สายฝนระคนแสงแดด
8.0
เขียนโดย Gap_ZA
วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.04 น.
2 ตอน
9 วิจารณ์
6,130 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 17.22 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ตอนที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเรื่องสั้น
เรื่อง สายฝนระคนแสงแดด
ตอนที่ ๑
เมฆฝนถูกสายลมแรงตีตลบไปทางแถบที่สีทองอร่ามของอาทิตย์ยังคงฉายฉานอยู่ ครู่เดียวเท่านั้น ตรงที่มีแสงสว่างลอดลงมานั้นก็มืดทะมึนไปด้วยเมฆหนาหนัก เป็นก้อนกลุ่มขุ่นข้นสีตะไคร่น้ำ
ลมยิ่งแรงจัดจนยอดสนสูงละลิ่วข้างบ้านถูกโยนไปมาดังฮือ...ฮือ... เสียงของมันกดเค้นอารมณ์ส่วนที่อ่อนไหว เมื่อคิดถึงอาการครางครวญของมนุษย์ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
“พ่อยังไม่มา” แม่พูดกับภาภิรมย์ “ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว”
“คงไปบ้านผู้พันทวีศักดิ์ล่ะมั้งแม่”
บ้านผู้พันทวีศักดิ์อยู่ห่างจากบ้านของภาภิรมย์ไปไม่กี่สิบเมตร ผู้พันทวีศักดิ์ถูกขอตัวไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นกว่าที่ผู้พันทวีศักดิ์จะกลับบ้าน ก็ต่อเมื่อถึงวันหยุดราชการ
แม่พยักหน้ารับ
“สงสัยคงเรื่องพระตามเคย”
ภาภิรมย์เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ของโรงเรียนประจำจังหวัด หล่อนกำลังเจริญวัยขึ้นอย่างรวดเร็วจากเมื่อปีที่แล้ว พ่อบอกว่าหล่อนเหมือนลูกม้าตัวเล็กๆ ที่กระโดกกระเดก นัยน์ตาเหมือนกระต่าย ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มเหมือนปากตุ๊กตาญี่ปุ่น ผมบ๊อบสั้นแค่คอแวดวงอยู่โดยรอบดวงหน้ารูปใบโพธิ์
แม่บอกว่า เมื่อตอนที่แม่ตั้งท้องหล่อน แม่ไปวัดทุกวันพระ บางทีถ้ามีเวลาก็ถือศีลอยู่อุโบสถ
“แม่อธิษฐานว่าอะไรมั่ง” ภาภิรมย์เคยถาม
“เปล่า...ไม่ได้อธิษฐานเลย แม่ไม่อยากรบกวนท่าน เราควรทำบุญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ใจเราจะได้สะอาดหมดจด”
พ่อดูเหมือนจะไม่รักแม่เท่าใดนักในสายตาของภาภิรมย์... แต่ทว่าเกรงใจ แม่ของหล่อนเป็นผู้หญิงที่เฉยอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าการแต่งตัวคืออะไร แม่จะตื่นแต่เช้าตรู่หุงหาอาหารให้ลูก อาบน้ำแต่งตัวส่งลูกไปโรงเรียนโดยรถสามล้อซึ่งผูกเป็นเดือน
ภาภิรมย์มีน้องชายอีกสองคน ชื่อภากรและภาศิษย์ เพราะฉะนั้นหล่อนจึงเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของแม่พ่อ
พ่อของหล่อนเป็นทหารเหมือนกัน ยศร้อยเอก และเป็นลูกน้องผู้พันทวีศักดิ์... พ่อไม่ใคร่อยู่ติดบ้านเท่าใดนัก เมื่อเลิกงานแล้วก็มักจะตามเพื่อนไปนั่งกินเหล้า คุยกันโขมงโฉงเฉงตามร้านกาแฟในตลาดบ้าง ตามบ้านเพื่อนทหารด้วยกันบ้าง กว่าจะกลับก็ดึกดื่นเมื่อภาภิรมย์หลับแล้ว แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ไม่เคยได้ยินแม่ปริปากบ่นว่าพ่อ ไม่ว่าจะด้วยถ้อยคำจริงจังหรือเหน็บแนม
มาในระยะหลังๆ นี้ พ่อเปลี่ยนไป
ที่ว่าเปลี่ยนก็เพราะผู้พันทวีศักดิ์นั่นเอง... ผู้พันทวีศักดิ์เคยมาที่บ้าน และเอาพระเครื่องมาหลายขนาด หลายลักษณะ มาให้พ่อดู และทั้งสองก็คุยกันเรื่องพระเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยมิได้กินเหล้าเป็นล่ำเป็นสันเช่นเคย
ภาภิรมย์เคยได้ยินพ่อพูดกับแม่ว่า
“เออ...แม่ เธอมีพระบูชาพระเครื่องแยะไม่ใช่หรือ พาฉันไปหาหน่อยได้มั้ย เผื่อจะมีพระเก่าๆ ดีๆ มาแขวนคอมั่ง”
“นึกยังไงถึงได้ชอบพระ”
"ไม่รู้เหมือนกัน บทจะชอบมันก็ชอบขึ้นมาเสียเฉยๆ งั้นเอง เมื่อก่อนก็ไม่เคยสยใจ” พ่อตอบ “ผู้พันทวีศักดิ์นั่นสิที่ทำให้ฉันเกิดกระตือรือร้นเรื่องนี้ แกมีพระเครื่องอย่างวิเศษสุดยอดหลายองค์ อาทิตย์นี้ฉันจะนัดไปพบแกที่กรุงเทพฯ เราจะไปหาพระด้วยกัน”
แม่ฟังพ่อพูดโดยดุษณี และต่อมาจากนั้น พอถึงวันหยุดพ่อก็หายหน้าไป และผู้พันทวีศักดิ์ก็ไม่ได้กลับมาที่จังหวัด
ภรรยาของผู้พันเคยมาหาแม่ บ่นกลัดกลุ้ม
“ฉันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว คุณบัวเงา พี่วีไม่เป็นอันสนใจลูกเมียเลย มีเงินเท่าไหร่ก็เอาไปเช่าพระหมด มอเตอร์ไซค์มีอยู่กี่คันก็เอาไปแลกพระ อีกหน่อยก็คงเอาลูกเมียไปแลกพระล่ะมั้ง”
แม่ได้แต่ยิ้มน้อยๆ
“ช่างเขาเถอะ...ดีกว่าไปกินเหล้า เล่นการพนัน”
“ทำไมคุณถึงได้ใจเย็นนักหนา ฉันไม่เคยห็นคุณทุกข์ร้อนอะไรกับความประพฤติของสามคุณเลย”
“คนเราเกิดมามีทุกข์ทั้นั้น เราจะทำให้ทุกข์มันมากขึ้นหรือน้อยลงก็อยู่ที่ตัวเราเอง”
ภรรยาผู้พันทวีศักดิ์ดูจะไม่พอใจนักที่แม่ตัดบทเขาเช่นนั้น คุยอยู่สักครู่เธอก็ลากลับไปด้วยความผิดหวัง
“ทำไมแม่ไม่สนิทกับเมียทหารพวกนี้เลย” ภาภิรมย์ปรารภ
แม่หันมามองหล่อนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“พูดมาก ก็เรื่องมาก”
ภาภิรมย์มักจะพิศวงในความเป็นอยู่ของแม่นักหนา... แม่มักจะนุ่งผ้าซิ่นกลางเก่ากลางใหม่ สวมเสื้อง่ายๆ เรียบๆ อย่างอยู่กับบ้านชั่วนาตาปี หล่อนไม่เคยเห็นแม่ตัดเสื้อใหม่ ซื้อรองเท้าหรือเครื่องสำอางเลย ไม่เคยไปร้านเสริมสวย สระผม อย่างภรรยานายทหารอื่นๆ สิ่งที่แม่เอาใจใส่ดูแลด้วยความอ่อนโยนอยู่เนืองนิตย์ ก็คือลูก แม่จะหาข้าวให้ลูกกินจนอิ่มแล้ว แม่จึงจะกินอาหาที่ลูกกินเหลือจนพ่อดุเอาหลายครั้ง
“เราอย่าเลี้ยงลูกแบบนี้ดีกว่า รักก็รักเถอะ แต่อย่าทำให้ลูกเห็นว่าเราเป็นทาสมัน”
“อย่าห้ามเลย ฉันมีความสุขที่ได้ทำอย่างนี้” แม่พูดเรียบๆ
เวลาพ่ออารมณ์ดี พ่อจะเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ภาภิรมย์ฟัง... สาเหตุที่พ่อแต่งงานกับแม่ ฟังดูคล้ายนิยาย
“พ่อไปเช่าบ้านยายแกอยู่มาตั้งสามสี่ปี ไม่เคยเห็นแม่แกสักทีเดียว อยู่มาวันหนึ่ง พ่อนั่งสามล้อขนานไปกับผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง พ่อเห็นผมเข้า รู้สึกสะดุดใจ ผมของแม่แกตอนนั้นน่ะ ยาวเกือบถึงตะโพกนั่นแน่ะ...” แล้วพ่อก็หัวเราะขันๆ “พ่อถามสามล้อว่าผู้หญิงนั่นเป็นใคร สามล้อตอบว่า อ้าว ! ก็ลูกสาวแม่เลี้ยงที่คุณเช่าบ้านอยู่ไงล่ะครับ...”
“ทำไมพ่อไม่เคยเห็นแม่มาก่อนคะ”
“ก็แม่แกเขาเป็นนางอาย อยู่แต่ในห้องนี่นา” พ่อเล่าต่อ “ก็คือคนมีเงินทางภาคเหนือละซี แม่แกเป็นคนเหนือ ถึงได้ชื่อว่าบัวเงา”
ภาภิรมย์เคยนึกอยู่เสมอว่า ชื่อของแม่ประหลาดดี
และเดี๋ยวนี้ แม่กับหล่อนยืนเกาะระเบียง มองออกไปยังถนนนอกรั้วบ้าน น้องชายสองคนนั่งง่วนอยู่กับกระดานหมากรุก ซึ่งเป็นของเล่นที่ผู้พันทวีศักดิ์ซื้อมาฝาก
อาทิตย์นี้ ผู้พันทวีศักดิ์กลับบ้าน พอพ่อรู้เข้าก็รีบออกจากบ้านไปทันที แม่ไม่ถามว่าพ่อไปไหน แต่ทั้งแม่และภาภิรมย์คิดว่า พ่อไปหาผู้พันทวีศักดิ์
เสียงสนโยนตัวดังฮือฮามากขึ้น...
ภาภิรมย์รู้สึกหนาวยะเยือด้วยแรงลมที่กระโชกเข้ามาเต็มที่ มือของแม่ที่เกาะระเบียง เลื่อนมาเกาะที่แขนหล่อน มือนั้นเย็นเฉียบ
“แม่จะไปตามพ่อ”
“หนูไปด้วย”
“แล้วน้องล่ะ” แม่ส่ายหน้า “หนูอยู่กับน้องก็แล้วกัน”
“อันที่จริง เดี๋ยวพ่อก็มา”
“แม่จะลองไปดูที่บ้านผู้พันทวีศักดิ์ ถ้าอยู่ก็แล้วไปถ้าไม่อยู่ก็จะได้ไปตามที่อื่น”
ภาภิรมย์รูสึกร้อนๆ หนาวๆ เพราะแม่ไม่เคยกระตือรือร้นต่อการไปมาของพ่อขนาดนี้มาก่อน
เท่าที่หล่อนจำได้ แม่เหมือนเครื่องจักรมากกว่า...มากกว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต พูดน้อยคำ ทำแต่งาน และไม่เคยสนทนาจู๋จี๋กับพ่อเหมือนภรรยาของชายอื่น
แม้แต่จะรู้ว่าพ่อไปติดผู้หญิง...แม่ก็ไม่เคยพูดหรือต่อว่า
“ให้หนูไปด้วยดีกว่า แม่ น้องอยู่บ้านปิดประตูคงไม่เป็นไร”
แม่นิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปบอกน้องชายสองคนของภาภิรมย์ เด็กทั้งสองกำลังสนใจหมากรุก จึงพูดอย่างว่าง่าย
“แม่ไปไหนก็ไปเถอะ หนูเฝ้าบ้านได้ ไม่กลัวหรอก” ภากรพูดในขณะที่ตายังจ้องแป๋วไปยังกระดานหมากรุก
แล้วแม่กับภาภิรมย์ก็นั่งสามล้อฝ่าลมแรงไปด้วยกัน จนกระทั่งถึงบ้านผู้พันทวีศักดิ์
ประตูเล็กๆ เปิดอยู่แล้ว แม่ให้ภาภิรมย์นั่งรอในรถแล้วแม่ก็เข้าไปในบ้านนั้น ครู่หนึ่งก็กลับออกมา
“ผู้พันอยู่ แต่พ่อไม่อยู่”
“พ่อไหน”
“นั่นสิพ่อไปไหน”
“แม่บอกสามล้อให้ลองแล่นไปเรื่อยๆ ไปตามถนนในตลาด ฝ่าลมแรงที่พัดอู้ และเม็ดฝนฝอยๆ ที่กำลังโปรยปรายข้ามาปะทะหน้าจนเปียกชื้นไปหมด
“ผมเอาผ้าใบลงให้ดีกว่า” คนขับพูดและจอดรถข้างทาง
“ไม่ต้องก็ได้...”
“เดี๋ยวเปียกหมดนะ คุณนาย...เอาลงเสียแล้วนั่งไปไกลเท่าไหร่ก็ได้”
คนขับเอาผ้าใบกั้นด้านหน้ากันเปียกแล้ว พอดีฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ต่อจากนั้น เขาก็ขับรถไปเรื่อยๆ...
แม่และภาภิรมย์ได้แต่ชะเง้อดูตามแนวเส้นทางที่ผ่านมา แวะที่ร้านกาแฟประจำของพ่อ ถามไถ่ดู แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพ่ออยู่ที่นั่น
“ลองไปนอกๆ เมืองหน่อยซี”
คนสามล้อรู้จักพ่อดี ก็ช่วยถามเรื่อยไป กระทั่งถึงสวยสาธารณะ
“เห็นผู้กองสายัณห์มั่งไหม” เขาตะโกนถามคนเสวนคนหนึ่งซึ่งนั่งจมจ่อมหลบฝนอยู่บนศาลาหกเหลี่ยมในความมืดขมุกขมัวของยามพลบค่ำ
“เห็น”
“ฮ้า ! จริงเรอะ เห็นที่ไหน” คนขับสามล้อลูบน้ำออกจากใบหน้าพลางร้องตะโกน
“ดูเหมือนผู้กองกำลังตามหาใครก็ไม่รู้”
“ใคร”
“ผู้หญิงคนหนึ่งละมั้ง”
ภาภิรมย์ใจหายวูบ...พ่อตามหาผู้หญิง แต่แม่กำลังตามหาพ่อ !
เรื่อง สายฝนระคนแสงแดด
ตอนที่ ๑
เมฆฝนถูกสายลมแรงตีตลบไปทางแถบที่สีทองอร่ามของอาทิตย์ยังคงฉายฉานอยู่ ครู่เดียวเท่านั้น ตรงที่มีแสงสว่างลอดลงมานั้นก็มืดทะมึนไปด้วยเมฆหนาหนัก เป็นก้อนกลุ่มขุ่นข้นสีตะไคร่น้ำ
ลมยิ่งแรงจัดจนยอดสนสูงละลิ่วข้างบ้านถูกโยนไปมาดังฮือ...ฮือ... เสียงของมันกดเค้นอารมณ์ส่วนที่อ่อนไหว เมื่อคิดถึงอาการครางครวญของมนุษย์ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ
“พ่อยังไม่มา” แม่พูดกับภาภิรมย์ “ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว”
“คงไปบ้านผู้พันทวีศักดิ์ล่ะมั้งแม่”
บ้านผู้พันทวีศักดิ์อยู่ห่างจากบ้านของภาภิรมย์ไปไม่กี่สิบเมตร ผู้พันทวีศักดิ์ถูกขอตัวไปช่วยราชการที่กรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นกว่าที่ผู้พันทวีศักดิ์จะกลับบ้าน ก็ต่อเมื่อถึงวันหยุดราชการ
แม่พยักหน้ารับ
“สงสัยคงเรื่องพระตามเคย”
ภาภิรมย์เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ของโรงเรียนประจำจังหวัด หล่อนกำลังเจริญวัยขึ้นอย่างรวดเร็วจากเมื่อปีที่แล้ว พ่อบอกว่าหล่อนเหมือนลูกม้าตัวเล็กๆ ที่กระโดกกระเดก นัยน์ตาเหมือนกระต่าย ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มเหมือนปากตุ๊กตาญี่ปุ่น ผมบ๊อบสั้นแค่คอแวดวงอยู่โดยรอบดวงหน้ารูปใบโพธิ์
แม่บอกว่า เมื่อตอนที่แม่ตั้งท้องหล่อน แม่ไปวัดทุกวันพระ บางทีถ้ามีเวลาก็ถือศีลอยู่อุโบสถ
“แม่อธิษฐานว่าอะไรมั่ง” ภาภิรมย์เคยถาม
“เปล่า...ไม่ได้อธิษฐานเลย แม่ไม่อยากรบกวนท่าน เราควรทำบุญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ใจเราจะได้สะอาดหมดจด”
พ่อดูเหมือนจะไม่รักแม่เท่าใดนักในสายตาของภาภิรมย์... แต่ทว่าเกรงใจ แม่ของหล่อนเป็นผู้หญิงที่เฉยอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าการแต่งตัวคืออะไร แม่จะตื่นแต่เช้าตรู่หุงหาอาหารให้ลูก อาบน้ำแต่งตัวส่งลูกไปโรงเรียนโดยรถสามล้อซึ่งผูกเป็นเดือน
ภาภิรมย์มีน้องชายอีกสองคน ชื่อภากรและภาศิษย์ เพราะฉะนั้นหล่อนจึงเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของแม่พ่อ
พ่อของหล่อนเป็นทหารเหมือนกัน ยศร้อยเอก และเป็นลูกน้องผู้พันทวีศักดิ์... พ่อไม่ใคร่อยู่ติดบ้านเท่าใดนัก เมื่อเลิกงานแล้วก็มักจะตามเพื่อนไปนั่งกินเหล้า คุยกันโขมงโฉงเฉงตามร้านกาแฟในตลาดบ้าง ตามบ้านเพื่อนทหารด้วยกันบ้าง กว่าจะกลับก็ดึกดื่นเมื่อภาภิรมย์หลับแล้ว แต่ถึงกระนั้น หล่อนก็ไม่เคยได้ยินแม่ปริปากบ่นว่าพ่อ ไม่ว่าจะด้วยถ้อยคำจริงจังหรือเหน็บแนม
มาในระยะหลังๆ นี้ พ่อเปลี่ยนไป
ที่ว่าเปลี่ยนก็เพราะผู้พันทวีศักดิ์นั่นเอง... ผู้พันทวีศักดิ์เคยมาที่บ้าน และเอาพระเครื่องมาหลายขนาด หลายลักษณะ มาให้พ่อดู และทั้งสองก็คุยกันเรื่องพระเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยมิได้กินเหล้าเป็นล่ำเป็นสันเช่นเคย
ภาภิรมย์เคยได้ยินพ่อพูดกับแม่ว่า
“เออ...แม่ เธอมีพระบูชาพระเครื่องแยะไม่ใช่หรือ พาฉันไปหาหน่อยได้มั้ย เผื่อจะมีพระเก่าๆ ดีๆ มาแขวนคอมั่ง”
“นึกยังไงถึงได้ชอบพระ”
"ไม่รู้เหมือนกัน บทจะชอบมันก็ชอบขึ้นมาเสียเฉยๆ งั้นเอง เมื่อก่อนก็ไม่เคยสยใจ” พ่อตอบ “ผู้พันทวีศักดิ์นั่นสิที่ทำให้ฉันเกิดกระตือรือร้นเรื่องนี้ แกมีพระเครื่องอย่างวิเศษสุดยอดหลายองค์ อาทิตย์นี้ฉันจะนัดไปพบแกที่กรุงเทพฯ เราจะไปหาพระด้วยกัน”
แม่ฟังพ่อพูดโดยดุษณี และต่อมาจากนั้น พอถึงวันหยุดพ่อก็หายหน้าไป และผู้พันทวีศักดิ์ก็ไม่ได้กลับมาที่จังหวัด
ภรรยาของผู้พันเคยมาหาแม่ บ่นกลัดกลุ้ม
“ฉันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว คุณบัวเงา พี่วีไม่เป็นอันสนใจลูกเมียเลย มีเงินเท่าไหร่ก็เอาไปเช่าพระหมด มอเตอร์ไซค์มีอยู่กี่คันก็เอาไปแลกพระ อีกหน่อยก็คงเอาลูกเมียไปแลกพระล่ะมั้ง”
แม่ได้แต่ยิ้มน้อยๆ
“ช่างเขาเถอะ...ดีกว่าไปกินเหล้า เล่นการพนัน”
“ทำไมคุณถึงได้ใจเย็นนักหนา ฉันไม่เคยห็นคุณทุกข์ร้อนอะไรกับความประพฤติของสามคุณเลย”
“คนเราเกิดมามีทุกข์ทั้นั้น เราจะทำให้ทุกข์มันมากขึ้นหรือน้อยลงก็อยู่ที่ตัวเราเอง”
ภรรยาผู้พันทวีศักดิ์ดูจะไม่พอใจนักที่แม่ตัดบทเขาเช่นนั้น คุยอยู่สักครู่เธอก็ลากลับไปด้วยความผิดหวัง
“ทำไมแม่ไม่สนิทกับเมียทหารพวกนี้เลย” ภาภิรมย์ปรารภ
แม่หันมามองหล่อนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“พูดมาก ก็เรื่องมาก”
ภาภิรมย์มักจะพิศวงในความเป็นอยู่ของแม่นักหนา... แม่มักจะนุ่งผ้าซิ่นกลางเก่ากลางใหม่ สวมเสื้อง่ายๆ เรียบๆ อย่างอยู่กับบ้านชั่วนาตาปี หล่อนไม่เคยเห็นแม่ตัดเสื้อใหม่ ซื้อรองเท้าหรือเครื่องสำอางเลย ไม่เคยไปร้านเสริมสวย สระผม อย่างภรรยานายทหารอื่นๆ สิ่งที่แม่เอาใจใส่ดูแลด้วยความอ่อนโยนอยู่เนืองนิตย์ ก็คือลูก แม่จะหาข้าวให้ลูกกินจนอิ่มแล้ว แม่จึงจะกินอาหาที่ลูกกินเหลือจนพ่อดุเอาหลายครั้ง
“เราอย่าเลี้ยงลูกแบบนี้ดีกว่า รักก็รักเถอะ แต่อย่าทำให้ลูกเห็นว่าเราเป็นทาสมัน”
“อย่าห้ามเลย ฉันมีความสุขที่ได้ทำอย่างนี้” แม่พูดเรียบๆ
เวลาพ่ออารมณ์ดี พ่อจะเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ภาภิรมย์ฟัง... สาเหตุที่พ่อแต่งงานกับแม่ ฟังดูคล้ายนิยาย
“พ่อไปเช่าบ้านยายแกอยู่มาตั้งสามสี่ปี ไม่เคยเห็นแม่แกสักทีเดียว อยู่มาวันหนึ่ง พ่อนั่งสามล้อขนานไปกับผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง พ่อเห็นผมเข้า รู้สึกสะดุดใจ ผมของแม่แกตอนนั้นน่ะ ยาวเกือบถึงตะโพกนั่นแน่ะ...” แล้วพ่อก็หัวเราะขันๆ “พ่อถามสามล้อว่าผู้หญิงนั่นเป็นใคร สามล้อตอบว่า อ้าว ! ก็ลูกสาวแม่เลี้ยงที่คุณเช่าบ้านอยู่ไงล่ะครับ...”
“ทำไมพ่อไม่เคยเห็นแม่มาก่อนคะ”
“ก็แม่แกเขาเป็นนางอาย อยู่แต่ในห้องนี่นา” พ่อเล่าต่อ “ก็คือคนมีเงินทางภาคเหนือละซี แม่แกเป็นคนเหนือ ถึงได้ชื่อว่าบัวเงา”
ภาภิรมย์เคยนึกอยู่เสมอว่า ชื่อของแม่ประหลาดดี
และเดี๋ยวนี้ แม่กับหล่อนยืนเกาะระเบียง มองออกไปยังถนนนอกรั้วบ้าน น้องชายสองคนนั่งง่วนอยู่กับกระดานหมากรุก ซึ่งเป็นของเล่นที่ผู้พันทวีศักดิ์ซื้อมาฝาก
อาทิตย์นี้ ผู้พันทวีศักดิ์กลับบ้าน พอพ่อรู้เข้าก็รีบออกจากบ้านไปทันที แม่ไม่ถามว่าพ่อไปไหน แต่ทั้งแม่และภาภิรมย์คิดว่า พ่อไปหาผู้พันทวีศักดิ์
เสียงสนโยนตัวดังฮือฮามากขึ้น...
ภาภิรมย์รู้สึกหนาวยะเยือด้วยแรงลมที่กระโชกเข้ามาเต็มที่ มือของแม่ที่เกาะระเบียง เลื่อนมาเกาะที่แขนหล่อน มือนั้นเย็นเฉียบ
“แม่จะไปตามพ่อ”
“หนูไปด้วย”
“แล้วน้องล่ะ” แม่ส่ายหน้า “หนูอยู่กับน้องก็แล้วกัน”
“อันที่จริง เดี๋ยวพ่อก็มา”
“แม่จะลองไปดูที่บ้านผู้พันทวีศักดิ์ ถ้าอยู่ก็แล้วไปถ้าไม่อยู่ก็จะได้ไปตามที่อื่น”
ภาภิรมย์รูสึกร้อนๆ หนาวๆ เพราะแม่ไม่เคยกระตือรือร้นต่อการไปมาของพ่อขนาดนี้มาก่อน
เท่าที่หล่อนจำได้ แม่เหมือนเครื่องจักรมากกว่า...มากกว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต พูดน้อยคำ ทำแต่งาน และไม่เคยสนทนาจู๋จี๋กับพ่อเหมือนภรรยาของชายอื่น
แม้แต่จะรู้ว่าพ่อไปติดผู้หญิง...แม่ก็ไม่เคยพูดหรือต่อว่า
“ให้หนูไปด้วยดีกว่า แม่ น้องอยู่บ้านปิดประตูคงไม่เป็นไร”
แม่นิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปบอกน้องชายสองคนของภาภิรมย์ เด็กทั้งสองกำลังสนใจหมากรุก จึงพูดอย่างว่าง่าย
“แม่ไปไหนก็ไปเถอะ หนูเฝ้าบ้านได้ ไม่กลัวหรอก” ภากรพูดในขณะที่ตายังจ้องแป๋วไปยังกระดานหมากรุก
แล้วแม่กับภาภิรมย์ก็นั่งสามล้อฝ่าลมแรงไปด้วยกัน จนกระทั่งถึงบ้านผู้พันทวีศักดิ์
ประตูเล็กๆ เปิดอยู่แล้ว แม่ให้ภาภิรมย์นั่งรอในรถแล้วแม่ก็เข้าไปในบ้านนั้น ครู่หนึ่งก็กลับออกมา
“ผู้พันอยู่ แต่พ่อไม่อยู่”
“พ่อไหน”
“นั่นสิพ่อไปไหน”
“แม่บอกสามล้อให้ลองแล่นไปเรื่อยๆ ไปตามถนนในตลาด ฝ่าลมแรงที่พัดอู้ และเม็ดฝนฝอยๆ ที่กำลังโปรยปรายข้ามาปะทะหน้าจนเปียกชื้นไปหมด
“ผมเอาผ้าใบลงให้ดีกว่า” คนขับพูดและจอดรถข้างทาง
“ไม่ต้องก็ได้...”
“เดี๋ยวเปียกหมดนะ คุณนาย...เอาลงเสียแล้วนั่งไปไกลเท่าไหร่ก็ได้”
คนขับเอาผ้าใบกั้นด้านหน้ากันเปียกแล้ว พอดีฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ต่อจากนั้น เขาก็ขับรถไปเรื่อยๆ...
แม่และภาภิรมย์ได้แต่ชะเง้อดูตามแนวเส้นทางที่ผ่านมา แวะที่ร้านกาแฟประจำของพ่อ ถามไถ่ดู แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพ่ออยู่ที่นั่น
“ลองไปนอกๆ เมืองหน่อยซี”
คนสามล้อรู้จักพ่อดี ก็ช่วยถามเรื่อยไป กระทั่งถึงสวยสาธารณะ
“เห็นผู้กองสายัณห์มั่งไหม” เขาตะโกนถามคนเสวนคนหนึ่งซึ่งนั่งจมจ่อมหลบฝนอยู่บนศาลาหกเหลี่ยมในความมืดขมุกขมัวของยามพลบค่ำ
“เห็น”
“ฮ้า ! จริงเรอะ เห็นที่ไหน” คนขับสามล้อลูบน้ำออกจากใบหน้าพลางร้องตะโกน
“ดูเหมือนผู้กองกำลังตามหาใครก็ไม่รู้”
“ใคร”
“ผู้หญิงคนหนึ่งละมั้ง”
ภาภิรมย์ใจหายวูบ...พ่อตามหาผู้หญิง แต่แม่กำลังตามหาพ่อ !
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ