กามเทพน้อยสื่อรัก ตอน วุ่นรักคุณอา
เขียนโดย ณัทนที
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เวลา 00.39 น.
แก้ไขเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 02.00 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) คุณอาบ้าเห่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่ไปนอนค้างกับลูกนัทและพิมพ์กานต์ในวันนั้นแล้ว ณภนต์ก็แวะเวียนไปร้านเบเกอร์รี่อยู่เสมอ ๆ ถ้าไม่ติดงานที่ไหนหรือมีงานที่เร่งจริง ๆ เขาจะแวะมาและคลุกอยู่ที่ร้านทั้งวัน ช่วงเวลาที่ทำงานก็มักจะเผลอคิดถึงลูกนัท ว่าจะกินนมรึยัง วันนี้จะร้องไห้มั้ย จะป่วยรึป่าว สารพัด และยังแอบเผื่อแผ่ไปคิดถึงม่าม๊าจอมเซ้าซี้ของลูกนัทด้วย ณภนต์คิดว่าเขาอยากช่วยพิมพ์กานต์ดูแลลูกนัทให้มากกว่านี้ เผื่อว่าวันพิมพ์กานต์มีธุระส่วนตัวต้องไปทำบ้างเขาน่าจะดูแลหลานเองได้ อีกอย่างงานที่ร้านเบเกอร์รี่ก็เยอะ พิมพ์กานต์ต้องทั้งทำงาน ดูแลร้าน แล้วยังต้องดูแลลูกนัทอีก เขาจึงเสนอวิธีแบ่งเบาภาระให้พิมพ์กานต์
“คุณอยากได้พี่เลี้ยงเด็กมั้ย รึว่าพนักงานร้านเพิ่มอีกสักคนดี” ณภนต์ถามพิมพ์กานต์ขณะที่พิมพ์กานต์เอาน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้เขา
“เอามาทำไมค่ะพี่เลี้ยงเด็กน่ะ ฉันก็เลี้ยงลูกนัทเองได้คุณก็เห็น ส่วนพนักงานตอนนี้ที่ร้านก็มีพอแล้ว รับมาอีกคงไม่พอค้าจ้างหรกค่ะ” พิมพ์กานต์ตอบด้วยสีหน้างง
“ก็ดูคุณเหนื่อย ๆ แล้วลูกนัทก็โตขึ้นทุกวัน งานที่ร้านก็เยอะ ผมเลยคิดว่าน่าจะจ้างคนเพิ่มรึไม่ก็พี่เลี้ยงเด็ก เรื่องเงินคุณไม่ต้องเป็นห่วงพี่ดลให้ไว้อยู่แล้ว”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันว่าที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงินที่พี่ชายคุณให้ไว้ ถ้าคุณอยากจะใช้ก็ไว้ซื้อนมให้ลูกนัทเถอะ”
“นมก็ซื้อให้อยู่แล้วนิ”
“แค่นั้นก็พอแล้วนิค่ะ เงินเหลือไม่ชอบรึไง”
“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ผมก็อยากให้หลานได้อะไรดี ๆ ไง”
“หมายความว่าไงค่ะ” พิมพ์กานต์เริ่มโมโห
“ป่าว ๆ ผมไม่ได้ว่าคุณดูแลลูกนัทไม่ดี แต่ผม...กลัวคุณเหนื่อยน่ะ” ณภนต์พูดติด ๆ ขัด ๆ หัวใจเต้นแรง (เป็นบ้าอะไรเนี้ย จะเขินทำไมกันแค่พูดว่าเป็นห่วงแค่นี้เอง) ณภนต์คิด
“ห่ะ!?” (ที่แท้ก็เป็นห่วงเรานี่เอง คิคิ คุณอาสุดหล่อหล่อขึ้นอีก 10% ) พิมพ์กานต์หัวเราะในใจแต่ก็แกล้งทำหน้านิ่ง
“เอ่อ...ผมหมายถึงว่า งานคุณเยอะแล้วถ้าเกิดคุณเหนื่อยขึ้นมา คุณอาจจะดูแลหลานผมไม่ดีก็ได้ ผมเป็นห่วงหลานหรอกนะ อย่าคิดว่าผมห่วงคุณล่ะ แต่จะว่าไปอย่างคุณก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะดูอยู่ทนอยู่นานดี” ณภนต์รีบตอบแต่คำตอบกลับตรงกันข้ามกับที่ใจคิด
“ฉันดูแลลูกนัทได้ดีอยู่แล้ว และฉันก็แข็งแรงมากด้วย ชิ” พิมพ์กานต์ได้ยินคำตอบก็อารมณ์เสียพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันแล้วเดินสะบัดหนีไปทางเคาน์เตอร์ (ฉันของถอนคำพูดที่บอกว่าคุณอาหล่อขึ้น ตอนนี้คุณอาหมดหล่อแล้ว เชอะ) พิมพ์กานต์คิดในใจขณะเดินมาที่เคาน์เตอร์
ตอนเย็น
“คุณอา ผ้าอ้อมของลูกนัทใกล้จะหมดแล้วนะ ช่วยซื้อมาให้ด้วย” พิมพ์กานต์บอกณภนต์ขณะที่ยื่นผ้าอ้อมสำเร็จรูปส่งให้
“ได้ ๆ” ณถนต์รับคำพร้อมกับรับผ้าอ้อมมาใส่ให้ลูกนัทที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“ผมว่าลูกนัทตัวโตขึ้นนะ ดูซิเสื้อเริ่มจะฟิตแล้วนะ เวลาอุ้มก็รู้สึกว่าหนักกว่าเดิมด้วย” ณภนต์พูดหลังจากแต่งตัวให้ลูกนัทเสร็จละอุ้มขึ้นมาพาดบ่า
“อืม ฉันก็ว่างั้น” พิมพ์กานต์เออออตาคุณอาขณะที่เล่นกับลูกนัทอยู่ด้านหลังคนอุ้ม
“งั้นวันเสาร์นี้ เราไปซื้อของกันมั้ย เอาลูกนัทไปด้วย จะได้ไปเที่ยวข้างนอกด้วยไง” ณภนต์เสนอ
“วันเสาร์นี่หรอ ได้ ๆ งั้นวันเสาร์ปิดร้านหนึ่งวันล่ะกัน” พิมพ์กานต์ตอบ
“ปิดร้านหรอค่ะพี่กานต์ เย้ ๆ ทุกคนวันเสาร์นี้ร้านปิดแหละ” ตาลพนักงานร้านที่ทำความสะอาดอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินก็ดีใจรีบตะโกนบอกพนักงานคนอื่น ๆ ดีที่ในร้านไม่มีลูกค้าจึงไม่ได้รบกวน มีแต่ณภนต์ที่หน้ามุ่ยไปบ้าง ก็เขาไม่ชอบเสียงดังนิ
วันเสาร์
ณภนต์มาร้านเบเกอร์รี่แต่เช้า แน่นอนว่าเขาต้องแวะมากินมื้อเช้าที่ร้าน วันนี้พิมพ์กานต์ทำข้าวไข่เจียวง่าย ๆ ไว้ ตอนแรกเธอจะใส่กล่องไว้ให้ณภนต์ไปกินในรถ แต่ณภนต์มาถึงเร็วจึงได้กินข้าวพร้อมกัน โต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ ในห้องครัวหลังร้านรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
(นี่เราไม่ได้กินข้าวเช้ากับใครแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ) ณภนต์คิดพร้อมกับยิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
“เป็นไง อร่อยมั้ยคุณ” พิมพ์กานต์ถามเมื่อเห็นณภนต์ตักข้าวข้าปาก
“ก็ข้าวไข่เจียวธรรมดา” ณภนต์ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ชิ” (จะพูดให้กำลังใจคนทำสักหน่อยก็ไม่ได้ กินก็กินฟรี) พิมพ์กานต์คิด
ทั้งสองกินข้าวกันเงียบ ๆ โดยมีเสียงของลูกนัทอ้อแอ้ ๆ อยู่ในเปลใกล้ ๆ วันนี้ลูกนัทร่าเริงเป็นพิเศษสงสัยจะรู้ว่าได้ไปเที่ยวข้างนอก เมื่อกินข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว คุณอา คุณม๊า และคุณหลานก็ออกเดินทางไปห้างเพื่อซื้อของทันที
“นี่เรามาเช้าไปมั้ยเนี้ย คนยังไม่ค่อยมีเลยนะคุณ” พิมพ์กานต์พูดขณะเดินอุ้มลูกนัทเข้ามาในห้าง
“แบบนี้แหละดี คนเยอะวุ่นวาย” ณภนต์ตอบขณะเดินถือตะกร้าของใช้เด็กตามหลังมา
ณภนต์เดินไปลากรถเข็นมาแล้วให้ลูกนัทนอนในที่นอนสำหรับเด็กที่ติดรถเข็น วางตะกร้าเด็กอ่อนในรถเข็นและตรงไปที่แผนกเด็กอ่อนโดยมีพิมพ์กานต์เดินไปข้าง ๆ
“เสื้อตัวนี้สวยดีนะ” ณภนต์ชูเสื้อให้พิมพ์กานต์ดูและก่อนที่พิมพ์กานต์จะตอบเขาก็วางมันลงในรถเข็น
“นี่คุณซื้อเยอะไปรึป่าว หลายตัวแล้วนะพอก่อนเถอะ” พิมพ์กานต์แย้งเมื่อมองเข้าไปในรถเข็นที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเด็กหลายสิบตัว
พนักงานในห้างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นครอบครัว(ปลอม)นี้ ที่คุณพ่อ(คุณอา)หยิบของใส่รถเข็น แล้วคุณแม่(คุณม๊า)คอยหยิบออกเงียบ ๆ โดยมีเด็กน้อยนอนมองการกระทำของทั้งสองพร้อมส่งเสียงอ้อแอ้ ๆ อย่างสนุกสนาน
“ซื้อรถเข็นสักคันมั้ยคุณ ลูกนัทตัวหนักขึ้นอีกหน่อยอุ้มนานไม่ไหวแน่” ณภนต์ชี้ไปที่รถเข็นเด็ก
“เอาซิ คันนี้ก็น่ารักดีนะ” พิมพ์กานต์ชี้ไปที่รถเข็นเด็กสีฟ้า
“ผมว่าคันนั้นดีกว่านะ มีที่เก็บของด้วย” ณภนต์แย้งแล้วชี้ไปที่รถเข็นเด็กที่เทา
“โอ้ย แพงไปคันใหญ่ด้วย” พิมพ์กานต์แย้ง
“เรื่องเงินไม่ต้องห่วงหรอกน่า คันใหญ่ซิดีอีกหน่อยลูกนัทจะได้นอนสบาย”
“คันใหญ่มันหนักนะคุณ ฉันเข็นลำบากแบกขึ้นรถไปไหน ๆ ก็ลำบาก อีกอย่างฉันว่าเดี๋ยวคุณต้องอยากซื้อรถหัดเดิน เปล ของเล่นใหม่ให้ลูกนัทอีกเยอะแยะ เก็บเงินไว้ซื้อของอื่นบ้าง”
“เอ่อ ก็ได้ ๆ” ณภนต์รับคำอย่างว่าง่าย เมื่อเขานึกถึงของอย่างอื่นที่ต้องซื้อ ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ
แล้วทั้งสองก็ตัดสินใจซื้อรถเข็นเด็กคันเล็กสีฟ้าพับได้ รถหัดเดิน เสื้อผ้าเด็ก ของเล่นเสริมทักษะ ผ้าอ้อม นม อาหารของเด็ก และของสดไว้ใส่ตู้เย็น ความจริงณภนต์เดินไปดูเตียงนอนเด็ก กับโต๊ะเขียนหนังสือมาด้วย ว่าจะซื้อให้เข้าชุดกัน แต่โดนพิมพ์กานต์แย้งว่าลูกนัทยังเด็กอยู่ เขาจึงเก็บความอยากไว้แค่นั้น
เมื่อกลับมาถึงร้านลูกนัทก็หลับสนิทคงเพราะเหนื่อย ส่วนคุณอาก็ขนของเข้าร้านก่อนที่จะนั่งชื่นชมเสื้อผ้าที่ซื้อมาทีละชุด ๆ เหมือนเด็ก ๆ ส่วนคุณม๊าก็เข้าครัวจัดแจงทำอาหารกลางวัน วันนี้พิมพ์กานต์ทำต้มจืดสาหร่าย ผัดผักรวมมิตร และทอดมันกุ้ง พิมพ์กานต์คิดไปว่าถ้านี่เป็นครอบครัวของเธอเองจริง ๆ ก็คงจะดี เธอฝันอยากมีครอบครัวเล็ก ๆ ที่อบอุ่นแบบนี้มานาน เพราะพ่อกับแม่ของเธอทำงานคนละที่กันในตอนเด็ก ๆ เธอจึงไม่ค่อยได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันบ่อยนัก พอพ่อย้ายกลับมาทำงานที่บ้านกับแม่ ก็เป็นเธอเองที่ต้องออกบ้านมาเพื่อเรียนหนังสือ และทำงานเปิดร้านจนไม่ค่อยได้มีเวลากลับไป แต่เธอก็ติดต่อพ่อแม่เธอเสมอ ๆ อย่างเรื่องเลี้ยงลูกนัทเธอก็ขอความช่วยเหลือจากแม่เธออยู่บ่อยครั้งในช่วงแรก ๆ แม่ของเธอเกือบจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาช่วยเธอเลี้ยง แต่เธอไม่อยากให้แม่ลำบากในการเดินทางและไม่อยากให้พ่ออยู่คนเดียวเธอจึงห้ามไม่ให้แม่มา
“ให้ผมช่วยอะไรมั้ยคุณ” เสียงณภนต์ดังขึ้น
“เสร็จหมดแล้ว เหลือแต่จัดโต๊ะค่ะ” พิมพ์กานต์บอกขณะตักต้มจืดใส่ชาม
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยขนไปไว้ที่โต๊ะเลยนะ” ณภนต์ยกถาดใส่อาหารเดินนำออกไป
“ค่ะ” พิมพ์กานต์ถือชามต้มจืดตามไป
ณภนต์ตักข้าวสวยให้พิมพ์กานต์ แล้วทั้งสองก็ทานอาหารกันเงียบ ๆ แต่ไม่อึดอัด ณภนต์รู้สึกว่าเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้มาทานอาหารที่นี่ ไม่รู้เป็นเพราะอาหารอร่อยหรือว่ามีพิมพ์กานต์นั่งทานด้วยก็ไม่รู้ เขาก็ไม่สามารถบอกได้ รู้เพียงว่ามันรู้สึกอุ่น ๆ ในอก เหมือนหัวใจกำลังพองโต ส่วนพิมพ์กานต์เธอรู้สึกว่าณภนต์เป็นผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง เขาใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ แม้ว่าภายนอกจะดูเป็นคนแข็ง ๆ แต่แท้จริงแล้วณภนต์เป็นคนอบอุ่นคนหนึ่งเลย เธอเผลอคิดไปว่าถ้าณภนต์เป็นพ่อคน ต้องเป็นพ่อที่ดีแน่ ๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็รีบส่ายหน้าเบา ๆ
“เป็นอะไรคุณ ส่ายหน้าทำไม” ณภนต์ถามอย่างสงสัย
“ป่าววว ไม่มีอะไร ว่าแต่อาหารอร่อยมั้ย”
“ก็ดี” ณภนต์พูดขณะตักทอดมันกุ้งเข้าปาก
“ตอบแบบนี้อีกล่ะ ตอบอย่างอื่นบ้างไม่ได้รึไง” พิมพ์กานต์บ่น
ณภนต์ไม่ตอบได้แต่ยิ้มเบา ๆ แล้วตักทอดมันกุ้งใส่จานให้พิมพ์กานต์
(ไม่ตอบก็ไม่ถามก็ได้)พิมพ์กานต์คิดในใจ มองทอดมันกุ้งในจานและมองไปที่ณภนต์ที่ก้มหน้าก้มตากิน แล้วเธอก็ยิ้มออกมา
อาหารกลางวันมื้อนี้ผ่านไป อิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งใจคนกินทั้งคู่
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ