สายฝนระคนแสงแดด

8.0

เขียนโดย Gap_ZA

วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.04 น.

  2 ตอน
  9 วิจารณ์
  6,208 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556 17.22 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ตอนที่ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ตอนที่ ๒

 

                “ผู้หญิงที่ไหน...” เสียงคนขับสามล้อตะโกนโต้กับลมและฝน

                “ถ้างั้น...เรากลับกับเถอะ...” แม่พูดแหบๆ เบาๆ จนภาภิรมย์เย็นเยือกยิ่งกว่าความหนาวของอากาศ “กลับเถอะจ้ะ... กลับได้แล้ว”

                ดูเหมือนคนขับสามล้อจะไม่ได้ยิน เขาเหลียวซ้ายแลขวา พลางบ่น

                “ท่านไปทางไหนของท่านนะ”

                “ขับรถออกไปทางนี้แหละ”

                “กลับเถอะ...” แม่ร้องเสียงดังขึ้นอีก

                แล้วสามล้อคันนั้นก็เลี้ยวเข้าสู่ใจกลางเมือง...

                ตลอดทาง แม่นั่งนิ่งเงียบ แต่ภาภิรมย์กระสับกระส่ายเหลือทน หล่อนได้แต่บ่นพึมพำ

                “พ่อตามหาผู้หญิงที่ไหนเหรอ”

                “อย่าแปลกใจเลยลูก มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่พบกันอยู่บ่อยๆ” แม่ตัดบทอย่างสั้นๆ และปลงตกตามเคย “เดี๋ยวพ่อก็กลับมาเองแหละ”

                น้องชายสองคนโผล่ออกมาจากประตู ภาศิษย์น้องคนสุดท้องถามทันควัน

                “พบพ่อมั้ย”

                ภาภิรมย์ส่ายหน้า เหลือบดูแม่ ผมเผ้าเต็มไปด้วยละอองฝน และรองเท้าเปียกโชก

                เกือบครึ่งคืน ภาภิรมย์หลับๆ ตื่นๆ ในที่นอนอันอบอุ่น ฝนขาดเม็ดแล้วเมื่อสองทุ่ม หลังจากตกหนักราวกับฟ้ารั่วอยู่สามชั่วโมงเศษ น้องชายสองหลับสนิทและดิ้นราวกับจระเข้ ทุกคืนพวกเขาจะดิ้นอย่างนี้ บางทีก็ดิ้นเลยออกไปนอกมุ้ง บางทีก็กลับเอาหัวนอนขวางกลางที่นอนเหมือนเรือมาเกยตื้น

                แม่ยังนั่งรอพ่อ พร้อมกับนั่งถักเส้นไหมพรมไปพลางๆ แสงไฟที่ห้องกลางสว่างลอดเข้ามาในประตูที่หล่อนนอน จนหล่อนทนไม่ได้ต้องลุกออกมาดู

                “ยังไม่หลับหรือ” แม่หันมาถามด้วยสีหน้าสงบ

                “เมื่อไหร่พ่อจะกลับเสียทีล่ะแม่”

                “แม่กำลังคิดอยู่เหมือนกัน”

                ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้าน

                “พ่อมาแล้ว” หล่อนร้องอย่างดีใจ วิ่งถลาออกมายังระเบียง

                มีเสียงคนเอะอะอยู่นอกประตู ภาภิรมย์จึงผลุนผลันลงบันไดไปเปิดประตูบ้าน

                “ผู้กองสายัณห์บาดเจ็บ”

                ภาภิรมย์ร้องกรี๊ดด้วยความกลัว

                “พ่อ !”

                “เวลานี้อยู่โรงพยาบาลครับ...”

                คนพูดทำงานอยู่ที่อู่รถในตลาด

                “ไปกับผมก็ได้”

                “คุณพบพ่อที่ไหน”

                “ทางไปกรุงเทพฯ... รถคว่ำลงคูข้างถนน ท่านคงขับรถเร็ว ถนนลื่นมาก เลี้ยวหลบรถสองล้อเลยท่านเองลงไปแทนรถคันนั้น”

                “พ่อจะ...เป็นอะไรไหม”

                “ไม่หรอกครับ...เพียงแต่กระดูกไหปลาร้าหัก...”

                แม่กับภาภิรมย์นั่งรถของคนที่อู่ไปยังโรงพยาบาล

                พ่อนอนอยู่บนเตียง...เมื่อแลเห็นเรา พ่อพูดไม่ออก ได้แต่โบกมือไปมา และน้ำตาคลอ

                ครู่หนึ่ง พ่อจึงพูดเบาๆ

                “พระช่วยไว้ทีเดียว”

                แม่ไม่ตอบ แต่ทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเท้า และจับเท้าพ่อบีบพร้อมกับกะพริบตาถี่ๆ

                “ฉันตามหาผู้หญิงคนนั้น”

                ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ภาภิรมย์รู้สึกโกรธขึ้นมาครามครัน

                “แต่ก็ไม่พบ ฉัน...ฉันทรมานใจเหลือกำลัง...”

                “ผู้หญิงไหนคะ พ่อ”

                “มีคนบอกว่าบ้านเขาอยู่แถวนอกเมือง ฉันก็พยายามถามเรื่อยๆ...ตอนนั้นค่ำแล้ว...ถนนมืด ลื่น...” พ่อพูดกระท่อนกระแท่นด้วยความเจ็บ “พ่อจะพยายามตามหา... ช่วยตามหาให้ทีได้ไหม บัวเงา...”

                “ค่ะ บอกมาเถอะว่า เขาคือใคร”

                “เขาเดินอยู่ที่ถนนในตลาดเมื่อกลางวัน แล้วเขากินข้าวกับปลาทูดิบ...” พ่อพูด “ฉันให้เงินเขาไปห้าสิบบาทเอาไปซื้อกับข้าว แต่เขาบอกฉันว่า เขาไม่ซื้อแล้ว...เขาจะเก็บไว้พรุ่งนี้... ฉันไม่เคยรู้เลยว่า จะมีใครยากจนขนาดลากปลาทูดิบๆ จากกองขยะมากินกับข้าว ฉันทนไม่ไหวบัวเงา”

                พ่อส่ายหน้า หลับตา พึมพำซ้ำๆ ว่า “...น่าสลดใจจริงๆ ตลอดบ่าย ฉันไม่มีความสุขเลย ฉันคิดว่า ฉันควรจะให้เงินเขาอีกสักซักห้าสิบบาท...ทั้งๆ ที่ในกระเป๋าฉัน มีอยู่อีกห้าสิบบาทเท่านั้น”

                แม่นิ่งฟัง...แต่ภาภิรมย์ไม่เข้าใจว่า เหตุใดพ่อจึงต้องกระเสือกกระสนสงสารผู้ใดถึงปานนั้น

                “ฉันแวะไปที่ร้านเจ้าเฮง ขอยืมเงินมันห้าสิบบาทแล้วย้อนกลับไปดู แต่ไม่พบผู้หญิงนั่น...เมื่อไม่พบ ฉันก็คิดว่า ฉันต้องตามหาเขาให้พบ...ไม่งั้นฉันจะมีทุกข์มาก เพราะตลอดวัน ฉันไม่สบายใจเลย ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ บัวเงา”

               เมื่อนั่งรถกลับถึงบ้านตอนดึกสงัด แม่พูดกับภาภิรมย์ว่า

               “พรุ่งนี้เราจะออกไปตามหาผู้หญิงนั้นด้วยกัน”

               “ทำไมต้องตามหาเขาด้วยล่ะ ลำบากเปล่าๆ”

               “แม่จะให้ข้าวสาร กับปลาเค็มเขามั่ง” แม่พูดอย่างกระตือรือร้น “แม่จะต้องทำอะไรบางอย่างให้พ่อสบายใจ...ลูกคิดหรือว่า ถ้าพ่อไม่สบายใจ แม่จะสบายใจ”

                เป็นถ้อยคำเรียบๆ ง่ายๆ แต่ภาภิรมย์รู้สึกว่า เต็มไปด้วยความลึกซึ้งอย่างที่เด็กวัยสิบสี่เช่นหล่อนพอจะจะเข้าใจ

                “เดี๋ยวนี้พ่อห่างเหล้าไปมาก และนั่นคือสิ่งที่แม่อยากเห็น”

                “แต่พ่อมีเงินเท่าไหร่ พ่อก็เอาไปเช้าพระหมด” ภาภิรมย์พูด  “ตอนนี้ก็สิ้นเดือนพอดี พ่อมีเงินอยู่ห้าสิบบาท พ่อก็ยังอุตส่าห์นึกถึงคนอื่น”

                “ช่างเถอะ เงินที่พ่อให้แม่ยังพอมี คนบางคนยากจน เคราะห์ร้ายกว่าเรามาก พ่อเป็นคนใจอ่อน ละเอียดต่อความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้อยู่แล้ว ความอยากให้มีรุนแรงจนลืมนึกถึงตัวเองเหมือนกัน”

                พ่อเป็นคนแปลก มีส่วนเสียที่ร้ายแรง แต่ก็มีส่วนดีที่น่าสรรเสริญ เวลาพ่อเมาจัดๆ ล้มลงนอนแผ่หรากลางระเบียง ภาภิรมย์เห็นแล้วรู้สึกว่าช่างน่าเกลียดน่าชังเสียกระไร แต่เวลาพ่ออารมณ์ดี พ่อจะเป็นผู้ชายที่มีเมตตาจิต ช่างรู้สึกถึงความทุกข์ยากของคนอื่นได้ละเอียดลอออย่างน่าทึ่ง

                ทั้งๆ ที่บางที พ่อก็เคยตวาดเด็กผู้ชายที่ปราดเข้ามาแย่งกันขัดรองเท้าเวลาที่พ่อไปนั่งที่ร้านอาหาร

                “ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ออกไปเดี๋ยวนี้ !”

                สีแดงฉานของดอกหางนกยูงที่เคยบานสะพรั่งเต็มสองข้างทางขณะนั้น บัดนี้พอถึงฤดูฝน มันก็หลุดร่วงไปสิ้นมีแต่ใบสะพรั่งเขียวสดปกคลุมอยู่แทน แม่ชวนภาภิรมย์นั่งสามล้อออกไปนอกเมืองในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

                ...เพื่อทำบางอย่างที่พ่อสบายใจ

                เส้นทางพุ่งออกนอกตัวเมืองไปไกล แสงแดดอ่อนที่เรื่องเรืองยามเช้านี้ลบรอยฉ่ำของละอองฝนและเมฆมืดเมื่อวานเสียสิ้น เหลืออยู่เพียงความชื้นบนทางเท้า ซึ่งปูด้วยดินลูกรังสีน้ำตาลอมแดง

                สองข้างมีบ้านเรือนประปราย แต่เมื่อไกลออกไปบ้านเรือนก็ค่อยยๆ ลดน้อยลง มีไร่พืชและนาข้าวผุดขึ้นแทน

                “แม่...ผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย”

                ทางซ้ายมือ ปรากฏร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งกายด้วยผ้าถุงเก่าๆ เสื้อสีซีดดอกเปรอะๆ ซึ่งมีรอยกระด่างกระดำทั่วตัว

               “จอดรถหน่อยเถอะจ้ะ”

               คนขับรจอดรถตามคำสั่งตรงหน้าหล่อน

               หล่อนมองดูบัวเงาและภาภิรมย์อย่างแปลกใจ

              “เธอใช่มั้ยที่ไปตลาดเมื่อวาน”

              “ฉันไปตลาดทุกวัน” หล่อนตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย

              “เธอกินข้าวกับปลาทูดิบๆ ก็ได้หรือ” ภาภิรมย์ถามแทรกขึ้น

               หล่อนมองดูคนทั้งสองอึดใจหนึ่ง...

              “นี่จะมาเอาเรื่องอะไรกับฉัน !”

              “เปล่าหรอก... เรารู้ว่าเธอไม่มีเงินซื้อข้าว เราก็เอาข้าวกับปลาเค็มมาให้” บัวเงาพูด พลางหันไปทางถุงพลาสติกและห่อปลาทูเค็ม “ผู้กองสามยัณห์สามีฉันตามหาเธอเมื่อวาน จะให้เงินอีกห้าสิบบาท แต่บังเอญรถไปคว่ำต้องเข้าโรงพยาบาล”

               หล่อนฟังเฉยเมยเหมือนบัวเงาเล่าเรื่องสามัญ แถมยังมีสีหน้าไม่สู้เข้าอกเข้าใจนัก

              “เอ้า...เราให้เธอ”

               หล่อนรับไปถืออย่างงงๆ ครู่หนึ่งจึงวางห่อข้าวและปลาเค็มลงกับพื้นถนน พลางยกมือไหว้ตามธรรมเนียมมากว่าจะรู้สึกรู้สมสิ่งใด

              “ขอบใจจ้ะ คุณนาย... ว่าแต่ว่า คุณนายจะมาเอาอะไรกับฉันหรือเปล่า... ฉันไม่ได้ทำอะไรนี่นา... ฉัน....”

              “แต่พ่อบอกว่า เธอลากเศษปลาทูดิบๆ จากองขยะไปกิน”

              “ฉันกินได้ ฉันกินจนชิน ไม่มีอะไรจะกิน กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นไม่ว่าสุกหรือดิบ”

              ท่าทางหล่อนแสดงว่า ประสาทต่างๆ ที่สามารถสัมผัสและรับความยินดียินร้ายนั้นได้ตายด้านไปนานแล้ว

             “เธออยู่กับใคร”

             “นี่คุณนาย...เรื่องอะไรจะต้องมายุ่งกะฉันด้วย !” หล่อนเริ่มตาขวาง ร้องขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันจะอยู่กับใคร จะยัดอะไรลงท้องมันก็ช่างฉันเถอะ ฉันอยู่ของฉันได้ก็แล้วกัน ให้ข้าวให้ปลาฉันก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องไปดูที่กองขยะให้เหนื่อย”

            ว่าแแล้วหล่อนก็ฉวยห่อของ ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่แล้วก็ชะงัก หันมาพูดกับคนทั้งสองว่า “ถ้าสงสารฉันนัก ก็ให้ฉันเป็นเดือนซี จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”

            “คุณนาย กลับกันเถอะครับ หน็อย ! ให้เท่านี้จะเอาเท่านั้น” คนขับสามล้อเกรี้ยวกราด “ถ้าคุณนายให้นางนี่ คุณนายก็ต้องตามไปให้คนอื่นๆ อีก คนจนๆ แบบนี้มีทั่วเมืองแหละครับคุณนาย ผมเองก็จน ลูกตั้งเจ็ด...แต่ผมก็ต้องช่วยตัวเองก่อน... ไม่ได้หวังจะเบียดเบียนคนอื่น...”

            “เราเองก็ไม่ได้ให้เพื่อต้องการสิ่งตอบแทนนี่จ๊ะ เราให้เพื่อความสบายใจของเราเอง ให้ตามศรัทธา สามีของฉันเกิดศรัทธา ฉันก็อยากสนองศรัทธาของเขา”

            “ผมว่า คุณนายเป็นภรรยาข้าราชการที่ดีที่สุดในเมืองนี้เลยเชียวครับ” คนขับพูดเมื่อถีบรถช้าๆ เข้าสู่ใจกลางเมือง “ผู้กองเที่ยวสรรเสริญคุณนายให้ใครๆ ฟังเรื่อย...”

            ภาภิรมย์ไม่ได้ยินแม่พูดอะไร และเมื่อเหลียวดูหน้าแม่ ก็แลเห็นริมฝีปากซูบซีดของแม่มีรอยยิ้มจางๆ นัยน์ตามีน้ำใสๆ เอ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา