ม.ปลายสายเวทย์
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) Apple, and anvil
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ06
Apple, and anvil
ในระหว่างที่มารีเรียนคาบเช้า นัวร์ในร่างของแมวดำตัวน้อยก็เดินเตร็ดเตร่ภายในโรงเรียน เขาแวะร้องเหมียว ๆ ทักทายนักเรียน อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ บางครั้งก็มีคนลูบหัวบ้าง มีคนแบ่งของกินให้บ้าง เป็นสิทธิพิเศษที่เขาจะได้เมื่ออยู่ในร่างนี้เท่านั้น
อันดับแรก ถ้าจะหาว่าคุกกี้มาจากไหน ก็คงจะเป็นห้องครัว
ห้องครัวของโฮมอยู่ที่ชั้นหนึ่งของอาคารฝั่งใต้ เมื่อเข้ามาจะพบกับโรงอาหารที่มีโต๊ะกินข้าวตั้งอยู่เต็มไปหมด ส่วนด้านหลังก็จะเป็นห้องครัว ซึ่งตอนนี้มีกลิ่นหอม ๆ ส่งมา
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นหญิงสาวผมขาวในชุดคลุมสีเดียวกันเดินกัดน่องไก่ทอดเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างสบายอารมณ์ออกมาจากครัว ในอ้อมแขนของเธอมีชามที่ใส่น่องไก่อีกเพียบ ดวงตาสีเหลืองทองมองมาที่เขาแวบหนึ่ง เจ้าตัวยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ปากฉีกยิ้มให้และเดินจากไป นัวร์มองตามจนเธอหายลับไปตาปริบ ๆ
แมวน้อยเข้าไปในห้องครัวและมองดูเหล่าเจ้าหน้าที่กำลังเตรียมอาหารอย่างขะมักเขม้น แต่ละคนสวมชุดแบบพ่อครัวตามร้านอาหาร เมนูวันนี้มีหลายอย่าง ทั้งไก่ทอด มันฝรั่งทอด สลัดโคลวสลอว์ และของหวานอย่างทาร์ตไข่
แต่ไม่มีคนไหนหน้าเหมือนคนที่เขาต้องการเจอเลย
“น่องไก่ทอดตรงนี้หายไปไหนอะ!” ในตอนนั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พูดขึ้นมา “อ๊ะ ไอ้แมวขโมย!”
นัวร์สะดุ้งโหยงเพราะโดนชี้หน้าใส่ แล้วก็ต้องรีบหนีกระเจิงเพราะเจอเจ้าหน้าที่ง้างตะหลิววิ่งเข้ามา
ไอ้อาจารย์บ้านั่น...
สุดท้ายก็เลยต้องออกมาเดินเตร่ในเมืองเซ็ง ๆ แทน นัวร์มองดูท้องฟ้าสีครามแต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวเล็กน้อยและถอนหายใจออกมา เดินจากโรงเรียนมาสักพักใหญ่ ๆ ก็มาถึงย่านการค้าที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและของใช้ต่าง ๆ
ตอนนี้น่าจะเกือบเที่ยงวันแล้ว ท้องของเขาสั่นโครกครากเพราะอาหารเช้าย่อยไปหมดแล้ว
นัวร์ไปนั่งร้องหง่าว ๆ หน้าแผงขายอาหารสไตล์ตะวันออกที่ส่งกลิ่นเนื้อย่างกับสมุนไพรหอมฉุยออกมา และได้น่องไก่ย่างหนึ่งน่องมากิน เขาไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องกินบนพื้นหรือบนโต๊ะอยู่แล้ว เจ้าของร้านที่เป็นมนุษย์สัตว์ลูบหัวกับหลังของเขาอย่างเอ็นดู
จากนั้นแมวน้อยก็เดินเล่นในเขตการค้า ชมบ้านเรือนและผู้คนมากหน้าหลายตา เขาเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาจ๊ะเอ๋เข้ากับแมวสาวตัวหนึ่งที่นั่งเลียขนอยู่บนกำแพงอิฐ มันมีขนสีขาวบริสุทธิ์สะอาดสะอ้าน และมีดวงตาสีฟ้าสดใส ถ้ามนุษย์มองก็คงรู้สึกหลงรักและอยากเข้ามาเล่นด้วยทันที
แต่สำหรับแมวแล้ว นี่เทียบได้กับการเจอนางงามเลย
“เมี้ยว” นัวร์ร้องทัก เขากระโดดขึ้นไปหาสาว และทำท่าทางยั่วเย้าตามสไตล์แมวหนุ่ม
ทว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย เธอหันหลังให้ก่อนจะกระโดดลงจากกำแพง นัวร์ไม่รีรอกระโดดตามไป เขาตามเธอเรื่อย ๆ โดยทิ้งระยะห่างเอาไว้เพื่อไม่อีกฝ่ายรู้สึกคุกคาม แมวสาวเข้าไปในตรอกระหว่างตึกสองตึก
“แง่ง”
ทว่าที่นั่นเอง นัวร์พบกับแมวลายสลิดหนุ่มอีกตัว รูปร่างใหญ่อวบอ้วน แก้มกลมน่าหยิก สวมปลอกคอห้อยกระดิ่งสีเงิน มันพองตัวและส่งเสียงขู่ใส่เขา ส่วนเจ้าแมวสาวก็ไปหลบหลังเจ้าแมวใหญ่
ดูท่าจะมีเจ้าของแล้วสินะ
แมวดำถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ ขยายร่างเป็นร่างมนุษย์สัตว์ เล่นเอาสองแมวหน้าเหวอและวิ่งเตลิดไป หนุ่มน้อยเดินเซ็ง ๆ ออกมาจากตรอก และขยับโบว์หูหระต่ายให้เข้าที่ ทำไมวันนี้โชคไม่ค่อยเข้าข้างเขาเลยนะ
จะว่าไป ทำไมแมวสาวตัวนั้นถึงเหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้ที่คอด้วยล่ะ...
ในเมื่อหาที่โรงอาหารไม่ได้ ก็ลองหาตามร้านขนมในเมืองก่อนแล้วกัน
หนุ่มน้อยไปยังร้านขนมใกล้ ๆ เมื่อเข้ามา กลิ่นหอมของนมเนยและแป้งอบใหม่ก็ตีเข้าจมูก นัวร์ก้มดูสินค้าต่าง ๆ ทั้งเค้ก ขนมปัง และคุกกี้ ทว่าพอเห็นเจ้าของร้านก็ต้องหยุดชะงัก
“อาระ...รับอะไรดีจ๊ะหนุ่มน้อย” เจ้าของร้านเป็นหญิงเผ่ายักษ์ซึ่งสูงถึงสองเมตร ผิวกายเป็นสีแดงสด พร้อมกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ทว่าหน้าตาที่ดูน่ากลัวนั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อะ...เอาคุกกี้ฮะเหมียว” หูและหางแมวของนัวร์ชี้เด่ด้วยความตกใจ เขาชี้ไปที่คุกกี้แบบเดียวกับที่มารีให้ตัวอย่างมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ทะ...ที่นี่ทำขนมส่งไปที่โฮมเมื่อวานไหมฮะ”
“มีทำเค้กผลไม้ส่งไปน่ะจ้ะ ส่วนใหญ่เวลามีพิธีใหญ่ ๆ ก็จะให้ร้านอาหารกับร้านขนมส่งไปเสริมกับของพวกแม่ครัวที่นั่นอีกที” เจ้าของร้านบอก “เอากี่ชิ้นจ๊ะ”
“หะ..หกชิ้นฮะเมี้ยว” นัวร์บอก
ไหน ๆ ก็มาแล้ว นัวร์จึงซื้อคุกกี้มาหกชิ้นคละแบบเป็นค่าตอบแทนข้อมูล แล้วก็เอามานั่งกินแถว ๆ หน้าร้าน
“รสชาติไม่เหมือนกันเลยแฮะ” พอกินคุกกี้เปรียบเทียบกับของมารี ก็รู้สึกได้เลยว่ารสชาติต่างกัน
แม้ของพวกนี้จะไม่เหมาะกับแมว โดยเฉพาะช็อคโกแลต แต่นัวร์ในร่างนี้สามารถกินได้ปกติไม่มีปัญหา เพราะไม่ใช่แค่ร่างกายภายนอก อวัยวะภายในทั้งหมดของเขาก็กลายเป็นแบบมนุษย์ทั้งหมด
หลังกินเสร็จ นัวร์ก็ตระเวนหาร้านขนมหลายร้าน ซึ่งแต่ละร้านนั้นก็ให้คำตอบว่าส่งขนมบางส่วนไปที่โฮมเมื่อคืน และเจอเจ้าของร้านที่ไม่ซ้ำเผ่าพันธุ์กันเลย
แต่ไม่มีร้านไหนที่ส่งคุกกี้แบบที่มารีกินไปที่โรงเรียน
มันชักจะแปลก ๆ นะ แล้วคุกกี้จะมาจากไหนล่ะ
ก็คงจะมีแค่แม่ครัวของโรงเรียนกับอาจารย์วิชาคหกรรม หนุ่มน้อยตั้งข้อสงสัยในใจ แต่ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเจอ คน ๆ นั้น ที่ห้องครัวแล้วสิ
“ทำอะไรอยู่เหรอ”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นในหัว นัวร์หันซ้ายหันขวาแล้วก็เจอกับนกเค้าแมวหิมะตัวโตที่เกาะอยู่ที่ม้านั่ง เขาไม่ได้สังเกตเลยว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาแน่ใจว่าก่อนหน้านี้มีแค่เขาที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งคนเดียว
แต่ว่า...เสียงนี้
“เชอะ!” หนุ่มน้อยทำแก้มป่องและสะบัดหน้าหนี นกเค้าแมวจึงเข้ามาใกล้และเอียงตัวซบเหมือนพยายามง้อ
สัมผัสของขนนกนุ่ม ๆ ก็ทำให้ลมในแก้มทั้งสองแฟบลง กระนั้นนัวร์ก็ยังโกรธอยู่เลยไม่หันมามองหน้าเจ้านก
“ตามหาคน ๆ นั้นอยู่สินะ” เสียงในหัวของนัวร์ดังขึ้นอีกครั้ง “ขอโทษด้วยที่ครูให้เบาะแสอะไรเธอไม่ได้มาก”
“พอจะรู้ไหมฮะว่าคุกกี้นี้มาจากไหน” แม้จะยังโกรธอยู่ แต่นัวร์ก็เอ่ยปากถามเจ้านกไปและโชว์คุกกี้เจ้าปัญหาให้มันดู
“มันส่งมาจากคนที่เธอตามหาอยู่นั่นแหละ” นกเค้าแมวตอบ “คงจะรู้ว่าเมื่อวานเป็นวันฉลองก่อนเปิดเรียน แล้วก็คงหวังว่ามารีจะเข้ามาเป็นนักเรียนได้เลยส่งมาให้ แต่มันก็น่าเจ็บใจนะที่ครูไม่สามารถจะตอบอะไรกลับไปได้เลย เด็กคนนั้นก็คงพยายามอย่างเต็มที่สินะ เด็ดเดี่ยวจริง ๆ”
สรุปแล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร เหมือนกับการที่เราได้กุญแจมาหนึ่งดอก แต่ก็ไม่รู้จะเอาไปไขกับอะไรนั่นแล
“ขอกินบ้างสิ”
“ยังกินไก่ทอดไม่อิ่มอีกเหรอฮะเมี้ยว” นัวร์มองค้อน เจ้านกเลยหัวเราะออกมา สุดท้ายเด็กน้อยก็ใจอ่อนก็ยอมให้กินคุกกี้ชิ้นหนึ่ง ระหว่างที่จะเจ้านกกินไป นัวร์ก็เอามือมาลูบหัวนุ่ม ๆ ของมัน
“นึกว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตซะแล้วเน่อ”
กลับมาที่โฮม ไทถอนหายใจเมื่อกลับมาเป็นปกติระหว่างทานอาหารกลางวัน อาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ สามารถตักทานไม่อั้น แถมยังมีการเติมเรื่อย ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหมด
“สมกับเป็นโฮมจริง ๆ แค่วิชาแรกก็รู้สึกโดนสูบพลังชีวิตไปเกือบจะหมดแล้วนะคะ” ลูอานาถอนหายใจ “ว่าแต่ทำไมมาสายกันล่ะ แค่วันแรกก็จะเจิมกันเลยเหรอคะ”
“ก็นะ หลังปาร์ตี้ไอ้หมอนี่ก็ชงเครื่องดื่มเด็ด ๆ ให้ลองน่ะ” เดรโกรัสแตะบ่าไท “กระดกไปแก้วเดียวก็เดินทางข้ามเวลามาเช้าเลย”
“ดื่มเหล้ากันเหรอคะ นี่ยังไม่ทันไรจะแหกกฎกันแล้วเหรอคะ”
“เปล่าสักหน่อยเน่อ” ไทปฏิเสธ “เป็นน้ำสมุนไพรที่ช่วยผ่อนคลายและหลับสบายต่างหากล่ะ เวลาย้ายที่พักก็ต้องหลับยากเพราะไม่คุ้นที่เป็นธรรมดาใช่มะ จริง ๆ ไอ้ฉันก็จะทำกินแค่คนเดียวนั่นแหละ แต่พ่อนี่มาขอแจมด้วย”
ว่าแล้วหนุ่มชาวตะวันออกก็ชูใบไม้หน้าตาน่าสงสัย และบรรยายสรรพคุณของมันยาวเหยียด ดูท่าแล้วน่าจะเชี่ยวชาญการทำมาค้าขายมาก
“สนใจสักใบไหม”
“ไม่อะค่ะ ขอบคุณ”
“...”
มารีฟังไปพลางเคี้ยวไก่ทอดตุ้ย ๆ ระหว่างนั้นก็เหลือบไปมองสาวผมเงินที่นั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
“นั่นอาเรีย สเตฟานอฟน่ะ” เดรโกที่สังเกตเห็นท่าทางของมารีบอก
“...ไปรู้จักกันตอนไหนน่ะ”
“แค่ช่วงก่อนเปิดเทอม พ่อนี่ก็ทักคนไปทั่วโรงเรียนแล้วเน่อ โดยเฉพาะสาว ๆ อะนะ” ไทกอดคอคู่หู พ่อหนุ่มผมแดงเลยยิ้มแป้นออกมา
“ตอนที่นั่งวาฬมาฉันก็โดนยัยนั่นไล่มานั่งกับมารีด้วยค่ะ” ลูอานาบ่นอิดออด “พวกเรฟลอเดียมีแต่พวกหยิ่ง ๆ ชอบเหยียดชาวบ้านไปเสียหมดเลยหรือไงกัน”
รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้แฮะ แปลว่าที่มารีไม่ยอมให้แม่สาวอาเรียนั่งในตอนนั้น เธอก็เลยต้องไปนั่งที่ของลูอานาแทนแล้วไล่เธอมานั่งกับมารีสินะ
เอาเป็นว่าเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบ ๆ ดีกว่า...
อาณาจักรเรฟลอเดียเป็นดินแดนมหาอำนาจใหญ่ที่อยู่ทางเหนือที่สุดของโลกเวทมนตร์ มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี แม้ผู้คนที่นี่จะขึ้นชื่อเรื่องหน้าตาดี แต่ก็ยังขึ้นชื่อเรื่องนิสัยที่เย็นชา และชอบเหยียดเชื้อชาติ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวัฒนธรรมชาตินิยมสุดโต่งที่ไม่ยอมรับคนชาติอื่นและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อีกทั้งยังไม่เปิดประเทศให้มีการท่องเที่ยวอีกด้วย
ทั้งสี่รีบจัดการอาหารให้เสร็จ ก่อนที่เสียงระฆังคาบบ่ายจะดังขึ้น
ตอนบ่ายคือวิชาเวทยศาสตร์ กินเวลาสองคาบ
ห้องเรียนเป็นห้องบรรยายที่อยู่ชั้นที่สองของอาคารฝั่งตะวันออก ตัวห้องถูกทำเป็นพื้นไล่ระดับเหมือนโรงภาพยนตร์ พร้อมโต๊ะเล็กเชอร์แบบบิลด์อิน ด้านหน้าคือกระดานดำและเคาน์เตอร์สำหรับผู้บรรยาย
“...ฟี้~”
พอนั่งลงไปบนเก้าอี้ไม่ถึงสามวินาที พ่อหนุ่มไทก็เอนตัวไปพิงพนักผล็อยหลับไปเสียแล้ว อย่างที่เขาว่าหนังท้องตึงหนังตาหย่อนท่าจะจริง พอเห็นแล้วมารีเองก้รู้สึกง่วงขึ้นมาด้วย แต่ก็ต้องพยายามทำตาแข็งเอาไว้เพื่อไม่ให้โดนหักคะแนน
หลังระฆังดังขึ้นไม่นาน ประตูห้องเรียนก็เปิดออก เสียงพูดคุยของเด็กนักเรียนเงียบลง
ร่างที่ปรากฏขึ้นมานั้นทำให้บรรยากาศเงียบกริบ เพราะร่างที่สูงโปร่งราว ๆ หกฟุตนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ
และที่สำคัญคือ ร่างนั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ
ผ้าคลุมสีดำลอยละล่องมาที่เคาน์เตอร์เอื่อย ๆ เงียบ ๆ ทำเอานักเรียนหลายคนกลืนน้ำลาย แม้แต่มารีก็ยังรู้สึกขนลุก ราวกับว่าอุณหภูมิห้องลดฮวบลง
ทันใดนั้น ชอล์กก็ลอยขึ้นมาและเขียนไปบนกระดาน
ดร.ลุดวิก เฟลดามัวส์ เอสเตย์น
มัธยมศึกษาตอนปลาย สถาบันการศึกษาเวทมนตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโอวล์ฟอสเทียร์
เวทย์ศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเวทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติเอลเดน
ครุศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการสอนเวทมนตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติเอลเดน
เรียกว่า อ.ลุดวิกเฉย ๆ ก็ได้ ยินดีได้ได้รู้จักนะครับทุกคน ^_^
“...”
ไอ้ข้อความที่ขัดกับรูปลักษณ์นี่มันอะไรกัน
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ครูขอเกริ่นนำก่อนแล้วกัน เชื่อว่าวิชานี้ยังไม่มีสอนในระดับ ม.ต้น มาก่อน และไม่มีสอนในโรงเรียน ม. ปลายทั่วไปด้วย หรือมีใครเรียนมาแล้วไหม”
น้ำเสียงของอาจารย์นั้นทุ้มนุ่มและอบอุ่นผิดคาด มารีมองซ้ายมองขวา ไม่มีนักเรียนคนใดยกมือ ไม่รู้ว่าเพราะไม่เคยเรียนมาก่อน หรือปรับตัวกับอาจารย์ที่ลุคกับกริยาท่าทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงแบบนี้
“เอาล่ะ ครูมีคำถาม พวกเราคิดว่าเวทมนตร์คืออะไร” อาจารย์ลุดวิกยิงคำถาม แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครกล้าตอบ ลูอานารีบถองสีข้างไทที่ยังคงหลับอยู่ แต่ไอ้ตัวแสบก็ยังคงไม่ตื่น
“คุณ...เอ่อ...คา...ฮา...นา...นู...อิ...ใช่ไหม ลองบอกหน่อย ไม่ต้องกลัว ไม่มีผิดไม่มีถูก” เหมือนอาจารย์จะเห็นท่าทางร้อนรนก็เลยเรียกชื่อเธอ สาวชาวเผ่าสะดุ้งโหยงและรีบดีดตัวขึ้นมายืน
“อะ...อำนาจในการควบคุมธรรมชาติค่ะ”
“ดีมาก รับไปหนึ่งคะแนน ปรบมือให้คำตอบของเพื่อนหน่อย” อาจารย์ลุดวิกพยักหน้า “ถ้าพูดง่าย ๆ เวทมนตร์ก็คือมืออีกข้างที่มองไม่เห็น ซึ่งสามารถใช้มันควบคุมได้ทุกสรรพสิ่งตั้งแต่สสารไปจนถึงพลังงาน
เวทยศาสตร์ คือวิชาที่ต้องการหาคำตอบที่ครูเพิ่งถามไป ผู้วิเศษอย่างเราสงสัยถึงอำนาจเวทมนตร์นี้มาตั้งแต่โบราณกาลและสั่งสมองค์ความรู้มาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังห่างไกลกับคำตอบของคำถามนี้อยู่
หลายคนอาจจะคิดว่าเวทมนตร์จะต้องเสกขึ้นมาด้วยไม้กายสิทธิ์เท่านั้น แต่จริง ๆ เวทมนตร์ออกมาจากร่างกายของพวกเรา ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของเวทมนตร์ เราก็จะสามารถใช้มันควบคุมธรรมชาติได้อย่างใจนึก และไม่จำเป็นจะต้องเสกคาถาด้วย เช่นแบบนี้...”
อยู่ ๆ ที่ทับกระดาษรูปนกฮูกทำจากหินก็ลอยขึ้นมาเอง ก่อนจะสลายเป็นผุยผงและรวมตัวกันกลายเป็นผลแอปเปิล สร้างความทึ่งให้กับนักเรียน บางคนถึงกับปรบมือ
แต่เดรโกรัสดูไม่ค่อยจะเชื่อ เขาเพ่งมองผ่านแว่นตากันลมที่สวมอยู่อย่างคลางแคลง
“อาจารย์ครับ ถ้าคลุมผ้าทั้งตัวแบบนี้อาจารย์ก็แอบถือไม้กายสิทธิ์เอาไว้ได้สิครับ” หนุ่มผมแดงยกมือทักท้วง “แล้วทำไมถึงต้องใส่ผ้าคลุมมิดชิดขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”
“โทษที ๆ บางทีครูก็ลืมตัวน่ะ” อาจารย์กล่าว “ตอนนี้ครูไม่สามารถถอดเจ้านี่ได้ แบบเดียวกับที่เธอต้องใส่แว่นตานั่นแหละคุณดันเต้”
ทันใดนั้นหน้าต่างสองบานที่อยู่ใกล้กับอาจารย์ก็ปิดลง ทำเอานักเรียนสองสามคนสะดุ้ง มือสองข้างที่สวมถุงมือหนังสีดำของอาจารย์โผล่ออกมาจากผ้าคลุม วางไม้กายสิทธิ์สีเข้มรูปร่างบิดเบี้ยวและมีหนามบนเคาน์เตอร์ อาจารย์ถอดถุงมือออก เผยให้เห็นผิวหนังสีขาวซีดและเล็บทรงแหลมคมที่ทาด้วยสีดำ นักเรียนหลายคนถึงกับกลืนน้ำลายเมื่อเห็น
แต่ไทก็ยังคงหลับอยู่ดี...
“งั้นจะแสดงการใช้เวทมนตร์ควบคุมธรรมชาติอีกแบบนึงให้ดูแล้วกันนะ”
ในจังหวะที่ไทหายใจออกพร้อมเสียงกรน อาจารย์ยื่นมือไปที่เขา ทันใดนั้นดวงตาสีชาทั้งสองข้างลืมขึ้นและเบิกโผลงทันที ไททำปากพะงาบ ๆ และเอามือมาจับที่คอของตัวเองราวกับกำลังโดนซิธลอร์ดใช้พลังฟอร์ซบีบคอ เพราะเขาหายใจเข้าไม่ได้
แต่เพียงอาจารย์ลดมือลง ไทก็กลับมาหายใจได้ตามปกติ เขาสูดหายใจเข้าออกเสียงดังด้วยความตกใจจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง ทั้งเดรโกกับลูอานาที่นั่งขนาบข้างต่างอึ้งกับภาพที่เห็น
“ถ้าง่วงก็ไปล้างหน้าเถอะนะคุณไท” อาจารย์ลุดวิกกล่าว แต่ตอนนี้ดูเหมือนไทจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้งแล้ว
และทั้งชั้นดูจะตั้งใจเรียนขึ้นมายิ่งกว่าเดิมด้วย
ชอล์คเขียนวงแหวนเวทมนตร์ที่มีวงกลมย่อยอยู่หกวงอยู่รอบ ๆ และเชื่อมโยงเส้นเป็นดาวหกแฉกบนกระดาน และวาดสัญลักษณ์ของธาตุแต่ละธาตุในวงกลมย่อยทั้งหก
“เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ เราจะแบ่งเวทมนตร์พื้นฐานออกเป็นหกธาตุ คือดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืด ก่อนหน้านี้ใครรู้บ้างว่าครูใช้เวทมนตร์ธาตุอะไรไป”
“ดิน ความมืด และลมค่ะ” อาเรีย สเตฟานอฟยกมือตอบ
“เก่งมาก เอาไปหนึ่งแต้ม การควบคุมสสารที่มีสถานะของแข็งคือเวทย์ดิน การควบคุมแรงต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นคือเวทย์ความมืด และการควบคุมสสารในสถานะแก๊สก็คือเวทย์ลม วันนี้บทเรียนของเราเริ่มง่าย ๆ คือการยกสิ่งของด้วยพลังเวทย์ความมืดซึ่งเหมาะกับการเริ่มต้น เพราะสามารถนำไปต่อยอดกับเวทย์ธาตุอื่นได้...”
อาจารย์กล่าว เขานำมือไปจ่อใกล้ ๆ กับผลแอปเปิลแล้วมันก็ลอยขึ้นมาได้โดยไม่พึงอุปกรณ์เวทมนตร์ใด ๆ
“วันนี้เราจะเรียนสิ่งที่เป็นพื้นฐานของเวทย์ความมืดที่เราเรียกว่า แรง กัน มีเรื่องเล่าสนุก ๆ กันว่าท่านผู้ที่ค้นพบกฎของแรงก็เคยถูกลูกแอปเปิลหล่นใส่หัวมาก่อนด้วยล่ะ”
ชอล์กเขียนสมการทางคณิตศาสตร์บนกระดานสามข้อ
∑F = 0
∑F = ma
F(action) = F(reaction)
มารีพอจะจับทางวิชานี้ได้แล้ว ถ้าให้เปรียบ นี่ก็คือวิชาที่มนุษย์เราเรียกกันว่า ฟิสิกส์
หลังจากภาคทฤษฎีที่เป็นการพิสูจน์สมการทางคณิตศาสตร์แสนจะปวดหัวก็เป็นการปฏิบัติ อาจารย์ให้โจทย์ง่าย ๆ คือการยกผลแอปเปิลให้ลอยด้วยแรงของพลังเวทมนตร์ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเสกคาถา แต่ให้ใช้ไม้กายสิทธิ์ได้เพื่อความสะดวก เริ่มโดยการให้แต่ละคนชั่งน้ำหนักของแอปเปิล จากนั้นคำนวณในกระดาษและลองลงมือทำจริง
ถ้าเป็นระดับ ม.ต้น นักเรียนทั่วไปจะได้เรียนคาถายกสิ่งของมาแล้ว ซึ่งก็ต้องมีการโบกอุปกรณ์เวทมนตร์ให้เป็นแพทเทิร์นที่ถูกต้องและต้องเปล่งคาถาให้ชัดถ้อยชัดคำเพื่อให้เวทมนตร์แสดงผล
แต่พอต้องมาใช้การเพ่งสมาธิแทนมันก็ค่อนข้างจะทุลักทุเลพอสมควร
มารีจินตนาการตามแผนภาพของแรงที่อาจารย์ให้ร่างขึ้นมา แอปเปิลที่วางเอาไว้เฉย ๆ จะมีแรงโน้มถ่วงให้ติดกับพื้นโต๊ะแทนด้วยลูกศรพุ่งลง มารีจึงนึกถึงลูกศรของแรงที่พุ่งสวนทางขึ้นมาหักล้างกับแรงโน้มถ่วง และใส่แรงเข้าไปให้มากกว่าเพื่อให้แอปเปิลลอยขึ้นมาได้
และปรากฏว่าลูกแอปเปิลก็ลอยขึ้นมาจริง ๆ
“เก่งมา รับไปหนึ่งคะแนน ปรบมือ!” อาจารย์กล่าวชม มารีหันไปหาอาเรียที่ยังทำไม่ได้และดันแว่นไปหนึ่งที่ ถือว่าช่วยล้างแค้นให้ลูอานา
สาวผมเงินเบ้ปาก และไม่นานเธอก็สามารถทำให้ลูกแอปเปิลลอยขึ้นมาได้เป็นคนที่สอง
หลังจากนั้นคนอื่น ๆ ก็พยายามทำให้ลูกแอปเปิลลอยกันอย่างขมักเขม่น หลายคนทำได้ แต่บางคนนั้น...
บึ้ม!
ใบหน้าของพ่อหนุ่มเดรโกที่ใช้มือจ่อเข้าจ่อออกใส่แอปเปิลเต็มไปด้วยคราบเขม่าดำ ทำให้ไทกับลูอานาที่นั่งข้าง ๆ ขำกันใหญ่ เขาไม่ได้ใช้ไม้กายสิทธิ์แต่เป็นแหวนเวทมนตร์สีทองที่สวมเอาไว้ที่นิ้วกลางทั้งสองข้าง
เมื่อทุกคนยกแอปเปิลได้แล้ว อาจารย์ก็เปลี่ยนวัตถุเป็นของที่มีน้ำหนักต่างกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือทั่งเหล็กขนาดใหญ่
รอบนี้นักเรียนทุกคนเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งและลองยกทั่งดู
กฎข้อที่หนึ่งของเวทมนตร์ก็คือ การใช้เวทมนตร์ทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม จะกินพลังกายเท่ากับการใช้แรงกายทำสิ่งนั้น ๆ เสมอ
และทุกครั้งที่มีการใช้เวทมนตร์ ก็คือการเผาผลาญพลังงานไปในตัว ดังนั้นใครที่มีพลังกายมากกว่าก็ย่อมจะใช้เวทมนตร์ได้มากกว่า
แม้ทุกคนจะเข้าใจการยกสิ่งของด้วยเวทมนตร์แล้ว แต่การยกทั่งตะกั่วที่น่าจะหนักเป็นร้อย ๆ กิโลกรัมได้นั้นยังไงก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
กระนั้น อาจารย์ลุดวิกกลับยกมันได้ชิว ๆ ทำเอาพวกนักเรียนอ้าปากค้าง
“อย่างที่ครูบอก ถ้าเธอเข้าใจธรรมชาติ เธอจะสามารถควบคุมธรรมชาติได้ด้วยเวทมนตร์” อาจารย์กล่าว พลางวางทั่งลงอย่างนิ่มนวล
นักเรียนแต่ละคนพยายามยกแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งมาถึงอาเรีย
เด็กสาวผมเงินชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ทั่งเหล็กและเพ่งพลังจนเส้นเลือดขึ้นหน้าผาก กระนั้นทั่งก็ไม่ขยับแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
น่าแปลก ที่หากใช้คาถายกของก็จะสามารถยกได้เลย แต่พอต้องใช้พลังเวทมนตร์เพียว ๆ แบบนี้ทำไมกลับทำไม่ได้กัน
มารีจ้องมองเด็กสาวหอบแฮก ๆ เดินคอตกไป จากนั้นก็หันไปมองทั่งเหล็ก และพยายามคิดถึงกลไกลของคาถายกสิ่งของ
ถ้าเข้าใจธรรมชาติ จะควบคุมธรรมชาติได้...
ทั่งเหล็กอยู่ติดกับพื้นเพราะว่าถูกดึงด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ถ้าจะยกก็ต้องใช้แรงที่มากกว่าน้ำหนักของมันดันสวนทางในทิศตรงกันข้ามตามกฎของฟิสิกส์
แต่ถ้าเราไม่ใช่แรงล่ะ
“...”
เด็กสาวถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ทั่งเหล็ก แต่เธอไม่ได้คิดจะยกทั่งด้วยกำลังของเธอ มารีทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งง่ายกว่านั้น
ทั่งเหล็กลอยขึ้นมาจากพื้นได้ในที่สุด ทำเอานักเรียนทุกคนหน้าเหวอ
“เก่งมาก ปรบมือ!” อาจารย์กล่าวชม
มารีไม่ได้ยกทั่ง แต่เธอควบคุมทิศทางของน้ำหนักของทั่งให้หันไปทางทิศตรงกันข้ามนั่นเอง
แต่ปัญหาก็คือ...ตอนนี้ทั่งไปติดอยู่บนเพดานแทนเสียแล้ว
และเมื่อมารีหยุดเพ่งสมาธิ สิ่งที่ตามมาก็คือทั่งเหล็กร่วงกลับลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก...
“อันตราย!!”
เดรโกรรีบวิ่งเข้าไปรับทั่งเหล็กที่ตกมาจากเพดาน แน่นอนว่าในตอนนั้นทุกคนไม่ได้ตกใจที่ทั่งเหล็กมันตกลงมาหรอก แต่ตกใจตรงที่พี่แกวิ่งไปรับทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ
ตุบบบ
แม้เจ้าตัวจะรับทั่งเหล็กไว้ได้ แต่ด้วยน้ำหนักกับโมเมนตัมมหาศาล ผลที่ได้คือพ่อหนุ่มผมแดงของเราหงายหลังลงไปฟาดกับพื้นดังแอ่ก
ทุกคนรีบเข้ามาดู ภาพที่เห็นก็คือ...
หลังหมดคาบเรียน มารี ไท และลูอานาก็มานั่งรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพยาบาล ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องเรียนวิชาเวทยศาสตร์นัก
“มาวันแรกก็สร้างวีรกรรมไว้สองเรื่องแล้วนะคะ จะอยู่จนครบเทอมไหมเนี่ย” ลูอานากุมขบัม
“ไม่ได้ห่วงเพื่อนว่าจะเป็นอะไรเลยก๊ะ” ไทยิ้มแห้ง ๆ
มารีไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงมองดูประตูของห้องพยาบาลเงียบ ๆ พลางคิดอะไรบางอย่างอย่างเหม่อลอย
“เข้ามาได้แล้วล่ะ”
ในตอนนั้น ก็มีร่างเพรียวบางของหญิงสาวในชุดพยาบาลสไตล์วิคตอเรียนเดินออกมา เธอมีผิวขาว ผมยาวสีบลอนด์มัดรวบอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีน้ำเงินดูอ่อนโยน รับกับริมฝีปากบาง ๆ และจมูกเป็นสัน
เธอคือมิสไนติงเกล แพทย์สาวประจำโรงเรียนวัยยี่สิบสี่ปี และเป็นอาจารย์วิชาสุขศึกษาอีกด้วย
“เดรโกเป็นอะไรมากไหมคะ” ลูอานาถาม
“ตรวจร่างกายหมดเรียบร้อยแล้วล่ะ พวกเธอไปดูเอาเองแล้วกัน” หญิงสาวกล่าวด้วยหน้านิ่ง แต่ดูเธอจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก
เมื่อเข้ามา สิ่งแรกที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้ก็คงเป็นร่างของพ่อหนุ่มผมแดงที่เข้าเฝือกหรือพันผ้าพันแผลทั้งตัวนอนอยู่บนเตียง แต่ว่าพอเห็นแล้วกลับไม่ใช่เลย
เดรโกที่กำลังนั่งใส่เสื้อผ้าอยู่บนเตียงยกนิ้วโป้งมาให้เพื่อน ๆ ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่านั้นไร้ซึ่งบาดแผล รอยฟกช้ำ หรือรอยขีดข่วนใด ๆ ส่วนท่อนล่างสวมแต่กางเกงบ็อกเซอร์สีดำซึ่งไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเช่นกัน
สงสัยวันนี้มิสไนติลเกลคงจะไม่ชอบใจที่ไม่ได้ลูกค้ากระมัง...
แต่ไม่รู้ทำไมทั้งมารีและลูอานาถึงจ้องร่างของหนุ่มผมแดงอยู่นานราวกับว่าโดนมนต์สะกดก็ไม่รู้
อาจจะเพราะผิวขาวจั๊วะ จุกวงกลมเล็ก ๆ สีชมพูสองอันบนอกแน่นปึ้ก กล้ามเนื้อแขนขาล่ำ ๆ กับร่องซิกแพคจาง ๆ ของเขาก็ได้
“นี่ น้ำลายยืดแล้วนะทั้งสองคน” มิสไนติลเกลสับมือลงไปบนศีรษะของมารีและลูอานาเบา ๆ ทำเอาสองสาวสะดุ้งทันที
ทว่าไม่ใช่แค่สองสาวเท่านั้น เมื่อมารีเหลือบไปเห็นไทก็ค้างไป เพราะเจ้าตัวแสบเองก็หน้าแดงแถมยังน้ำลายไหลออกมาอีก...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ