ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,009 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Elixir, cookies, and tears
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ05
Elixir, cookies, and tears
คืนก่อนเปิดเรียน นักเรียนปีหนึ่งทั้งหมดมารวมตัวที่ลานกว้างของโรงเรียน ทุกคนสวมเครื่องแบบพร้อมเสื้อคลุมเต็มยศ ที่อกด้านขวาติดเข็มกลัดดอกไม้สีขาวที่รุ่นพี่ประจำหอพักแจกให้
“ปีหนึ่งมา”
รุ่นพี่ที่คุมแถวให้สัญญาณ พวกเด็ก ๆ จึงเดินแถวตอนเรียงหนึ่งเข้าไปในอาคาร
เมื่อเขามา ก็พบรุ่นพี่ยืนปรบมือและถือธงประจำโรงเรียนตลอดทางเดิน เป็นความรู้สึกอบอุ่นที่บอกไม่ถูก มารีแอบยิ้มระหว่างเดินไปพร้อมกับเพื่อน ๆ
แล้วทั้งหมดก็เข้ามานั่งที่ห้องโถง ซึ่งเคยเป็นสนามสอบเข้ามาเมื่อวันก่อน แต่ตอนนี้มีโต๊ะยาวสามตัววางเอาไว้ มุมด้านหนึ่งมีคณะนักดนตรีบรรเลงเพลงต้อนรับ
พวกปีหนึ่งนั่งที่โต๊ะตัวกลาง ตามด้วยรุ่นพี่ปีอื่น ๆ นั่งที่โต๊ะอีกสองตัวที่ขนาบข้าง และสุดท้ายคือเหล่าอาจารย์ที่นั่งร่วมกับนักเรียนแต่ละโต๊ะแบบแทรกตามใจฉัน พวกปีหนึ่งที่อาจารย์มานั่งใกล้ ๆ ก็จะเกร็งตัวหน่อย ในขณะที่ปีอื่นดูจะสนิทสนมกับอาจารย์กันมาก
นักเรียนทุกคนสวมเครื่องแบบลักษณะเดียวกันแต่ต่างกันที่สี พวกปีสองจะเป็นสีเทา-ทอง ปีสามเป็นสีขาว-ทอง ส่วนอาจารย์จะใส่ชุดทั่ว ๆ ไป แต่จะสวมทับด้วยชุดครุยสีดำที่มีแถบสีเทาและขาวตามขอบ
เมื่อทุกคนนั่งพร้อมกันหมด ก็มีเสียงเท้าก้าวมาจากประตู ผู้ที่เข้ามาคนสุดท้ายคือผู้อำนวยการของโรงเรียนนั่นเอง อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด มายืนที่โพเดียมที่ยกสูงขึ้นพอให้ทุกคนมองเห็น ตัวโพเดียมทำจากหินอ่อน แกะสลักเป็นรูปนกฮูกสยายปีกอย่างสง่างาม
และครั้งนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของเธอเปลี่ยนไป จากเด็กสาวตัวเตี้ยที่เห็นวันก่อน กลายเป็นหญิงสาวร่างสูงหน้าตางดงาม ที่ทำเอาพวกผู้ชายปีหนึ่งอ้าปากค้างกันไปหลายคน เพลงบรรเลงหยุดเล่นและที่ประชุมเงียบลงเมื่อเธอยกไม้กายสิทธิ์หินอ่อนมาแตะที่คอ
“คณาจารย์ นักศึกษา นักเรียน และนักเรียนใหม่ทุกท่าน เป็นอีกปีหนึ่งที่เมล็ดพันธุ์ชุดใหม่ได้หว่านลงบนผืนดินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเวทมนตร์เพื่อรอที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แกร่งกล้าต่อไป สำหรับค่ำคืนนี้ ก่อนที่เราจะได้เพลิดเพลินกับอาหารมื้อแรกของภาคการศึกษา ขอแจ้งเรื่องให้ทราบสักเล็กน้อยค่ะ
ประการแรก ปีหนึ่งทุกคนจะต้องพึงระลึกเอาไว้เสมอ ด้วยสถาบันของเรารับผู้วิเศษรุ่นเยาว์จากทั่วทุกมุมโลก แต่ที่นี่คือโอวล์ฟอสเทียร์ เรามีกฎหมาย ระเบียบ และวัฒนธรรมของเรา ขอให้เก็บนิสัยและสันดานเดิม ๆ เอาไว้ก่อน หากต้องการอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขตลอดสามปี ก็ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โรงเรียนของเราก็เช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนคงได้อ่านตอนเซ็นชื่อตัวเองในใบมอบตัวแล้ว แต่ถ้าใครอยากจะรีบกลับบ้านก่อนเวลาก็ลองแหกซักข้อสองข้อดูนะคะ
ประการที่สอง ปีหนึ่งทุกคนจะต้องจำเอาไว้เสมอว่าด้านหลังสถาบันของเราติดกับพื้นที่ป่า เขตแดนสุดท้ายที่พวกเธอจะไปได้คือห้องเรียนวิชาสัตววิเศษวิทยาเท่านั้น ถ้าออกจากนอกแนวรั้วไปเมื่อไหร่ โรงเรียนจะไม่รับผิดชอบหากพวกเธอสูญเสียอวัยวะไปสองสามชิ้นหรือไม่สามารถพากายหยาบกลับมาได้ และที่สำคัญคือมันผิดกฎหมายเพราะที่นั่นคือเขตอุทยานแห่งชาติ ถ้าจะเข้าไปให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ประตูทางเข้าอุทยาน แล้วก็ห้ามทิ้งขยะหรือก่อไฟในนั้นด้วยนะคะ
ประการที่สาม อันนี้ขอแจ้งนักเรียนทุกคน หลายคนน่าจะทราบดีว่า เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดีย ทรงหายตัวไปได้หนึ่งปีแล้ว ปีนี้เรามีเพื่อนใหม่คนหนึ่งมาจากเรฟลอเดีย และเป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ แต่ขอแจ้งว่าเพื่อนคนนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงนะคะ ไม่ต้องรีบไปแจ้งสถานทูตเพื่อเอาเงินรางวัลล่ะ”
พอสิ้นเสียง ทุกคนก็หันซ้ายหันขวาหาคนที่ว่าทันที และไปจบที่เด็กสาวคนหนึ่งที่มารีคุ้นหน้าคุ้นตา เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มและเชิดหน้าให้สวย ๆ
เห็นแล้วมารีก็ได้แต่มองบน
“เอาล่ะ เรื่องสำคัญมีแค่นี้ คืนนี้ขออวยพรให้นักเรียนใหม่ของเรามีชีวิตรอดจนถึงสิ้นเทอมนะคะ”
ผอ. ชูแก้วขึ้น ตามด้วยอาจารย์ นักเรียนรุ่นพี่ และพวกปีหนึ่ง เมื่อกระดกน้ำองุ่นที่เจอแอลกอฮอล์เล็กน้อย ถ้วยชามบนโต๊ะก็ปรากฏอาหารนานาชนิดหน้าตาน่ากินซึ่งส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทุกคนลงมือจัดการทันที
แม้ทุกอย่างจะน่าหยิบเข้าปาก แต่เพื่อรูปร่างที่ดี มารีจึงเลือกกินเฉพาะของแคลอรี่ต่ำ ๆ อย่างพวกโปรตีนและสลัด พอเสร็จของคาวก็ตบด้วยของหวานล้างปากเล็กน้อย
เธอกำลังมองหาพวกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ แต่ก็ไปสะดุดตากับคุกกี้ไหม้ ๆ ที่ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจ
ไม่รู้ทำไมเธอจึงเลือกหยิบมันมาดูอยู่ครู่หนึ่งและกัดเข้าไป
รสชาติก็...เหมือนคุกกี้…ที่ไหม้นิดหน่อย
แต่ว่า...
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ในตอนนั้นเอง หนุ่มผมแดงเดรโกรัสที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมารีก็มีท่าทางตกใจ และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“ลำขนาดเลยก๊ะ” ไทที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ ทัก
พอยกมือขึ้นมาแตะใต้ตาก็พบว่าร้องไห้ออกมาจริง ๆ มารีรับผ้าเช็ดหน้าจากเดรโกและซับน้ำตาแบบงง ๆ
“หรือจะแพ้สารอะไรในคุกกี้หรือเปล่าคะ” ลูอานาลองหยิบคุกกี้มากัดดู แต่ก็ไม่เป็นอะไร
“...โทษทีนะ ขอตัวก่อนแล้วกัน” มารีคืนผ้าให้เดรโก และลุกออกจากโต๊ะไปเพียงลำพัง
เห็นว่าหลังจากงานเลี้ยงจะมีคอนเสิร์ตโดยวงดนตรีชื่อดังต่อ แต่มารีที่ไม่ได้สันทัดกับของพวกนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร
พออาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว เด็กสาวก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ และจ้องมองเพดาน ในหัวของเธอยังคงสับสนไปหมดจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“เมี้ยว”
มีเสียงมาจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้อยู่ เจ้านัวร์นั่นเอง เหมือนมันเพิ่งจะกลับมาจากที่ไหนสักที่
“ได้อะไรบ้างไหม วันนี้”
แมวดำก็กระโจนลงจากหน้าต่าง ทว่าเมื่อลงมาถึงพื้น สิ่งที่ลงมาไม่ใช่อุ้งเท้าทั้งสี่ แต่เป็นฝ่าเท้าน้อย ๆ สองข้าง
“ไม่เจอเลยฮะเมี้ยว”
จากแมวดำร่างผอมเพรียว บัดนี้กลายเป็นร่างของเด็กชายเผ่ามนุษย์สัตว์ตัวเล็กเหมือนเด็กราวห้าหกขวบ ผิวขาว ตากลมโตสีเหลือง ไว้ผมสีดำตัดสั้นเป็นทรงเรียบ ๆ มีใบหูและหางแมวสีเดียวกัน สวมเชิ้ตสีขาวผูกโบว์สีดำ กางเกงขาสั้นสีดำมีสายเอี๊ยม ใส่ถุงเท้ายาวถึงเข่าและรองเท้าหนังสีดำ
“ไม่เป็นไร วันนี้ก็ขอบใจมากนะ” มารีว่า ก่อนจะโบกไม้กายสิทธิ์ทำให้ขนมบางส่วนที่เธอจิ๊กมาในกระเป๋าเสื้อคลุม รวมทั้งคุกกี้เจ้าปัญหาลอยไปหานัวร์ “พรุ่งนี้ลองไปสืบที่ ๆ ทำคุกกี้อันนี้มาให้หน่อยสิ”
“ได้ฮะ” เด็กน้อยยิ้มอย่างร่าเริง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือและจัดการขนมที่ได้รับมา “แต่ว่าคน ๆ นั้นเขาจะอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ ผมตระเวนไปหลายที่ก็ไม่เจอคนที่รู้จักชื่อเขาเลย”
“ถ้าอาจารย์ไม่ได้อำเล่น ยังไงก็ต้องอยู่สักแห่งที่นี่แหละ” มารีถอนหายใจ “ปัญหาคืออาจารย์เองก็บอกพิกัดที่แน่นอนชัด ๆ ไม่ได้ด้วย”
“แล้ว ถ้าเจอคน ๆ นั้นจริง เราจะยังไงกันต่อเหรอฮะ”
“ไม่รู้สิ” มารีกระพริบตา “กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมอาบน้ำแปรงฟันล่ะ”
“เมี้ยว”
มารีชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่เพดานเพื่อปรับไฟในห้องให้มืดลง เหลือเพียงแสงจากโคมไฟพระจันทร์ที่โต๊ะเขียนหนังสือ หลอดไฟในห้องนั้นจริง ๆ แล้วเป็นหินเวทมนตร์ที่สามารถปลดปล่อยแสงออกมาได้ ไม่ใช่หลอดไฟที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
เด็กสาวหยิบไดอารีเล่มเก่ามาอ่านพลาง ๆ ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอาบน้ำแปรงฟันและฮัมเพลงดังมาจากห้องน้ำ
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ นัวร์ในชุดนอนลายเป็ดก็ขึ้นมาบนเตียง มารีวางไดอารีที่โต๊ะข้างเตียงและดับโคมไฟพระจันทร์ เธอทิ้งตัวลงนอน ร่างน้อย ๆ เข้ามาซบ ซึ่งวางศีรษะหนุนลงมาที่ต้นแขนของเธอ
มารีดึงศีรษะของเด็กน้อยมาซบยอดอก โอบกอดร่างอุ่น ๆ ของนัวร์ไว้ไม่แน่นไม่หลวม แล้วก็หลับไปพร้อมกัน
มารีพบว่าตัวเองกำลังกำลังนั่งอยู่ที่บัลลังก์น้ำแข็งในท้องพระโรงที่โอ่อ่า โดยรอบประดับด้วยม่านสีน้ำเงินและขาว
ตรงหน้าของเธอมีชายร่างหนาล่ำบึกไว้หนวดดกเฟิ้มสีบลอดน์และมีศีรษะใกล้จะล้านกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ สวมเครื่องแบบเหมือนพวกทหารมหาดเล็กดูดี
มีมือปริศนาค่อย ๆ ประคองมือของเธออย่างทะนุถนอม และใช้เข็มทองคำสะกิดที่ปลายนิ้วชี้ เลือดสีแดงสีไหลออกมาและหยุดลงไปที่ถ้วยทองคำที่ใส่น้ำเอาไว้ จากนั้นก็มีคนรับใช้นำถ้วยไปให้ชายหัวเกือบล้านดื่ม เมื่อคืนถ้วยให้คนรับใช้แล้ว เขาก็คุกเข่าก้มหน้าและเม้มปากแน่น
ในตอนนั้นเองก็มีร่างงามสง่าของหญิงสาวผมบลอนด์ซึ่งมัดเป็นเปียเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเดินมายืนคั่นกลางระหว่างมารีกับชายคนนั้น เครื่องแต่งกายของเธอนั้นดูหรูหรายิ่ง เธอยกมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ขึ้นก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เอเมโต อนิมา”
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีเขียวสว่างวาบพร้อมกับเสียงฟ้าผ่ากัมปนาท ชายตรงหน้าทรุดลงไปกองกับพื้นทันที ทำให้มารีสะดุ้งด้วยความตกใจ
และเมื่อรู้ตัวอีกที เช้าวันใหม่ก็มาถึงแล้ว...
วันจันทร์แรกของสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนมีนาคม โฮมเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการ
อากาศยังคงเย็น มารีกับลูอานา (ที่ยังสวมหน้ากากอยู่) ในชุดเครื่องแบบทับด้วยเสื้อคลุมก้าวฉับ ๆ ไปตามทางเดินมุ่งไปยังห้องเรียนวิชาแรก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบทางเดินเป็นประกาย อากาศเย็นสบาย พอมองออกไปที่ต้นไม้ที่ลานกว้างก็รู้สึกสดชื่นทันที
ข้อดีของการเรียนในโฮมคือขอแค่พาร่างกายไปถึงชั้นเรียนให้ตรงเวลาก็พอ ไม่ต้องโฮมรูม เข้าแถว หรืออะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ตึกเรียนก็เชื่อมต่อถึงกันหมด ไม่วกไปวนมา หรือมีบันไดเวทมนตร์ที่นึกจะเปลี่ยนทางก็เปลี่ยนจนพานักเรียนบางคนไปเจอห้องลับที่มีหมาสามหัวเฝ้าอยู่
วิชาแรกคือวิชาเล่นแร่แปรธาตุและการปรุงยา อยู่ที่ชั้นสองของอาคารฝั่งเหนือ
เมื่อเข้ามา ภายในห้องมีโต๊ะปฏิบัติการตัวใหญ่ตั้งเอาไว้ห้าตัว ด้านหลังห้องเป็นตู้เก็บอุปกรณ์ สารเคมี และวัตถุดิบในการปรุงยาชนิดต่าง ๆ ที่ไม่สามารถซื้อได้ตามร้านทั่วไป
ในห้องมีนักเรียนนั่งกันอยู่หลายคน แต่ก็ยังไม่ครบเนื่องจากยังไม่ถึงเวลา สองสาวถอดเสื้อนอกออกเก็บเอาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ด้านหลัง หาโต๊ะที่ยังไม่มีใครจับจองนั่งลง และเอาหนังสือเรียนที่หยิบจากตู้มาอ่านเตรียมตัวเผื่อถูกถาม
“อาจารย์จะเป็นแบบไหนนะคะ อยากรู้จัง” ลูอานาเท้าคางมองดูกระดานดำที่หน้าชั้นเรียน มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า “ห้ามเปิดตู้เก็บสารด้านหลังถ้ายังไม่อยากตายค่ะ”
ส่วนสองหนุ่มอย่างไทกับเดรโกรัสป่านนี้ก็ยังไม่เห็นตัว ตอนที่พวกเธอกินข้าวเช้าก็ไม่เห็นเช่นกัน เป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ...ตื่นสาย
สักพักใหญ่ ๆ เสียงก้าวฉับ ๆ ก็ดังมา ผู้ที่เข้ามาคือสตรีในชุดคลุมสีม่วง-ดำ สวมหมวกแม่มดปลายแหลมยับเล็กน้อยทับผมดำยาวที่ถักเป็นเปียด้านหลัง ผิวสีน้ำผึ้งแบบชาวตะวันออก ใบหน้างดงามรับกับดวงตาเฉี่ยวคมเหมือนกับนกเหยี่ยว สวมแว่นตารูปพระจันทร์เสี้ยวครึ่งซีก
เมื่อเธอมายืนตรงโต๊ะหน้าชั้น เสียงระฆังของโรงเรียนก็ดังขึ้นพอดี
และไอ้สองหน่อก็ยังไม่โผล่มา
“หายไปสองคนนะคะ” เมื่อดวงตาสีน้ำชากวาดสายตาไปรอบ ๆ อาจารย์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน แต่มารีสัมผัสได้ถึงรังสีอมหิตที่แผ่ออกมา
เธอโบกไม้กายสิทธิ์ทำจากไม้สีเข้มเหลาเป็นลำตรงเด่ ทำให้แปรงลบกระดานก็ลอยขึ้นมาลบกระดานจนสะอาด และมีชอล์กลอยขึ้นมาเขียนข้อความใหม่ลงไป
อาจารย์ราตรี
มัธยมศึกษาตอนปลาย สถาบันการศึกษาเวทมนตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโอวล์ฟอสเทียร์
เวทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการปรุงยาและเล่นแร่แปรธาตุ มหาวิทยาลัยแห่งตักศิลา
“ยินดีต้อนรับพวกเธอทุกคน ทั้งในฐานะอาจารย์ และฐานะของรุ่นพี่ของพวกเธอด้วย” อาจารย์กอดอกกล่าวด้วยหน้าเรียบเฉย สักพักกระดานก็ถูกลบออก และเปลี่ยนเป็นข้อความใหม่อย่างรวดเร็ว ถ้าให้เทียบก็คงจะเรียวว่า พาวเวอร์-ตู๊ด- แบบแมนนวล
“เรียนกับครูมีข้อตกลงสองอย่าง หนึ่งคือฟังที่ครูพูดทุกครั้งถ้ายังอยากจะออกไปจากห้องเรียนหลังจบคาบครบสามสิบสองประการ เพราะทุกอย่างที่เธอจะเอาใส่ลงไปในหม้อปรุงยานั้นสามารถฆ่าเธอได้ถ้าใช้อย่างสะเพร่า...”
หลายคนกลืนน้ำลาย หรือไอ้ที่ ผอ. อวยพรเมื่อคืนจะจริงกันนะ
“อย่างที่สองคือ ใครก็ตามที่มาช้า...”
ตึกๆๆๆ
ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท่าหนัก ๆ วิ่งมา ดูท่าจะใส่เกียร์สุนัขเต็มสปีด เสียงค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ
“มาแล้วครั...อุก!!”
คนมาสายทั้งสองชนเข้ากับเวทมนตร์บาเรียที่อาจารย์ราตรีเสกไว้ที่ประตู ภาพที่เห็นก็คือไอ้หนุ่มสองคนหน้าบู้บี้และค่อย ๆ ไหลไปกองกับพื้น สร้างเสียงหัวเราะให้กับเหล่านักเรียนในห้องทันที
แม้กระทั้งอาจารย์เองก็แอบยิ้มออกมา
“ใครที่มาสาย ครูจะหักคะแนนทีละ 1 แต้ม แล้วก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษให้เป็นผู้สาธิตผลของยาวิเศษที่ครูกำลังพัฒนาขึ้นมานะคะ”
สำหรับวิชาปรุงยานั้นกินเวลาด้วยกันสามชั่วโมง ชั่วโมงแรกหมดไปกับการแนะนำสิ่งที่จะเรียนในเทอมนี้ ทำความรู้จักกับนักเรียน และแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อครบหนึ่งชั่วโมง จะมีเสียงระฆังดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง
ส่วนสองหน่อที่มาสาย โดนทดลองยาแปลงร่างจนกลายจิ้งจอกทิเบตในเครื่องแบบ แล้วก็ได้แต่นั่งหน้าซังกะตายระหว่างที่อาจารย์สอนไป ลูอานาหยุดขำไม่ได้เวลาหันมามอง ส่วนมารีก็พยายามกลั้นขำเอาไว้เพื่อรักษาภาพพจน์
“เอาล่ะ งั้นวันนี้ประเดิมด้วยน้ำยาง่าย ๆ แล้วกัน ทุกคนเปิดตำราไปหน้าที่สิบ” อาจารย์ราตรีกล่าว หลังจากเสียงระฆังดังขึ้น
มารีเปิดดู น้ำยาที่จะต้องทำขึ้นมาก็คือ มุนดาเร โพทิโอ หรือ น้ำยาชำระล้าง เป็นยาวิเศษที่ใช้ในการแก้ทางน้ำยาชนิดอื่น ๆ ทั้งยาพิษ ยาสเน่ห์ ยิ่งน้ำยาบริสุทธิ์เท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น ว่ากันว่าถ้าทำได้สมบูรณ์แบบ จะสามารถแก้คำสาปที่ไม่รุนแรงมากได้อีกด้วย
อาจารย์อธิบายความเป็นมาของน้ำยา และแนะนำการปรุงยานี้ขึ้นมาอย่างละเอียด นักเรียนต่างนั่งตัวตรงและตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอน พร้อมจดบันทึกข้อมูลลงไปในสมุด
มารีมองไปที่ไอ้จิ้งจอกหน้าซังกะตายสองตัว หรือว่า...
“เอาล่ะ ถ้าใครสามารถทำให้ไอ้สองตัวนี่คืนร่างเดิมได้จะมีคะแนนพิเศษให้ มีเวลาก่อนเสียงระฆังดังห้านาที เริ่มได้ค่ะ”
แม้จะเป็นคนที่ดูดุ ๆ แต่อาจารย์ราตรีก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่นั่งอยู่กับโต๊ะของตัวเองในระหว่างที่นักเรียนทำนู่นทำนี่ไป หรือตั้งคำถามนักเรียนด้วยคำพูดภาษาดอกไม้ที่แฝงความหมายอื่นเอาไว้ เธอเดินดูนักเรียนทุกคนและให้คำแนะนำอย่างใส่ใจ
การปรุงยานั้น เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่ว่าแค่โยนส่วนผสมใส่หม้อแล้วคน ๆ ก็จบ แต่การปรุงยาจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เข้ามาด้วย ไม้คนสารนั้นจะต้องบรรจุแกนวิเศษคล้ายกับไม้กายสิทธิ์เพื่อเป็นตัวเชื่อมพลังเวทมนตร์ของผู้วิเศษลงไปในน้ำยา ไม่อย่างนั้นเราก็คงเรียกว่ายาวิเศษไม่ได้เต็มปาก
ในระหว่างที่ปรุงยา นักเรียนทุกคนจะต้องสวมเสื้อกาวน์ ถุงมือยาง และแว่นตานิรภัยเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ถือเป็นมาตรการที่เซฟตีดีมาก ๆ เพราะตอนนี้มีบางคนทำให้น้ำยาทะลักขึ้นมาสาดใส่หน้าตัวเองเต็ม ๆ
สองจิ้งจอกได้แต่เชียร์ให้กำลังใจเพราะพูดไม่ได้ แถมไม่มีมือให้จับนู่นจับนี่อีก มารีใส่ส่วนผสมลงไปในหม้อปรุงยา มีทั้งผลึกน้ำตาลวิเศษรสจี๊ด ผงมูนสโตน และหยาดรัศมีแสง เธอกวนไปท่องคาถาไป วนขวาตามเข็มนาฬิกาสามครั้งภายในเวลาสามสิบวินาที วนซ้ายหนึ่งรอบ คนเป็นรูปซิกแซ็ก น้ำยาเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จากน้ำตาลเป็นเขียว และเหลือง
“ไม่ใช่ของที่ถนัดเลยนะคะ” ลูอานาถอนหายใจ น้ำยาของเธอดูสีซีด ๆ แถมมีกลิ่นตุ ๆ
“จำได้ไหมว่าอาจารย์เตือนเรื่องอะไร” อาจารย์ราตรีเข้ามาชะเง้อมองหม้อของลูอานา “ส่วนผสมทุกอย่างต้องชั่งตวงทุกครั้งให้เป๊ะ ต่อให้เกินมานิดเดียว ก็ทำให้ยารักษากลายเป็นยาพิษได้ ทำใหม่ค่ะ”
เธอโบกไม้กายสิทธิ์ ทำให้น้ำยาของลูอานาหายวับไป เล่นเอาสาวน้อยเหวอ
แต่ใช่ว่าจะทิ้งให้ลูกศิษย์ให้เริ่มใหม่แบบนั้น อาจารย์ราตรีจัดการชั่งส่วนผสมใหม่ทั้งหมดให้ลูอานา และจับมือของเธอคนน้ำยาในหม้อราวกับคุณแม่กำลังจับมือลูกน้อยหัดเขียน
“เหลืออีกครึ่งทาง ทำให้ดีล่ะ เตือนแล้วนะ” อาจารย์กล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ และไปหานักเรียนคนอื่นต่อ
ลูอานามองแผ่นหลังของอาจารย์ แม้จะมองไม่เห็นดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก แต่ก็เดาได้เลยว่ากำลังมองด้วยความซาบซึ้ง
จนกระทั่งเหลือส่วนผสมสุดท้าย มารีเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะมันคือ...
น้ำตาแม่มด
ในรายการของที่เธอไปเอามาจากร้านนั้นไม่มีของสิ่งนี้มาให้ ในตู้เก็บสารด้านหลังก็ไม่มี มารีมองซ้ายมองขวาดูเพื่อนร่วมชั้น
แต่สิ่งที่เห็นคือพวกนักเรียนหญิงกำลังพยายามทำให้น้ำตาไหลกันอยู่ แต่พวกผู้ชายนั้นไม่ได้ทำอะไร นอกจากช่วยเก็บน้ำตาจากพวกผู้หญิงใส่หลอดทดลอง
นั้นแปลว่าต้องใช้น้ำตาของผู้วิเศษเพศหญิงเท่านั้นสินะ
อันที่จริง คำว่าแม่มดเป็นคำโบราณที่แทบไม่ใช้กันแล้วในปัจจุบัน เราจะเรียกคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ว่าผู้วิเศษหรือผู้ใช้เวทมนตร์มากว่า
ส่วนลูอานาเองก็แย้มหน้ากากออก และเอากระดาษทิชชูแยงจมูกให้จามออกมาและน้ำตาไหล
คราวนี้ก็ถึงตามารี เธอถอดแว่นออก แต่แทนที่เธอจะใช้วิธีทำให้ตาแห้งหรือเอาอะไรทิ่มเข้าไปในจมูก เธอหยิบคุกกี้ที่แอบจิ๊กมาเมื่อคืนนี้ซึ่งยังไม่โดนนัวร์เอาไปกินเอาเข้าปาก
ดูยังไงก็แค่คุกกี้ธรรมดา โรยด้านบนด้วยช็อคโกแลตชิพสี่ห้าชิ้น แต่ทำไม่มารีกับรู้สึกคุ้นเคยกับมันนักนะ
เมื่อกัดเข้าไป รสชาตินั้นก็หวานมันแบบคุกกี้ธรรมดา มารีค่อย ๆ เคี้ยวเพื่อซึมซับรสชาติ แต่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่ารสชาติแบบนี้มาจากที่ไหน
พอรู้ตัวอีกที แก้มของเธอก็นองไปด้วยน้ำตาแล้ว มารีนำหลอดทดลองมารับหยดน้ำตาไว้ ก่อนจะหยดมันลงในหม้อปรุงยา
ทว่าน้ำยากลับเปลี่ยนจากสีเหลืองกลายเป็นสีดำทมึนแทน มารีกระพริบตาปริบ ๆ และรีบโบกไม้กายสิทธิ์ทำลายน้ำยาก่อนที่อาจารย์ราตรีจะมาเห็น
“ขอน้ำตาหน่อยสิ” มารีหันไปหาลูอานาที่เอียงคองง ๆ
เวลาหมดลงในที่สุด นักเรียนทุกคนเทน้ำยาสีฟ้าสดใสที่เรืองแสงออกมาจาง ๆ ลงในหลอดทดลอง
อาจารย์ราตรีพิจารณาดูผลงานของแต่ละคน เธอดูสี และดมกลิ่นอย่างละเอียด
“ส่วนใหญ่จะได้ความสมบูรณ์ประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาจจะพอใช้งานสำหรับกรณีทั่ว ๆ ไปได้ แต่ว่ายังไม่พอที่จะแก้ทางยาระดับสูง รวมถึงยาของครูด้วย” อาจารย์กล่าว
และเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้โม้ เธอให้ไทกับเดรโกจิบน้ำยาของนักเรียนสองคน ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอยู่สองคนที่ครูว่าอาจจะใช้ได้ คุณคา...ฮา...นา...นู...อิ...ใช่ไหม กับคุณสเตฟานอฟ เชิญ”
ลูอานากับเด็กสาวผมเงินที่ไม่ค่อยถูกชะตากับมารีถือน้ำยามาหน้าชั้น สาวผิวเข้มป้อนน้ำยาให้ไท ส่วนอีกคนป้อนให้เดรโก
ผลปรากฏว่าเดรโกสามารถกลับมาเป็นหนุ่มผมแดงได้ดังเดิม แต่ว่าไทนั้น...
“...”
แม้ร่างกายจะกลับมามีแขนขาแบบมนุษย์และทรงผมแบบเดิมแล้วก็ตาม แต่ตามตัวของเด็กหนุ่มก็ยังถูกปกคลุมด้วยขนสีเทา และใบหน้าก็ยังคงเป็นจิ้งจอกหน้าซังกะตายอยู่เช่นเดิม เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมชั้นอีกรอบ
“อืม ยังบริสุทธิ์ไม่พอสินะ เดี๋ยวถ้าเรียนชั่วโมงหน้าจบแล้วยังไม่คืนร่างก็มาหาอาจารย์ล่ะ” อาจารย์ราตรีว่า “หนึ่งคะแนนให้คุณสเตฟานอฟ ครึ่งคะแนนให้คุณคา...ฮา...นา...นู...อิ...”
เด็กสาวผมเงินยิ้มเยาะลูอานา ก่อนจะเดินเชิดหน้ากลับไป เธอได้แต่ถอนหายใจและขอโทษไท ในตอนนั้นเสียงระฆังหมดเวลาคาบดังขึ้นพอดี
Elixir, cookies, and tears
คืนก่อนเปิดเรียน นักเรียนปีหนึ่งทั้งหมดมารวมตัวที่ลานกว้างของโรงเรียน ทุกคนสวมเครื่องแบบพร้อมเสื้อคลุมเต็มยศ ที่อกด้านขวาติดเข็มกลัดดอกไม้สีขาวที่รุ่นพี่ประจำหอพักแจกให้
“ปีหนึ่งมา”
รุ่นพี่ที่คุมแถวให้สัญญาณ พวกเด็ก ๆ จึงเดินแถวตอนเรียงหนึ่งเข้าไปในอาคาร
เมื่อเขามา ก็พบรุ่นพี่ยืนปรบมือและถือธงประจำโรงเรียนตลอดทางเดิน เป็นความรู้สึกอบอุ่นที่บอกไม่ถูก มารีแอบยิ้มระหว่างเดินไปพร้อมกับเพื่อน ๆ
แล้วทั้งหมดก็เข้ามานั่งที่ห้องโถง ซึ่งเคยเป็นสนามสอบเข้ามาเมื่อวันก่อน แต่ตอนนี้มีโต๊ะยาวสามตัววางเอาไว้ มุมด้านหนึ่งมีคณะนักดนตรีบรรเลงเพลงต้อนรับ
พวกปีหนึ่งนั่งที่โต๊ะตัวกลาง ตามด้วยรุ่นพี่ปีอื่น ๆ นั่งที่โต๊ะอีกสองตัวที่ขนาบข้าง และสุดท้ายคือเหล่าอาจารย์ที่นั่งร่วมกับนักเรียนแต่ละโต๊ะแบบแทรกตามใจฉัน พวกปีหนึ่งที่อาจารย์มานั่งใกล้ ๆ ก็จะเกร็งตัวหน่อย ในขณะที่ปีอื่นดูจะสนิทสนมกับอาจารย์กันมาก
นักเรียนทุกคนสวมเครื่องแบบลักษณะเดียวกันแต่ต่างกันที่สี พวกปีสองจะเป็นสีเทา-ทอง ปีสามเป็นสีขาว-ทอง ส่วนอาจารย์จะใส่ชุดทั่ว ๆ ไป แต่จะสวมทับด้วยชุดครุยสีดำที่มีแถบสีเทาและขาวตามขอบ
เมื่อทุกคนนั่งพร้อมกันหมด ก็มีเสียงเท้าก้าวมาจากประตู ผู้ที่เข้ามาคนสุดท้ายคือผู้อำนวยการของโรงเรียนนั่นเอง อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด มายืนที่โพเดียมที่ยกสูงขึ้นพอให้ทุกคนมองเห็น ตัวโพเดียมทำจากหินอ่อน แกะสลักเป็นรูปนกฮูกสยายปีกอย่างสง่างาม
และครั้งนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของเธอเปลี่ยนไป จากเด็กสาวตัวเตี้ยที่เห็นวันก่อน กลายเป็นหญิงสาวร่างสูงหน้าตางดงาม ที่ทำเอาพวกผู้ชายปีหนึ่งอ้าปากค้างกันไปหลายคน เพลงบรรเลงหยุดเล่นและที่ประชุมเงียบลงเมื่อเธอยกไม้กายสิทธิ์หินอ่อนมาแตะที่คอ
“คณาจารย์ นักศึกษา นักเรียน และนักเรียนใหม่ทุกท่าน เป็นอีกปีหนึ่งที่เมล็ดพันธุ์ชุดใหม่ได้หว่านลงบนผืนดินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเวทมนตร์เพื่อรอที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แกร่งกล้าต่อไป สำหรับค่ำคืนนี้ ก่อนที่เราจะได้เพลิดเพลินกับอาหารมื้อแรกของภาคการศึกษา ขอแจ้งเรื่องให้ทราบสักเล็กน้อยค่ะ
ประการแรก ปีหนึ่งทุกคนจะต้องพึงระลึกเอาไว้เสมอ ด้วยสถาบันของเรารับผู้วิเศษรุ่นเยาว์จากทั่วทุกมุมโลก แต่ที่นี่คือโอวล์ฟอสเทียร์ เรามีกฎหมาย ระเบียบ และวัฒนธรรมของเรา ขอให้เก็บนิสัยและสันดานเดิม ๆ เอาไว้ก่อน หากต้องการอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขตลอดสามปี ก็ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โรงเรียนของเราก็เช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนคงได้อ่านตอนเซ็นชื่อตัวเองในใบมอบตัวแล้ว แต่ถ้าใครอยากจะรีบกลับบ้านก่อนเวลาก็ลองแหกซักข้อสองข้อดูนะคะ
ประการที่สอง ปีหนึ่งทุกคนจะต้องจำเอาไว้เสมอว่าด้านหลังสถาบันของเราติดกับพื้นที่ป่า เขตแดนสุดท้ายที่พวกเธอจะไปได้คือห้องเรียนวิชาสัตววิเศษวิทยาเท่านั้น ถ้าออกจากนอกแนวรั้วไปเมื่อไหร่ โรงเรียนจะไม่รับผิดชอบหากพวกเธอสูญเสียอวัยวะไปสองสามชิ้นหรือไม่สามารถพากายหยาบกลับมาได้ และที่สำคัญคือมันผิดกฎหมายเพราะที่นั่นคือเขตอุทยานแห่งชาติ ถ้าจะเข้าไปให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ประตูทางเข้าอุทยาน แล้วก็ห้ามทิ้งขยะหรือก่อไฟในนั้นด้วยนะคะ
ประการที่สาม อันนี้ขอแจ้งนักเรียนทุกคน หลายคนน่าจะทราบดีว่า เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดีย ทรงหายตัวไปได้หนึ่งปีแล้ว ปีนี้เรามีเพื่อนใหม่คนหนึ่งมาจากเรฟลอเดีย และเป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ แต่ขอแจ้งว่าเพื่อนคนนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงนะคะ ไม่ต้องรีบไปแจ้งสถานทูตเพื่อเอาเงินรางวัลล่ะ”
พอสิ้นเสียง ทุกคนก็หันซ้ายหันขวาหาคนที่ว่าทันที และไปจบที่เด็กสาวคนหนึ่งที่มารีคุ้นหน้าคุ้นตา เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มและเชิดหน้าให้สวย ๆ
เห็นแล้วมารีก็ได้แต่มองบน
“เอาล่ะ เรื่องสำคัญมีแค่นี้ คืนนี้ขออวยพรให้นักเรียนใหม่ของเรามีชีวิตรอดจนถึงสิ้นเทอมนะคะ”
ผอ. ชูแก้วขึ้น ตามด้วยอาจารย์ นักเรียนรุ่นพี่ และพวกปีหนึ่ง เมื่อกระดกน้ำองุ่นที่เจอแอลกอฮอล์เล็กน้อย ถ้วยชามบนโต๊ะก็ปรากฏอาหารนานาชนิดหน้าตาน่ากินซึ่งส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทุกคนลงมือจัดการทันที
แม้ทุกอย่างจะน่าหยิบเข้าปาก แต่เพื่อรูปร่างที่ดี มารีจึงเลือกกินเฉพาะของแคลอรี่ต่ำ ๆ อย่างพวกโปรตีนและสลัด พอเสร็จของคาวก็ตบด้วยของหวานล้างปากเล็กน้อย
เธอกำลังมองหาพวกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ แต่ก็ไปสะดุดตากับคุกกี้ไหม้ ๆ ที่ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจ
ไม่รู้ทำไมเธอจึงเลือกหยิบมันมาดูอยู่ครู่หนึ่งและกัดเข้าไป
รสชาติก็...เหมือนคุกกี้…ที่ไหม้นิดหน่อย
แต่ว่า...
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ในตอนนั้นเอง หนุ่มผมแดงเดรโกรัสที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมารีก็มีท่าทางตกใจ และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“ลำขนาดเลยก๊ะ” ไทที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ ทัก
พอยกมือขึ้นมาแตะใต้ตาก็พบว่าร้องไห้ออกมาจริง ๆ มารีรับผ้าเช็ดหน้าจากเดรโกและซับน้ำตาแบบงง ๆ
“หรือจะแพ้สารอะไรในคุกกี้หรือเปล่าคะ” ลูอานาลองหยิบคุกกี้มากัดดู แต่ก็ไม่เป็นอะไร
“...โทษทีนะ ขอตัวก่อนแล้วกัน” มารีคืนผ้าให้เดรโก และลุกออกจากโต๊ะไปเพียงลำพัง
เห็นว่าหลังจากงานเลี้ยงจะมีคอนเสิร์ตโดยวงดนตรีชื่อดังต่อ แต่มารีที่ไม่ได้สันทัดกับของพวกนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร
พออาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว เด็กสาวก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ และจ้องมองเพดาน ในหัวของเธอยังคงสับสนไปหมดจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“เมี้ยว”
มีเสียงมาจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้อยู่ เจ้านัวร์นั่นเอง เหมือนมันเพิ่งจะกลับมาจากที่ไหนสักที่
“ได้อะไรบ้างไหม วันนี้”
แมวดำก็กระโจนลงจากหน้าต่าง ทว่าเมื่อลงมาถึงพื้น สิ่งที่ลงมาไม่ใช่อุ้งเท้าทั้งสี่ แต่เป็นฝ่าเท้าน้อย ๆ สองข้าง
“ไม่เจอเลยฮะเมี้ยว”
จากแมวดำร่างผอมเพรียว บัดนี้กลายเป็นร่างของเด็กชายเผ่ามนุษย์สัตว์ตัวเล็กเหมือนเด็กราวห้าหกขวบ ผิวขาว ตากลมโตสีเหลือง ไว้ผมสีดำตัดสั้นเป็นทรงเรียบ ๆ มีใบหูและหางแมวสีเดียวกัน สวมเชิ้ตสีขาวผูกโบว์สีดำ กางเกงขาสั้นสีดำมีสายเอี๊ยม ใส่ถุงเท้ายาวถึงเข่าและรองเท้าหนังสีดำ
“ไม่เป็นไร วันนี้ก็ขอบใจมากนะ” มารีว่า ก่อนจะโบกไม้กายสิทธิ์ทำให้ขนมบางส่วนที่เธอจิ๊กมาในกระเป๋าเสื้อคลุม รวมทั้งคุกกี้เจ้าปัญหาลอยไปหานัวร์ “พรุ่งนี้ลองไปสืบที่ ๆ ทำคุกกี้อันนี้มาให้หน่อยสิ”
“ได้ฮะ” เด็กน้อยยิ้มอย่างร่าเริง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือและจัดการขนมที่ได้รับมา “แต่ว่าคน ๆ นั้นเขาจะอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ ผมตระเวนไปหลายที่ก็ไม่เจอคนที่รู้จักชื่อเขาเลย”
“ถ้าอาจารย์ไม่ได้อำเล่น ยังไงก็ต้องอยู่สักแห่งที่นี่แหละ” มารีถอนหายใจ “ปัญหาคืออาจารย์เองก็บอกพิกัดที่แน่นอนชัด ๆ ไม่ได้ด้วย”
“แล้ว ถ้าเจอคน ๆ นั้นจริง เราจะยังไงกันต่อเหรอฮะ”
“ไม่รู้สิ” มารีกระพริบตา “กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมอาบน้ำแปรงฟันล่ะ”
“เมี้ยว”
มารีชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่เพดานเพื่อปรับไฟในห้องให้มืดลง เหลือเพียงแสงจากโคมไฟพระจันทร์ที่โต๊ะเขียนหนังสือ หลอดไฟในห้องนั้นจริง ๆ แล้วเป็นหินเวทมนตร์ที่สามารถปลดปล่อยแสงออกมาได้ ไม่ใช่หลอดไฟที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
เด็กสาวหยิบไดอารีเล่มเก่ามาอ่านพลาง ๆ ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอาบน้ำแปรงฟันและฮัมเพลงดังมาจากห้องน้ำ
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ นัวร์ในชุดนอนลายเป็ดก็ขึ้นมาบนเตียง มารีวางไดอารีที่โต๊ะข้างเตียงและดับโคมไฟพระจันทร์ เธอทิ้งตัวลงนอน ร่างน้อย ๆ เข้ามาซบ ซึ่งวางศีรษะหนุนลงมาที่ต้นแขนของเธอ
มารีดึงศีรษะของเด็กน้อยมาซบยอดอก โอบกอดร่างอุ่น ๆ ของนัวร์ไว้ไม่แน่นไม่หลวม แล้วก็หลับไปพร้อมกัน
มารีพบว่าตัวเองกำลังกำลังนั่งอยู่ที่บัลลังก์น้ำแข็งในท้องพระโรงที่โอ่อ่า โดยรอบประดับด้วยม่านสีน้ำเงินและขาว
ตรงหน้าของเธอมีชายร่างหนาล่ำบึกไว้หนวดดกเฟิ้มสีบลอดน์และมีศีรษะใกล้จะล้านกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ สวมเครื่องแบบเหมือนพวกทหารมหาดเล็กดูดี
มีมือปริศนาค่อย ๆ ประคองมือของเธออย่างทะนุถนอม และใช้เข็มทองคำสะกิดที่ปลายนิ้วชี้ เลือดสีแดงสีไหลออกมาและหยุดลงไปที่ถ้วยทองคำที่ใส่น้ำเอาไว้ จากนั้นก็มีคนรับใช้นำถ้วยไปให้ชายหัวเกือบล้านดื่ม เมื่อคืนถ้วยให้คนรับใช้แล้ว เขาก็คุกเข่าก้มหน้าและเม้มปากแน่น
ในตอนนั้นเองก็มีร่างงามสง่าของหญิงสาวผมบลอนด์ซึ่งมัดเป็นเปียเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเดินมายืนคั่นกลางระหว่างมารีกับชายคนนั้น เครื่องแต่งกายของเธอนั้นดูหรูหรายิ่ง เธอยกมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ขึ้นก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เอเมโต อนิมา”
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีเขียวสว่างวาบพร้อมกับเสียงฟ้าผ่ากัมปนาท ชายตรงหน้าทรุดลงไปกองกับพื้นทันที ทำให้มารีสะดุ้งด้วยความตกใจ
และเมื่อรู้ตัวอีกที เช้าวันใหม่ก็มาถึงแล้ว...
วันจันทร์แรกของสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนมีนาคม โฮมเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการ
อากาศยังคงเย็น มารีกับลูอานา (ที่ยังสวมหน้ากากอยู่) ในชุดเครื่องแบบทับด้วยเสื้อคลุมก้าวฉับ ๆ ไปตามทางเดินมุ่งไปยังห้องเรียนวิชาแรก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบทางเดินเป็นประกาย อากาศเย็นสบาย พอมองออกไปที่ต้นไม้ที่ลานกว้างก็รู้สึกสดชื่นทันที
ข้อดีของการเรียนในโฮมคือขอแค่พาร่างกายไปถึงชั้นเรียนให้ตรงเวลาก็พอ ไม่ต้องโฮมรูม เข้าแถว หรืออะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ตึกเรียนก็เชื่อมต่อถึงกันหมด ไม่วกไปวนมา หรือมีบันไดเวทมนตร์ที่นึกจะเปลี่ยนทางก็เปลี่ยนจนพานักเรียนบางคนไปเจอห้องลับที่มีหมาสามหัวเฝ้าอยู่
วิชาแรกคือวิชาเล่นแร่แปรธาตุและการปรุงยา อยู่ที่ชั้นสองของอาคารฝั่งเหนือ
เมื่อเข้ามา ภายในห้องมีโต๊ะปฏิบัติการตัวใหญ่ตั้งเอาไว้ห้าตัว ด้านหลังห้องเป็นตู้เก็บอุปกรณ์ สารเคมี และวัตถุดิบในการปรุงยาชนิดต่าง ๆ ที่ไม่สามารถซื้อได้ตามร้านทั่วไป
ในห้องมีนักเรียนนั่งกันอยู่หลายคน แต่ก็ยังไม่ครบเนื่องจากยังไม่ถึงเวลา สองสาวถอดเสื้อนอกออกเก็บเอาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ด้านหลัง หาโต๊ะที่ยังไม่มีใครจับจองนั่งลง และเอาหนังสือเรียนที่หยิบจากตู้มาอ่านเตรียมตัวเผื่อถูกถาม
“อาจารย์จะเป็นแบบไหนนะคะ อยากรู้จัง” ลูอานาเท้าคางมองดูกระดานดำที่หน้าชั้นเรียน มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า “ห้ามเปิดตู้เก็บสารด้านหลังถ้ายังไม่อยากตายค่ะ”
ส่วนสองหนุ่มอย่างไทกับเดรโกรัสป่านนี้ก็ยังไม่เห็นตัว ตอนที่พวกเธอกินข้าวเช้าก็ไม่เห็นเช่นกัน เป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ...ตื่นสาย
สักพักใหญ่ ๆ เสียงก้าวฉับ ๆ ก็ดังมา ผู้ที่เข้ามาคือสตรีในชุดคลุมสีม่วง-ดำ สวมหมวกแม่มดปลายแหลมยับเล็กน้อยทับผมดำยาวที่ถักเป็นเปียด้านหลัง ผิวสีน้ำผึ้งแบบชาวตะวันออก ใบหน้างดงามรับกับดวงตาเฉี่ยวคมเหมือนกับนกเหยี่ยว สวมแว่นตารูปพระจันทร์เสี้ยวครึ่งซีก
เมื่อเธอมายืนตรงโต๊ะหน้าชั้น เสียงระฆังของโรงเรียนก็ดังขึ้นพอดี
และไอ้สองหน่อก็ยังไม่โผล่มา
“หายไปสองคนนะคะ” เมื่อดวงตาสีน้ำชากวาดสายตาไปรอบ ๆ อาจารย์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน แต่มารีสัมผัสได้ถึงรังสีอมหิตที่แผ่ออกมา
เธอโบกไม้กายสิทธิ์ทำจากไม้สีเข้มเหลาเป็นลำตรงเด่ ทำให้แปรงลบกระดานก็ลอยขึ้นมาลบกระดานจนสะอาด และมีชอล์กลอยขึ้นมาเขียนข้อความใหม่ลงไป
อาจารย์ราตรี
มัธยมศึกษาตอนปลาย สถาบันการศึกษาเวทมนตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโอวล์ฟอสเทียร์
เวทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการปรุงยาและเล่นแร่แปรธาตุ มหาวิทยาลัยแห่งตักศิลา
“ยินดีต้อนรับพวกเธอทุกคน ทั้งในฐานะอาจารย์ และฐานะของรุ่นพี่ของพวกเธอด้วย” อาจารย์กอดอกกล่าวด้วยหน้าเรียบเฉย สักพักกระดานก็ถูกลบออก และเปลี่ยนเป็นข้อความใหม่อย่างรวดเร็ว ถ้าให้เทียบก็คงจะเรียวว่า พาวเวอร์-ตู๊ด- แบบแมนนวล
“เรียนกับครูมีข้อตกลงสองอย่าง หนึ่งคือฟังที่ครูพูดทุกครั้งถ้ายังอยากจะออกไปจากห้องเรียนหลังจบคาบครบสามสิบสองประการ เพราะทุกอย่างที่เธอจะเอาใส่ลงไปในหม้อปรุงยานั้นสามารถฆ่าเธอได้ถ้าใช้อย่างสะเพร่า...”
หลายคนกลืนน้ำลาย หรือไอ้ที่ ผอ. อวยพรเมื่อคืนจะจริงกันนะ
“อย่างที่สองคือ ใครก็ตามที่มาช้า...”
ตึกๆๆๆ
ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท่าหนัก ๆ วิ่งมา ดูท่าจะใส่เกียร์สุนัขเต็มสปีด เสียงค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ
“มาแล้วครั...อุก!!”
คนมาสายทั้งสองชนเข้ากับเวทมนตร์บาเรียที่อาจารย์ราตรีเสกไว้ที่ประตู ภาพที่เห็นก็คือไอ้หนุ่มสองคนหน้าบู้บี้และค่อย ๆ ไหลไปกองกับพื้น สร้างเสียงหัวเราะให้กับเหล่านักเรียนในห้องทันที
แม้กระทั้งอาจารย์เองก็แอบยิ้มออกมา
“ใครที่มาสาย ครูจะหักคะแนนทีละ 1 แต้ม แล้วก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษให้เป็นผู้สาธิตผลของยาวิเศษที่ครูกำลังพัฒนาขึ้นมานะคะ”
สำหรับวิชาปรุงยานั้นกินเวลาด้วยกันสามชั่วโมง ชั่วโมงแรกหมดไปกับการแนะนำสิ่งที่จะเรียนในเทอมนี้ ทำความรู้จักกับนักเรียน และแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อครบหนึ่งชั่วโมง จะมีเสียงระฆังดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง
ส่วนสองหน่อที่มาสาย โดนทดลองยาแปลงร่างจนกลายจิ้งจอกทิเบตในเครื่องแบบ แล้วก็ได้แต่นั่งหน้าซังกะตายระหว่างที่อาจารย์สอนไป ลูอานาหยุดขำไม่ได้เวลาหันมามอง ส่วนมารีก็พยายามกลั้นขำเอาไว้เพื่อรักษาภาพพจน์
“เอาล่ะ งั้นวันนี้ประเดิมด้วยน้ำยาง่าย ๆ แล้วกัน ทุกคนเปิดตำราไปหน้าที่สิบ” อาจารย์ราตรีกล่าว หลังจากเสียงระฆังดังขึ้น
มารีเปิดดู น้ำยาที่จะต้องทำขึ้นมาก็คือ มุนดาเร โพทิโอ หรือ น้ำยาชำระล้าง เป็นยาวิเศษที่ใช้ในการแก้ทางน้ำยาชนิดอื่น ๆ ทั้งยาพิษ ยาสเน่ห์ ยิ่งน้ำยาบริสุทธิ์เท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น ว่ากันว่าถ้าทำได้สมบูรณ์แบบ จะสามารถแก้คำสาปที่ไม่รุนแรงมากได้อีกด้วย
อาจารย์อธิบายความเป็นมาของน้ำยา และแนะนำการปรุงยานี้ขึ้นมาอย่างละเอียด นักเรียนต่างนั่งตัวตรงและตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอน พร้อมจดบันทึกข้อมูลลงไปในสมุด
มารีมองไปที่ไอ้จิ้งจอกหน้าซังกะตายสองตัว หรือว่า...
“เอาล่ะ ถ้าใครสามารถทำให้ไอ้สองตัวนี่คืนร่างเดิมได้จะมีคะแนนพิเศษให้ มีเวลาก่อนเสียงระฆังดังห้านาที เริ่มได้ค่ะ”
แม้จะเป็นคนที่ดูดุ ๆ แต่อาจารย์ราตรีก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่นั่งอยู่กับโต๊ะของตัวเองในระหว่างที่นักเรียนทำนู่นทำนี่ไป หรือตั้งคำถามนักเรียนด้วยคำพูดภาษาดอกไม้ที่แฝงความหมายอื่นเอาไว้ เธอเดินดูนักเรียนทุกคนและให้คำแนะนำอย่างใส่ใจ
การปรุงยานั้น เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่ว่าแค่โยนส่วนผสมใส่หม้อแล้วคน ๆ ก็จบ แต่การปรุงยาจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เข้ามาด้วย ไม้คนสารนั้นจะต้องบรรจุแกนวิเศษคล้ายกับไม้กายสิทธิ์เพื่อเป็นตัวเชื่อมพลังเวทมนตร์ของผู้วิเศษลงไปในน้ำยา ไม่อย่างนั้นเราก็คงเรียกว่ายาวิเศษไม่ได้เต็มปาก
ในระหว่างที่ปรุงยา นักเรียนทุกคนจะต้องสวมเสื้อกาวน์ ถุงมือยาง และแว่นตานิรภัยเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ถือเป็นมาตรการที่เซฟตีดีมาก ๆ เพราะตอนนี้มีบางคนทำให้น้ำยาทะลักขึ้นมาสาดใส่หน้าตัวเองเต็ม ๆ
สองจิ้งจอกได้แต่เชียร์ให้กำลังใจเพราะพูดไม่ได้ แถมไม่มีมือให้จับนู่นจับนี่อีก มารีใส่ส่วนผสมลงไปในหม้อปรุงยา มีทั้งผลึกน้ำตาลวิเศษรสจี๊ด ผงมูนสโตน และหยาดรัศมีแสง เธอกวนไปท่องคาถาไป วนขวาตามเข็มนาฬิกาสามครั้งภายในเวลาสามสิบวินาที วนซ้ายหนึ่งรอบ คนเป็นรูปซิกแซ็ก น้ำยาเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จากน้ำตาลเป็นเขียว และเหลือง
“ไม่ใช่ของที่ถนัดเลยนะคะ” ลูอานาถอนหายใจ น้ำยาของเธอดูสีซีด ๆ แถมมีกลิ่นตุ ๆ
“จำได้ไหมว่าอาจารย์เตือนเรื่องอะไร” อาจารย์ราตรีเข้ามาชะเง้อมองหม้อของลูอานา “ส่วนผสมทุกอย่างต้องชั่งตวงทุกครั้งให้เป๊ะ ต่อให้เกินมานิดเดียว ก็ทำให้ยารักษากลายเป็นยาพิษได้ ทำใหม่ค่ะ”
เธอโบกไม้กายสิทธิ์ ทำให้น้ำยาของลูอานาหายวับไป เล่นเอาสาวน้อยเหวอ
แต่ใช่ว่าจะทิ้งให้ลูกศิษย์ให้เริ่มใหม่แบบนั้น อาจารย์ราตรีจัดการชั่งส่วนผสมใหม่ทั้งหมดให้ลูอานา และจับมือของเธอคนน้ำยาในหม้อราวกับคุณแม่กำลังจับมือลูกน้อยหัดเขียน
“เหลืออีกครึ่งทาง ทำให้ดีล่ะ เตือนแล้วนะ” อาจารย์กล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ และไปหานักเรียนคนอื่นต่อ
ลูอานามองแผ่นหลังของอาจารย์ แม้จะมองไม่เห็นดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก แต่ก็เดาได้เลยว่ากำลังมองด้วยความซาบซึ้ง
จนกระทั่งเหลือส่วนผสมสุดท้าย มารีเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะมันคือ...
น้ำตาแม่มด
ในรายการของที่เธอไปเอามาจากร้านนั้นไม่มีของสิ่งนี้มาให้ ในตู้เก็บสารด้านหลังก็ไม่มี มารีมองซ้ายมองขวาดูเพื่อนร่วมชั้น
แต่สิ่งที่เห็นคือพวกนักเรียนหญิงกำลังพยายามทำให้น้ำตาไหลกันอยู่ แต่พวกผู้ชายนั้นไม่ได้ทำอะไร นอกจากช่วยเก็บน้ำตาจากพวกผู้หญิงใส่หลอดทดลอง
นั้นแปลว่าต้องใช้น้ำตาของผู้วิเศษเพศหญิงเท่านั้นสินะ
อันที่จริง คำว่าแม่มดเป็นคำโบราณที่แทบไม่ใช้กันแล้วในปัจจุบัน เราจะเรียกคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ว่าผู้วิเศษหรือผู้ใช้เวทมนตร์มากว่า
ส่วนลูอานาเองก็แย้มหน้ากากออก และเอากระดาษทิชชูแยงจมูกให้จามออกมาและน้ำตาไหล
คราวนี้ก็ถึงตามารี เธอถอดแว่นออก แต่แทนที่เธอจะใช้วิธีทำให้ตาแห้งหรือเอาอะไรทิ่มเข้าไปในจมูก เธอหยิบคุกกี้ที่แอบจิ๊กมาเมื่อคืนนี้ซึ่งยังไม่โดนนัวร์เอาไปกินเอาเข้าปาก
ดูยังไงก็แค่คุกกี้ธรรมดา โรยด้านบนด้วยช็อคโกแลตชิพสี่ห้าชิ้น แต่ทำไม่มารีกับรู้สึกคุ้นเคยกับมันนักนะ
เมื่อกัดเข้าไป รสชาตินั้นก็หวานมันแบบคุกกี้ธรรมดา มารีค่อย ๆ เคี้ยวเพื่อซึมซับรสชาติ แต่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่ารสชาติแบบนี้มาจากที่ไหน
พอรู้ตัวอีกที แก้มของเธอก็นองไปด้วยน้ำตาแล้ว มารีนำหลอดทดลองมารับหยดน้ำตาไว้ ก่อนจะหยดมันลงในหม้อปรุงยา
ทว่าน้ำยากลับเปลี่ยนจากสีเหลืองกลายเป็นสีดำทมึนแทน มารีกระพริบตาปริบ ๆ และรีบโบกไม้กายสิทธิ์ทำลายน้ำยาก่อนที่อาจารย์ราตรีจะมาเห็น
“ขอน้ำตาหน่อยสิ” มารีหันไปหาลูอานาที่เอียงคองง ๆ
เวลาหมดลงในที่สุด นักเรียนทุกคนเทน้ำยาสีฟ้าสดใสที่เรืองแสงออกมาจาง ๆ ลงในหลอดทดลอง
อาจารย์ราตรีพิจารณาดูผลงานของแต่ละคน เธอดูสี และดมกลิ่นอย่างละเอียด
“ส่วนใหญ่จะได้ความสมบูรณ์ประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาจจะพอใช้งานสำหรับกรณีทั่ว ๆ ไปได้ แต่ว่ายังไม่พอที่จะแก้ทางยาระดับสูง รวมถึงยาของครูด้วย” อาจารย์กล่าว
และเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้โม้ เธอให้ไทกับเดรโกจิบน้ำยาของนักเรียนสองคน ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอยู่สองคนที่ครูว่าอาจจะใช้ได้ คุณคา...ฮา...นา...นู...อิ...ใช่ไหม กับคุณสเตฟานอฟ เชิญ”
ลูอานากับเด็กสาวผมเงินที่ไม่ค่อยถูกชะตากับมารีถือน้ำยามาหน้าชั้น สาวผิวเข้มป้อนน้ำยาให้ไท ส่วนอีกคนป้อนให้เดรโก
ผลปรากฏว่าเดรโกสามารถกลับมาเป็นหนุ่มผมแดงได้ดังเดิม แต่ว่าไทนั้น...
“...”
แม้ร่างกายจะกลับมามีแขนขาแบบมนุษย์และทรงผมแบบเดิมแล้วก็ตาม แต่ตามตัวของเด็กหนุ่มก็ยังถูกปกคลุมด้วยขนสีเทา และใบหน้าก็ยังคงเป็นจิ้งจอกหน้าซังกะตายอยู่เช่นเดิม เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมชั้นอีกรอบ
“อืม ยังบริสุทธิ์ไม่พอสินะ เดี๋ยวถ้าเรียนชั่วโมงหน้าจบแล้วยังไม่คืนร่างก็มาหาอาจารย์ล่ะ” อาจารย์ราตรีว่า “หนึ่งคะแนนให้คุณสเตฟานอฟ ครึ่งคะแนนให้คุณคา...ฮา...นา...นู...อิ...”
เด็กสาวผมเงินยิ้มเยาะลูอานา ก่อนจะเดินเชิดหน้ากลับไป เธอได้แต่ถอนหายใจและขอโทษไท ในตอนนั้นเสียงระฆังหมดเวลาคาบดังขึ้นพอดี
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ