ต้อยติ่งซินโดรม
8.1
เขียนโดย jundee
วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14.43 น.
13 ตอน
68 วิจารณ์
24.41K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กันยายน พ.ศ. 2556 15.54 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
3) ฆ่ามด...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ พักนี้ที่บ้านและร้านผัดไทยป้าใหญ่ชักอยู่ตัว คือทุกอย่างอยู่แนวนิ่งและทำท่าดิ่งลง ...ดิ่งลง... เราเลยต้องหาลู่ทางใหม่ๆเพื่อเพิ่มความเหนื่อยและความ"ซวย"ให้ตัวเอง
มีเพื่อนที่สนิทกันชวนไปดูร้านอาหารที่จังหวัดมุกดาหาร เขาบอกว่าร้านนี้สามีเจ้าของซึ่งเป็นข้าราชการกำลังจะย้ายไปที่อื่น และเขาต้องการขายกิจการ เราเลยอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันจะเพิ่มเงินให้เราได้บ้างหรือเปล่า ก่อนไปสักสองวัน มีเพื่อนรุ่นพี่ยกต้นไม้สาระพัดประโยชน์มาให้ถึงบ้าน เพราะเราไปรบเร้าขอเอาไว้นานแล้ว ต้นที่ว่านี้คือ"แปะตำปึง" ใบอร่อยด้วยเป็นยาสมุนไพรอีกต่างหาก ด้วยความเห่อเอามาวางหน้าบ้าน"แคบๆ"ปุ๊บ อาหารกลางวันๆนั้นก็มีผัดใบแปะตำปึงน้ำมันหอยเลย ทุกคนชมว่าอร่อยดี มื้อเย็นต้มจืดใบแปะตำปึงใส่หมูสับ อื้มอร่อยอีก เจ้าต้อยผู้เลิกงานมาตอนเย็นมีโอกาสได้ลิ้มรสด้วย "แซ่บพี่จันแซ่บ เอาทำอะไรได้อีกล่ะครับไอ้ใบนี้" เมื่อน้องรักถามแบบนี้ เราก็สาธยายให้ฟังถึงคุณสมบัติพิเศษของใบไม้มหัศจรรย์นี้อย่างปลื้มอกปลื้มใจ เพราะอยากได้มานานแล้ว ลงท้ายว่า "ต้อย เดี๋ยวพี่ไม่อยู่นะ2-3วัน ฝากรดน้ำให้ด้วยล่ะ อย่าให้มันเป็นอะไรไปเชียว พี่หวงนะ"
"ครับ" ต้อยรับคำอย่างแม่นมั่น
เมื่อวันเดินทางมาถึง ก่อนเราออกจากบ้าน เห็นต้อยกำลังนั่งยกเวทขนาด5กิโลกรัมอยู่หน้าบ้าน เราไม่วายย้ำกับต้อยอีกหน "ต้อย ดูต้นไม้เทวดาของพี่ดีๆนะ"
.... "ครับพี่ ไม่ต้องห่วง"
ที่ทางที่ไปดูน่าสนใจมาก เรารู้สึกสุขใจ ที่จะได้มีโอกาสลองทำร้านอาหารขนาดใหญ่บ้างในวัยที่ยังมีพลังเหลือพอแก่การเหนื่อย นั่งนึกถึงภาพที่ตัวเองจะเป็นผู้จัดการโก้ๆ มีคำพูดมากมายจะเล่าให้หม่ามี๊กับน้องชายฟัง และอยากกินเกาเหลาเนื้อตุ๋นเจ้าประจำ(ร้านก๋วยเตี๋ยวยายม่อมในซอยภูมิจิตร) เด็ดใบแปะตำปึงใส่ไปด้วยสัก7-8คงอร่อยดี คิดแล้วก็นึกขอบคุณพี่คนที่อุสาห์แบกใส่ท้ายรถกะบะมาให้ถึงบ้านจัง กระถางเบ่อเริ้มขนาดผู้ชายแบกสองคน ต้นแปะตำปึงก็แตกกองามดก ใบหนาจนมองไม่เห็นดินเลย ยิ้มอย่างสุขใจตลอดทางจากมุกดาหารถึงกรุงเทพฯ
ด้วยของฝากที่ขนซื้อมาเยอะมากมาย ทั้งกระหรี่พัฟ,แจ่วบอง,ปลาร้าทรงเครื่อง,หมูยอ ทำให้เราไม่มีโอกาส สังเกตุอะไรนัก เข้าบ้าน อาบน้ำ น้องชายรีบมานั่งชวนคุยถึงสภาพร้านที่ไปดูมา ส่วนแม่ก้อดูทำท่าขมักเขม่นทำกับข้าวมือระวิงอยู่จนไม่กล้าชวนคุย เจ้าต้อยยังไม่ถึงบ้าน จนเกือบทุ่ม ต้อยกลับมาแต่ก็ดูเงียบๆ กำลังจะตั้งวงอาหารมื้อค่ำ เห็นมีแกงจืดของโปรดประจำบ้านตั้งอยู่ด้วย เราเลยชวนแม่คุยว่า "แม่ แม่ใส่ใบแปะตำปึงด้วยหรือเปล่า? มันเป็นยานะ แม่ต้องกินด้วย" เสียงถอนหายใจของหม่ามี๊ ทำให้เราชักรู้สึกแปลกๆ มองหน้าน้องชาย เห็นมันกำลังจ้องเป๋งไปที่เจ้าต้อย แล้วบอกว่า "ตัวเองไปดูผลงานไอ้ติ่งเองแล้วกัน.." เรารีบลุกไปดูกระถาง"ดวงใจ"ที่หน้าบ้านทันที ภาพที่ปรากฎต่อสายตาคือ ใบที่ดกหนาจนมองไม่เห็นดินในกระถางมันเหี่ยว! ...แบบเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่ผ่านกาลเวลามาหลายวันแล้ว บางกิ่งที่ก้านยาวหน่อย มันก็ย้วย...เหมือนตั้งใจจะตายให้พ้นๆไปจากโลกนี้ซะ ... "น้ำร้อน!" เราคิดถึงน้ำร้อนทันที ต้องมีใครเอาน้ำร้อนมารดแน่ๆ และมันต้องเป็นเจ้าต้อย! เจ้าต้อยคนเดียว ไม่มีใครแน่ๆ สาวเท้าเดินเข้าบ้าน ทั้งโมโห ทั้งเสียดายต้นไม้ตัวเอง ทั้งอยากว่าอะไรมันแรงๆ ความรู้สึกเหมือนจะระเบิดภูเขาได้ทั้งลูก มองหน้าต้อย ..."ต้อย... นึกยังไงเอาน้ำร้อนมารดต้นไม้พี่....หา.!!.."
เสียงที่เรียกว่าสิบแปดหลอดคงมาจากอาการนี้ล่ะค่ะ "รู้ม๊ย กว่าที่เค้ายกมาให้เราได้ มันไม่ใช่ง่ายๆนะ มาตั้งไกล มันมาจากวาปีปทุมเชียวนะ แล้วรู้มั๊ย วาปีปทุมอยู่ใหน? โน้น...!!..สารคามโน้น."
ต้อยเงียบ แม่เงียบ น้องชายเราเงียบ กำลังจะอ้าปากพ่นต่อ ต้อยก็เปิดปากบอกว่า "ผมเห็นว่าพี่รักมันมาก ผมก็ดูให้อย่างดีเลยนะ รดน้ำเช้าเย็นทุกวัน แต่เย็นวันก่อนผมเห็นมดมันขึ้น ผมกลัวมดจะกวนมัน ผมเลยเอาวิกซอว์มาราด.ไปขวดนึงเลยพี่.."(ที่บ้านใช้แบบขวดใหญ่หูหิ้วค่ะ) "
....หา!!! (ดังกว่าเดิม)...เอาวิกซอว์มาราดนี่นะ!!!..." ต้อยลอยหน้าว่าต่อ "แต่มันดีนะพี่ ตะกี๊ผมมา มดไม่มีเลย เมื่อวานมันเยอะมาก เป็นขวย*เลยล่ะ"
, ... 5555....เสียงโจหัวเราะอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับหม่ามี๊เราแอบเช็ดน้ำหูน้ำตาอย่างสุดทนกับอาการกลั้นหัวเราะไม่อยู่ "..ไอ้ต้อย!!!!....ตรูจะทำงัยกะแกดี๊!!!!!...วิกซอว์..รดต้นไม้กินได้ไล่มดนี่นะ แกจะฆ่ามด รึ...วางยาชั้นวะ?!!." เราว่าได้เท่านั้น.. นึกในใจว่าหากต้อยยังอยู่บ้านเดียวกันกับเราๆจะไม่ยอมปลูกอะไรอีกเลย.
ขวย* เป็นภาษาอีสาน แปลว่า "รัง" จะใช้กับ รังที่อยู่บนพื้นดินค่ะ เช่นขวยปลวก,ขวยมด
มีเพื่อนที่สนิทกันชวนไปดูร้านอาหารที่จังหวัดมุกดาหาร เขาบอกว่าร้านนี้สามีเจ้าของซึ่งเป็นข้าราชการกำลังจะย้ายไปที่อื่น และเขาต้องการขายกิจการ เราเลยอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันจะเพิ่มเงินให้เราได้บ้างหรือเปล่า ก่อนไปสักสองวัน มีเพื่อนรุ่นพี่ยกต้นไม้สาระพัดประโยชน์มาให้ถึงบ้าน เพราะเราไปรบเร้าขอเอาไว้นานแล้ว ต้นที่ว่านี้คือ"แปะตำปึง" ใบอร่อยด้วยเป็นยาสมุนไพรอีกต่างหาก ด้วยความเห่อเอามาวางหน้าบ้าน"แคบๆ"ปุ๊บ อาหารกลางวันๆนั้นก็มีผัดใบแปะตำปึงน้ำมันหอยเลย ทุกคนชมว่าอร่อยดี มื้อเย็นต้มจืดใบแปะตำปึงใส่หมูสับ อื้มอร่อยอีก เจ้าต้อยผู้เลิกงานมาตอนเย็นมีโอกาสได้ลิ้มรสด้วย "แซ่บพี่จันแซ่บ เอาทำอะไรได้อีกล่ะครับไอ้ใบนี้" เมื่อน้องรักถามแบบนี้ เราก็สาธยายให้ฟังถึงคุณสมบัติพิเศษของใบไม้มหัศจรรย์นี้อย่างปลื้มอกปลื้มใจ เพราะอยากได้มานานแล้ว ลงท้ายว่า "ต้อย เดี๋ยวพี่ไม่อยู่นะ2-3วัน ฝากรดน้ำให้ด้วยล่ะ อย่าให้มันเป็นอะไรไปเชียว พี่หวงนะ"
"ครับ" ต้อยรับคำอย่างแม่นมั่น
เมื่อวันเดินทางมาถึง ก่อนเราออกจากบ้าน เห็นต้อยกำลังนั่งยกเวทขนาด5กิโลกรัมอยู่หน้าบ้าน เราไม่วายย้ำกับต้อยอีกหน "ต้อย ดูต้นไม้เทวดาของพี่ดีๆนะ"
.... "ครับพี่ ไม่ต้องห่วง"
ที่ทางที่ไปดูน่าสนใจมาก เรารู้สึกสุขใจ ที่จะได้มีโอกาสลองทำร้านอาหารขนาดใหญ่บ้างในวัยที่ยังมีพลังเหลือพอแก่การเหนื่อย นั่งนึกถึงภาพที่ตัวเองจะเป็นผู้จัดการโก้ๆ มีคำพูดมากมายจะเล่าให้หม่ามี๊กับน้องชายฟัง และอยากกินเกาเหลาเนื้อตุ๋นเจ้าประจำ(ร้านก๋วยเตี๋ยวยายม่อมในซอยภูมิจิตร) เด็ดใบแปะตำปึงใส่ไปด้วยสัก7-8คงอร่อยดี คิดแล้วก็นึกขอบคุณพี่คนที่อุสาห์แบกใส่ท้ายรถกะบะมาให้ถึงบ้านจัง กระถางเบ่อเริ้มขนาดผู้ชายแบกสองคน ต้นแปะตำปึงก็แตกกองามดก ใบหนาจนมองไม่เห็นดินเลย ยิ้มอย่างสุขใจตลอดทางจากมุกดาหารถึงกรุงเทพฯ
ด้วยของฝากที่ขนซื้อมาเยอะมากมาย ทั้งกระหรี่พัฟ,แจ่วบอง,ปลาร้าทรงเครื่อง,หมูยอ ทำให้เราไม่มีโอกาส สังเกตุอะไรนัก เข้าบ้าน อาบน้ำ น้องชายรีบมานั่งชวนคุยถึงสภาพร้านที่ไปดูมา ส่วนแม่ก้อดูทำท่าขมักเขม่นทำกับข้าวมือระวิงอยู่จนไม่กล้าชวนคุย เจ้าต้อยยังไม่ถึงบ้าน จนเกือบทุ่ม ต้อยกลับมาแต่ก็ดูเงียบๆ กำลังจะตั้งวงอาหารมื้อค่ำ เห็นมีแกงจืดของโปรดประจำบ้านตั้งอยู่ด้วย เราเลยชวนแม่คุยว่า "แม่ แม่ใส่ใบแปะตำปึงด้วยหรือเปล่า? มันเป็นยานะ แม่ต้องกินด้วย" เสียงถอนหายใจของหม่ามี๊ ทำให้เราชักรู้สึกแปลกๆ มองหน้าน้องชาย เห็นมันกำลังจ้องเป๋งไปที่เจ้าต้อย แล้วบอกว่า "ตัวเองไปดูผลงานไอ้ติ่งเองแล้วกัน.." เรารีบลุกไปดูกระถาง"ดวงใจ"ที่หน้าบ้านทันที ภาพที่ปรากฎต่อสายตาคือ ใบที่ดกหนาจนมองไม่เห็นดินในกระถางมันเหี่ยว! ...แบบเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่ผ่านกาลเวลามาหลายวันแล้ว บางกิ่งที่ก้านยาวหน่อย มันก็ย้วย...เหมือนตั้งใจจะตายให้พ้นๆไปจากโลกนี้ซะ ... "น้ำร้อน!" เราคิดถึงน้ำร้อนทันที ต้องมีใครเอาน้ำร้อนมารดแน่ๆ และมันต้องเป็นเจ้าต้อย! เจ้าต้อยคนเดียว ไม่มีใครแน่ๆ สาวเท้าเดินเข้าบ้าน ทั้งโมโห ทั้งเสียดายต้นไม้ตัวเอง ทั้งอยากว่าอะไรมันแรงๆ ความรู้สึกเหมือนจะระเบิดภูเขาได้ทั้งลูก มองหน้าต้อย ..."ต้อย... นึกยังไงเอาน้ำร้อนมารดต้นไม้พี่....หา.!!.."
เสียงที่เรียกว่าสิบแปดหลอดคงมาจากอาการนี้ล่ะค่ะ "รู้ม๊ย กว่าที่เค้ายกมาให้เราได้ มันไม่ใช่ง่ายๆนะ มาตั้งไกล มันมาจากวาปีปทุมเชียวนะ แล้วรู้มั๊ย วาปีปทุมอยู่ใหน? โน้น...!!..สารคามโน้น."
ต้อยเงียบ แม่เงียบ น้องชายเราเงียบ กำลังจะอ้าปากพ่นต่อ ต้อยก็เปิดปากบอกว่า "ผมเห็นว่าพี่รักมันมาก ผมก็ดูให้อย่างดีเลยนะ รดน้ำเช้าเย็นทุกวัน แต่เย็นวันก่อนผมเห็นมดมันขึ้น ผมกลัวมดจะกวนมัน ผมเลยเอาวิกซอว์มาราด.ไปขวดนึงเลยพี่.."(ที่บ้านใช้แบบขวดใหญ่หูหิ้วค่ะ) "
....หา!!! (ดังกว่าเดิม)...เอาวิกซอว์มาราดนี่นะ!!!..." ต้อยลอยหน้าว่าต่อ "แต่มันดีนะพี่ ตะกี๊ผมมา มดไม่มีเลย เมื่อวานมันเยอะมาก เป็นขวย*เลยล่ะ"
, ... 5555....เสียงโจหัวเราะอย่างอดไม่ได้ พร้อมกับหม่ามี๊เราแอบเช็ดน้ำหูน้ำตาอย่างสุดทนกับอาการกลั้นหัวเราะไม่อยู่ "..ไอ้ต้อย!!!!....ตรูจะทำงัยกะแกดี๊!!!!!...วิกซอว์..รดต้นไม้กินได้ไล่มดนี่นะ แกจะฆ่ามด รึ...วางยาชั้นวะ?!!." เราว่าได้เท่านั้น.. นึกในใจว่าหากต้อยยังอยู่บ้านเดียวกันกับเราๆจะไม่ยอมปลูกอะไรอีกเลย.
ขวย* เป็นภาษาอีสาน แปลว่า "รัง" จะใช้กับ รังที่อยู่บนพื้นดินค่ะ เช่นขวยปลวก,ขวยมด
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ