ว่าเป็นคนที่เย้ยยั่นข้า เหยียดยิ้มผุดที่มุมปาก ข้าหัวเราะในรำคอน้อย ๆ ข้าคงมีเพื่อนร่วมทางอีกหนึ่งคนเสียแล้ว หึหึหึ

               

                บ่วงถูกเลื่อนลงมาช้า ๆ สวมเข้าที่หัว มาหยุดอยู่ที่คอของข้าก่อนจะรัดให้แน่ใจ ว่ามันจะไม่หลุด และเอาชีวิตข้าได้ ผีเสื้อราตรีสีดำบินเข้ามาในสายตา ข้าจดจ่องมันด้วยความสวยงามของมัน ก่อนจะถูกขัด ผู้คุมคนที่สวมบ่วงให้ข้า มองหน้าข้าอย่างมิชอบใจ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่เต็มใจนัก “อยากพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้ายรึไม่คนบาป” หึ คนบาป ข้าหรือคนบาป อยากหัวเราะยิ่งนัก ไม่มีเสียงจากปาก ข้าพยักหน้าขึ้นลงน้อย ๆ ผู้คุมเดินหลบไป จริงแท้แน่นั้นข้าเป็นกวี ใจจิตข้ายังคงเป็นอยู่ ข้าก็อยากมอบบทกวีไว้ ก่อนตายเฉกเช่นกวีผู้อื่น ผู้คุมสั่งทุกคนที่กำลังโห่ร้อง ด่าทอ หยุดแน่นิง เสียงต่าง ๆ หยุดลง แม้กระทั่งสายลม และสายฟ้า ทุกอย่างเหมือนหยุดรอเสียงลมจากปากของข้า

                                               

โอ้มนุษย์สุดลึกแสนโง่เง่า

หลงมัวเมากิเลสสุขสุดต่ำช้า

ข้านี้แหละแกะรับกรรมแห่งวาจา

โอ้นภาอีกไม่นานข้าจักไป

ตัวข้านั้นเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง

ที่ถูกดึงโยกย้ายส่ายเคลื่อนไหว

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนทางไกล

รอคอยไว้จักเจอกันนั้นไม่นาน

              

                 สิ้นเสียงลมปาก จุดยืนบนโลกของข้าก็ไม่มีอีกแล้ว ร่างกายลอยแขวนอยู่กลางอากาศ บ่วงรัดแน่นขึ้นฉับไว ลมหายใจเริ่มติดขัด ร่างลอยนิ่งไม่กระดิกดิ้น ตาค่อย ๆ พร่าหลับลง สัมผัสค่อย ๆ จางหายไป ไม่ทรมานเลยแม้แต้น้อย ภาพสุดท้ายที่เห็นริบหรี่ คือหญิงชุดดำ ร่มสีดำ ผีเสื้อราตรีสีดำ ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง ก่อนสติสุดท้ายจะหมดสิ้น ข้ารู้สึกปิติที่ได้เป็นอิสระ แล้วทุกอย่างก็มืดมิดดับวูบ หึหึหึ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา