ม.ปลายสายเวทย์

-

เขียนโดย TheBoyOnTheMoon

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.

  19 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,010 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Unknown place, unknown house and unknown tree

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

07

Unknown place, unknown house and unknown tree

 

แม้เหล่านักเรียนที่โฮมจะรู้สึกว่าเวลาในคาบเรียนเดินช้า แต่เวลาพักกลางวัน หรือช่วงพักผ่อนหลังเลิกเรียนเดินเร็วก็ตาม พอรู้ตัวอีกที วันนี้ก็วันศุกร์แล้ว

วิชาที่เรียนในชั้นปีที่หนึ่ง นอกจากปรุงยาและเวทยศาสตร์แล้ว ก็ยังอีกหลายวิชาที่ต้องเรียน ซึ่งบางวิชาก็เรียนแค่คาบเดียว บางวิชาก็สองคาบก็มี ประกอบด้วย

คณิตศาสตร์ ก็...คณิตศาสตร์ทั่ว ๆ ไป ไม่มีอะไรพิเศษ สอนโดยอาจารย์เฉิน เป็นมนุษย์สัตว์ที่ไม่มีเวทมนตร์แต่ฉลาดเป็นกรด ว่ากันว่าเผ่ามนุษย์สัตว์เชี่ยวชาญคณิตศาสตร์มากที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในโลกเวทมนตร์ และยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบการค้าขายกับเผ่าอื่น ๆ ทั่วโลก

สังคมศึกษา เรียนเกี่ยวกับสังคมของผู้วิเศษ สังคมของโลกเวทย์มนต์ และประวัติศาสตร์ สอนโดยอาจารย์อวาลิน ชาวเอลฟ์ที่อยู่มาเกือบพันปี ซึ่งเดินทางไปรอบโลกเวทมนตร์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่าเธอมีเรื่องราวสนุก ๆ มากมายเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง

สัตววิเศษวิทยา เรียนเกี่ยวกับสัตว์ที่มีพลังอำนาจทางเวทมนตร์หรือสามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์เวทมนตร์และยาวิเศษได้ สอนโดยอาจารย์โธมัส เป็นชาวฟอว์นเพศชายที่มีครึ่งบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นแพะ ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าหลังโรงเรียน และห้องเรียนที่นี่เป็นห้องเรียนเดียวที่เรียนกลางแจ้ง

สุขศึกษา เรียนเกี่ยวกับการดูและสุขภาพ รู้จักการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพศศึกษา และการพยาบาลเบื้องต้น สอนโดยมิสไนติงเกล ซึ่งห้องเรียนก็อยู่ในห้องพยาบาลเลย

พฤกษวิเศษศาสตร์ เรียนรู้เกี่ยวกับพืชวิเศษนานาชนิด การปลูก การดูแลรักษา และการนำมาใช้ประโยชน์ สอนโดยอาจารย์โอลีฟ ภูติไม้สาวใจดี (และยังโสด) ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนชายไม่แพ้มิสไนติงเกล

ภาษาเวทมนตร์ แน่นอนว่าแม้จะใช้ภาษาของโลกเวทมนตร์กันได้แล้ว แต่ภาษาของโลกนี้ก็ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องรู้ สอนโดยอาจารย์มาอุย ผู้วิเศษชาวคาอิมานาซึ่งสามารถพูดได้ถึงสิบภาษา

วิชาเสรี เป็นวิชาอิสระที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกได้เอง โดยเป็นวิชาที่มีการสอนระยะสั้นกว่าวิชาอื่น ๆ ซึ่งมีมากมาย ทั้งคหกรรม กีฬา การขี่ไม้กวาด การวาดภาพ ดนตรี การถ่ายภาพ งานช่าง ฯลฯ โดยสามารถเลือกเรียนได้ถึงห้าวิชาในเทอมนี้

หลังพักเที่ยง ก็ถึงคาบเรียนที่นักเรียนเกือบทุกคนตั้งตารอ ด้วยเหตุผลสองประการ

หนึ่งคือเป็นคาบสุดท้ายของสัปดาห์ นั่นแปลว่าจะได้หยุดสักที

สองคือผู้สอนวิชานี้คือ ผอ. อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด

“หวัดดีจ้าทุกคน”

ห้องเรียนวิชาเวทมนตร์คาถาอยู่ที่ชั้นสองของอาคารฝั่งทิศใต้ ลักษณะคล้ายกับห้องบรรยายของวิชาเวทยศาสตร์เพียงแต่ไม่ได้ทำพื้นยกสูง ด้านหน้าห้องเป็นกระดานดำ และมีโต๊ะเล็กเชอร์ตั้งเป็นระเบียบ ซึ่งเป็นเพียงของสองสิ่งที่อยู่ในห้องนี้เท่านั้น

วันนี้ อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดกลายเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูมีริ้วรอยบนใบหน้าจาง ๆ เธอเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวเองไปทุกวันจนมีคำพูดสนุก ๆ กันในหมู่นักเรียนว่า วันนี้ ผอ. กี่ขวบ 

เช่นเดิม อาจารย์ทำความรู้จักกับนักเรียนแต่ละคน และอธิบายภาพรวมของวิชา อาเทเนียอธิบายไปพลางใช้เวทมนตร์ควบคุมชอล์กเขียนไปบนกระดานดำอย่างคล่องแคล่ว

วิชาเวทมนตร์คาถาก็คือวิชาที่ว่าด้วยการเรียนรู้เวทมนตร์ผ่านคาถาต่าง ๆ สำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาแล้ว ซึ่งช่วยให้ผู้วิเศษสามารถใช้เวทมนตร์ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องมานั่งใช้พลังจิตพินิตพิเคราะห์แบบพวกเวทยศาสตร์

สำหรับคาถาหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือจุลเวทย์ เป็นเวทมนตร์คาถาทั่วไป ซึ่งเกิดจากการผสมผสานเวทย์พื้นฐานหกธาตุ และสองคือมหาเวทย์ ซึ่งเป็นคาถาที่อัพสเกลเวทย์พื้นฐานหกธาตุให้ทวีความรุนแรงในระดับใหญ่

“สำหรับชั้นปีนี้ กติกาของเราก็คือจะไม่เปล่งเสียงออกมาแล้วนะคะ เราไม่ใช่นกแก้วนกขุนทองแล้ว ให้เปล่งเสียงในใจเอา แล้วก็ไม่ต้องบ้าใช้พลังจิตแบบที่เจ้าลุดวิกสอนล่ะ” อาเทเนียกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ก่อนอื่น เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักใครสักคนก่อนแล้วกัน”

ในตอนนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ในชุดทางการเดินเข้ามา เขาโค้งคำนับและแนะนำตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงคมนาคมของโอวล์ฟอสเทียร์

“วันนี้เราจะเรียนคาถาสร้างประตูมิติกัน ทุกคนลุกค่า!”

นักเรียนหลายคนตาเป็นประกายทันที เมื่อลุกขึ้น โต๊ะเล็กเชอร์ก็หายไป ชอล์กบนกระดานเขียนชื่อคาถาด้วยอักษรเวทมนตร์ และเขียนลูกศรแสดงวิธีการร่ายคาถา

อาเทเนียโบกไม้กายสิทธิ์หนึ่งรอบ เกิดแสงสว่างสีทองอาบไล้ทั่วห้องเรียนก่อนจะจางหายไป นักเรียนมอบไปรอบ ๆ อย่างงุนงง แต่เมื่อหันไปหาอาจารย์ เธอก็กลายเป็นเด็กประถมตัวน้อยไปเสียดื้อ ๆ ต่อหน้าต่อตาทุกคนเสียแล้ว 

“ขอตัวแทนหนึ่งคนค่า คุณ...เอ่อ...คา...ฮา...นา...นู...อิ” อาเทเนียกล่าวโดยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร น้ำเสียงของเธอเล็กแหลมลงไปเป็นเด็กไปด้วยเช่นกัน

“ค่า เรียกลูอานาก็ได้ค่ะอาจารย์” ลูอานาถอนหายใจ ตั้งแต่เข้าเรียนมาหนึ่งสัปดาห์ ดูอาจารย์ทุกคนจะมีปัญหากับการเรียกนามสกุลเธอทุกคาบ

และที่แปลกคือเธอมักจะโดนเรียกมาเป็นชุดสาธิตเกือบทุกคาบเลย

“หลับตาลง นึกถึงสถานที่ที่อยากจะไป ให้ละเอียดได้มากที่สุดยิ่งดี” อาเทเนียกล่าว เด็กสาวทำตาม

“ได้แล้วค่ะ”

“อุปกรณ์เวทมนตร์เตรียมพร้อม แล้วก็หมุนนน”

ลูอานายกคทายาวประมาณเมตรกว่า ทำจากไม้สีเข้มแกะสลักเป็นรูปนกสยายปีกที่ปลายยอด เธอทำท่าหมุน ๆ  และเพ่งสมาธิ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อย่าลืมท่องคาถาในใจ อิททิเนรันทัวร์!”

ทันใดนั้นเอง อากาศที่ว่างเปล่าก็มีประกายแสงกระพริบออกมาถี่ ๆ ก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นหลายเป็นวงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองที่เต็มไปด้วยอักขระและรูปทรงเรขาคณิต จากนั้นที่ใจกลางก็ขยายใหญ่กลายเป็นภาพของสถานที่หนึ่งขึ้นมาแทนที่อักขระเดิม เป็นชายหาดเขตร้อน มองเห็นทรายสีขาวกับผืนน้ำทะเลที่สะท้อนแสงของดวงจันทร์บนท้องฟ้าสีเข้ม

“เก่งมาก ทีนี้ก็ลองเดินเข้าไปดูนะ” อาเทียยกมือตบหลังลูอานาเบา ๆ 

สาวชาวเผ่าเดินเข้าไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อยืนบนชายหาดแล้ว เธอก็โบกมือให้เพื่อน ๆ 

“ปรบมือ!”

 ไทกับเดรโกรัสตบมือเสียงดัง มารีตบเบา ๆ ตามมารยาท ส่วนอาเรียตบแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก ทว่ายังไม่ทันจะตั้งตัว วงแหวนเวทมนตร์ก็หดอย่างรวดเร็วและหายวับไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือท่าทางเหวอ ๆ ของลูอานา

“...”

“...มะ…ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเพื่อนก็กลับมาได้ รอเพื่อนสักแปบนึงเนอะ ใครจะไปห้องน้ำไปได้เลยนะ”

ผ่านไปห้านาที… ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผ่านแล้วไปสิบนาที… ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดิม

“ดีล่ะ งั้นใครที่สามารถพาเพื่อนกลับมาได้ รับไปเลยหนึ่งคะแนนค่า” อาเทเนียยิ้มแห้ง ๆ มองพวกเด็ก ๆ 

เอางี้เลยนะจารย์

                

อิททิเนรันทัวร์ คือคาถาสร้างประตูข้ามมิติ เป็นหนึ่งในคาถาที่มีประโยชน์มากในการเดินทางไกล แต่แน่นอนว่าคาถานี้ไม่สามารถใช้เดินทางข้ามประเทศได้ เพราะเคยมีการนำคาถานี้ไปใช้ในทางอาชญากรรมข้ามชาติมาก่อน จึงมีการควบคุมจากกระทรวงคมนาคมอย่างเข้มงวดในปัจจุบัน ส่วนการเดินทางภายในประเทศจะต้องทำการสอบใบอนุญาตให้ถูกต้อง 

มารีพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงคมนาคมถึงมาด้วย หนึ่งคือมาคอยกำกับดูแลเผื่อมีใครเล่นอะไรแผลง ๆ และสองก็คือหลังเรียนเสร็จจะมีการออกใบอนุญาตให้ทันทีนั่นเอง

สมกับเป็นโฮมจริง ๆ

“อาจารย์ครับ แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้ใบอนุญาตเลยนะครับ จะไม่โดนจับกันเหรอครับ” นักเรียนชายคนหนึ่งทักท้วง พลางเหลือบไปมองเจ้าหน้าที่ที่ยิ้มให้

“ไม่หรอก ครูสร้างโลกคู่ขนานเอาไว้แล้ว ที่ ๆ พวกเราอยู่กันตอนนี้คือโลกของเราในอีกจักรวาลนึง ทำอะไรได้เต็มที่เลยค่ะ อิททิเนรันทัวร์เป็นคาถาที่ใช้เดินทางได้เฉพาะภายในจักรวาลเดียวกันเท่านั้น” อาเทเนียยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าทำเอานักเรียนทุกคนเหงื่อตก

เพราะนั้นแปลว่าอาจารย์คนนี้สร้างโลกขึ้นมาอีกใบ โดยที่ก็อปปี้สถานที่ทั้งหมดทั่วโลกขึ้นมานั่นเอง 

ทุกคนพยายามร่ายคาถา หลาย ๆ คนสามารถสร้างประตูไปยังสถานที่ที่เป็นชายหาดได้ แต่ปัญหาก็คือนั่นไม่ใช่ที่ ๆ ลูอานาอยู่ เพราะแน่นอนว่าบนโลกนี้มีชาดหาดขาว ๆ กับน้ำทะเลใส ๆ ไม่รู้ตั้งกี่แห่ง

“แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่ายัยนั่นไปไหน” อาเรียบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดพลางปิดประตูมิติที่พาไปที่ไหนก็ไม่รู้ลง มารีถอนหายใจก่อนจะพยายามนึกถึงความทรงจำก่อนหน้านี้

ยังไงก็คงต้องเลือกไปบ้านเกิดอยู่แล้ว ลูอานาเคยเล่าให้เธอฟังตอนที่ไปเที่ยวย่านการค้ากันสองคน ลูอานาเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเล มองออกไปจะเห็นชายหาดสีขาวกับน้ำใส ๆ และเกาะภูเขาไฟที่ดูเหมือนเต่า

มารีจินตนาการภาพในหัว แม้จะไม่มั่นใจนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว

“อิททิเนรันทัวร์” เสียงของคาถาดังก้องขึ้นในใจ ก่อให้เกิดวงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองตรงหน้า ปรากฏภาพของชายหาด ท้องทะเลยามราตรี และเกาะภูเขาไฟที่เหมือนกับเต่า

แต่ในนั้นก็ไม่ปรากฏเพื่อนสาวอยู่เลย

มารีตัดสินใจเดินเข้าไป อากาศเปลี่ยนจากเย็นสบายกลายเป็นร้อนอบอ้าว พร้อมกลิ่นความเค็มของน้ำทะเลโชยมา เธอมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เจอใคร แถมที่นี่ยังมืดมาก ไม่มีโคมไฟ หรือสิ่งที่ให้แสงสว่างเลยนอกจากดวงจันทร์บนฟ้า

“ลูอานา!” มารีตะโกน ในตอนนั้นเอง เธอก็เห็นเดรโกกับไทเข้ามาด้วย

“เดี๋ยวพวกเราช่วยหา ถ้าเจอแล้วให้เสกพลุไฟขึ้นฟ้านะ” หนุ่มผมแดงว่า ก่อนจะวิ่งไปทางหนึ่ง ส่วนไทก็แยกไปอีกทางหนึ่ง

“ลักซ์”

มารียกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา และเสกคาถาสร้างแสงสว่างที่ปลายไม้ เธอเดินมาลำพังเข้ามาในหมู่บ้าน บ้านเรือนทำจากไม้มุงหลังคาด้วยหญ้าแบบชาวเกาะหลายสิบหลัง แม้สภาพจะดูปกติ ทว่ากลับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย จนรู้สึกเสียวสันหลังแปลก ๆ 

“โลกคู่ขนานจริง ๆ สินะ” 

ยังไงมหาจอมเวทย์คงไม่มีปัญญาจะก็อปปี้คนเป็นล้าน ๆ ขึ้นมาไหวหรอก มารีมองไปรอบ ๆ เธเดินไปถึงบริเวณที่เป็นด้านหลังของหมู่บ้าน มีเสาไม้ที่แกะสลักเป็นรูปแปลก ๆ สไตล์ชนเผ่าปักเอาไว้เป็นแถวอย่างเป็นระเบียบหลายร้อยเสา ชวนให้นึกถึงพวกสุสาน หรืออนุสรณ์สถานอะไรทำนองนั้น

“…อึก”

และที่นั่น มารีก็เจอลูอานายืนอยู่เงียบ ๆ เมื่อเธอหันมาหา แม้จะสวมหน้ากากอยู่ แต่เธอก็เห็นน้ำใส ๆ หยดมาจากปลายคาง สะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกาย

“...ลูอานา”

“อ๊ะ...มารี!” เพื่อนสาววิ่งเข้ามาโผเข้ากอดและร้องไห้ออกมา 

มารีถอนหายใจและลูบผมดำนุ่ม ๆ ของเธอสองสามที แล้วยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นยิงคาถาดอกไม้ไฟขึ้นไปบนฟ้า

“เป็นห่วงแทบแย่” ไทที่วิ่งมาสมทบเท้าสะเอวและถอนหายใจออกมา ตามมาด้วยเดรโก

“ขอบคุณนะคะ” สาวชาวเผ่าแง้มหน้ากากเช็ดน้ำตา “กลับกันเถอะค่ะ”

ลูอานาบอกว่าเธอไปอยู่ที่เอลเดน ก็เพราะลี้ภัยจากสงครามเมื่อสิบกว่าปีก่อน

มารีจึงแอบไปสืบค้นมา ดูเหมือนที่คาอิมานาเคยมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกาะแห่งหนึ่งจากสงครามระหว่างผู้คนแต่ละเกาะ เนื่องจากคาอิมนามีความหลายหลายของกลุ่มชาติพันธุ์มาก และแย่งกันเป็นใหญ่ตลอดเวลา

ในระหว่างที่เดินไป มารีก็หันไปมองลานที่ปักเสาไม้จำนวนมากเอาไว้และสงสัยอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่กล้าจะเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้า

ทั้งสี่กลับมาที่จุดเดิมที่มารีเสกคาถาประตูมิติเอาไว้ แต่ว่า...

“หะ...หายไปแล้ว...” 

“....”

“...เอาไงดีอะ”

“...”

มารีกระพริบตาปริบ ๆ  ลมร้อนพัดผ่านไปเบา ๆ หนุ่มสาวทั้งสี่ก็ได้แต่ยืนมองเกาะภูเขาไฟรูปเต่าไกล ๆ

 

ภาพของเพดานมืด ๆ เก่า ๆ ปรากฏตรงหน้าของมารี

ตามด้วยใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขากำลังคร่อมร่างเธอเอาไว้ เขามีผมสีดำเซอ ๆ ดวงตาสีน้ำตาลแดงที่จ้องมาด้วยสายตาที่น่ารังเกียจยิ่งนัก ลมหายใจเหม็น ๆ พ่นออกมาจากปากเป็นจังหวะ

ทว่ามารีขยับอะไรไม่ได้เลยราวกับถูกผีอำ เธอได้แต่มองหน้าของชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น สิ่งที่สัมผัสได้อย่างเดียวคือน้ำตาที่ไหลออกมา ความรู้สึกเจ็บปวดที่หว่างขา และความกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง...

“....”       

เช้าวันเสาร์ มารีลืมตาโพลงตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนนุ่ม ๆ เพดานและโคมไฟของห้องพักที่โฮมเป็นสิ่งแรกที่เธอเห็น ตามมาด้วยความรู้สึกหนัก ๆ ที่กดทบหน้าอกและความอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างของนัวร์ที่นอนซบอยู่

“…คืนนี้ก็ยังคงนอนฝันร้ายสินะ” 

หลังจากปรับอารมณ์ได้ มารีก็ถอนหายใจออกมาและเลื่อนสายตาออกไปมองหน้าต่าง

พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น...

พอเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนเอาไว้ที่ผนัง ก็แสดงเวลาตีสี่กว่า ๆ

“...”

ทีตอนเรียนล่ะตื่นก่อนคาบเรียนครึ่งชั่วโมงทุกวัน

ว่ากันว่าร่างกายมักจะแกล้งเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการตื่นเช้าในวันหยุด หรือเพลียจนอยากจะนอนทั้งวันแต่พอถึงเตียงก็ดันนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น

มารียกมือขึ้นไปลูบไล้ผมนุ่ม ๆ ของนัวร์และหอมไปหนึ่งฟอด ก่อนจะพยายามข่มตาหลับ

แต่มันก็ไม่หลับ...

“...”

สุดท้ายก็เลยค่อย ๆ อุ้มนัวร์ลงไปข้าง ๆ และลุกขึ้นมาขยี้ตา ไม่มีแม้แต่ความง่วง หรือหาวสักหวอด   

มารีเลยมาทำการบ้านกับอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่โต๊ะเขียนหนังสือ เพราะของพวกนี้มีพลังอำนาจวิเศษที่สามารถทำให้คนง่วงได้ โดยเฉพาะเจ้าไทที่ดูจะได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้มากที่สุด

ระหว่างที่ทำไป ภาพของความฝันยังคงติดอยู่ในหัว เด็กสาวพยายามสะบัดหน้าเพื่อให้มีสมาธิมาจดจ่อกับตัวอักษรบนหน้ากระดาษ 

หลังจากทำการบ้านเสร็จทุกวิชา มารีก็หันไปมองนาฬิกา ตอนนี้เวลาตีห้าครึ่งแล้ว

แต่ก็ยังไม่ง่วงอยู่ดี...

“...”

ไปวิ่งสักหน่อยก็แล้วกัน ตั้งแต่เข้าเรียนมา มารียังไม่มีเวลาว่างออกกำลังกายเลย หลังจบคาบเรียนทุกวันก็จะต้องเจอกิจกรรมรับน้องกับพวกรุ่นพี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการทำกิจกรรมละลายพฤติกรรม สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ พาสำรวจจุดต่าง ๆ ของโรงเรียน และตระเวนเที่ยวในเมือง

ยังไงก็ต้องกลับมาอาบน้ำอยู่แล้ว มารีจึงเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดออกกำลังกายเลย เธอสวมสปอร์ตบรา ใส่โชคเกอร์สีดำที่คอ เพื่อปิดบังรอยแผลเป็นรอบ ๆ คอ ที่ดูราวกับเคยถูกของมีคมฟัน จากนั้นก็สวมเสื้อแขนยาวมีฮู้ดและเลกกิงสีดำปิดบังรอยแผลเป็นลักษณะเดียวกันที่ต้นแขนและต้นขาทั้งสองข้าง

สิ่งสุดท้ายที่มารีหยิบขึ้นมาก็คือสร้อยคอรูปหัวนกฮูกสีทอง ทีแรกเธอว่าจะสวมไปเลย แต่พอคิดไปคิดมาว่ามันจะรุงรังตอนวิ่ง ก็เลยตัดสินใจใส่ในกระเป๋าออกกำลังกายแทน

เมื่อออกมาหน้าโรงเรียน ความหนาวก็ปะทะกับร่างกายเต็ม ๆ หมอกลงค่อนข้างจัดจนมองเห็นข้างหน้าได้ไม่กี่เมตร มารีขยับหมวกแก๊ปให้เข้าที่ ปรับสายรัดของกระเป๋าออกกำลังกายให้แน่น กดไปที่สมาร์ตวอช และเริ่มออกตัว 

ในระหว่างที่วิ่งไปตามขอบทะเลสาบนั่นเอง มารีก็เห็นร่างลาง ๆ เดินออกกำลังกายอยู่ไกล ๆ ทว่ามันทำให้ดวงตาของเธอเบิกกว้าง

มารีรีบวิ่งเร็วขึ้น ทำให้ร่างของคน ๆ นั้นใกล้เข้ามา ภาพของชุดกระโปรงออกกำลังกายสไตล์วิคตอเรียนสีเข้ม ผิวขาวบริสุทธิ์ และผมสีเงินยาวสลวยเริ่มชัดเจนขึ้น ตามมาด้วยเสียงใส ๆ กำลังฮัมเพลงพื้นบ้านทำนองคีย์ไมเนอร์ฟังดูมืดมน

เมื่ออีกฝ่ายเห็นเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย และรีบหยุดร้องเพลงทันที

“ชะ...ชุดอะไรของเธอ” 

ผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็คืออาเรีย สเตฟานอฟนั่นเอง เธอเบือนหน้าหนี แก้มกลายเป็นสีชมพูจาง ๆ ซึ่งไม่น่าจะมาจากความร้อนของร่างกายจากการออกกำลังกายหรอก

ไอ้คนที่แต่งชุดออกกำลังกายแปลก ๆ มันคือเธอต่างหาก

“...ขอตัว” มารีถอนหายใจ ก่อนจะวิ่งผ่านเธอไปเซ็ง ๆ 

“เดี๋ยวสิ!”

แม้อีกฝ่ายจะตะโกนเรียก แต่มารีก็ทำเป็นไม่สนใจ

 

พอวิ่งมาได้หนึ่งในสี่ของถนนริมทะเลสาบ ถนนก็หมดเพราะกลายเป็นทางเข้าอุทยานแห่งชาติแทน

มารียกแขนขึ้นมาดูสมาร์ตวอช ตอนนี้หกโมงกว่า ๆ แล้ว ซึ่งเป็นเวลาเปิดทำการของอุทยาน ฯ พอดีด้วย เมื่อมองไปที่ทิศตะวันออกก็เห็นแสงสีทองกำลังค่อย ๆ สว่างขึ้น

ไหน ๆ ก็มาแล้ว เข้าไปวิ่งในอุทยานด้วยดีกว่า

ดีที่มารีพกบัตรนักเรียนมาด้วย ก็เลยผ่านประตูเข้ามาแบบไม่เสียเงิน จากนั้นมารีก็วิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาในป่า สองข้างทางเป็นต้นสนขนาดใหญ่ พื้นเต็มไปด้วยใบสนสีน้ำตาลที่ร่วงหล่นหลงมา ตัวถนนเป็นหินกรวดปูเอาไว้เป็นทางเดิน มีป้ายความรู้ตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ 

พอเข้ามาได้สักพัก มารีก็สะดุดตากับบ้านร้างเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนต้องหยุดฝีเท้า 

สภาพคงต้องเรียกว่าถูกธรรมชาติกลืนกินไปเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ตัวหลังคาเอียงถล่มลงมาด้านหนึ่ง หินที่ก่อเป็นผนังก็หล่นกระจัดกระจาย ด้านในมีโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย ด้านในพอมองเห็นเคาน์เตอร์กับเตาผิงที่ยังสภาพดีอยู่ มีป้ายข้อมูลเขียนเอาไว้ว่าสร้างมาก่อนโอวล์ฟอสเทียร์จะก่อตั้งขึ้นมาเสียอีก

เป็นโบราณสถานสำคัญแท้ ๆ น่าจะบูรณะสักหน่อยนะ มารีถอนหายใจและวิ่งไปต่อ

เมื่อเข้ามาเรื่อย ๆ  ต้นสนก็เริ่มใหญ่ขึ้น จากหนึ่งคนโอบ ก็กลายเป็นห้าคนโอบไปจนถึงยี่สิบคนโอบ

และที่นั่นเอง มารีก็เจอแมวดำตัวหนึ่งนั่งอยู่ เมื่อดวงตาสีเหลืองของมันมองมาที่เธอก็เบิกกว้าง ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาและขยายร่างกลายเป็นเด็กผู้ชายเข้ามากอด

“งือ...”

“ทำไมเหรอ” มารีลูบผมสีดำนุ่ม ๆ มองหน้านัวร์

“จะไปไหนก็บอกกันหน่อยสิเมี้ยว” หนุ่มน้อยทำแก้มป่องเงยหน้ามองเธอ

“ก็เห็นนอนอุตุอยู่นี่นา” เด็กสาวเอาสองมือไปนวด ๆ ดึง ๆ แก้มนุ่ม ๆ ของอีกฝ่าย “ว่าแต่มาตรงนี้ได้ไงน่ะ”

“ก็มาทางห้องเรียนสัตว์วิเศษน่ะฮะ พอดีสัมผัสได้ถึงเจ้านั่นขึ้นมา”

“โผล่มาแล้วเหรอ” มารีเลิกคิ้ว “อยู่ตรงไหนน่ะ”

นัวร์กลับหลังหันและชี้ไปที่ต้นสนต้นหนึ่ง เป็นต้นที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ และแทบไม่มีอะไรโดดเด่นเลย

มารีเดินไปที่ต้นไม้ที่นัวร์ชี้ไป หยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่ตกอยู่และจิ้มเข้าไปในลำต้น กิ่งไม้ทะลุเข้าไปเหมือนกับจิ้มเข้าไปในความว่างเปล่า ผ่านไปประมาณสามวินาทีเธอก็ชักออกมา ไม่มีรอยไหม้ หรือร่องรอยการกัดกร่อน จากนั้นก็ยื่นให้นัวร์ดม

“กลิ่นควันรถ น้ำทะเล กับของทะเลย่างฮะ”

“เตเรซุส ซูรุสซุม”

มารีหยิบไม้กายสิทธิ์โบกเล็กน้อย ร่างของเธอมีไอน้ำผุดออกมาแวบหนึ่ง คราบเหงื่อที่ชโลมร่างหายไป กลิ่นกายก็กลายเป็นกลิ่นหอม ๆ ของดอกไม้

มารีมองซ้ายมองขวาเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น จากนั้นก็หยิบแว่นตาจากกระเป๋ามาสวมและรูปซิปเสื้อนอกให้มิดชิดเดินทะลุต้นไม้เข้าไป ส่วนนัวร์ก็หยิบหมวกฟักทองสีดำออกมาสวม เก็บหางซ่อนในกางเกงและเดินตามเจ้านายเข้าไปเช่นกัน

ทว่า...

“ยัยนั่นทำอะไรน่ะ แล้วเด็กนั่น...”

อาเรีย สเตฟานอฟที่แอบตามมาค่อย ๆ โผล่ตัวออกมาจากหลังต้นไม้ เธอมองซ้ายมองขวา แล้วก็เดินทะลุต้นไม้ตามเข้าไปอีกคน 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา