ม.ปลายสายเวทย์

-

เขียนโดย TheBoyOnTheMoon

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.

  19 ตอน
  1 วิจารณ์
  2,730 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Elixir, cookies, and tears

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
05
Elixir, cookies, and tears
 
คืนก่อนเปิดเรียน นักเรียนปีหนึ่งทั้งหมดมารวมตัวที่ลานกว้างของโรงเรียน ทุกคนสวมเครื่องแบบพร้อมเสื้อคลุมเต็มยศ ที่อกด้านขวาติดเข็มกลัดดอกไม้สีขาวที่รุ่นพี่ประจำหอพักแจกให้
“ปีหนึ่งมา”
รุ่นพี่ที่คุมแถวให้สัญญาณ พวกเด็ก ๆ จึงเดินแถวตอนเรียงหนึ่งเข้าไปในอาคาร
เมื่อเขามา ก็พบรุ่นพี่ยืนปรบมือและถือธงประจำโรงเรียนตลอดทางเดิน เป็นความรู้สึกอบอุ่นที่บอกไม่ถูก มารีแอบยิ้มระหว่างเดินไปพร้อมกับเพื่อน ๆ
แล้วทั้งหมดก็เข้ามานั่งที่ห้องโถง ซึ่งเคยเป็นสนามสอบเข้ามาเมื่อวันก่อน แต่ตอนนี้มีโต๊ะยาวสามตัววางเอาไว้ มุมด้านหนึ่งมีคณะนักดนตรีบรรเลงเพลงต้อนรับ
พวกปีหนึ่งนั่งที่โต๊ะตัวกลาง ตามด้วยรุ่นพี่ปีอื่น ๆ นั่งที่โต๊ะอีกสองตัวที่ขนาบข้าง และสุดท้ายคือเหล่าอาจารย์ที่นั่งร่วมกับนักเรียนแต่ละโต๊ะแบบแทรกตามใจฉัน พวกปีหนึ่งที่อาจารย์มานั่งใกล้ ๆ ก็จะเกร็งตัวหน่อย ในขณะที่ปีอื่นดูจะสนิทสนมกับอาจารย์กันมาก
นักเรียนทุกคนสวมเครื่องแบบลักษณะเดียวกันแต่ต่างกันที่สี พวกปีสองจะเป็นสีเทา-ทอง ปีสามเป็นสีขาว-ทอง ส่วนอาจารย์จะใส่ชุดทั่ว ๆ ไป แต่จะสวมทับด้วยชุดครุยสีดำที่มีแถบสีเทาและขาวตามขอบ
เมื่อทุกคนนั่งพร้อมกันหมด ก็มีเสียงเท้าก้าวมาจากประตู ผู้ที่เข้ามาคนสุดท้ายคือผู้อำนวยการของโรงเรียนนั่นเอง อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด มายืนที่โพเดียมที่ยกสูงขึ้นพอให้ทุกคนมองเห็น ตัวโพเดียมทำจากหินอ่อน แกะสลักเป็นรูปนกฮูกสยายปีกอย่างสง่างาม 
และครั้งนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของเธอเปลี่ยนไป จากเด็กสาวตัวเตี้ยที่เห็นวันก่อน กลายเป็นหญิงสาวร่างสูงหน้าตางดงาม ที่ทำเอาพวกผู้ชายปีหนึ่งอ้าปากค้างกันไปหลายคน เพลงบรรเลงหยุดเล่นและที่ประชุมเงียบลงเมื่อเธอยกไม้กายสิทธิ์หินอ่อนมาแตะที่คอ
“คณาจารย์ นักศึกษา นักเรียน และนักเรียนใหม่ทุกท่าน เป็นอีกปีหนึ่งที่เมล็ดพันธุ์ชุดใหม่ได้หว่านลงบนผืนดินที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเวทมนตร์เพื่อรอที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แกร่งกล้าต่อไป สำหรับค่ำคืนนี้ ก่อนที่เราจะได้เพลิดเพลินกับอาหารมื้อแรกของภาคการศึกษา ขอแจ้งเรื่องให้ทราบสักเล็กน้อยค่ะ
ประการแรก ปีหนึ่งทุกคนจะต้องพึงระลึกเอาไว้เสมอ ด้วยสถาบันของเรารับผู้วิเศษรุ่นเยาว์จากทั่วทุกมุมโลก แต่ที่นี่คือโอวล์ฟอสเทียร์ เรามีกฎหมาย ระเบียบ และวัฒนธรรมของเรา ขอให้เก็บนิสัยและสันดานเดิม ๆ เอาไว้ก่อน หากต้องการอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขตลอดสามปี ก็ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โรงเรียนของเราก็เช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนคงได้อ่านตอนเซ็นชื่อตัวเองในใบมอบตัวแล้ว แต่ถ้าใครอยากจะรีบกลับบ้านก่อนเวลาก็ลองแหกซักข้อสองข้อดูนะคะ
ประการที่สอง ปีหนึ่งทุกคนจะต้องจำเอาไว้เสมอว่าด้านหลังสถาบันของเราติดกับพื้นที่ป่า เขตแดนสุดท้ายที่พวกเธอจะไปได้คือห้องเรียนวิชาสัตววิเศษวิทยาเท่านั้น ถ้าออกจากนอกแนวรั้วไปเมื่อไหร่ โรงเรียนจะไม่รับผิดชอบหากพวกเธอสูญเสียอวัยวะไปสองสามชิ้นหรือไม่สามารถพากายหยาบกลับมาได้ และที่สำคัญคือมันผิดกฎหมายเพราะที่นั่นคือเขตอุทยานแห่งชาติ ถ้าจะเข้าไปให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ประตูทางเข้าอุทยาน แล้วก็ห้ามทิ้งขยะหรือก่อไฟในนั้นด้วยนะคะ
ประการที่สาม อันนี้ขอแจ้งนักเรียนทุกคน หลายคนน่าจะทราบดีว่า เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดีย ทรงหายตัวไปได้หนึ่งปีแล้ว ปีนี้เรามีเพื่อนใหม่คนหนึ่งมาจากเรฟลอเดีย และเป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ แต่ขอแจ้งว่าเพื่อนคนนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงนะคะ ไม่ต้องรีบไปแจ้งสถานทูตเพื่อเอาเงินรางวัลล่ะ”
พอสิ้นเสียง ทุกคนก็หันซ้ายหันขวาหาคนที่ว่าทันที และไปจบที่เด็กสาวคนหนึ่งที่มารีคุ้นหน้าคุ้นตา เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มและเชิดหน้าให้สวย ๆ
เห็นแล้วมารีก็ได้แต่มองบน
“เอาล่ะ เรื่องสำคัญมีแค่นี้ คืนนี้ขออวยพรให้นักเรียนใหม่ของเรามีชีวิตรอดจนถึงสิ้นเทอมนะคะ”
ผอ. ชูแก้วขึ้น ตามด้วยอาจารย์ นักเรียนรุ่นพี่ และพวกปีหนึ่ง เมื่อกระดกน้ำองุ่นที่เจอแอลกอฮอล์เล็กน้อย ถ้วยชามบนโต๊ะก็ปรากฏอาหารนานาชนิดหน้าตาน่ากินซึ่งส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทุกคนลงมือจัดการทันที
แม้ทุกอย่างจะน่าหยิบเข้าปาก แต่เพื่อรูปร่างที่ดี มารีจึงเลือกกินเฉพาะของแคลอรี่ต่ำ ๆ อย่างพวกโปรตีนและสลัด พอเสร็จของคาวก็ตบด้วยของหวานล้างปากเล็กน้อย
เธอกำลังมองหาพวกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ แต่ก็ไปสะดุดตากับคุกกี้ไหม้ ๆ ที่ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจ
ไม่รู้ทำไมเธอจึงเลือกหยิบมันมาดูอยู่ครู่หนึ่งและกัดเข้าไป
รสชาติก็...เหมือนคุกกี้…ที่ไหม้นิดหน่อย
 แต่ว่า...
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ในตอนนั้นเอง หนุ่มผมแดงเดรโกรัสที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับมารีก็มีท่าทางตกใจ และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“ลำขนาดเลยก๊ะ” ไทที่กำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ ทัก
พอยกมือขึ้นมาแตะใต้ตาก็พบว่าร้องไห้ออกมาจริง ๆ มารีรับผ้าเช็ดหน้าจากเดรโกและซับน้ำตาแบบงง ๆ 
“หรือจะแพ้สารอะไรในคุกกี้หรือเปล่าคะ” ลูอานาลองหยิบคุกกี้มากัดดู แต่ก็ไม่เป็นอะไร
“...โทษทีนะ ขอตัวก่อนแล้วกัน” มารีคืนผ้าให้เดรโก และลุกออกจากโต๊ะไปเพียงลำพัง
 
เห็นว่าหลังจากงานเลี้ยงจะมีคอนเสิร์ตโดยวงดนตรีชื่อดังต่อ แต่มารีที่ไม่ได้สันทัดกับของพวกนี้ก็เลยไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร
พออาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว เด็กสาวก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ และจ้องมองเพดาน ในหัวของเธอยังคงสับสนไปหมดจากเหตุการณ์เมื่อครู่
“เมี้ยว”
มีเสียงมาจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งเอาไว้อยู่ เจ้านัวร์นั่นเอง เหมือนมันเพิ่งจะกลับมาจากที่ไหนสักที่
“ได้อะไรบ้างไหม วันนี้”
แมวดำก็กระโจนลงจากหน้าต่าง ทว่าเมื่อลงมาถึงพื้น สิ่งที่ลงมาไม่ใช่อุ้งเท้าทั้งสี่ แต่เป็นฝ่าเท้าน้อย ๆ สองข้าง
“ไม่เจอเลยฮะเมี้ยว”
จากแมวดำร่างผอมเพรียว บัดนี้กลายเป็นร่างของเด็กชายเผ่ามนุษย์สัตว์ตัวเล็กเหมือนเด็กราวห้าหกขวบ ผิวขาว ตากลมโตสีเหลือง ไว้ผมสีดำตัดสั้นเป็นทรงเรียบ ๆ มีใบหูและหางแมวสีเดียวกัน สวมเชิ้ตสีขาวผูกโบว์สีดำ กางเกงขาสั้นสีดำมีสายเอี๊ยม ใส่ถุงเท้ายาวถึงเข่าและรองเท้าหนังสีดำ
“ไม่เป็นไร วันนี้ก็ขอบใจมากนะ” มารีว่า ก่อนจะโบกไม้กายสิทธิ์ทำให้ขนมบางส่วนที่เธอจิ๊กมาในกระเป๋าเสื้อคลุม รวมทั้งคุกกี้เจ้าปัญหาลอยไปหานัวร์ “พรุ่งนี้ลองไปสืบที่ ๆ ทำคุกกี้อันนี้มาให้หน่อยสิ”
“ได้ฮะ” เด็กน้อยยิ้มอย่างร่าเริง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือและจัดการขนมที่ได้รับมา “แต่ว่าคน ๆ นั้นเขาจะอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ ผมตระเวนไปหลายที่ก็ไม่เจอคนที่รู้จักชื่อเขาเลย”
“ถ้าอาจารย์ไม่ได้อำเล่น ยังไงก็ต้องอยู่สักแห่งที่นี่แหละ” มารีถอนหายใจ “ปัญหาคืออาจารย์เองก็บอกพิกัดที่แน่นอนชัด ๆ ไม่ได้ด้วย”
“แล้ว ถ้าเจอคน ๆ นั้นจริง เราจะยังไงกันต่อเหรอฮะ”
“ไม่รู้สิ” มารีกระพริบตา “กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมอาบน้ำแปรงฟันล่ะ”
“เมี้ยว”
มารีชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่เพดานเพื่อปรับไฟในห้องให้มืดลง เหลือเพียงแสงจากโคมไฟพระจันทร์ที่โต๊ะเขียนหนังสือ หลอดไฟในห้องนั้นจริง ๆ แล้วเป็นหินเวทมนตร์ที่สามารถปลดปล่อยแสงออกมาได้ ไม่ใช่หลอดไฟที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
เด็กสาวหยิบไดอารีเล่มเก่ามาอ่านพลาง ๆ ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงอาบน้ำแปรงฟันและฮัมเพลงดังมาจากห้องน้ำ
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ นัวร์ในชุดนอนลายเป็ดก็ขึ้นมาบนเตียง  มารีวางไดอารีที่โต๊ะข้างเตียงและดับโคมไฟพระจันทร์ เธอทิ้งตัวลงนอน ร่างน้อย ๆ เข้ามาซบ ซึ่งวางศีรษะหนุนลงมาที่ต้นแขนของเธอ
มารีดึงศีรษะของเด็กน้อยมาซบยอดอก โอบกอดร่างอุ่น ๆ ของนัวร์ไว้ไม่แน่นไม่หลวม แล้วก็หลับไปพร้อมกัน
 
มารีพบว่าตัวเองกำลังกำลังนั่งอยู่ที่บัลลังก์น้ำแข็งในท้องพระโรงที่โอ่อ่า โดยรอบประดับด้วยม่านสีน้ำเงินและขาว
ตรงหน้าของเธอมีชายร่างหนาล่ำบึกไว้หนวดดกเฟิ้มสีบลอดน์และมีศีรษะใกล้จะล้านกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ สวมเครื่องแบบเหมือนพวกทหารมหาดเล็กดูดี
มีมือปริศนาค่อย ๆ ประคองมือของเธออย่างทะนุถนอม และใช้เข็มทองคำสะกิดที่ปลายนิ้วชี้ เลือดสีแดงสีไหลออกมาและหยุดลงไปที่ถ้วยทองคำที่ใส่น้ำเอาไว้ จากนั้นก็มีคนรับใช้นำถ้วยไปให้ชายหัวเกือบล้านดื่ม เมื่อคืนถ้วยให้คนรับใช้แล้ว เขาก็คุกเข่าก้มหน้าและเม้มปากแน่น
ในตอนนั้นเองก็มีร่างงามสง่าของหญิงสาวผมบลอนด์ซึ่งมัดเป็นเปียเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเดินมายืนคั่นกลางระหว่างมารีกับชายคนนั้น เครื่องแต่งกายของเธอนั้นดูหรูหรายิ่ง เธอยกมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ขึ้นก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“เอเมโต อนิมา”
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีเขียวสว่างวาบพร้อมกับเสียงฟ้าผ่ากัมปนาท ชายตรงหน้าทรุดลงไปกองกับพื้นทันที ทำให้มารีสะดุ้งด้วยความตกใจ
และเมื่อรู้ตัวอีกที เช้าวันใหม่ก็มาถึงแล้ว...
 
วันจันทร์แรกของสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนมีนาคม โฮมเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการ
อากาศยังคงเย็น มารีกับลูอานา (ที่ยังสวมหน้ากากอยู่) ในชุดเครื่องแบบทับด้วยเสื้อคลุมก้าวฉับ ๆ ไปตามทางเดินมุ่งไปยังห้องเรียนวิชาแรก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบทางเดินเป็นประกาย อากาศเย็นสบาย พอมองออกไปที่ต้นไม้ที่ลานกว้างก็รู้สึกสดชื่นทันที
ข้อดีของการเรียนในโฮมคือขอแค่พาร่างกายไปถึงชั้นเรียนให้ตรงเวลาก็พอ ไม่ต้องโฮมรูม เข้าแถว หรืออะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ตึกเรียนก็เชื่อมต่อถึงกันหมด ไม่วกไปวนมา หรือมีบันไดเวทมนตร์ที่นึกจะเปลี่ยนทางก็เปลี่ยนจนพานักเรียนบางคนไปเจอห้องลับที่มีหมาสามหัวเฝ้าอยู่
วิชาแรกคือวิชาเล่นแร่แปรธาตุและการปรุงยา อยู่ที่ชั้นสองของอาคารฝั่งเหนือ
เมื่อเข้ามา ภายในห้องมีโต๊ะปฏิบัติการตัวใหญ่ตั้งเอาไว้ห้าตัว ด้านหลังห้องเป็นตู้เก็บอุปกรณ์ สารเคมี และวัตถุดิบในการปรุงยาชนิดต่าง ๆ ที่ไม่สามารถซื้อได้ตามร้านทั่วไป
ในห้องมีนักเรียนนั่งกันอยู่หลายคน แต่ก็ยังไม่ครบเนื่องจากยังไม่ถึงเวลา สองสาวถอดเสื้อนอกออกเก็บเอาไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ด้านหลัง หาโต๊ะที่ยังไม่มีใครจับจองนั่งลง และเอาหนังสือเรียนที่หยิบจากตู้มาอ่านเตรียมตัวเผื่อถูกถาม
“อาจารย์จะเป็นแบบไหนนะคะ อยากรู้จัง” ลูอานาเท้าคางมองดูกระดานดำที่หน้าชั้นเรียน มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า “ห้ามเปิดตู้เก็บสารด้านหลังถ้ายังไม่อยากตายค่ะ”
ส่วนสองหนุ่มอย่างไทกับเดรโกรัสป่านนี้ก็ยังไม่เห็นตัว ตอนที่พวกเธอกินข้าวเช้าก็ไม่เห็นเช่นกัน เป็นไปได้อย่างเดียวก็คือ...ตื่นสาย
สักพักใหญ่ ๆ เสียงก้าวฉับ ๆ ก็ดังมา ผู้ที่เข้ามาคือสตรีในชุดคลุมสีม่วง-ดำ สวมหมวกแม่มดปลายแหลมยับเล็กน้อยทับผมดำยาวที่ถักเป็นเปียด้านหลัง ผิวสีน้ำผึ้งแบบชาวตะวันออก ใบหน้างดงามรับกับดวงตาเฉี่ยวคมเหมือนกับนกเหยี่ยว สวมแว่นตารูปพระจันทร์เสี้ยวครึ่งซีก
เมื่อเธอมายืนตรงโต๊ะหน้าชั้น เสียงระฆังของโรงเรียนก็ดังขึ้นพอดี
และไอ้สองหน่อก็ยังไม่โผล่มา 
“หายไปสองคนนะคะ” เมื่อดวงตาสีน้ำชากวาดสายตาไปรอบ ๆ อาจารย์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน แต่มารีสัมผัสได้ถึงรังสีอมหิตที่แผ่ออกมา
เธอโบกไม้กายสิทธิ์ทำจากไม้สีเข้มเหลาเป็นลำตรงเด่ ทำให้แปรงลบกระดานก็ลอยขึ้นมาลบกระดานจนสะอาด และมีชอล์กลอยขึ้นมาเขียนข้อความใหม่ลงไป
อาจารย์ราตรี 
มัธยมศึกษาตอนปลาย สถาบันการศึกษาเวทมนตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโอวล์ฟอสเทียร์
เวทยศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการปรุงยาและเล่นแร่แปรธาตุ มหาวิทยาลัยแห่งตักศิลา
“ยินดีต้อนรับพวกเธอทุกคน ทั้งในฐานะอาจารย์ และฐานะของรุ่นพี่ของพวกเธอด้วย” อาจารย์กอดอกกล่าวด้วยหน้าเรียบเฉย สักพักกระดานก็ถูกลบออก และเปลี่ยนเป็นข้อความใหม่อย่างรวดเร็ว ถ้าให้เทียบก็คงจะเรียวว่า พาวเวอร์-ตู๊ด- แบบแมนนวล 
“เรียนกับครูมีข้อตกลงสองอย่าง หนึ่งคือฟังที่ครูพูดทุกครั้งถ้ายังอยากจะออกไปจากห้องเรียนหลังจบคาบครบสามสิบสองประการ เพราะทุกอย่างที่เธอจะเอาใส่ลงไปในหม้อปรุงยานั้นสามารถฆ่าเธอได้ถ้าใช้อย่างสะเพร่า...”
หลายคนกลืนน้ำลาย หรือไอ้ที่ ผอ. อวยพรเมื่อคืนจะจริงกันนะ
“อย่างที่สองคือ ใครก็ตามที่มาช้า...”
ตึกๆๆๆ
ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท่าหนัก ๆ วิ่งมา ดูท่าจะใส่เกียร์สุนัขเต็มสปีด เสียงค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ 
“มาแล้วครั...อุก!!”
คนมาสายทั้งสองชนเข้ากับเวทมนตร์บาเรียที่อาจารย์ราตรีเสกไว้ที่ประตู ภาพที่เห็นก็คือไอ้หนุ่มสองคนหน้าบู้บี้และค่อย ๆ ไหลไปกองกับพื้น สร้างเสียงหัวเราะให้กับเหล่านักเรียนในห้องทันที
แม้กระทั้งอาจารย์เองก็แอบยิ้มออกมา
“ใครที่มาสาย ครูจะหักคะแนนทีละ 1 แต้ม แล้วก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษให้เป็นผู้สาธิตผลของยาวิเศษที่ครูกำลังพัฒนาขึ้นมานะคะ”
                
สำหรับวิชาปรุงยานั้นกินเวลาด้วยกันสามชั่วโมง  ชั่วโมงแรกหมดไปกับการแนะนำสิ่งที่จะเรียนในเทอมนี้ ทำความรู้จักกับนักเรียน และแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อครบหนึ่งชั่วโมง จะมีเสียงระฆังดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง
ส่วนสองหน่อที่มาสาย โดนทดลองยาแปลงร่างจนกลายจิ้งจอกทิเบตในเครื่องแบบ แล้วก็ได้แต่นั่งหน้าซังกะตายระหว่างที่อาจารย์สอนไป ลูอานาหยุดขำไม่ได้เวลาหันมามอง ส่วนมารีก็พยายามกลั้นขำเอาไว้เพื่อรักษาภาพพจน์
“เอาล่ะ งั้นวันนี้ประเดิมด้วยน้ำยาง่าย ๆ แล้วกัน ทุกคนเปิดตำราไปหน้าที่สิบ” อาจารย์ราตรีกล่าว หลังจากเสียงระฆังดังขึ้น
มารีเปิดดู น้ำยาที่จะต้องทำขึ้นมาก็คือ มุนดาเร โพทิโอ หรือ น้ำยาชำระล้าง เป็นยาวิเศษที่ใช้ในการแก้ทางน้ำยาชนิดอื่น ๆ ทั้งยาพิษ ยาสเน่ห์ ยิ่งน้ำยาบริสุทธิ์เท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น ว่ากันว่าถ้าทำได้สมบูรณ์แบบ จะสามารถแก้คำสาปที่ไม่รุนแรงมากได้อีกด้วย
อาจารย์อธิบายความเป็นมาของน้ำยา และแนะนำการปรุงยานี้ขึ้นมาอย่างละเอียด นักเรียนต่างนั่งตัวตรงและตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอน พร้อมจดบันทึกข้อมูลลงไปในสมุด
มารีมองไปที่ไอ้จิ้งจอกหน้าซังกะตายสองตัว หรือว่า...
“เอาล่ะ ถ้าใครสามารถทำให้ไอ้สองตัวนี่คืนร่างเดิมได้จะมีคะแนนพิเศษให้ มีเวลาก่อนเสียงระฆังดังห้านาที เริ่มได้ค่ะ”
               
แม้จะเป็นคนที่ดูดุ ๆ แต่อาจารย์ราตรีก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่นั่งอยู่กับโต๊ะของตัวเองในระหว่างที่นักเรียนทำนู่นทำนี่ไป หรือตั้งคำถามนักเรียนด้วยคำพูดภาษาดอกไม้ที่แฝงความหมายอื่นเอาไว้ เธอเดินดูนักเรียนทุกคนและให้คำแนะนำอย่างใส่ใจ
การปรุงยานั้น เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่ว่าแค่โยนส่วนผสมใส่หม้อแล้วคน ๆ ก็จบ แต่การปรุงยาจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เข้ามาด้วย ไม้คนสารนั้นจะต้องบรรจุแกนวิเศษคล้ายกับไม้กายสิทธิ์เพื่อเป็นตัวเชื่อมพลังเวทมนตร์ของผู้วิเศษลงไปในน้ำยา ไม่อย่างนั้นเราก็คงเรียกว่ายาวิเศษไม่ได้เต็มปาก
ในระหว่างที่ปรุงยา นักเรียนทุกคนจะต้องสวมเสื้อกาวน์ ถุงมือยาง และแว่นตานิรภัยเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ถือเป็นมาตรการที่เซฟตีดีมาก ๆ เพราะตอนนี้มีบางคนทำให้น้ำยาทะลักขึ้นมาสาดใส่หน้าตัวเองเต็ม ๆ 
สองจิ้งจอกได้แต่เชียร์ให้กำลังใจเพราะพูดไม่ได้ แถมไม่มีมือให้จับนู่นจับนี่อีก มารีใส่ส่วนผสมลงไปในหม้อปรุงยา มีทั้งผลึกน้ำตาลวิเศษรสจี๊ด ผงมูนสโตน และหยาดรัศมีแสง เธอกวนไปท่องคาถาไป วนขวาตามเข็มนาฬิกาสามครั้งภายในเวลาสามสิบวินาที วนซ้ายหนึ่งรอบ คนเป็นรูปซิกแซ็ก น้ำยาเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จากน้ำตาลเป็นเขียว และเหลือง
“ไม่ใช่ของที่ถนัดเลยนะคะ” ลูอานาถอนหายใจ น้ำยาของเธอดูสีซีด ๆ แถมมีกลิ่นตุ ๆ
“จำได้ไหมว่าอาจารย์เตือนเรื่องอะไร” อาจารย์ราตรีเข้ามาชะเง้อมองหม้อของลูอานา “ส่วนผสมทุกอย่างต้องชั่งตวงทุกครั้งให้เป๊ะ ต่อให้เกินมานิดเดียว ก็ทำให้ยารักษากลายเป็นยาพิษได้ ทำใหม่ค่ะ” 
เธอโบกไม้กายสิทธิ์ ทำให้น้ำยาของลูอานาหายวับไป เล่นเอาสาวน้อยเหวอ
แต่ใช่ว่าจะทิ้งให้ลูกศิษย์ให้เริ่มใหม่แบบนั้น อาจารย์ราตรีจัดการชั่งส่วนผสมใหม่ทั้งหมดให้ลูอานา และจับมือของเธอคนน้ำยาในหม้อราวกับคุณแม่กำลังจับมือลูกน้อยหัดเขียน
“เหลืออีกครึ่งทาง ทำให้ดีล่ะ เตือนแล้วนะ” อาจารย์กล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ และไปหานักเรียนคนอื่นต่อ
ลูอานามองแผ่นหลังของอาจารย์ แม้จะมองไม่เห็นดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากาก แต่ก็เดาได้เลยว่ากำลังมองด้วยความซาบซึ้ง
 
จนกระทั่งเหลือส่วนผสมสุดท้าย มารีเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะมันคือ...
น้ำตาแม่มด
ในรายการของที่เธอไปเอามาจากร้านนั้นไม่มีของสิ่งนี้มาให้ ในตู้เก็บสารด้านหลังก็ไม่มี มารีมองซ้ายมองขวาดูเพื่อนร่วมชั้น
แต่สิ่งที่เห็นคือพวกนักเรียนหญิงกำลังพยายามทำให้น้ำตาไหลกันอยู่ แต่พวกผู้ชายนั้นไม่ได้ทำอะไร นอกจากช่วยเก็บน้ำตาจากพวกผู้หญิงใส่หลอดทดลอง
นั้นแปลว่าต้องใช้น้ำตาของผู้วิเศษเพศหญิงเท่านั้นสินะ
อันที่จริง คำว่าแม่มดเป็นคำโบราณที่แทบไม่ใช้กันแล้วในปัจจุบัน เราจะเรียกคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ว่าผู้วิเศษหรือผู้ใช้เวทมนตร์มากว่า 
ส่วนลูอานาเองก็แย้มหน้ากากออก และเอากระดาษทิชชูแยงจมูกให้จามออกมาและน้ำตาไหล
 คราวนี้ก็ถึงตามารี เธอถอดแว่นออก แต่แทนที่เธอจะใช้วิธีทำให้ตาแห้งหรือเอาอะไรทิ่มเข้าไปในจมูก เธอหยิบคุกกี้ที่แอบจิ๊กมาเมื่อคืนนี้ซึ่งยังไม่โดนนัวร์เอาไปกินเอาเข้าปาก
ดูยังไงก็แค่คุกกี้ธรรมดา โรยด้านบนด้วยช็อคโกแลตชิพสี่ห้าชิ้น แต่ทำไม่มารีกับรู้สึกคุ้นเคยกับมันนักนะ
เมื่อกัดเข้าไป รสชาตินั้นก็หวานมันแบบคุกกี้ธรรมดา มารีค่อย ๆ เคี้ยวเพื่อซึมซับรสชาติ แต่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่ารสชาติแบบนี้มาจากที่ไหน
พอรู้ตัวอีกที แก้มของเธอก็นองไปด้วยน้ำตาแล้ว มารีนำหลอดทดลองมารับหยดน้ำตาไว้ ก่อนจะหยดมันลงในหม้อปรุงยา
ทว่าน้ำยากลับเปลี่ยนจากสีเหลืองกลายเป็นสีดำทมึนแทน มารีกระพริบตาปริบ ๆ  และรีบโบกไม้กายสิทธิ์ทำลายน้ำยาก่อนที่อาจารย์ราตรีจะมาเห็น
“ขอน้ำตาหน่อยสิ” มารีหันไปหาลูอานาที่เอียงคองง ๆ 
               
เวลาหมดลงในที่สุด นักเรียนทุกคนเทน้ำยาสีฟ้าสดใสที่เรืองแสงออกมาจาง ๆ ลงในหลอดทดลอง
อาจารย์ราตรีพิจารณาดูผลงานของแต่ละคน เธอดูสี และดมกลิ่นอย่างละเอียด
“ส่วนใหญ่จะได้ความสมบูรณ์ประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาจจะพอใช้งานสำหรับกรณีทั่ว ๆ ไปได้ แต่ว่ายังไม่พอที่จะแก้ทางยาระดับสูง รวมถึงยาของครูด้วย” อาจารย์กล่าว
และเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้โม้ เธอให้ไทกับเดรโกจิบน้ำยาของนักเรียนสองคน ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอยู่สองคนที่ครูว่าอาจจะใช้ได้ คุณคา...ฮา...นา...นู...อิ...ใช่ไหม กับคุณสเตฟานอฟ เชิญ”
ลูอานากับเด็กสาวผมเงินที่ไม่ค่อยถูกชะตากับมารีถือน้ำยามาหน้าชั้น สาวผิวเข้มป้อนน้ำยาให้ไท ส่วนอีกคนป้อนให้เดรโก
ผลปรากฏว่าเดรโกสามารถกลับมาเป็นหนุ่มผมแดงได้ดังเดิม แต่ว่าไทนั้น...
“...”
แม้ร่างกายจะกลับมามีแขนขาแบบมนุษย์และทรงผมแบบเดิมแล้วก็ตาม แต่ตามตัวของเด็กหนุ่มก็ยังถูกปกคลุมด้วยขนสีเทา และใบหน้าก็ยังคงเป็นจิ้งจอกหน้าซังกะตายอยู่เช่นเดิม เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมชั้นอีกรอบ
“อืม ยังบริสุทธิ์ไม่พอสินะ เดี๋ยวถ้าเรียนชั่วโมงหน้าจบแล้วยังไม่คืนร่างก็มาหาอาจารย์ล่ะ” อาจารย์ราตรีว่า “หนึ่งคะแนนให้คุณสเตฟานอฟ ครึ่งคะแนนให้คุณคา...ฮา...นา...นู...อิ...”
เด็กสาวผมเงินยิ้มเยาะลูอานา ก่อนจะเดินเชิดหน้ากลับไป เธอได้แต่ถอนหายใจและขอโทษไท ในตอนนั้นเสียงระฆังหมดเวลาคาบดังขึ้นพอดี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา