ม.ปลายสายเวทย์
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) Crab, TV tower, and red brick building
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ08
Crab, TV tower, and red brick building
มารีกับนัวร์มาโผล่ที่ตรอกแคบ ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเดินออกมาก็พบถนนที่มีรถยนต์วิ่งไปมา ติดกับฟุตบาทคือร้านอาหารที่แช่สัตว์ทะเลไว้ในตู้ และพร้อมยกขึ้นมาย่างบนเตาทันที กลิ่นหอม ๆ โชยมาทำให้น้ำลายไหล มีป้ายเขียนด้วยตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคยอยู่เต็มไปหมด ท้องฟ้าสดใส แสงแดดเลยจุดเหนือศีรษะค่อนไปทางทิศตะวันตกพอสมควร
เธอหยิบสมาร์ตโฟนออกมา จากนั้นก็หาวายฟายสาธารณะเพื่อเข้าอินเตอร์เน็ตอันเป็นปัจจัยที่ห้า แม้ความเร็วอินเตอร์เน็ตจะช้ายิ่งกว่าหอยทากเป็นตะคริวตามสภาพของฟรี แต่มารีแค่ต้องการดูว่าเธอมาโผล่ที่ใดจากแอปพลิเคชันแผนที่เท่านั้น
มารีไม่ลืมถ่ายรูปจุดที่เดินออกมาจากอีกโลกด้วยสมาร์ตโฟนเพื่อกันลืม จากนั้นเด็กสาวกับคู่หูก็หาร้านอาหารที่ถูกใจเพื่อหาอาหารเช้ากิน กระนั้นคนที่นี่คงต้องเรียกว่าเป็นอาหารเย็นแล้ว
แน่นอนว่าต่างถิ่นต่างที่แบบนี้ย่อมมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา แม้มารีจะใช้ภาษาเวทมนตร์สื่อสารได้ แต่ก็ฟังอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง เธอจึงเลือกใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนในการสื่อสารกับพนักงานแทน และใช้ภาษาท่าทางในการสั่งอาหารแบบทุลักทุเลเล็กน้อย ไม่นานเซ็ตอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นข้าวโปะด้วยของทะเลสดแบบทะลัก พร้อมกับซุปเต้าหู้สีน้ำตาลอ่อน หอยนางรมย่าง และที่เด็ดที่สุดก็คือปูยักษ์ที่ต้มมาทั้งตัว
แม้จะไม่รู้ภาษา แต่มารีก็พอจะรู้วัฒนธรรมของที่นี่อยู่ และเธออยากทำแบบนี้มานานแล้ว เด็กสาวแยกตะเกียบไม้ไผ่ที่ติดกันอยู่ออก แล้วก็พนมมือ
“...Itadakimasu”
“นะ...นั่นมันอะไรกัน”
อาเรียที่แอบอยู่ที่มุมตึกน้ำลายไหลออกมาเพราะกลิ่นหอม ๆ ของอาหารทะเลย่าง รวมถึงท่าทางการกินเงียบ ๆ แต่เอร็ดอร่อยมารี กับการกินแบบเพลิดเพลินไปกับความอร่อยออกหน้าออกตาของเด็กผู้ชายมนุษย์สัตว์อีกคน
เธอเองก็ไม่ได้กินข้าวเช้าที่โรงอาหารมาเพราะออกมาเดินกายบริหารข้างนอกแต่เช้า ท้องของเธอจึงร้องโครกคราก
เด็กสาวผมเงินมองซ้ายมองขวา ค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อนโดยที่ไม่ให้มารีสังเกต แล้วก็เดินดูร้านรวงที่ขายอาหารนานาชนิด
แม้จะดูน่ากินแค่ไหน ปัญหาคือเธอไม่รู้จะอาหารสั่งยังไง และจะจ่ายยังไงด้วย แต่เดิมเธอแค่สั่นกระดิ่งก็มีคนใช้ยกอาหารมาเสิร์ฟให้แล้ว
แต่อีกปัญหาหนึ่งก็คือตอนนี้อาเรียใส่เหมือนหลุดมาจากสมัยวิคตอเรียน บวกกับหน้าตาแบบชาวต่างชาติ สายตาของผู้คนจึงมองมาที่เธอแบบแปลก ๆ ไม่ใช่แววตาที่มองด้วยความชื่นชมแบบที่เธอเคยได้รับ นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก
ที่นี่มันแปลกประหลาดไปหมด คนแต่งตัวแปลก ๆ ตึกรอบ ๆ เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่อง บนถนนก็มีกล่องโลหะวิ่งได้ เป็นที่ ๆ เธอไม่รู้จักเลย
หิวก็หิว กลัวก็กลัว ทิฐิช่างหัวมันแล้ว อาเรียตัดสินใจไปหามารี
“คะ...คือว่า...
ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ที่ร้านแล้ว นอกจากบริกรที่กำลังเก็บจานอาหารอยู่และมองเธอด้วยหน้างง ๆ
สาวผมเงินกลับหลังหัน ก่อนจะเดินกลับไปที่ ๆ เธอเดินออกมาจากกำแพงอย่างยอมแพ้ ทว่าเท้าก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะเธอจำทางกลับไม่ได้...
หลังกินอาหารเสร็จ มารีเดินดูของในร้านของชำไม่ไกลจากร้านอาหารที่เธอนั่งมาเมื่อครู่ แม้จะรู้สึกตงิด ๆ ว่ามีคนแต่งตัวแปลก ๆ วิ่งไปวิ่งมาอย่างตื่นตระหนกข้างนอกร้าน แต่เธอก็ไม่สนใจ มารีดูพวกอาหารทะเลแห้งและขนุกขนมที่น่าจะถูกปากชาวต่างชาติ ส่วนนัวร์ก็ไปนั่งยอง ๆ ดูปูตัวโตที่ลอยไปลอยมาอยู่ในตู้ด้วยตาแป๋ว
เอาขนมไปฝากเจ้าพวกสามคนนั้นให้งงเล่นดีกว่า
หลังจากซื้อเสร็จ มารีก็ว่าจะกลับเลย แต่หอสัญญาณโทรทัศน์สีส้มแดงคล้ายหอไอเฟลไกล ๆ นั้นก็ดูดึงดูดไม่น้อย มีจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่แสดงอุณหภูมิและเวลาท้องถิ่นเอาไว้
มารีกับนัวร์เดินจูงมือกันเลาะมาเรื่อย ๆ จนถึงหอสัญญาณซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมือง ขนาบข้างด้วยถนนและตึกทั้งสองข้างในแนวนอน คั่นเป็นล็อก ๆ ด้วยถนนในแนวขวาง แต่ละล็อกปลูกต้นไม้เอาไว้ บางล็อกมีน้ำพุ บางล็อกก็มีรูปปั้นตั้งอยู่
“ถ่ายรูปกัน” มารีบอกกับนัวร์ ก่อนจะย่อตัวกอดคอเด็กน้อย เธอยื่นสมาร์ตโฟนไปสุดแขน และถ่ายเซลฟีมุมเสยขึ้นไปให้เห็นยอดหอคอย แก้มของทั้งสองกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
ไปอีกสักหน่อยแล้วกัน หลังเช็ครูปในโทรศัพท์ มารีก็เก็บมันใส่กระเป๋าออกกำลังกายและเดินไปต่อ เธอรู้สึกว่าจะได้ยินเสียงตะโกนแว่ว ๆ มา แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ในระหว่างที่เดินผ่านหอนาฬิกาหลังเก่าของเมืองไปนั้นเอง ก็เห็นอีกาหลายตัวเกาะตามเก้าอี้สาธารณะ ตามสายไฟฟ้า บ้างก็บินไปบินมา มารีมองดูพวกมันเงียบ ๆ พลางขยับให้ปีกหมวกแก็ปให้ปิดบังใบหน้ามากขึ้น นัวร์เองก็ดูจะสนใจพวกมันไม่น้อย
อีกา...
วันนั้น อีกาก็เยอะเหมือนกันนะ...
จุดมายสุดท้ายคืออาคารอิฐสีแดงหลังใหญ่สไตล์ยุโรป หลังคาเป็นสีน้ำเงินเข้ม กึ่งกลางมีการสร้างหลังคาโดมสีสนิมทองแดงสูงขึ้นไปและประดับเสาธงเอาไว้ โดยรอบเป็นสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่กำลังผลิใบสีเขียวสด ด้านหน้าของอาคารก็มีการปลูกแปลงดอกไม้สีสันฉูดฉาดเอาไว้
มารียกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทว่าในเฟรมดันไปติดคนหน้าคุ้น ๆ
“แฮก...แฮก...อยู่นี่เอง...ฮือออ” อาเรียเดินโซซัดโซเซมาหาเธอ ตาทั้งสองข้างของเธอบวมแดง แก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
ให้ตายสิ...
สาวแว่นได้แต่ถอนหายใจออกมา สงสัยคงต้องใช้คาถาลบความทรงจำกันเสียแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง มารีก็ก็สังเกตเห็นว่าของหลังของอาเรียไกล ๆ นั้นมีร่างของใครบางคนยืนอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองมาพร้อมกับรอยยิ้มน่าขนลุก
“อันตราย!”
มารีก็ตัดสินใจโผพุ่งเข้าใส่อาเรียจนล้มลงไปทั้งคู่ นั่นเพราะมีบางสิ่งวิ่งออกมาจากตึกอิฐแดง โดยมีเป้าหมายคืออาเรีย ถ้าหากมารีไม่ทำแบบนั้น แม่สาวผมเงินก็คงโดนมันงาบไปแล้ว
“โฮกกก”
เจ้าสิ่งที่ว่านั้นเป็นสิงโตมีเขาสูงราวสามเมตร มีปีกเหมือนค้างคาวและมีหางเป็นแมงป่อง หลังจากสไลด์ไปเพราะพลาดเป้า มันก็กลับหลังหันมาแยกเขี้ยวและคำรามมาทางอาเรียกับมารี
“แมนติคอร์เหรอ!”
อาเรียร้องออกมา ผู้คนที่อยู่แถว ๆ นั้นกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างแตกตื่น นัวร์หันไปเผชิญหน้ากับมันและกางแขนสองข้างเพื่อปกป้องสองสาว
แมนติคอร์จัดเป็นสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งที่มีความดุร้ายและอันตรายมาก ปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ในที่ ๆ ไม่มีผู้คน และไม่ยุ่งกับคนถ้าไม่มีใครไปแหย่ให้มันอาละวาด
แต่อยู่ดี ๆ ทำไมแมนติคอร์ถึงได้มาโผล่ที่โลกมนุษย์ล่ะ
“มารี มารี!” อาเรียเขย่าร่างของมารี ทว่าร่างของเธอกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แม้ดวงตาสีเปลือกไม้จะลืมอยู่ แต่มันกลับเลื่อนลอยไร้ประกายของชีวิต
เด็กสาวผมเงินเอานิ้วแตะที่คอของมารี ก่อนจะเบิกตากว้าง
ชีพจรหายไป...
“โฮกกก” แมนติคอร์คำรามใส่อาเรีย แล้วก็วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วแบบดับเครื่องชน
ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาเรียหลับตาลงและล้มตัวลงไปกอดร่างของมารีเอาไว้แน่น นัวร์เพียงมองมันด้วยแววตาแข็งกร้าว
โครม!
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าสดใสของเด็กสาวก็เบิกกว้าง เพราะมีกำแพงน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมาข้างหน้านัวร์ สิ่งนี้ก็ทำให้เจ้าแมนติคอร์หน้าบี้เป็นปลาบู่ชนเขื่อนและค่อย ๆ ไหลลงไปกองกับพื้น
“ทะ...ทำได้ไงอะ” สาวผมเงินร้องออกมาทึ่ง ๆ นัวร์เลยเก๊กท่าหล่อไปหนึ่งทีจนน่าถีบ
“ไม่ใช่ผมหรอกฮะ”
“หา?”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาแทรก เมื่ออาเรียหันไปทางต้นเสียงก็พบกับร่างอ้อนแอ้น ไม่สูงมากนัก สวมเสื้อโค้ทสีขาวขลิบทองปล่อยชายยาวมาจนถึงประมาณเข่าแบบเดียวกับตอนที่สอบภาคปฏิบัติ ชุดด้านในเป็นเสื้อเชิตขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสูท กางเกงขายาวกับรองเท้าบูทสีเข้ม ศีรษะของเขาคลุมด้วยฮู้ด และมีหน้ากากรูปหัวนกฮูกสีขาวปิดบังใบหน้าเอาไว้ ที่มือขวาสวมถุงมือดำและถือดาบใหญ่ที่ทำจากน้ำแข็งแกะสลักอย่างวิจิตรงดาม
ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากบุคคลปริศนา เขาเพียงจับดาบให้มั่นและพุ่งเข้าใส่แมนติคอร์ทันที
นักดาบเข้าต่อสู้กับแมนติคอร์อย่างคล่องแคล่ว เขาตีลังกาหลบกรงเล็บของสัตว์ร่าย และฟันดาบเข้าเต็ม ๆ คางของแมนตคอร์ด้วยพลังกายมหาศาลจนมันหงายหลัง เลือดสีแดงของสัตว์ร้ายสาดกระเซ็นไปทั่ว
ในจังหวะนั้นเอง นัวร์เปิดกระเป๋าออกกำลังกายของมารี หยิบสมาร์ตโฟนออกมา เขาปลดล็อกโทรศัพท์และเปิดภาพของตรอกที่ถ่ายมาก่อนหน้านี้แสดงให้อาเรีย
“ไปที่นี่เร็วฮะ” เขาชี้ไปในสมาร์ตโฟน แต่ปัญหาคือ...
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าจะต้องไปทางไหนอะ” เด็กสาวผมเงินแย้ง นัวร์เลยเอามือกุมขมับครู่หนึ่ง
“อย่างงี้เมี้ยว” เด็กน้อยน้อยทำท่าแปลก ๆ ด้วยการใช้แขนหมุนเป็นวงกลม ขนาดนี้คุณเธอน่าจะรู้ได้แล้วนะ
“จริงด้วย อิททิเนรันทัวร์!” อาเรียหยิบไม้กายสิทธิ์สีเงินออกมาวาดเป็นวงกลม เพียงแวบเดียว วงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองก็ปรากฏขึ้นมา เธอแบกร่างของมารีเข้าไปในวงแหวนกลับมาที่ตรอกและทะลุเข้ากำแพงกลับไปที่อุทยานของโอวล์ฟอสเทียร์อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นว่าพวกอาเรียหายไปแล้ว นักดาบปริศนาจึงมีสมาธิอยู่กับเป้าหมายตรงหน้าอย่างเต็มที่
แมนติคอร์สะบัดหางแมงป่องพุ่งเข็มพิษแหลมเข้าใส่ แต่ด้วยรูปร่างที่เล็กแต่เพรียวบาง นักดาบจึงกระโดดตีลังกาพร้อมกับวาดดาบออกไป
“โฮกกก”
คบดาบตัดหางแข็ง ๆ จนขาดสะบั้น นักดาบกลับลงมาทีพื้น แล้ววิ่งไปเอามือสัมผัสกับผนังของอาคารอิฐแดงที่แมนติคอร์ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้า แต่มือของเขาสัมผัสได้แต่ความแข็ง ไม่ใช่ผลุบเข้าไป
“...ไม่ใช่เกทงั้นเหรอ”
เมื่อหันกลับไป ก็เห็นแมนติคอร์กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ เขาเพียงแค่ย่อตัวและกระโดดตีลังกาหลังหลบ ทำให้เป้าหมายที่เจ้าสัตว์ร้ายปะทะก็คือกำแพงแข็ง ๆ และในจังหวะที่ลอยตัวอยู่ เขาก็ตวัดดาบส่งคลื่นพลังเวทมนตร์ออกไปตัดปีกทั้งสองของมันจนขาด แมนติคอร์คำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด
ในจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัว นักดาบก็พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอ และเส้นเอ็นที่ขาทั้งสี่ จนมันไม่สามารถลุกได้อีกต่อไป เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเจิ่งนองเต็มพื้น กระนั้นมันก็ยังทำปากพะงาบ ๆ พยายามที่งับเขาให้ได้
นักดาบยืนมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะวาดดาบเป็นวงกลม กลายเป็นวงแหวนเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณสีฟ้า เขาชี้ดาบตรงไปที่แมนติคอร์ บังเกิดลมเย็นและละอองหิมะออกมาจากวงแหวนเวทมนตร์พัดใส่มัน
เมื่อเกล็ดหิมะกระทบกับร่าง หิมะก็ค่อย ๆ ขยายตัวปกคลุมร่างกายของเจ้าสัตว์ร้าย แมนติคอร์ดูจะสงบลง มันค่อย ๆ ปิดเปลือกตา และไม่นานร่างของมันก็ถูกกลืนกินไปด้วยหิมะจนหมดสิ้น แล้วหิมะก็ค่อย ๆ ละลาย จนสุดท้ายก็เหลือเพียงร่างของแมวตัวหนึ่งนอนหายใจโรยรินอยู่
นักดาบเดินเข้ามามองเจ้าแมว เขาชี้ดาบใส่มัน ทำให้เลือดทั้งหมดไหลกลับเข้าตัว จากนั้นก็หยิบหลอดแก้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท เมื่อของเหลวใสในนั้นหยดลงมากระทบกับบาดแผล มันก็เกิดฟองฟูและสมานได้ดังเดิม
เจ้าแมวลุกขึ้นและวิ่งหนีไป นักดาบโบกสะบัดดาบอีกครั้ง ทำให้พื้นที่โดยรอบที่ได้รับความเสียหายกลับสู่สภาพเดิมราวกับเล่นวีดิโอย้อนกลับ
สุดท้าย เขาชี้ดาบขึ้นฟ้า บังเกิดวงแหวนเวทมนตร์สีขาวพร้อมลำแสงสีขาวพุ่งขึ้นไป ก่อให้เกิดเมฆฝนสีดำครึ้ม และไม่นานฝนก็เทลงมา ชะล้างคราบเลือด และร่องรอยการต่อสู้ ร่างของเขาค่อย ๆ เลือนรางหายไปกับสายฝน พร้อมกับความทรงจำของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวายนี้ทั้งหมด
“มารี! มารี!”
อาเรียพยายามเขย่าตัวของเด็กสาวอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ เธอจึงตัดสินใจปั๊มไปที่กลางหน้าอกของอีกฝ่ายเป็นจังหวะ นัวร์นั่งยอง ๆ มองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ
ดวงตาทั้งสองของเด็กสาวผมเงินเริ่มมีน้ำใส ๆ ไหลออกมา หยดลงไปบนร่างของอีกฝ่าย
เมื่อปั๊มครบจำนวน อาเรียก็สูดหายใจลึก ๆ และก้มตัวลงไปใกล้กับหน้าของมารี อยู่ดี ๆ ในอกก็ได้ยินเสียงดังก้อง ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว
ผู้หญิงกับผู้หญิงคงไม่เป็นอะไรหรอก ยังไงก็ต้องทำล่ะนะ เธอหลับตาปี๋ ก่อนจะเผยอปากเล็กน้อยแล้วเข้าไปใกล้กับริมฝีปากบาง ๆ อมชมพูของมารี
ปัก!
“เอ๋...อ....”
แต่ก่อนที่จะเกิดการจุมพิตกัน คางของแม่สาวผมเงินก็รับกับหมัดของมารีจนตัวปลิวขึ้นฟ้าและหายลับไป
มารีลุกขึ้นมาด้วยหน้าตาสะลืมสะลือ เธอหรี่ตาและขยับแว่นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พอเห็นหน้าเจื่อน ๆ ของนัวร์ก็ทำตาปริบ ๆ
“...พลาดอะไรไปหรือเปล่า”
หลังจากนั้นมารีก็ร่ายมนต์ผนึกต้นไม้ ทำให้ไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้อีกต่อไป เธอกับอาเรียและนัวร์เดินตามถนนริมทะเลสาบกลับสู่โรงเรียนกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นการเที่ยวแบบสนุก ๆ ของมารีกับนัวร์แท้ ๆ
“ขะ...ขอบคุณ...นะ เพราะฉันแท้ ๆ” อาเรียที่นิ่งเงียบมาตลอดทางพูดออกมาด้วยเสียงอ่อย เธอเบือนหน้าที่แดงเป็นมะเขือเทศมองไปทางอื่น
“อืม” มารีตอบโดยไม่หันกลับมามอง “ทีหลังก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องชาวบ้านล่ะ”
“เข้าใจแล้ว” เด็กสาวผมเงินถอนหายใจ
“เรื่องวันนี้เป็นความลับนะ ถ้าเกิดความแตกเมื่อไหร่ฉันลบความทรงจำเธอแน่”
“อะ...อือ” สาวผมเงินคอตก รู้งี้ไม่น่าไปยุ่งกับเรื่องไม่เข้าเรื่องเลย “ก่อนหน้านี้ขอโทษด้วยนะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มารีก็หยุดฝีเท้าลงและหันมาสบตากับอีกฝ่าย “อืม ทางนี้ก็ขอโทษด้วยเหมือนกัน วันหลังถ้าเหงาก็มาคุยเล่นกันได้นะ”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวผมเงินก็เบิกกว้างต้องประกายกับแสงแดดยามสาย ลมเอื่อย ๆ พัดโบกเส้นผมสลวยของเธอโยกไปเบา ๆ ก่อนหน้านี้เธอมักจะทำอะไรตัวคนเดียวมาด้วยตลอด เพราะถูกปลูกฝังไม่ให้ไปยุ่งกับคนชาติอื่น รวมทั้งฐานะทางสังคมของตนเอง ตั้งแต่เปิดเรียนมาเธอก็เลยไม่มีเพื่อนเลย
มารีกลับหลังหันและเดินต่อไปพร้อมกับนัวร์ อาเรียมองมองแผ่นหลังของทั้งสองพลางหวนนึกถึงวันเก่า ๆ เด็กสาวยิ้มจาง ๆ ออกมา และเดินตามมารีไป
“เหนื่อยหน่อยนะ”
ณ ลานหน้าตึกอิฐแดงที่ดูปกติเหมือนกับว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมีสัตว์ร้ายตัวยักษ์ออกมาอาละวาดและถูกกำราบโดยคนปริศนาไม่เคยเกิดขึ้นนั้น มีร่างสูงโปร่งสองร่างกำลังพูดคุยกัน โดยรอบมีอีกาหลายตัวเกาะอยู่ มันส่งเสียงร้องออกเป็นเป็นระยะ ๆ
“เกือบจะได้ตัวยัยนั่นแล้วแท้ ๆ แต่ไอ้นักดาบนั่นดันโผล่มาเฉย” คนที่นั่งยอง ๆ อยู่พูดขึ้นมา เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมแบบญี่ปุ่นสีเทา กางเกงขาสั้นสีดำและรองเท้าแตะ ไว้ผมสีดำกระเซอะกระเซิงจนนกอาจเข้าใจผิดมาทำรังได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงซึ่งขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนดาของเขาจับจ้องไปที่ก้อนดินเหนียวสีน้ำตาลในมือ มันถูกปั้นเป็นรูปของแมนติคอร์ที่ปีกกับหางแมงป่องถูกตัดออกไป
“เบี้ยเพิ่มมาอีกตัวแล้วสินะ”
ชายอีกคนในชุดสไตล์มินิมอลโทนสีดำพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ดวงตาสีเขียวมรกตที่ดูเฉี่ยวคมมีรูม่านตาเป็นขีดเหมือนดวงตาของสัตว์เลื้อยคลานของเขามองสมาร์ตโฟนในมือ
ในนั้นมีภาพวาดสีน้ำมันถ่ายเก็บเอาไว้ เป็นภาพเหมือนของเด็กสาวผู้งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในสภาพเปลือยเปล่า ผมสีเงินยาวสลวย ๆ เหมือนเส้นไหม ผิวขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกของฤดู ดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนท้องฟ้าในวันที่ปลอดโปร่ง มือน้อย ๆ ที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมยกขึ้นมาปิดบังส่วนสงวนเอาไว้ เธอนั่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด รายล้อมด้วยนกพิราบสีขาว ทว่าทั้งหมดกลับถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยซี่กรงทอง
บริเวณมุมขวาล่างมีชื่อของศิลปินเจ้าของภาพชื่อว่า...มารี โอแคลร์
เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า และหันมามองอีกฝ่าย “เตรียมตัวเดินหมากรอบต่อไปด้วยล่ะ”
“คร้าบ ๆ” ผู้ที่นั่งยองอยู่ขยำดินเหนียวเป็นก้อนกลม “แต่ว่านะ กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ ข้าว่าข้าเห็นผีว่ะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ