เก็บไว้.
10.0
เขียนโดย Anthika_write
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2567 เวลา 20.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
957 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 กันยายน พ.ศ. 2567 16.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) เสียงของหัวใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ปลุกชมพู่ให้ตื่นจากภวังค์ความฝัน เธอพลิกตัวเอื้อมมือไปที่โต๊ะข้างเตียงนอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับสาย เสียงปลายสายที่คุ้นเคยเปล่งดังออกมา
“สวัสดียามเช้าครับ วันนี้เรามีนัดกัน ลืมหรือเปล่า พี่อยู่ที่หน้าหอพักแล้วนะครับ”
ชมพู่ยกมืออีกข้างขึ้นบิดตัวไปมา “สวัสดียามเช้าค่ะ พี่นั่งกินกาแฟรอก่อนนะคะ หน้าตึกมีร้านกาแฟอยู่ ชมพู่ขอไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะ”
ชายหนุ่มมาถึงก่อนเวลานัดถึงสองชั่วโมง เขาเข้าไปในร้านกาแฟ สั่งเครื่องดื่มและขนมสองสามอย่าง แล้วมานั่งที่โต๊ะติดกระจกริมทางเดิน ทอดสายตามองไปที่สวนสาธารณะ ชายหญิงคู่หนึ่งเดินคู่กันระหว่างกลางมีเด็กหญิงตัวน้อยจับมือของพวกเขา ทั้งสามก้าวเดินไปพร้อมกันผ่านหญิงสาวร่างบางผมยาวสลวยที่นั่งอยู่บนม้านั่งสีขาว ‘ด้านหลังสวยขนาดนี้ ใบหน้าจะสวยขนาดไหนนะ…’
สิบห้านาทีต่อมา…
ชมพู่เปิดประตูก้าวเข้าไปในร้านกาแฟ เดินตรงไปหาชายหนุ่ม แผ่นหลังที่คุ้นเคยนั่งพิงพนักเก้าอี้ เสี้ยวหน้านั้นหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา “รอนานมั้ยคะ”
ชายหนุ่มละสายตาจากสวนสาธารณะ หันมายิ้มสดใสก่อนเอ่ย “ไม่นานเลยครับ พี่สั่งกาแฟไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ เดินทางสะดวกมั้ยคะ จากที่พักพี่มาที่นี่”
พนักงานเสิร์ฟถือถาดใบใหญ่เดินมา ที่โต๊ะหยิบแก้วลาเต้เย็น เค้กโรลสตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รีครีมเค้ก บานาน่าเครปโรล เค้กมูสช็อกโกแลต แก้วอเมริกาโน่เย็น ทยอยวางลงบนโต๊ะ
กานต์เลื่อนจานเค้กมูสช็อกโกแลตกับแก้วอเมริกาโน่เย็นให้ชมพู่
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวส่งสายตามองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มพราย
“ไม่ยากครับ พี่มาตามที่ชมพู่ส่งข้อมูลไปให้”
เขาดูต่างจากชายหนุ่มคอทองแดงที่งานแต่งงานเมื่อวานราวกับเป็นคนละคน สายตาเขาเปล่งประกายราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ เมื่อมองไปที่จานขนมหวานที่ตั้งเรียงรายตรงหน้า เขาเริ่มตักเค้กโรลสตรอว์เบอร์รีเข้าปากแล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
ชมพู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “อร่อยมั้ยคะ ชอบกินเหรอคะ”
“อร่อยครับ พี่ชอบมากครับ”
“ออกกำลังกายหนักมั้ยคะ”
“ออกกำลังกายปกติครับ” เขานิ่วหน้าเอียงคอ “กินอะไรเข้าไปก็เผาผลาญหมด ก็เลยน้ำหนักไม่ขึ้นง่ายรึเปล่านะ”
“ดีจังเลยค่ะ” เธอเอ่ยพลางตักเค้กมูสช็อกโกแลตเข้าปาก “วันนี้พี่อยากไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะ”
กานต์หยุดชะงักไป สายตาวูบไหวครู่เดียวก่อนเอ่ย “มีหลายที่ที่อยากไปครับ พี่…อยากเก็บความทรงจำดี ๆ” เขาเงยหน้าจากจานขนมสบตาเธอ หยิบทิชชูยื่นมาเช็ดที่มุมปากให้ “เอาไว้นึกถึง…เวลาคิดถึง”
“คิดถึง?” ชมพู่เอียงคอถาม
“…คิดถึงช่วงเวลา…ที่เราอยู่ด้วยกันครับ”
“ค่ะ ชมพู่ถ่ายรูปเก็บไว้ให้นะคะ ความทรงจำนั้นของพี่” เธอจับกระเป๋ากล้องยกขึ้น ยิ้มพราย
“เช้านี้เป็นไงบ้างคะ…ปวดหัว หรือ…เป็นอะไรมั้ย” เธอเม้มปากยิ้มน้อย ๆ
“หมายถึง…แฮงค์หรือครับ ไม่เลย พี่ตื่นมาสดชื่นสดใส สมองโล่งมาก ยังกับเป็นคนใหม่”
“ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปสินะคะ”
“ครับ…” เขาเอ่ย ศอกทั้งสองวางกับโต๊ะ ยื่นหน้าจ้องมาที่เธอ “เดินหน้าไปด้วยกันไหม”
ชมพู่กำลังดูดกาแฟจากหลอด ละสายตาจากริมทางหันกลับมามองเขา เม้มปากแลบลิ้นเลียมุมปาก วางแก้วลง “นานมั้ยคะ”
“อะไรนะครับ”
ชมพู่เอนกายพิงพนักเก้าอี้ “อยู่กรุงเทพฯ อีกนานมั้ยคะ” เธอเฉไฉไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องคุยไปซะอย่างนั้น
“อีก…สักสองสามวันครับ มีเรื่องที่ต้องจัดการ”
ทางออกจากสถานีรถไฟฟ้าหน้ามิวเซียมสยาม…
“ปกติชอบไปวัดหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ขณะทั้งสองเดินข้ามทางม้าลายมุ่งหน้าไปทางวัดโพธิ์
“ชอบค่ะ วัด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ พี่ล่ะคะ ปกติชอบเที่ยวแบบไหน”
กานต์ยิ้มสดใส สายตามองตรงไปที่ทางเบื้องหน้า “แปลกดี” เขาหันมามองเธอ “เราชอบเหมือนกันเลยครับ”
ความสุขของคนเราแตกต่างกัน บางคนมีความสุขกับการใช้เงินซื้อของที่ตัวเองอยากได้หรือมอบให้กับคนที่รัก บางคนมีความสุขกับการได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่เติมพลังงานบวกให้กับตัวเอง พักผ่อนสมอง ชื่นชมงานศิลปะเพิ่มไอเดียในการทำงาน บางคนต้องการเพียงนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ กินอาหารอร่อย ดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือผลงานนักเขียนคนโปรด ขลุกอยู่ในสวนปลูกต้นไม้พรวนดิน นั่งดูตู้กระจกที่เก็บโมเดลของเล่นไว้จนเต็มหรือหยิบมาลูบคลำเป็นบางครั้ง
ทั้งสองแวะถ่ายรูปฝั่งถนนหน้าพระลาน เริ่มจากบริเวณที่ฉากหลังในภาพเป็นตึกสามชั้นสีเหลืองกรอบหน้าต่างสีเขียว เดินข้ามถนนมาอีกนิดฉากหลังจะเห็นเป็นภาพพระปรางค์แปดองค์ที่อยู่ภายในวัดพระแก้ว แม้จะต้องยืนรอชมพู่จัดมุมกล้องอยู่ครู่หนึ่ง กานต์ก็ไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ เขายังคงมีรอยยิ้มที่สดใสราวกับแสงแดดอ่อนยามเช้า
หลังจากกดชัตเตอร์จนได้ภาพที่พอใจ ชมพู่ก็เปิดภาพในกล้องดู กานต์เดินข้ามถนนมาหาเธอที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นมะขาม
"ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้วันเกิดปีนี้ไม่เงียบเหงา"
ชมพู่เงยหน้าขึ้นจากกล้อง มองไปที่ใบหน้าคมคายที่กำลังยิ้มกว้างเห็นลักยิ้ม "วันนี้วันเกิดพี่เหรอคะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ" เธอเอ่ย แล้วเอียงศีรษะพิงไปที่ไหล่ของเขา
“พี่เป็นอะไรรึเปล่าคะ หัวใจเต้นแรงจัง” เธอยื่นมือเรียวยาววางทาบบนแผ่นอกของชายหนุ่ม
ด้วยความตกใจ เขาเกือบผงะถอยหลัง “…ดีดกาแฟครับ” กานต์ตอบ เสมองไปที่ทางเดินฝั่งรั้ววัดพระแก้ว
ภายในวัดพระแก้วคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศส่งเสียงพูดคุยกัน
ขณะทั้งสองกำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ที่ศาลาข้างพระอุโบสถ หลังจากทั้งสองเข้าไปกราบสักการะพระแก้วมรกต
“ไอไลก์ยัวสนีกเกอร์” นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเอ่ย พลางยิ้มพราย
กานต์หันไปมอง ก้มศีรษะเล็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยขอบคุณไปในภาษาเดียวกัน
หลังออกจากวัดพระแก้วทั้งสองเดินไปตามทางเท้ามุ่งหน้าสู่ท่าเรือข้ามฟากท่าช้าง-วัดระฆัง กราบไหว้สักการะขอพรเสร็จแล้วเดินตามตรอกเล็ก ๆ มุ่งหน้าสู่ตลาดวังหลัง ระหว่างทางชมพู่แวะถ่ายภาพเป็นระยะ กานต์เดินล่วงหน้าไปก่อนเธอเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังถ่ายภาพเจ้าแมวส้มตัวอ้วนที่นอนหงายอวดพุงปุกปุยอยู่
“พี่กานต์…มาเที่ยวเหรอคะ” หญิงสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนใหญ่รับกับใบหน้ากล่าวทักทาย พลางยื่นมือไปเกาะแขนของเขาอย่างสนิทสนม แล้วหันไปแนะนำเขาให้เพื่อนอีกสองคนรู้จัก
“ครับ มาทำธุระ ก็เลยอยู่เที่ยวด้วย”
ชมพู่ก้าวเดินไปหาเขา ยื่นมือไปเกาะแขนอีกข้างจังหวะเดียวกับเขาเบี่ยงตัวเข้ามาหา ดึงแขนอีกข้างออกจากมือหญิงสาวร่างเล็กจนเธอนิ่วหน้างุนงงเอียงคอเล็กน้อย เปิดปากกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา
“ขอตัวก่อนนะครับ” กานต์ก้มศีรษะเล็กน้อยหันหลังก้าวเดินผละจากไป
ทั้งสองก้าวเดินห่างออกมาสักระยะ “รุ่นน้องที่มหา’ลัยครับ ขอบคุณนะครับ”
ชมพู่ปล่อยมือจากแขนของเขา “ก็พี่เสน่ห์แรง มีคนมาจีบเยอะก็ไม่แปลกนี่คะ”
“แค่รุ่นน้องที่คณะครับ ไม่ได้จีบซะหน่อย”
เป็นจริงตามที่เขาเอ่ย แต่เพียงบางส่วนจากทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป หญิงสาวร่างเล็กไม่ได้เกาะแขนเขาอย่างเดียว มืออีกข้างเลื่อนลงไปสะกิดกลางฝ่ามือของเขา เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน นัยน์ตาสื่ออะไรบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยให้ใครได้ยิน กานต์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยอย่างรวดเร็ว
กานต์หันไปทางชมพู่ เมื่อสายตาประสานกัน หญิงสาวก็พยักหน้าให้
“ค่ะ…ตอนนี้เธอคงเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นอะไรกัน”
เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยักไหล่ แทนการบอกว่า ‘ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่’
เธอก้าวเดินนำหน้าไปเล็กน้อยยกกล้องถ่ายภาพรถเข็นขายผลไม้ที่จอดอยู่ริมทางเดิน
“รอด้วยครับ” กานต์ยิ้มกว้างจนแก้มบุ๋ม แล้วสาวเท้าตามไป
“มากินร้านนี้บ่อยเหรอครับ”
“ค่ะ ถ้ามาที่นี่ก็ต้องมาแวะกินไก่ย่างส้มตำร้านนี้ทุกครั้ง ไก่ย่างที่นี่อร่อยมาก”
“แล้ว…มากับใครเหรอครับ”
ชมพู่เงยหน้าขึ้นสบตากานต์ เอาศอกทั้งสองวางกับโต๊ะแล้วยื่นหน้าไปสบสายตากับเขา มองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น ริมฝีปากบางเม้มน้อย ๆ “มากับ…” พนักงานเสิร์ฟถือถาดใส่จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำและขวดน้ำมาวางให้ที่โต๊ะ ชมพู่หลุบตาลงตั้งกายตรง หยิบขวดน้ำเปิดฝาเทใส่แก้ว เลื่อนไปให้เขา
เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย “ขอบคุณครับ” แล้วเงยหน้ามองเธอ “ยังไม่ได้ตอบพี่เลย ว่ามากับใคร”
“เพื่อนค่ะ”
“อ๋อ…ครับ” เขาหันมองไปรอบร้าน “ลูกค้าเยอะนะครับ คงจะอร่อยมาก”
“เหนื่อยหรือยังคะ อยากไปที่ไหนต่อหรือเปล่า”
“ยังไม่เหนื่อยครับ มีที่ไหนแนะนำไหมครับ”
“พิพิธภัณฑ์ศิริราชค่ะ น่าสนใจมั้ย อยู่ใกล้ ๆ ข้ามถนนไปนิดเดียวค่ะ”
“ครับ พี่ยังไม่เคยเข้าไปเลย”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสองเดินออกจากตลาดข้ามถนนไปยังโรงพยาบาลศิริราช ขณะกำลังอยู่ในบริเวณจัดแสดงโครงกระดูกของบุคลากรทางการแพทย์
“รู้สึกยังไงครับ กลัวหรือเปล่า” กานต์เอ่ยถาม
“ไม่ค่ะ สิ่งที่จะอยู่กับเราจนถึงลมหายใจสุดท้าย ก็คือร่างกายของเรา พอทุกอย่างสิ้นสุดลง เราก็กลับคืนสู่ธรรมชาติไม่ได้ยึดติดอยู่กับร่างกายที่เย็นเฉียบอีกต่อไป แต่ไม่รวมถึงบางกรณีที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งของ คนรักนะคะ วันหนึ่งทุกคนต้องตาย ตอนที่ยังอยู่ ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำสิ่งที่อยากทำ ไปที่ที่อยากไป กินสิ่งที่อยากกิน รู้สึกยังไงก็พูดออกมา เราไม่รู้หรอกค่ะ ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อนกัน…”
กานต์หันมามองหญิงสาวที่อยู่เคียงข้าง เธอเติบโตมาอย่างดี ทั้งทัศนคติ คำพูด และมุมมองของเธอ…
“น่าเสียดาย…ที่เราเจอกันช้าไปนะครับ”
“แต่เราก็ได้เจอกันแล้วนะคะ ถ้าอยากเจอเร็วกว่านี้ คือตั้งแต่ชมพู่เกิดหรือเปล่า”
“เป็นไปได้นะครับ ถ้ามีตัวแปรบางอย่างเกิดขึ้นมา เราอาจจะได้พบกันตั้งแต่วันที่ชมพู่เกิด ไม่ใช่บังเอิญพบกันบนรถเมล์แบบนี้”
“ถามเรื่องส่วนตัวได้ไหมครับ” กานต์เอ่ย ขณะทั้งสองยืนดูภาพวาดด้านหลังของชายหญิงกำลังยืนกุมมือกัน ลักษณะมองดวงอาทิตย์เบื้องหน้าที่กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าทอแสงสีแดงอมส้ม ภาพวาดแขวนเรียงรายอยู่ที่โถงชั้นห้าของหอศิลป์กรุงเทพฯ ซึ่งกำลังจัดแสดงผลงานของศิลปินท่านหนึ่ง
“ถ้าส่วนตัวมาก ก็คงตอบไม่ได้ค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ
เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย “พี่ไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวขนาดนั้นหรอกครับ แค่จะถามเรื่องที่คนทั่วไปถามกันแค่นั้น”
ชมพู่ยิ้มพรายค้อมศีรษะเล็กน้อยแทนคำตอบ
“มีแฟนหรือยังครับ…”
ชมพู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ยังไม่มีค่ะ”
“พี่ยังอยู่ทำธุระที่กรุงเทพฯ อีกสองสามวัน ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป เรานัดเจอกันอีกได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าพอมีเวลาว่าง”
“แล้ว…ที่พี่ถามค้างไว้ ว่าเดินหน้าไปด้วยกันไหม ยังไม่ได้ตอบพี่เลย”
ทั้งสองก้าวเดินต่อไป สายตาชมพู่จับจ้องไปที่ภาพวาด โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
“ถ้าคำว่า ‘นานไหม’ หมายถึงระยะเวลาที่เราจะเดินไปด้วยกัน คำตอบคือ เท่าลมหายใจที่พี่ยังเหลืออยู่ ชมพู่จะมีพี่อยู่ในทุกช่วงเวลาครับ”
ที่นั่งขนาดเท่าโซฟาแบบคู่ แอร์เย็นฉ่ำบวกกับแสงไฟสลัว ช่างเหมาะกับการนอนหลับพักผ่อน กานต์ผล็อยหลับไปตั้งแต่ภาพยนตร์เริ่มฉายได้เพียง 15 นาที ชมพู่กำลังลุ้นกับตัวละครที่เดินเข้าไปในป่ามืดทึบและกำลังเผชิญกับบางอย่างที่โผล่ออกมาจากโพรงต้นไม้ เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีแรงกดที่หัวไหล่ด้านขวา หันไปมองก็พบกับศีรษะของกานต์ เขาหลับตาพริ้ม ศีรษะเอียงมาพิงไหล่เธอ ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ
ชมพู่เอื้อมมือหยิบผ้าห่มดึงขึ้นมาคลุมให้เขา ร่างสูงโปร่งเหยียดยาวอยู่บนโซฟาขยับเข้ามาใกล้ มือใหญ่หนาคว้าต้นแขนคนข้างกายกอดนอนแทนหมอนข้าง ด้วยความเคยชินที่จะต้องทำทุกครั้งขณะนอนหลับ
ดวงไฟในโรงภาพยนตร์เปิดสว่างขึ้น พร้อมกับรายชื่อนักแสดง ทีมงาน ผู้มีส่วนร่วมของภาพยนตร์ กานต์สะดุ้งตื่น
“อือ…โอย…พี่หลับไปหรือครับ” เขาเอ่ยพลางตั้งกายตรง จับต้นคอเอียงซ้ายขวา แล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้
“ค่ะ หนังจบแล้ว พี่คงต้องกลับไปนอนต่อที่โรงแรมนะคะ”
“ขอโทษครับ พี่พิงชมพู่อยู่นานเลย เมื่อยหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อคืนนอนดึกเหรอคะ”
“ครับ”
“แล้ว…วันนี้ตื่นเช้า หรือยังไม่ได้นอนคะ”
หลังจากงานแต่งงาน กานต์กลับเข้าโรงแรมพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมือ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งที่ระเบียง หลังจากที่คนในสายหลับไปแล้ว ฟังเสียงลมหายใจของเธอผ่านหูฟังบลูทูธ ตั้งโทรศัพท์มือถือหันเข้าหาตัวเอง พลางชำเลืองมองร่างหญิงสาวนอนทอดกายใต้ผ้าห่ม สลับกับทอดสายตามองแสงไฟสว่างไสวยามค่ำคืนในเมืองกรุง จนกระทั่งแสงจากดวงไฟเปลี่ยนไปเป็นแสงอุ่นจากดวงอาทิตย์
กานต์ยืนย่นจมูกอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ ก้มศีรษะหงึก ๆ “ครับ…พี่ยังไม่ได้นอนเลย นั่งอยู่ที่ระเบียง จนถึงเช้า”
“เศร้าโศกเสียใจมากเลยสินะคะ ถึงกับเก็บเอาไปฝันเชียว”
“ฝัน คือยังไงครับ พี่ไม่เข้าใจ” เขานิ่วหน้าถาม
“ตอนพี่หลับในโรงหนัง พี่ละเมอค่ะ พึมพำอะไรนะ…”
ร่างสูงโปร่งสะดุ้งยกบ่าหันหน้ามามองเธอขณะเดินเคียงกัน ดวงตาเขาเบิกโพลง
เธอก้าวเดินต่อไป พลางเอ่ยโดยไม่ได้หันไปมองเขา “พีพี เราต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ ฉันรู้ว่าแกคิดยังไงกับฉันตลอดแปดปีที่ผ่านมา…” เธอหันไปมองเขา สายตาทั้งสองสบกัน ใบหน้าเขายังคงขึงตึงฉายแววฉงนอยู่ “ประมาณนี้ค่ะ ได้ยินไม่ค่อยชัด”
เขายกมือจับต้นคอเสมองไปทางอื่น “แค่ความฝันน่ะครับ”
ท่ามกลางบรรยากาศหวานชื่นในงานแต่งงาน ก่อนที่พิธีการต่าง ๆ จะเริ่มขึ้น กานต์ยืนถือแก้วเครื่องดื่มอยู่ในสวนที่ปลูกต้นไม้สูงสลับซับซ้อนคล้ายกับเขาวงกต สายตาเขาเหม่อมองไปที่น้ำพุโรมันสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวน ล้อมรอบด้วยเก้าอี้สีขาวตั้งสลับกับพุ่มดอกไม้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบลงบนหญ้าใกล้เข้ามา แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับไปมอง ขยับยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบมืออีกข้างสอดเข้าในกระเป๋ากางเกง ร่างนั้นสวมกอดเขาจากด้านหลังใบหน้าแนบกับแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขา สายลมพัดกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยเข้าปะทะจมูก เขายกมือขึ้นกุมมือคู่นั้นไว้ ร่างนั้นกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ประทับกดลงบนแผ่นหลังราวกับต้องการจะทดแทนความคิดถึง ในช่วงเวลาที่ห่างกันไป
“พีพี เราต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ ฉันรู้ว่าแกคิดยังไงกับฉันตลอดแปดปีที่ผ่านมา…ฉันรู้สึกดีและขอบคุณแกมาก แต่ฉันจำเป็นที่จะต้องบอกกับแกตรง ๆ ว่าเรื่องระหว่างเรา คงเป็นมากเกินกว่าเพื่อนไม่ได้ แน่นอนว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันต่อไปได้เหมือนเดิม” กานต์ขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้น แต่ร่างนั้นยังคงกระชับอ้อมแขนแน่นไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ “พอแค่นี้เถอะนะ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะไม่ดีกับทั้งตัวแกเอง แล้วก็เจ้าสาวของแกด้วย”
พีพีคลายอ้อมแขน กานต์ผละออกไปเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้รู้สึกรักเธอเลยสักนิด…”
กานต์ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากพีพี “เบาเสียงลงหน่อย”
“แต่ก็ถูกอย่างที่นายพูด เราต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ทั้งหมดเป็นความต้องการของครอบครัวของฉันกับครอบครัวของเธอ” พีพียกมือทั้งสองข้างขึ้นวางบนแผ่นอกของกานต์ เลื่อนขึ้นไปโน้มต้นคอและสวมกอดเขา สายตาทั้งสองสบกัน “ฉันแค่อยากจะบอกกับนายต่อหน้า ว่าฉันรักนาย ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน สายตาเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มของคนที่อยู่ตรงหน้า
กานต์ยกมือขึ้นลูบด้านหลังศีรษะพีพี ดึงให้ใบหน้าเขาแนบกับแผ่นอกอย่างแผ่วเบา “ฉันรักแก…ได้เท่านี้ ขอให้แกมีความสุขกับชีวิตคู่นะ”
เช้าวันจันทร์ที่แสนวุ่นวาย แม้กระทั่งสถานที่พักผ่อน ที่เต็มทุกห้องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ดอกแก้วพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ในครัวขณะที่กำลังหยิบใบกะเพราใส่ลงกระทะใช้ตะหลิวผัดคั่วอาหารส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วโถงรับประทานอาหาร เธอส่งเสียงเรียกลูกชายที่กำลังนั่งเหม่อมองไปที่พุ่มดอกไฮเดรนเยียที่สวนกลางรีสอร์ต เป็นรอบที่สาม
“กานต์”
“ครับแม่” เขาสะดุ้งเล็กน้อย หันไปตอบ
“เช้านี้อารมณ์ดีจัง มีอะไรพิเศษหรือเปล่าลูก นั่งยิ้มคนเดียวเกือบชั่วโมงแล้ว แม่เรียกก็ไม่ตอบ”
เขาหลุบตาลงนึกถึงเหตุการณ์วันที่เขาไปหอศิลป์กับชมพู่ แววตาวูบไหวเพียงครู่เดียวแล้วกลับเป็นปกติ แล้วยิ้มพราย
‘ถ้าคำว่านานไหม หมายถึงระยะเวลาที่เราจะเดินไปด้วยกัน คำตอบคือ เท่าลมหายใจที่พี่ยังเหลืออยู่ ชมพู่จะมีพี่อยู่ในทุกช่วงเวลาครับ’
หลังจากชมพู่หันไปสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง เธอยื่นฝ่ามือไปแตะที่ต้นแขนขวาของเขาก่อนเอ่ย ‘มั่นใจแล้วหรือคะ ไม่ได้พูดออกมาเพราะเหงา เศร้า หรือกำลังเสียใจอยู่ใช่ไหม’
‘หาคำตอบไปด้วยกันสิครับ’
แค่เพียงนึกถึงบทสนทนานั้น เขาก็ยังหุบยิ้มไม่ลงอยู่แบบนั้น แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากเธอ แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธหรือรังเกียจอะไรในตัวเขาเลย
“งานที่กรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหมลูก”
สายตาเขาวูบไหวเพียงครู่เดียวก่อนเอ่ย “เรียบร้อยดีครับแม่”
“กานต์มีแฟนแล้วเหรอลูก” ดอกแก้ววางจานข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่โต๊ะตรงหน้ากานต์ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเขา
กานต์เงยหน้าสบตาแม่แล้วหลุบตา “ทำไมถามแบบนั้นครับ”
“แม่ไม่เคยเห็นหนูเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ไปทำงานแค่สัปดาห์เดียว กลับมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตื่นตั้งแต่เช้ามานั่งยิ้มอยู่คนเดียว ใจลอยไปถึงไหนแม่เรียกก็ไม่ตอบ ลอยไปถึงกรุงเทพฯ หรือเปล่าจ๊ะลูกชาย”
กานต์ไม่ตอบ ก้มมองจานข้าวแล้วยิ้มพราย
“มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ใช่ไหม” ดอกแก้วยื่นมือมาจับมือลูกชาย “แม่อยากให้หนูชัดเจนในทุกความสัมพันธ์ อย่าปล่อยให้ใครเข้าใจไปในทางที่ผิด ถ้าหนูไม่ได้คิดอะไรหรือรู้สึกแค่ในระดับไหนก็บอกเขาไปตรง ๆ อย่าทำให้ใครเสียใจ อย่าทำร้ายหัวใจตัวเองนะลูก แม่รู้ว่าหนูให้เกียรติและไม่บังคับล่วงเกินใครถ้าเขาไม่ยินยอม แต่การกระทำบางอย่าง อาจจะทำให้คนคนนั้นเข้าใจเจตนาของลูกผิดไป”
“ครับแม่ ‘คนคนนั้น’ ที่แม่เอ่ยถึง ผมเปิดอกคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง ดูแล้วเธอเองก็ไม่ได้คิดอะไรกับผมไปมากกว่า ‘พี่-น้อง’ ครับ”
“แล้วลูกล่ะ คิดยังไงกับเธอคนนั้น”
“เราเชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์บางอย่างครับ และแน่นอนว่าไม่ใช่เชิงชู้สาว”
“จ้ะ ถ้าลูกมีความสุข แม่ก็ดีใจ” ดอกแก้วยื่นมือไปลูบศีรษะกานต์ แล้วลุกขึ้นก้าวเดินไปทางห้องครัว
กานต์หันกลับไปมองพุ่มดอกไฮเดรนเยียที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งอยู่ตรงสวนกลางรีสอร์ต ครั้งหนึ่งที่นี่เคยมีเธอคนนั้นก้าวเดินอยู่
‘ความรัก ความห่วงใย และความคิดถึงจะโอบอุ้มเธอเสมอ’
“สวัสดียามเช้าครับ วันนี้เรามีนัดกัน ลืมหรือเปล่า พี่อยู่ที่หน้าหอพักแล้วนะครับ”
ชมพู่ยกมืออีกข้างขึ้นบิดตัวไปมา “สวัสดียามเช้าค่ะ พี่นั่งกินกาแฟรอก่อนนะคะ หน้าตึกมีร้านกาแฟอยู่ ชมพู่ขอไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะคะ”
ชายหนุ่มมาถึงก่อนเวลานัดถึงสองชั่วโมง เขาเข้าไปในร้านกาแฟ สั่งเครื่องดื่มและขนมสองสามอย่าง แล้วมานั่งที่โต๊ะติดกระจกริมทางเดิน ทอดสายตามองไปที่สวนสาธารณะ ชายหญิงคู่หนึ่งเดินคู่กันระหว่างกลางมีเด็กหญิงตัวน้อยจับมือของพวกเขา ทั้งสามก้าวเดินไปพร้อมกันผ่านหญิงสาวร่างบางผมยาวสลวยที่นั่งอยู่บนม้านั่งสีขาว ‘ด้านหลังสวยขนาดนี้ ใบหน้าจะสวยขนาดไหนนะ…’
สิบห้านาทีต่อมา…
ชมพู่เปิดประตูก้าวเข้าไปในร้านกาแฟ เดินตรงไปหาชายหนุ่ม แผ่นหลังที่คุ้นเคยนั่งพิงพนักเก้าอี้ เสี้ยวหน้านั้นหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเขา “รอนานมั้ยคะ”
ชายหนุ่มละสายตาจากสวนสาธารณะ หันมายิ้มสดใสก่อนเอ่ย “ไม่นานเลยครับ พี่สั่งกาแฟไว้ให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ เดินทางสะดวกมั้ยคะ จากที่พักพี่มาที่นี่”
พนักงานเสิร์ฟถือถาดใบใหญ่เดินมา ที่โต๊ะหยิบแก้วลาเต้เย็น เค้กโรลสตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รีครีมเค้ก บานาน่าเครปโรล เค้กมูสช็อกโกแลต แก้วอเมริกาโน่เย็น ทยอยวางลงบนโต๊ะ
กานต์เลื่อนจานเค้กมูสช็อกโกแลตกับแก้วอเมริกาโน่เย็นให้ชมพู่
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวส่งสายตามองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มพราย
“ไม่ยากครับ พี่มาตามที่ชมพู่ส่งข้อมูลไปให้”
เขาดูต่างจากชายหนุ่มคอทองแดงที่งานแต่งงานเมื่อวานราวกับเป็นคนละคน สายตาเขาเปล่งประกายราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ เมื่อมองไปที่จานขนมหวานที่ตั้งเรียงรายตรงหน้า เขาเริ่มตักเค้กโรลสตรอว์เบอร์รีเข้าปากแล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
ชมพู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “อร่อยมั้ยคะ ชอบกินเหรอคะ”
“อร่อยครับ พี่ชอบมากครับ”
“ออกกำลังกายหนักมั้ยคะ”
“ออกกำลังกายปกติครับ” เขานิ่วหน้าเอียงคอ “กินอะไรเข้าไปก็เผาผลาญหมด ก็เลยน้ำหนักไม่ขึ้นง่ายรึเปล่านะ”
“ดีจังเลยค่ะ” เธอเอ่ยพลางตักเค้กมูสช็อกโกแลตเข้าปาก “วันนี้พี่อยากไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะ”
กานต์หยุดชะงักไป สายตาวูบไหวครู่เดียวก่อนเอ่ย “มีหลายที่ที่อยากไปครับ พี่…อยากเก็บความทรงจำดี ๆ” เขาเงยหน้าจากจานขนมสบตาเธอ หยิบทิชชูยื่นมาเช็ดที่มุมปากให้ “เอาไว้นึกถึง…เวลาคิดถึง”
“คิดถึง?” ชมพู่เอียงคอถาม
“…คิดถึงช่วงเวลา…ที่เราอยู่ด้วยกันครับ”
“ค่ะ ชมพู่ถ่ายรูปเก็บไว้ให้นะคะ ความทรงจำนั้นของพี่” เธอจับกระเป๋ากล้องยกขึ้น ยิ้มพราย
“เช้านี้เป็นไงบ้างคะ…ปวดหัว หรือ…เป็นอะไรมั้ย” เธอเม้มปากยิ้มน้อย ๆ
“หมายถึง…แฮงค์หรือครับ ไม่เลย พี่ตื่นมาสดชื่นสดใส สมองโล่งมาก ยังกับเป็นคนใหม่”
“ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปสินะคะ”
“ครับ…” เขาเอ่ย ศอกทั้งสองวางกับโต๊ะ ยื่นหน้าจ้องมาที่เธอ “เดินหน้าไปด้วยกันไหม”
ชมพู่กำลังดูดกาแฟจากหลอด ละสายตาจากริมทางหันกลับมามองเขา เม้มปากแลบลิ้นเลียมุมปาก วางแก้วลง “นานมั้ยคะ”
“อะไรนะครับ”
ชมพู่เอนกายพิงพนักเก้าอี้ “อยู่กรุงเทพฯ อีกนานมั้ยคะ” เธอเฉไฉไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องคุยไปซะอย่างนั้น
“อีก…สักสองสามวันครับ มีเรื่องที่ต้องจัดการ”
ทางออกจากสถานีรถไฟฟ้าหน้ามิวเซียมสยาม…
“ปกติชอบไปวัดหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ขณะทั้งสองเดินข้ามทางม้าลายมุ่งหน้าไปทางวัดโพธิ์
“ชอบค่ะ วัด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ พี่ล่ะคะ ปกติชอบเที่ยวแบบไหน”
กานต์ยิ้มสดใส สายตามองตรงไปที่ทางเบื้องหน้า “แปลกดี” เขาหันมามองเธอ “เราชอบเหมือนกันเลยครับ”
ความสุขของคนเราแตกต่างกัน บางคนมีความสุขกับการใช้เงินซื้อของที่ตัวเองอยากได้หรือมอบให้กับคนที่รัก บางคนมีความสุขกับการได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่เติมพลังงานบวกให้กับตัวเอง พักผ่อนสมอง ชื่นชมงานศิลปะเพิ่มไอเดียในการทำงาน บางคนต้องการเพียงนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ กินอาหารอร่อย ดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือผลงานนักเขียนคนโปรด ขลุกอยู่ในสวนปลูกต้นไม้พรวนดิน นั่งดูตู้กระจกที่เก็บโมเดลของเล่นไว้จนเต็มหรือหยิบมาลูบคลำเป็นบางครั้ง
ทั้งสองแวะถ่ายรูปฝั่งถนนหน้าพระลาน เริ่มจากบริเวณที่ฉากหลังในภาพเป็นตึกสามชั้นสีเหลืองกรอบหน้าต่างสีเขียว เดินข้ามถนนมาอีกนิดฉากหลังจะเห็นเป็นภาพพระปรางค์แปดองค์ที่อยู่ภายในวัดพระแก้ว แม้จะต้องยืนรอชมพู่จัดมุมกล้องอยู่ครู่หนึ่ง กานต์ก็ไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ เขายังคงมีรอยยิ้มที่สดใสราวกับแสงแดดอ่อนยามเช้า
หลังจากกดชัตเตอร์จนได้ภาพที่พอใจ ชมพู่ก็เปิดภาพในกล้องดู กานต์เดินข้ามถนนมาหาเธอที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นมะขาม
"ขอบคุณนะครับ ที่ทำให้วันเกิดปีนี้ไม่เงียบเหงา"
ชมพู่เงยหน้าขึ้นจากกล้อง มองไปที่ใบหน้าคมคายที่กำลังยิ้มกว้างเห็นลักยิ้ม "วันนี้วันเกิดพี่เหรอคะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ" เธอเอ่ย แล้วเอียงศีรษะพิงไปที่ไหล่ของเขา
“พี่เป็นอะไรรึเปล่าคะ หัวใจเต้นแรงจัง” เธอยื่นมือเรียวยาววางทาบบนแผ่นอกของชายหนุ่ม
ด้วยความตกใจ เขาเกือบผงะถอยหลัง “…ดีดกาแฟครับ” กานต์ตอบ เสมองไปที่ทางเดินฝั่งรั้ววัดพระแก้ว
ภายในวัดพระแก้วคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศส่งเสียงพูดคุยกัน
ขณะทั้งสองกำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ที่ศาลาข้างพระอุโบสถ หลังจากทั้งสองเข้าไปกราบสักการะพระแก้วมรกต
“ไอไลก์ยัวสนีกเกอร์” นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเอ่ย พลางยิ้มพราย
กานต์หันไปมอง ก้มศีรษะเล็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยขอบคุณไปในภาษาเดียวกัน
หลังออกจากวัดพระแก้วทั้งสองเดินไปตามทางเท้ามุ่งหน้าสู่ท่าเรือข้ามฟากท่าช้าง-วัดระฆัง กราบไหว้สักการะขอพรเสร็จแล้วเดินตามตรอกเล็ก ๆ มุ่งหน้าสู่ตลาดวังหลัง ระหว่างทางชมพู่แวะถ่ายภาพเป็นระยะ กานต์เดินล่วงหน้าไปก่อนเธอเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังถ่ายภาพเจ้าแมวส้มตัวอ้วนที่นอนหงายอวดพุงปุกปุยอยู่
“พี่กานต์…มาเที่ยวเหรอคะ” หญิงสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนใหญ่รับกับใบหน้ากล่าวทักทาย พลางยื่นมือไปเกาะแขนของเขาอย่างสนิทสนม แล้วหันไปแนะนำเขาให้เพื่อนอีกสองคนรู้จัก
“ครับ มาทำธุระ ก็เลยอยู่เที่ยวด้วย”
ชมพู่ก้าวเดินไปหาเขา ยื่นมือไปเกาะแขนอีกข้างจังหวะเดียวกับเขาเบี่ยงตัวเข้ามาหา ดึงแขนอีกข้างออกจากมือหญิงสาวร่างเล็กจนเธอนิ่วหน้างุนงงเอียงคอเล็กน้อย เปิดปากกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา
“ขอตัวก่อนนะครับ” กานต์ก้มศีรษะเล็กน้อยหันหลังก้าวเดินผละจากไป
ทั้งสองก้าวเดินห่างออกมาสักระยะ “รุ่นน้องที่มหา’ลัยครับ ขอบคุณนะครับ”
ชมพู่ปล่อยมือจากแขนของเขา “ก็พี่เสน่ห์แรง มีคนมาจีบเยอะก็ไม่แปลกนี่คะ”
“แค่รุ่นน้องที่คณะครับ ไม่ได้จีบซะหน่อย”
เป็นจริงตามที่เขาเอ่ย แต่เพียงบางส่วนจากทั้งหมดของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป หญิงสาวร่างเล็กไม่ได้เกาะแขนเขาอย่างเดียว มืออีกข้างเลื่อนลงไปสะกิดกลางฝ่ามือของเขา เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน นัยน์ตาสื่ออะไรบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยให้ใครได้ยิน กานต์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยอย่างรวดเร็ว
กานต์หันไปทางชมพู่ เมื่อสายตาประสานกัน หญิงสาวก็พยักหน้าให้
“ค่ะ…ตอนนี้เธอคงเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นอะไรกัน”
เขาสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยักไหล่ แทนการบอกว่า ‘ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่’
เธอก้าวเดินนำหน้าไปเล็กน้อยยกกล้องถ่ายภาพรถเข็นขายผลไม้ที่จอดอยู่ริมทางเดิน
“รอด้วยครับ” กานต์ยิ้มกว้างจนแก้มบุ๋ม แล้วสาวเท้าตามไป
“มากินร้านนี้บ่อยเหรอครับ”
“ค่ะ ถ้ามาที่นี่ก็ต้องมาแวะกินไก่ย่างส้มตำร้านนี้ทุกครั้ง ไก่ย่างที่นี่อร่อยมาก”
“แล้ว…มากับใครเหรอครับ”
ชมพู่เงยหน้าขึ้นสบตากานต์ เอาศอกทั้งสองวางกับโต๊ะแล้วยื่นหน้าไปสบสายตากับเขา มองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้น ริมฝีปากบางเม้มน้อย ๆ “มากับ…” พนักงานเสิร์ฟถือถาดใส่จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำและขวดน้ำมาวางให้ที่โต๊ะ ชมพู่หลุบตาลงตั้งกายตรง หยิบขวดน้ำเปิดฝาเทใส่แก้ว เลื่อนไปให้เขา
เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย “ขอบคุณครับ” แล้วเงยหน้ามองเธอ “ยังไม่ได้ตอบพี่เลย ว่ามากับใคร”
“เพื่อนค่ะ”
“อ๋อ…ครับ” เขาหันมองไปรอบร้าน “ลูกค้าเยอะนะครับ คงจะอร่อยมาก”
“เหนื่อยหรือยังคะ อยากไปที่ไหนต่อหรือเปล่า”
“ยังไม่เหนื่อยครับ มีที่ไหนแนะนำไหมครับ”
“พิพิธภัณฑ์ศิริราชค่ะ น่าสนใจมั้ย อยู่ใกล้ ๆ ข้ามถนนไปนิดเดียวค่ะ”
“ครับ พี่ยังไม่เคยเข้าไปเลย”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสองเดินออกจากตลาดข้ามถนนไปยังโรงพยาบาลศิริราช ขณะกำลังอยู่ในบริเวณจัดแสดงโครงกระดูกของบุคลากรทางการแพทย์
“รู้สึกยังไงครับ กลัวหรือเปล่า” กานต์เอ่ยถาม
“ไม่ค่ะ สิ่งที่จะอยู่กับเราจนถึงลมหายใจสุดท้าย ก็คือร่างกายของเรา พอทุกอย่างสิ้นสุดลง เราก็กลับคืนสู่ธรรมชาติไม่ได้ยึดติดอยู่กับร่างกายที่เย็นเฉียบอีกต่อไป แต่ไม่รวมถึงบางกรณีที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งของ คนรักนะคะ วันหนึ่งทุกคนต้องตาย ตอนที่ยังอยู่ ใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำสิ่งที่อยากทำ ไปที่ที่อยากไป กินสิ่งที่อยากกิน รู้สึกยังไงก็พูดออกมา เราไม่รู้หรอกค่ะ ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อนกัน…”
กานต์หันมามองหญิงสาวที่อยู่เคียงข้าง เธอเติบโตมาอย่างดี ทั้งทัศนคติ คำพูด และมุมมองของเธอ…
“น่าเสียดาย…ที่เราเจอกันช้าไปนะครับ”
“แต่เราก็ได้เจอกันแล้วนะคะ ถ้าอยากเจอเร็วกว่านี้ คือตั้งแต่ชมพู่เกิดหรือเปล่า”
“เป็นไปได้นะครับ ถ้ามีตัวแปรบางอย่างเกิดขึ้นมา เราอาจจะได้พบกันตั้งแต่วันที่ชมพู่เกิด ไม่ใช่บังเอิญพบกันบนรถเมล์แบบนี้”
“ถามเรื่องส่วนตัวได้ไหมครับ” กานต์เอ่ย ขณะทั้งสองยืนดูภาพวาดด้านหลังของชายหญิงกำลังยืนกุมมือกัน ลักษณะมองดวงอาทิตย์เบื้องหน้าที่กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าทอแสงสีแดงอมส้ม ภาพวาดแขวนเรียงรายอยู่ที่โถงชั้นห้าของหอศิลป์กรุงเทพฯ ซึ่งกำลังจัดแสดงผลงานของศิลปินท่านหนึ่ง
“ถ้าส่วนตัวมาก ก็คงตอบไม่ได้ค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ
เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อย “พี่ไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวขนาดนั้นหรอกครับ แค่จะถามเรื่องที่คนทั่วไปถามกันแค่นั้น”
ชมพู่ยิ้มพรายค้อมศีรษะเล็กน้อยแทนคำตอบ
“มีแฟนหรือยังครับ…”
ชมพู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ยังไม่มีค่ะ”
“พี่ยังอยู่ทำธุระที่กรุงเทพฯ อีกสองสามวัน ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป เรานัดเจอกันอีกได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าพอมีเวลาว่าง”
“แล้ว…ที่พี่ถามค้างไว้ ว่าเดินหน้าไปด้วยกันไหม ยังไม่ได้ตอบพี่เลย”
ทั้งสองก้าวเดินต่อไป สายตาชมพู่จับจ้องไปที่ภาพวาด โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
“ถ้าคำว่า ‘นานไหม’ หมายถึงระยะเวลาที่เราจะเดินไปด้วยกัน คำตอบคือ เท่าลมหายใจที่พี่ยังเหลืออยู่ ชมพู่จะมีพี่อยู่ในทุกช่วงเวลาครับ”
ที่นั่งขนาดเท่าโซฟาแบบคู่ แอร์เย็นฉ่ำบวกกับแสงไฟสลัว ช่างเหมาะกับการนอนหลับพักผ่อน กานต์ผล็อยหลับไปตั้งแต่ภาพยนตร์เริ่มฉายได้เพียง 15 นาที ชมพู่กำลังลุ้นกับตัวละครที่เดินเข้าไปในป่ามืดทึบและกำลังเผชิญกับบางอย่างที่โผล่ออกมาจากโพรงต้นไม้ เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีแรงกดที่หัวไหล่ด้านขวา หันไปมองก็พบกับศีรษะของกานต์ เขาหลับตาพริ้ม ศีรษะเอียงมาพิงไหล่เธอ ลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอ
ชมพู่เอื้อมมือหยิบผ้าห่มดึงขึ้นมาคลุมให้เขา ร่างสูงโปร่งเหยียดยาวอยู่บนโซฟาขยับเข้ามาใกล้ มือใหญ่หนาคว้าต้นแขนคนข้างกายกอดนอนแทนหมอนข้าง ด้วยความเคยชินที่จะต้องทำทุกครั้งขณะนอนหลับ
ดวงไฟในโรงภาพยนตร์เปิดสว่างขึ้น พร้อมกับรายชื่อนักแสดง ทีมงาน ผู้มีส่วนร่วมของภาพยนตร์ กานต์สะดุ้งตื่น
“อือ…โอย…พี่หลับไปหรือครับ” เขาเอ่ยพลางตั้งกายตรง จับต้นคอเอียงซ้ายขวา แล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้
“ค่ะ หนังจบแล้ว พี่คงต้องกลับไปนอนต่อที่โรงแรมนะคะ”
“ขอโทษครับ พี่พิงชมพู่อยู่นานเลย เมื่อยหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อคืนนอนดึกเหรอคะ”
“ครับ”
“แล้ว…วันนี้ตื่นเช้า หรือยังไม่ได้นอนคะ”
หลังจากงานแต่งงาน กานต์กลับเข้าโรงแรมพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมือ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งที่ระเบียง หลังจากที่คนในสายหลับไปแล้ว ฟังเสียงลมหายใจของเธอผ่านหูฟังบลูทูธ ตั้งโทรศัพท์มือถือหันเข้าหาตัวเอง พลางชำเลืองมองร่างหญิงสาวนอนทอดกายใต้ผ้าห่ม สลับกับทอดสายตามองแสงไฟสว่างไสวยามค่ำคืนในเมืองกรุง จนกระทั่งแสงจากดวงไฟเปลี่ยนไปเป็นแสงอุ่นจากดวงอาทิตย์
กานต์ยืนย่นจมูกอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ ก้มศีรษะหงึก ๆ “ครับ…พี่ยังไม่ได้นอนเลย นั่งอยู่ที่ระเบียง จนถึงเช้า”
“เศร้าโศกเสียใจมากเลยสินะคะ ถึงกับเก็บเอาไปฝันเชียว”
“ฝัน คือยังไงครับ พี่ไม่เข้าใจ” เขานิ่วหน้าถาม
“ตอนพี่หลับในโรงหนัง พี่ละเมอค่ะ พึมพำอะไรนะ…”
ร่างสูงโปร่งสะดุ้งยกบ่าหันหน้ามามองเธอขณะเดินเคียงกัน ดวงตาเขาเบิกโพลง
เธอก้าวเดินต่อไป พลางเอ่ยโดยไม่ได้หันไปมองเขา “พีพี เราต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ ฉันรู้ว่าแกคิดยังไงกับฉันตลอดแปดปีที่ผ่านมา…” เธอหันไปมองเขา สายตาทั้งสองสบกัน ใบหน้าเขายังคงขึงตึงฉายแววฉงนอยู่ “ประมาณนี้ค่ะ ได้ยินไม่ค่อยชัด”
เขายกมือจับต้นคอเสมองไปทางอื่น “แค่ความฝันน่ะครับ”
ท่ามกลางบรรยากาศหวานชื่นในงานแต่งงาน ก่อนที่พิธีการต่าง ๆ จะเริ่มขึ้น กานต์ยืนถือแก้วเครื่องดื่มอยู่ในสวนที่ปลูกต้นไม้สูงสลับซับซ้อนคล้ายกับเขาวงกต สายตาเขาเหม่อมองไปที่น้ำพุโรมันสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวน ล้อมรอบด้วยเก้าอี้สีขาวตั้งสลับกับพุ่มดอกไม้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบลงบนหญ้าใกล้เข้ามา แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับไปมอง ขยับยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบมืออีกข้างสอดเข้าในกระเป๋ากางเกง ร่างนั้นสวมกอดเขาจากด้านหลังใบหน้าแนบกับแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขา สายลมพัดกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยเข้าปะทะจมูก เขายกมือขึ้นกุมมือคู่นั้นไว้ ร่างนั้นกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ประทับกดลงบนแผ่นหลังราวกับต้องการจะทดแทนความคิดถึง ในช่วงเวลาที่ห่างกันไป
“พีพี เราต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ ฉันรู้ว่าแกคิดยังไงกับฉันตลอดแปดปีที่ผ่านมา…ฉันรู้สึกดีและขอบคุณแกมาก แต่ฉันจำเป็นที่จะต้องบอกกับแกตรง ๆ ว่าเรื่องระหว่างเรา คงเป็นมากเกินกว่าเพื่อนไม่ได้ แน่นอนว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันต่อไปได้เหมือนเดิม” กานต์ขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้น แต่ร่างนั้นยังคงกระชับอ้อมแขนแน่นไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ “พอแค่นี้เถอะนะ ถ้าใครมาเห็นเข้าจะไม่ดีกับทั้งตัวแกเอง แล้วก็เจ้าสาวของแกด้วย”
พีพีคลายอ้อมแขน กานต์ผละออกไปเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากแต่งงาน ไม่ได้รู้สึกรักเธอเลยสักนิด…”
กานต์ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากพีพี “เบาเสียงลงหน่อย”
“แต่ก็ถูกอย่างที่นายพูด เราต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ทั้งหมดเป็นความต้องการของครอบครัวของฉันกับครอบครัวของเธอ” พีพียกมือทั้งสองข้างขึ้นวางบนแผ่นอกของกานต์ เลื่อนขึ้นไปโน้มต้นคอและสวมกอดเขา สายตาทั้งสองสบกัน “ฉันแค่อยากจะบอกกับนายต่อหน้า ว่าฉันรักนาย ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน สายตาเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมเข้มของคนที่อยู่ตรงหน้า
กานต์ยกมือขึ้นลูบด้านหลังศีรษะพีพี ดึงให้ใบหน้าเขาแนบกับแผ่นอกอย่างแผ่วเบา “ฉันรักแก…ได้เท่านี้ ขอให้แกมีความสุขกับชีวิตคู่นะ”
เช้าวันจันทร์ที่แสนวุ่นวาย แม้กระทั่งสถานที่พักผ่อน ที่เต็มทุกห้องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ดอกแก้วพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ในครัวขณะที่กำลังหยิบใบกะเพราใส่ลงกระทะใช้ตะหลิวผัดคั่วอาหารส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วโถงรับประทานอาหาร เธอส่งเสียงเรียกลูกชายที่กำลังนั่งเหม่อมองไปที่พุ่มดอกไฮเดรนเยียที่สวนกลางรีสอร์ต เป็นรอบที่สาม
“กานต์”
“ครับแม่” เขาสะดุ้งเล็กน้อย หันไปตอบ
“เช้านี้อารมณ์ดีจัง มีอะไรพิเศษหรือเปล่าลูก นั่งยิ้มคนเดียวเกือบชั่วโมงแล้ว แม่เรียกก็ไม่ตอบ”
เขาหลุบตาลงนึกถึงเหตุการณ์วันที่เขาไปหอศิลป์กับชมพู่ แววตาวูบไหวเพียงครู่เดียวแล้วกลับเป็นปกติ แล้วยิ้มพราย
‘ถ้าคำว่านานไหม หมายถึงระยะเวลาที่เราจะเดินไปด้วยกัน คำตอบคือ เท่าลมหายใจที่พี่ยังเหลืออยู่ ชมพู่จะมีพี่อยู่ในทุกช่วงเวลาครับ’
หลังจากชมพู่หันไปสบตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง เธอยื่นฝ่ามือไปแตะที่ต้นแขนขวาของเขาก่อนเอ่ย ‘มั่นใจแล้วหรือคะ ไม่ได้พูดออกมาเพราะเหงา เศร้า หรือกำลังเสียใจอยู่ใช่ไหม’
‘หาคำตอบไปด้วยกันสิครับ’
แค่เพียงนึกถึงบทสนทนานั้น เขาก็ยังหุบยิ้มไม่ลงอยู่แบบนั้น แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากเธอ แต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธหรือรังเกียจอะไรในตัวเขาเลย
“งานที่กรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหมลูก”
สายตาเขาวูบไหวเพียงครู่เดียวก่อนเอ่ย “เรียบร้อยดีครับแม่”
“กานต์มีแฟนแล้วเหรอลูก” ดอกแก้ววางจานข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่โต๊ะตรงหน้ากานต์ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเขา
กานต์เงยหน้าสบตาแม่แล้วหลุบตา “ทำไมถามแบบนั้นครับ”
“แม่ไม่เคยเห็นหนูเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ไปทำงานแค่สัปดาห์เดียว กลับมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตื่นตั้งแต่เช้ามานั่งยิ้มอยู่คนเดียว ใจลอยไปถึงไหนแม่เรียกก็ไม่ตอบ ลอยไปถึงกรุงเทพฯ หรือเปล่าจ๊ะลูกชาย”
กานต์ไม่ตอบ ก้มมองจานข้าวแล้วยิ้มพราย
“มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ใช่ไหม” ดอกแก้วยื่นมือมาจับมือลูกชาย “แม่อยากให้หนูชัดเจนในทุกความสัมพันธ์ อย่าปล่อยให้ใครเข้าใจไปในทางที่ผิด ถ้าหนูไม่ได้คิดอะไรหรือรู้สึกแค่ในระดับไหนก็บอกเขาไปตรง ๆ อย่าทำให้ใครเสียใจ อย่าทำร้ายหัวใจตัวเองนะลูก แม่รู้ว่าหนูให้เกียรติและไม่บังคับล่วงเกินใครถ้าเขาไม่ยินยอม แต่การกระทำบางอย่าง อาจจะทำให้คนคนนั้นเข้าใจเจตนาของลูกผิดไป”
“ครับแม่ ‘คนคนนั้น’ ที่แม่เอ่ยถึง ผมเปิดอกคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง ดูแล้วเธอเองก็ไม่ได้คิดอะไรกับผมไปมากกว่า ‘พี่-น้อง’ ครับ”
“แล้วลูกล่ะ คิดยังไงกับเธอคนนั้น”
“เราเชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์บางอย่างครับ และแน่นอนว่าไม่ใช่เชิงชู้สาว”
“จ้ะ ถ้าลูกมีความสุข แม่ก็ดีใจ” ดอกแก้วยื่นมือไปลูบศีรษะกานต์ แล้วลุกขึ้นก้าวเดินไปทางห้องครัว
กานต์หันกลับไปมองพุ่มดอกไฮเดรนเยียที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งอยู่ตรงสวนกลางรีสอร์ต ครั้งหนึ่งที่นี่เคยมีเธอคนนั้นก้าวเดินอยู่
‘ความรัก ความห่วงใย และความคิดถึงจะโอบอุ้มเธอเสมอ’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ