The Prince of Flower เกมรักมัดใจ เจ้าชายดอกไม้กับยัยเย็นชา

9.7

เขียนโดย Killolat

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 07.31 น.

  26 บท
  1 วิจารณ์
  1,942 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 00.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) -คริแซนธิมัม-

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ถ้าบ้านฉันคือคฤหาสน์ บ้านอีตาทวิตซ์ก็ ‘พระราชวังแวร์ซายส์’ =o= ประตูรั้วเหล็กดัดสูงเกือบ 3  เมตร สวนหน้าบ้านกว้างยิ่งกว่าซาฟารี โถงทางเดิน

มีสาวใช้มารยาทงามโค้งคำนับ 

 

สาบานเลย ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นบ้านใครหลังใหญ่โตโอ่อ่าเท่านี้มาก่อน อยู่กันได้ทั้งอำเภอเลยมั้ง ถามจริงนายเคยหลงทางในบ้านตัวเองบ้าง

มั้ย? เพราะถ้าเป็นฉันคงหลงแน่

 

หนุ่มหน้าสวยสวมเสื้อคอจีนสีเทากึ่งทางการ อมยิ้มหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อเห็นฉันทำท่าตื่นเต้นเป็นบ้านนอกเข้ากรุง 

 

ฉันก็พยายามเก็บทรงอยู่หรอก แต่สายตามันไม่ยอมเชื่อฟัง ซอกแซกไปทั่วเลยน่ะสิ =.=

 

สมเป็นบ้านนายมาก…สไตล์ฝรั่งเศสเรียบหรูเน้นสีขาว-เอิร์ธโทน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นจัดเรียงเป็นระเบียบ แวววับเนียนกริบไร้ฝุ่น สมบูรณ์แบบราวกับอยู่

ในภาพวาด แม้แต่กลิ่นอากาศยังไฮคลาสเหมือนน้ำหอมราคาแพง 

 

รู้สึกเกร็งจัง…

 

“พ่อฉันค่อนข้างเนี๊ยบน่ะ ^^” 

 

เจ้าชายดอกไม้ที่กุมมือฉันไว้ตลอดทางหันมาแจกยิ้มสวยคลายบรรยากาศ ชวนคุยต่อ 

 

“เมื่อก่อนฉันไม่ค่อยชอบที่นี่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ชินแล้วล่ะ”

 

น้ำเสียงราบเรียบเฉยเมยขัดกับรอยยิ้มอ่อนละมุน ชวนให้นึกสงสัย

 

‘นายมีปัญหาอะไรกับครอบครัวรึเปล่า?’

 

แม้รู้สึกกังวลใจ แต่จะให้โพล่งถามออกไปก็ไม่กล้า…

 

ช่วยไม่ได้นี่นา ฉันไม่ใช่มูลนิธิปวีณาซะหน่อย

 

“ทวิตซ์~” 

 

ยังไม่ทันคลายปม เราก็ถูกบุคคลปริศนาลอบจู่โจม 

 

หญิงสาวผมเงินกระโจนพุ่งใส่กระทันหันจากมุมอับ ทวิตซ์ไม่ทันตั้งตัว จำต้องปล่่อยมือฉันเพื่อรอรับร่างบาง ก่อนจะพากันล้มเป็นโดมิโน่

 

“เอเดล~” 

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงโฉมงามในอ้อมกอด ทวิตซ์ยิ้มร่าหัวเราะดีใจ ลูบหัวสาวสวยที่ก้มหน้าซุกอกกว้าง 

 

“I miss you so much <3” 

 

สำเนียงเซ็กซี่ขี้เล่นไม่คุ้นหู แต่ยังพอฟังออกว่าเป็นภาษาอังกฤษ

 

หญิงสาวเดรสขาวกอดรัดร่างเขาแนบแน่นเป็นยัยงูเหลือม รู้เลยว่าอีตาทวิตซ์ได้นิสัยติดสกินชิพมาจากใคร 

 

สนิทกันจัง…ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธอคือพี่สาวฝาแฝดคงหึงแน่ 

 

จังหวะที่ฉันเริ่มคิดอะไรแปลกๆ ราวกับเธอมีซิกเซ้นต์ ราชินีผมเงินแสนสวยผละออกจากอ้อมอกน้องชาย เอียงคอมองด้วยท่าทีสง่างาม

 

“Who?” 

 

จากน้ำเสียงยั่วยวนพลันเปลี่ยนเป็นกวนทีน เมื่อดวงตากลมโตสีน้ำข้าวสะท้อนภาพฉัน ผมสีเงินดุจผ้าแพรพลิ้วไหวส่องระยับ ใบหน้าสวยใสไร้ที่ติ แพ

ขนตาหนา ท่าทางจองหอง คู่พี่น้องกาสะลองซ้องปีบ copy & paste ชัดๆ

 

กร๊อบ

 

“โอ๊ย!”

 

มือใหญ่จับพี่สาวดัดคอตรง กระดูกลั่นดังกร๊อบไร้ความปราณี ส่งยิ้มหวานสื่อชัดว่า 

 

‘ขอโทษด้วย ที่ยัยนี่ทำตัวไม่สุภาพ’  

 

“My Honeybee” 

 

น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวตอบคำถามก่อนหน้า 

 

ดวงตาคู่สวยแอบหรี่มองปฏิกริยาตอบสนองของฉัน ที่ตอนนี้หัวใจเริ่มเต้นรัวอีกแล้ว 

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

 

เป็น ‘แม่ผึ้งน้อย’ ของเจ้าชายดอกไม้ก็ฟังดูไม่เลวนะ…ดีกว่า ‘เพื่อนที่โรงเรียน’ เยอะ 

 

ปล.สำเนียงนายเซ็กซี่เป็นบ้า -\\\-

 

-_-+ ชิ้งงงง

 

พลังอ่านใจช่างน่ากลัว เอเดลแผ่รังสีอำมหิตเหม็นความรักดึงฉันหลุดจากภวังค์

 

“N…Nice to meet you” 

 

ฉันที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรกล่าวทักทายตามมารยาท พยายามพูดอังกฤษแก้ๆ กังๆ

 

ถึงจะเข้าใจทุกคำเพราะชอบฟังเพลงฝรั่ง แต่สกิลการพูดกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างน่าอนาถ

 

“…”

 

“ฮ่าๆๆ” 

 

เอเดลนิ่งเงียบ แต่อีตาทวิตซ์กลับโพล่งหัวเราะเสียงดังทำเอาฉุน 

 

หน็อย -*- นายกล้าบูลลี่แอคเซ้นต์ฉันหรอย๊ะ!

 

“โธ่ ยูแช”

 

มืออุ่นขยี้หัวฉันอย่างเอ็นดู โน้มตัวกระซิบข้างหูบอกเหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาหลุดขำ 

 

“…ยัยนั่นพูดไทยคล่องปร๋อแบบฉันนี่แหละ ดัดจริตสปีคอิ้งลิชไปงั้นเอง”

 

ถึงบางอ้อทันที…โดนเอเดลเล่นเข้าแล้ว ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเลยฉัน =//= 

 

ดันไหลตามน้ำเพลิน หลงลืมข้อเท็จจริงเรื่องนั้นไปซะสนิท!

 

ขณะที่ฉันครอบครองความสนใจของพ่อหนุ่มผมเงิน เอเดลดูจะหวงน้องชายเป็นพิเศษ ไม่ก็คงเหม็นขี้หน้าฉัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติมาก 

 

หมับ!

 

เธอจงใจแย่งซีนกระโดดเกาะทวิตซ์แน่น จนแขนเขาแทบจมหายไปกับอกสะบึม

 

บะลั่กกั่ก! พอสังเกตเห็นหุ่นทรงนาฬิกาทรายนั่น ทำฉันอดเฟลไม่ได้ เพราะมันช่างต่างกันลิบลับ… 

 

เอเดลเป็นถึงส้มโอ ส่วนฉันแค่ส้มเขียวหวาน ToT

 

ต้องอยู่ร่วมชายคากับสาวแซ่บแบบนี้ ไม่แปลกใจละ ว่าทำไมอีตาทวิตซ์ถึงมีภูมิต้านทานเรื่องผู้หญิง ไม่สนใจยัยนมตูมงานป๊อกกี้เดย์

 

…ละไหงนายถึงหลงมาวอแวกับยัยแม่มดน้ำแข็งอย่างฉันกันล่ะยะ เบื่อความเร่าร้อนแล้วรึไง?

 

ระหว่างที่ฉันซุ่มคิดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย บทสนทนาของฝาแฝดทรงเสน่ห์ยังคงดำเนินต่อไป

 

“Walked in and dream came trued it for ya, Soft skin and I perfumed it for ya~”

 

 (เข้ามาสิจ้ะ จะทำให้ฝันเธอเป็นจริงเอง ผิวนุ่มๆ กับน้ำหอม ฉันปะพรมเพื่อเธอเลยน้า~)

 

 เอเดลขยิบตาออดอ้อนเชิญชวนใส่เป้าหมาย

 

“nah nah honey, I’m good. I got somebody at home~” 

 

(ไม่เป็นไรครับที่รัก ผมมีคนนึงรออยู่ที่บ้าน~) 

 

ร่างสูงไม่ไหวติง ส่งยิ้มหวาน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจั๊กจี้หัวใจ

 

“แอนดี้ แกรมเมอร์!” 

 

แม่สาวผมเงินฉะฉานเริงร่า ดวงตาสีฟ้าใสเปล่งประกาย

 

“ซาบริน่า คาร์เพนเทอร์!” 

 

ราวกับมองเงาสะท้อนในกระจก พวกเขาเหมือนกันอย่างกับแกะ ทั้งจังหวะการพูด ท่าทาง หน้าตา ต่างกันแค่เพศสภาพเท่านั้น

 

ฉันเพิ่งเก็ทตอนได้ยินชื่อนักร้องว่าฝาแฝดกำลังเล่นต่อเพลงกันอยู่นี่เอง

 

ก่อนถูกเอเดลลากไปถึงไหนต่อไหน เจ้าชายดอกไม้แอบสะกิดไหล่ฉัน 

 

สายตาหวานฉ่ำเชื้อเชิญ ผงกหัวส่งซิกว่า ‘แขนอีกข้างยังว่างอยู่นะ’

 

ตึกตัก.. ตึกตัก…

 

ฉันส่ายหัวตอบเบาๆ

 

ไม่เอาล่ะ คงตลกน่าดูถ้าเข้าไปติดหนึบนายอีกคน

 

…ขอแค่เราเดินข้างๆ ไปด้วยกันก็พอ

 

.

 

ระหว่างทางไปที่ไหนซักแห่ง ประหนึ่งฉันอยู่กลางสงครามโต้วาทีอันดุเดือด จากรักกันแน่นแฟ้นปานจะกลืนกิน จู่ๆ ฝาแฝดก็แยกเขี้ยวฉะกันแบบงงๆ

อารมณ์แปรปรวนขึ้นลงง่ายยังกะไบโพล่าห์

 

“นายสูงขึ้นรึเปล่า? ขืนเป็นแบบนี้มีหวังหัวชนขอบประตูแบบแด๊ดแน่” 

 

เอเดลจอมแสบเริ่มจุดชนวน

 

“พี่ต่างหากที่เตี้ยลง” 

 

ไม่รู้อีตาทวิตซ์เดือดมาจากไหน แซะกลับทันที 

 

ลำบากเอเดลต้องเขย่งตัวเต็มความสูงเพื่อเอาคืน 

 

“ฮึ่ย! ฉันไม่ตบหัวนายหรอกนะน้องชาย เดี๋ยวโง่ลงกว่าเดิม~” 

 

สองมือเล็กหมันเขี้ยวยีหัวเงินฟูฟ่องเป็นสายไหม พลางพูดจาจิกกัดไม่เลิก

 

ทวิตซ์ยังคงยิ้ม แต่คิ้วแอบกระตุกนิดๆ ขบกรามซ่อนความโกรธไว้ไม่มิด 

 

มิวายถูกเอเดลขยี้ต่อ เสียบประจานเรื่องน่าอายในวัยเด็ก 

 

“ดูทำหน้าเข้า ทั้งที่เคยขอฉันแต่งงานแท้ๆ” 

 

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉีกกว้าง ดวงตาสีเงินส่องประกายสนุกสนาน 

 

ดูก็รู้ว่านี่คือต้นตำรับปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย ทำเอารอยยิ้มที่ผ่านของอีตาทวิตซ์น่ารักไปเลย

 

“ถ้าหมกมุ่นขนาดนั้น ก็นั่งไทม์แมชชีนไปแต่งกับผมตอน 6 ขวบโน่น!” 

 

ทวิตซ์ฝืนเถียงต่อน่าเอ็นดู แอบหูแดงประหม่า เพราะถูกพี่สาวขายความลับ 

 

ถึงจะแสดงท่าทีแข็งขืนอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวกลับยอมจำนนให้เธอลูบต่อ

 

อ่า…ก็ตานี่มันมาโซคิสม์นี่นา =-= 

 

“ฉันคงย้อนไปเอาขี้เถ้ายัดปากนายแทน…ไม่ปล่อยให้โตมาเถียงฉอดๆ แบบนี้หรอก เด็กดื้อ! ^-^”

 

ถึงจะปากร้ายยังไง แต่ตอนนี้เอเดลกำลังยิ้มและช่วยทวิตซ์จัดผมเผ้าที่เธอยีจนยุ่งเหยิงให้เข้าทรง

 

…ความสัมพันธ์พี่น้องเนี่ย เข้าใจยากจัง 

 

หมับ

 

มือใหญ่จูงฉันที่กำลังเหม่อมองสถานการณ์ให้เดินตามไปอย่างไม่ทันตั้งตัว 

 

ดูท่ายังไม่งอนหาย ทวิตซ์เลยพาฉันชิ่ง ทิ้งเอเดลยืนงงคนเดียว 

 

“รอด้วยเซ่!” 

 

คุณพี่สาวตะโกนไล่หลัง รีบพุ่งตัวเกาะแขนล่ำติดหนึบเป็นตังเม 

 

ตอนนี้เลยกลายเป็นท่าเดินสามเส้าสุดประหลาด = =;

 

เฮ้อ เชื่อเค้าเลย…แม้แต่นิสัยเรียกร้องความสนใจ ชอบทำตัวเป็นเด็กขาดความอบอุ่นยังถอดแบบกันมาเด๊ะๆ

 

.

 

(ณ ห้องรับประทานอาหาร)

 

การเดินทางแสนยาวนานจบลง ตรงหน้าประตูบานใหญ่สีขาวสลักลวดลายดอกไม้ปราณีตงดงาม

 

แอ๊ด~

 

เมื่อย่างเท้าผ่านธรณีประตู ความรู้สึกตกตะลึงและประหม่าก็บุกเข้าจู่โจมพร้อมกัน เพราะภาพตรงหน้าช่างใกล้เคียงกับสรวงสวรรค์

 

พื้นหยกขาวมันวาวไร้มลทิน ผนังไม้บุลวดลายปราณีตสีงาช้าง แสงแดดอ่อนลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่นับสิบ มองออกไปเห็นวิวสวนดอกไม้แสนสวย

กลางห้องมีโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ทำจากกระจกโปร่งใสราวกับรองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่า จัดเซตคู่เก้าอี้เหล็กดัดหรูหราที่หากไม่ใช้ความละเมียด

ในการเคลื่อนย้าย จะเกิดเสียงครืดคราดน่าอายขูดพื้นหยก แต่สิ่งที่โดดเด่นเตะตาที่สุด คงหนีไม่พ้นโคมระย้าคริสตัลอลังการเปล่งประกายระยับสีเดียว

กับนัยย์ตาแซฟไฟร์

 

 ฉันที่วันนี้เลือกสวมเดรสผ้าชีฟองสีฟ้าอ่อนคลุมเข่า ชักรู้สึกหนาวขึ้นมา ความอยากอาหารลดฮวบ

 

ทุกสิ่งตรงหน้าไร้ที่ติเลยล่ะ สวยเกินกว่าจะเป็นแค่ห้องรับประทานอาหารด้วยซ้ำ ถ้าให้นั่งกินข้าวที่นี่จริงๆ มีหวัังเกร็งจนกลืนไม่ลงแน่ T T

 

เอเดลปรี่ไปจองที่แถวหัวโต๊ะก่อน ส่วนทวิตซ์ทำหน้าที่สุภาพบุรุษเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอให้ฉัน ก่อนทิ้งตัวนั่งข้างกัน เนื่องจากไม่มีเก้าอี้วางปิดหัว

ท้ายโต๊ะสำหรับเจ้าภาพ ฉันเลยเดาว่า ที่นั่งชิดริมข้างเอเดลที่เธอเว้นว่างไว้ น่าจะเป็นของแขกคนสำคัญ

 

บรรยากาศเงียบงัน ปราศจากบทสนทนารื่นเริง ไม่มีใครพูดเกริ่นอะไรให้ฉันฟัง เพราะสายตาสีเงินของคู่แฝดง่วนอยู่กับการจับจ้องนาฬิกาเจ้าคุณปู่

เรือนใหญ่ 

 

กร๊องงง

 

เสียงเคาะระฆังดังแก้วใสก้องกังวานจากนาฬิกาเรือนนั้น ทำฉันสะดุ้งตัวโยนหัวใจแทบวาย ผิดกับสองพี่น้องที่แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว

 

 ใจร้ายชะมัด -*- อย่างน้อยช่วยสะกิดเตือนกันหน่อยเถอะ

 

แอ๊ด~

 

ฉันสะดุ้งเฮือกอีกครั้งกับเสียงเปิดประตูกระทันหัน พร้อมการปรากฏตัวของชายร่างสูงเกือบ 2 เมตรในชุดกั๊กสูทสีแดงดำมาดนักธุรกิจ

 

ผมสีดำเซ็ตทรงเรียบเนี๊ยบ ตาเหยี่ยวเฉี่ยวคม สันจมูกโด่งลับใบหน้า หุ่นสมาร์ท ผิวโกลว์สวยแบบผู้ดี 

 

ฉันเคยคิดว่า ในบรรดาชายวัยกลางคนคงไม่มีใครดูดีเท่าป๊าแล้ว แต่มาวันนี้คุณพ่อคือกินขาดหล่อตะโกน

 

ครืด~

 

เอเดลรีบลุกจากเก้าอี้ เกิดเสียงขูดขีดเสียวฟัน เธอวิ่งเข้าไปกอดคลอเคลียเจ้าของเปลวผมสีดำสนิทด้วยท่าทางออดอ้อน

 

 “Welcom dad~” 

 

เหมือนฉันเห็นภาพเดจาวู แค่เปลี่ยนจากทวิตซ์เป็นคนที่เธอเรียกว่า ‘พ่อ’

 

“Hey, My angle” 

 

มือใหญ่ลูบหัวเอเดลเบาๆ ดวงตาสีนิลทอดมองด้วยความเอ็นดู 

 

ท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนแบบนั้น ทำให้ฉันนึกถึงคนข้างๆ ที่เอาแต่มองดูสถานการณ์ด้วยสายตาเรียบเฉย

 

…นายไม่ชอบพ่อตัวเองรึไง? หรือน้อยใจที่ถูกแย่งความรักกัน?

 

“Boujour!” 

 

คุณพ่อมาดเข้มไม่พลาดกล่าวทักทายทันทีที่เราเผลอสบตา ริมฝีปากบางคลายยิ้มตามมารยาท

 

“บะ บอง…” 

 

ฉันถึงกับติดอ่างชั่วขณะ เพราะไม่ทันตั้งตัว 

 

ภาษาอังกฤษยังไม่รอด เจอฝรั่งเศสเข้าไป ตายหยังเขียด =o=;;

 

เจ้าชายดอกไม้แอบหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นฉันปล่อยไก่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แผ่วกระซิบบอกบุญ

 

“…พ่อฉันเป็นคนไทย”

 

อ่าว =[]= ไม่บอกพรุ่งนี้เลยล่ะ! ตกลงครอบครัวนายทำอะไร? ธุรกิจน้ำหอมหรือร้านอาหาร แต่ละคนแกงเก่งเหลือเกิน!

 

“ส…สวัสดีค่ะ” 

 

ฉันรีบยกมือไหว้อย่างมีสัมมาคารวะ

 

เจ้าบ้านผู้หล่อเหลาเอาการ พยักหน้ารับ

 

“ตามสบายนะ”

 

ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงย่างเดินเยี่ยงราชา ควงเจ้าหญิงกลับโต๊ะ เลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างเบามือปลอดเสียงรบกวน 

 

“Boujour monsieur” 

 

น้ำเสียงทุ้มนุ่มกล่าวทักทายพ่อ ทั้งคู่ยิ้มให้กันแต่สายตากลับว่างเปล่าไร้อารมณ์

 

…ฉันไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ พ่อลูกคู่นี้มีประเด็นชัวร์ 

 

เมื่อทุกคนนั่งประจำตำแหน่ง เหล่าแม่บ้านต่างกระตือรือร้นทยอยยกอาหารมาวางจนเต็มโต๊ะแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง 

 

ทันทีที่อาหารจานสุดท้ายถูกจัดเสิร์ฟ แก้วไวน์ราคาแพงชูสูงเด่นหรา พร้อมคำกล่าวเปิดงานภาษาฝรั่งเศสจากปากคุณพ่อที่ฉันไม่รู้ความหมาย

 

“Félicitations!”

 

ถ้าให้เดาคงแปลว่า ‘ซัดให้เรียบเลยเด็กๆ’ เพราะสิ้นคำนั้น ทุกคนบนโต๊ะยกเว้นฉันก็ถืออาวุธพร้อมรบ

 

ยังไม่ทันได้หยิบจับอะไร แฟนหนุ่มดีเด่นก็ตักอาหารใส่จานให้เล่นเอาทำตัวไม่ถูก เพราะปกติเราต่างคนต่างกินตลอด 

 

เป็นของที่ฉันชอบทั้งนั้นเลย…ช่างสังเกตจัง -\\\- 

 

“อารู้จักป๊าหนูด้วยนะ เคยนัดดูบอลด้วยกันบ่อยๆ” 

 

เสียงเข้มเปิดบทสนทนา ในระหว่างที่บรรจงใช้มีดส้อมตัดเนื้ออย่างช่ำช่อง

 

“ค่ะ”

 

ฉันกล่าวตอบแต่พองาม 

 

ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ ‘King of Connection’ อย่างป๊าจะตีซี้คนนู้นคนนี้ไปทั่ว 

 

แม้ป๊าจะเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ฝีมือดี แต่นอบน้อมอยู่เป็น ป๊าชื่นชอบการทำความรู้จักกับผู้คนในแวดวงสังคมมาก เพื่อนป๊าเยอะชนิดที่ว่าต้องมีมือถือ 3

เครื่อง เพื่อแยกเมมเบอร์ ‘คนสนิท’ ‘คนรู้จัก’ และ ‘ลูกค้า’ 

 

การที่เขาเรียกนับญาติแทนตัวเองว่า ‘อา’ แบบนี้ คงสนิทกับป๊าพอสมควร

 

“เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่น่าถึงเข้ากับทวิตซ์ได้” 

 

คุณอาเปรยยิ้มพลางตักอาหารให้เอเดล

 

“ตั้งแต่แม่เสีย เด็กๆ ก็ไม่ค่อยเปิดใจให้ใครเท่าไหร่ หนูเป็นคนแรกที่ทวิตซ์ยอมพามาบ้าน” 

 

ถึงอาหารจะอร่อย แต่เรื่องที่คุณอาเล่าค่อนข้างขมขื่นเลยทีเดียว

 

“เอเดลน่ะ ร่าเริงแจ่มใสเหมือนแม่ แต่ทวิตซ์นิสัยเสียเหมือนอา…” 

 

“ไม่เห็นเหมือนเลย!” 

 

คนข้างฉันกดเสียงแข็งเถียงแย้ง ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา 

 

คุณอาไม่ถือสามอบรอยยิ้มอ่อนโยน พูดต่อจนจบประโยค 

 

“…ชอบทำเก่ง คิดมากคนเดียวอยู่เรื่อย”

 

“…”

 

ฉันไม่รู้หรอกว่า ทั้งคู่เคยมีเรื่องอะไรกัน แต่ดูจากสายตาที่ต่างฝ่ายต่างเกลียดกันไม่ลงแบบนี้ คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะ

 

“เลือกได้ดี” 

 

ดวงตาสีนิลจ้องมองฉันทะลุปรุโปร่ง กล่าวชมเชยลูกชายอย่างคมคาย ก่อนเอ่ยแซวจนฉันสำลักข้าว

 

“เรียนจบแต่งเลยมั้ย?”

 

“แค่กๆ“ 

 

ทวิตซ์ส่งทิชชู่ให้ ลูบหลังฉันป่อยๆ

 

ถ้าคุณอารู้ว่าเราเพิ่งคบกันได้แค่ 2 สัปดาห์ คงไม่พูดแบบนี้แน่ =-=;;

 

ตึง!

 

เอเดลลุกพรวดตบโต๊ะแรงแทบร้าว เศษอาหารกระเด็นติดแก้มคุณอา

 

“แด๊ด!!!” 

 

นางพญาเกรี้ยวกราดทำลายมื้ออาหารสุขสันต์ เธอตรงเข้ามาชี้หน้าฉัน ออกคำสั่งเสียงเฉียบ

 

“ตามฉันมา”

 

ทวิตซ์เห็นท่าไม่ดีตั้งท่าลุกตาม ถูกนิ้วเรียวกวาดชี้แทบจิ้มตา

 

เป๊าะ

 

ร่างสูงโดนดีดหน้าผาก สยบรับคำบัญชา

 

“นั่งลงซะ”

 

คุณอานิ่งเงียบเฝ้าดูเหตุการณ์ ปาดเศษซอสเลอะแก้ม สั่งแม่บ้านเก็บกวาดความเสียหาย 

 

ไม่มีใครหยุดเธอได้ เป็นที่รู้กันว่าใครใหญ่สุดในบ้าน

 

.

 

ร่างบางเดินนำทางไม่ปริปาก กระทั่งทิ้งระยะห่างจนแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน เธอจึงเริ่มโพนทะนารำเลิกบุญคุณให้ฟัง

 

“ตั้งแต่มี๊ตาย ฉันนี่แหละเป็นคนเติมเต็มส่วนที่ขาด” 

 

แม้จะดูบอบบาง แต่แผ่นหลังของเธอกลับแข็งแกร่งอาจหาญ

 

“ลำบากมากเลย ทั้งพาขี่หลังไปหาหมอ คอยสั่งสอนให้เจนจัดรู้ทันผู้หญิง และมอบความรักให้สุดหัวใจ”

 

น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนโยน เมื่อนึกถึงความหลัง คำพูดจากหัวใจทำให้ฉันไม่อาจละเลย

 

“ไม่ใช่ผลงานชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าหน้าไหน แต่เป็นฉันกับแด๊ดต่างหากที่บรรจงปลุกปั้นเขา ทั้งหล่อเนี๊ยบ หุ่นแซ่บ มารยาทงาม ไร้ที่ติ” 

 

เอ่อ สรุปเธอพาฉันมาทำอะไรนะ? =-= ขิงน้องเกิ้นน กลัวขายไม่ออกรึไง?

 

“ทวิตซ์น่ะเป็นเด็กดีต่างจากฉัน ไม่เคยงี่เง่างอแง เธอต้องไม่เชื่อแน่ ว่าของขวัญวันเกิดที่เขาชอบเป็นแค่การ์ดอวยพรโง่ๆ…น้ำหอม fleurs jardin

secret นั่น ฉันเป็นคนทำเองกับมือ เพราะอยากให้พวกผู้หญิงคิดว่า เขาเป็นหนุ่มเพลย์บอย มีเจ้าของ…แต่เธอก็ดันหลงเข้ามาซะได้!”  

 

ภายใต้เสียงบ่นอุบอิบยาวเหยียด ฉันสัมผัสถึงความรักเปี่ยมล้นที่เธอมอบให้ทวิตซ์และเริ่มรู้สึกเอ็นดูเธอไปด้วย

 

“รับประกันเลย นอกจากแด๊ดก็ไม่มีผู้ชายคนไหนเทียบทวิตซ์ได้อีกแล้ว ถ้าเราไม่ใช่พี่น้องกัน ฉันคงเลือกแต่งกะเขา”

 

เอเดลหันกลับมาผลิยิ้มสวยให้ฉัน

 

“เธอจะมีความสุขแน่นอนที่ได้ครอบครองเค้า” 

 

ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสัน ไม่มีสิ่งใดงดงามทัดเทียมเธอ

 

ราชินีผมเงินนำทางฉันถึงที่หมาย หยุดเยือนหน้าแผ่นป้ายหลุมศพสีขาวทั้งสองใจกลางทุ่งบุปผชาติ

 

“ถ้าไม่ติดว่า…ทวิตซ์รักใครไม่ได้” 

 

นิ้วเรียวเด็ดดอกไม้สีขาววางเคารพหน้าหลุมศพ ทิ้งคำพูดปริศนาให้ครุ่นคิด

 

“…ความอ่อนโยนคือจุดอ่อน” 

 

ดวงตาสีครามหม่นหมองทอดมองสัญลักษณ์แห่งความตาย

 

เพียงสายลมพัดผ่านใบหน้างามพลันแย้มยิ้มสบตาอย่างเริงร่าอีกครั้ง 

 

“อย่าด่วนตัดสินซะล่ะ”

 

เธอเปิดใจเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง 

 

“เราเป็นลูกเมียรอง…นับตั้งแต่มี๊และภรรยาคนแรกของแด๊ดตาย ทวิตซ์ก็หวาดกลัวความรัก เขาไม่สามารถรักแด๊ดได้เต็มหัวใจ เพราะรู้สึกผิดกับมี๊”

 

สีหน้าเอเดลแฝงความเจ็บปวด นัยย์ตาสั่นระริกเผยความอ่อนแอ เหมือนเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง 

 

“ทุกครั้งที่ถูกสารภาพรักหรือต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ทวิตซ์จะตีตัวออกห่าง…การที่เธอเรียกร้องขอความรัก จึงไม่ต่างจากการเอามีดกรีดซ้ำ

แผลเป็นของเขา”

 

น้ำเสียงราบเรียบเว้นช่วง นัยย์ตาสีครามจับจ้องฉันราวกับต้องการสื่อใจ 

 

“ตอนนี้ยังถอยทัน ถ้าไม่อยากทนเห็นน้องชายฉันทรมานไปทั้งชีวิต”

 

คำพูดนั้นไม่เกินจริงเลย…

 

“ต่อหน้าหลุมศพแม่ เธอกล้าสาบานมั้ย? ว่าจะไม่ทำให้เขาต้องเจ็บปวด” 

 

ดวงตาสีเงินเฉียบคมราวกระจกสะท้อนความจริงทิ่มแทงหัวใจ

 

“…”

 

น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้มไม่รู้ตัว…

 

ขอบคุณ ที่ช่วยปลุกฉันให้ตื่นจากความฝัน

 

น้ำเสียงและท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาไร้หัวใจ 

 

แต่ไม่มีอะไรทำให้ฉันเจ็บปวดไปมากกว่าความจริงจากปากเธออีกแล้ว

 

“แค่นี้ยังรับไม่ได้…อย่าริอาจมายุ่งกับน้องชายฉัน”

 

 

…..

 

……..

 

กาลครั้งหนึ่ง ไม่ได้จบลงอย่างมีความสุขแบบเทพนิยายแสนหวาน

 

ป๊าม๊ารู้ว่าฉันโดนบูลลี่ เลยจัดการทำเรื่องย้ายโรงเรียนให้ 

 

ก่อนที่ไม่มีโอกาสได้พูด วันสุดท้ายลูกเป็ดขี้เหร่จึงตัดสินใจบอกความรู้สึกกับเจ้าชาย

 

ฉันไม่มีความกล้ามากพอจะพูดต่อหน้า เลยรอจนทุกคนกลับบ้าน แล้วสอดการ์ดแฮนด์เมดไว้ใต้โต๊ะเขา

 

“ยังไม่กลับหรอ?”

 

เสียงนุ่มนวลทำฉันหยุดชะงัก เลิ่กลั่กหลักฐานคามือ

 

เด็กหนุ่มผมเงินเผยยิ้มละมุน สายตาอ่อนโยนช่วยมอบความกล้าให้ฉัน

 

“คือ…ฉัน…ชอบ” 

 

เสียงเบาหวิวไม่อาจส่งไปถึงเขา

 

เจ้าชายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพื่อเงี่ยหูฟัง

 

ใบหน้าของฉันแดงระเรื่อเมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่น หัวใจเต้นระรัวเสียงดังจนกลบความคิดในหัว

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

 

“…ฉันชอบนาย”

 

 

ฉันไม่น่าพูดมันออกไปเลย

 

ใบหน้าสวยปราศจากรอยยิ้ม ดวงตาของเขาช่างว่างเปล่า แต่กลับสั่นไหวราวแสงเทียนริบหรี่

 

“…แม้แต่เธอ” 

 

เสียงแผ่วเบาล่องลอยหายลับตามสายลม

 

ไม่รู้ทำไม แต่สิ่งเหล่านั้น ช่างเสียดแทงหัวใจเหลือเกิน

 

“ขอโทษ…” 

 

น้ำตาของฉันไหลออกมาไม่ทราบสาเหตุ 

 

“ฮึก…” 

 

ก้อนสะอื้นตีขึ้นคอ หายใจลำบาก 

 

“ได้โปรด…ช่วยลืมไปเถอะนะ”

 

นั่นคือครั้งสุดท้าย ที่ฉันได้คุยกับเด็กหนุ่มคนนั้น

 

……..

 

……

 

 

ลึกๆ แล้วในใจฉันรู้ดีว่าเขาไม่เคยคิดรังเกียจกัน

 

…ท่าทีด้านชาที่แสดงออกมา ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องหัวใจของเรา

 

 แต่เพราะความอ่อนแอ เลยหาเหตุผลโกหกตัวเองต่างๆ นานา ว่าคงไม่มีผู้ชายหน้าไหนชอบยัยเฉิ่มแว่นหนาเตอะ หน้าบวม ตัวอวบ เรียนไม่เก่ง อ่อน

ปวกเปียก แถมมนุษย์สัมพันธ์ติดลบแบบฉัน

 

น่าขำจริงๆ…ถ้าปฏิเสธกันเพราะเหตุผลงี่เง่าพรรค์นั้น ไม่ว่ายังไง ฉันก็คงดันทุรังรักนายต่อไป

 

เมื่อความรักคือความเจ็บปวด คนใจดีอย่างนายจึงไม่อยากมอบมันให้ใครทั้งนั้น

 

ฉันเข้าใจ…

 

ดีแล้วล่ะ เพราะฉันเองก็ไม่คู่ควรเลยซักนิด

 

ต่อให้รักจนสุดหัวใจ วันนึงคนเห็นแก่ตัวอย่างฉันต้องทำให้นายทุกข์ทรมานแน่

 

ตอนนี้ความรู้สึกของเราไม่มีทางสมดุลกันอีกแล้ว 

 

นายไม่ใช่ของฉัน…มันไม่ถูกต้อง 

 

…เรามาจบความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดนี้กันเถอะ

 


 

(จบตอน)

 

คริแซนธิมัม; ความจริงในใจ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา