ม.ปลายสายเวทย์

-

เขียนโดย TheBoyOnTheMoon

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.

  19 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,467 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) If you want something, go to the shopping district.

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

04 

If you want something, go to the shopping district.

 

ในห้องของอะพาร์ตเมนต์เก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยกองของผืนผ้าใบวาดวาดและสี มีร่างสองร่างกำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด

คนหนึ่งคือมารี ส่วนอีกคนคือเด็กสาวผมเงินที่มารีเจอที่สนามบิน ไม่ไกลจากทั้งสอง มีร่างของนัวร์นั่งมองอยู่เงียบ ๆ 

“ฉันเกลียดมารีที่สุด!”

เพี๊ยะ!

ฝ่ามืออันบอบบางของเด็กสาวผมเงินพุ่งใส่แก้มของมารีอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น

ทว่ามันกลับทำให้ศีรษะของเธอหลุดจากบ่าตกลงไปที่พื้น ร่างของเธอทรุดลง แล้วทั้งแขนและขาทั้งสองก็หลุดออกจากกันอย่างน่าสยดสยอง

ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กสาวผมเงินเบิกกว้างและกรีดร้อง เธอทรุดเข่าลงและรีบคลานเข้ามาหาร่างของมารี น้ำใส ๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง เธอยกศีรษะของมารีขึ้นมากอดและร้องไห้ออกมาด้วยเสียงแทบขาดใจ 

“....ขอ...โทษนะ...เอ...เลนา” ศีรษะของมารีพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง แล้วภาพทุกอย่างก็ค่อย ๆ มืดลง

 

“เมี้ยว”

มารีลืมตาบนเตียงนุ่ม ๆ อุ่น ๆ ของโรงแรมจากเสียงของนาฬิกาปลุก เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นหน้าของเจ้านัวร์กำลังเลียแก้มของเธออยู่

เมื่อเหลือบไปมองหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวส่องแสงว่างเรือง ๆ ออกมา มารีหยิบสมาร์ตโฟนจากหัวนอนมากดปิดนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ตอนหกโมงครึ่ง

เด็กสาวถอนหายใจและโยนโทรศัพท์ไว้ข้าง ๆ หมอน เธอมองดูเพดานสักพัก นัวร์ยังคงคลอเคลียที่แก้มจนรู้สึกจั๊กจี้ จึงลูบมันเล่นสองสามทีก่อนจะอุ้มออกและลุกขึ้นมาขยี้ตา แต่แล้วก็ต้องชะงักไป

“...น้ำตาเหรอ” 

ราว ๆ เจ็ดโมงครึ่ง หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อย มารีก็เช็คเอาท์จากโรงแรมและลากกระเป๋าเดินทางมุ่งไปยังโรงเรียนใหม่พร้อมกับเจ้านัวร์

วันนี้ท้องฟ้าก็ยังคงสดใส และดอกไม้สีขาวสองข้างทางก็ยังคงส่งกลิ่นหอมโชยมาตามลม มารีแวะซื้อโทปิกาโพชันรสชาเขียว (หวานน้อย) และพยายามเดินอย่างระมัดระวัง

เมื่อมาถึงโรงเรียน มารีก็พบลูอานากับไทมารออยู่แล้ว เพื่อนทั้งสองโบกมือทักทายเมื่อเห็นเธอ

ทั้งสามนั่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่จนกระทั่งเสียงระฆังของโรงเรียนดังขึ้นตอนแปดโมงตรง มีนักเรียนรุ่นพี่เดินมาที่สนามหกคน เป็นผู้ชายสาม ผู้หญิงสาม

“ปีหนึ่งมาเข้าแถวตรงนี้ แยกชาย-หญิง” รุ่นพี่คนหนึ่งใช้ไม้กายสิทธิ์แตะไปที่คอเป็นการใช้คาถาขยายเสียง พวกนักเรียนใหม่จึงมาตั้งแถว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร แต่ดูเหมือนว่าจำนวนผู้ชายและผู้หญิงจะเท่ากันพอดี คือฝั่งละสิบคน

รุ่นพี่แต่ละฝั่งนับจำนวนสมาชิกน้องใหม่เทียบกับรายชื่อในกระดาษ และตรวจเช็คความเรียบร้อยว่ามีใครลืมของอะไรเอาไว้ที่โรงแรมหรือไม่ จากนั้นก็พาไปวัดขนาดตัวเพื่อรับชุดเครื่องแบบนักเรียน มีเจ้าหน้าที่มารออยู่ที่ห้องที่เคยใช้เป็นสนามสอบเมื่อวานแล้ว

สำหรับเครื่องแบบหลัก ท่อนบนจะเป็นเสื้อเชิตสีขาว มีทั้งแขนยาวสำหรับช่วงอากาศเย็น กับแขนสั้นสำหรับฤดูร้อนและวิชาที่ต้องลงมือปฏิบัติเยอะ สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสูทสีดำ มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนสีทองปักไว้ที่กระเป๋าเสื้อที่อกซ้าย และเนคไทสีดำสลับทอง ท่อนล่างเป็นกระโปรงลายสก็อตสีดำทองทำจากผ้าเบาสบาย ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าหนังสีดำ และจะใส่ถุงเท้าหรือถุงน่องก็ตามแต่สะดวก ซึ่งมารีเลือกเป็นถุงน่องสีดำ เพราะไม่อยากโชว์ขาอ่อน 

แต่ยังไม่หมด เครื่องแบบยังมีเสื้อนอกเป็นเสื้อคลุมแขนยาวสีดำ ปล่อยชายยาวถึงต้นขา ปักตราสัญลักษณ์โรงเรียนเอาไว้ที่อกซ้าย ทำจากผ้าวิเศษที่สามารถป้องกันคาถารุนแรงและแรงกระแทกได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้กันหนาวได้ มีถุงมือหนังสีดำและผ้าพันคอสีดำสลับทองแถมมาให้ด้วย 

เครื่องแบบอีกชุดคือชุดพละ เป็นเสื้อวอร์มกับกางเกงวอร์มสีดำ เนื้อผ้ายืดหดได้ ใส่สบาย เหมาะกับการทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวเยอะ

มารีตัวเองในชุดเครื่องแบบใหม่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มารีได้สวมเครื่องแบบนักเรียน แม้หน้าจะนิ่ง แต่แก้มขาว ๆ ก็เจือด้วยสีชมพู

 

จากนั้นก็ไปถ่ายรูปเพื่อทำบัตรประจำตัว มีชุดครุยของโรงเรียนไซส์ต่าง ๆ แขวนเอาไว้เพื่อให้นักเรียนใหม่ใส่ถ่ายรูป ชุดนี้ไม่ใช่เครื่องแบบหลักของโรงเรียน แต่เป็นเครื่องแบบพิธีการที่จะใส่แค่ช่วงพิธีสำคัญ ๆ และถ่ายรูปทำบัตรเท่านั้น

เมื่อถึงคิว มารีก็สวมครุยทับเสื้อตัวใน มานั่งที่หน้ากล้อง ถอดแว่นตาและทำตัวตรง เมื่อถ่ายเสร็จก็ได้รับบัตรมา ตัวบัตรเป็นไม้สีอ่อนเคลือบด้วยยางไม้ใส มีความยืดหยุ่นพอประมาณ เธอมองดูหน้าตัวเองที่ติดอยู่มุมซ้ายบนและรู้สึกอยากจะถ่ายใหม่อีกสักรอบเหลือเกิน

“เดี๋ยวพี่จะพาพวกเราไปที่หอพักนะ เดินตามพี่มา แล้วไม่ต้องไปตามพวกผู้ชายล่ะ” รุ่นพี่หญิงที่ดูโตที่สุดกล่าว และพามารีกับนักเรียนหญิงไปที่อีกอาคาร

ที่โฮมมีธรรมเนียมอย่างหนึ่งก็คือเด็ก ม.ปลายปีหนึ่งทุกคนจะต้องนอนที่หอพักของโรงเรียน ต่อให้เป็นคนที่อาศัยอยู่ที่โอวล์ฟอสเทียร์ตั้งแต่เกิดก็ตาม โดยจะสามารถย้ายออกไปพักข้างนอกได้ก็คือปีสอง

อาคารหอพักจะเป็นอาคารด้านหลังสุดฝั่งตะวันตก หอพักหญิงอยู่ฝั่งปีกซ้าย หอพักชายอยู่ข้างปีกขวา คั่นกลางด้วยส่วนที่เป็นหอสมุด เมื่อเข้ามาก็จะเจอระเบียงทางเดินโล่ง ๆ ตอนแรกมารีนึกว่าจะเจอกับภาพวาดที่ขยับได้เต็มไปหมด และต้องกล่าวรหัสผ่านประตูกับภาพวาดสักภาพถึงจะเข้าไปในหอพักได้

แต่สิ่งที่เจอก็คือประตูทางเข้าหอพักที่มีเครื่องอ่านลายนิ้วมืออยู่เท่านั้น เด็กสาวก็เลยได้แต่ทำตาปริบ ๆ 

หลังจากที่รุ่นพี่จัดการลงทะเบียนลายนิ้วมือของนักเรียนใหม่เสร็จ เธอก็เปิดประตูพาเข้ามายังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟา ชั้นหนังสือ เตาผิง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีบันไดวนหินที่พาขึ้นไปยังห้องพักด้านบน

“เด็ก ๆ มารวมกันตรงนี้ก่อน”

รุ่นพี่ให้เด็กใหม่มานั่งที่ด้านหน้าเตาผิง เธอแจกกุญแจห้องให้แต่ละคน และเอกสารที่จำเป็น มีรายการของที่ต้องใช้สำหรับการเรียนในปีหนึ่ง คู่มือนักเรียน ตารางเรียน ใบขอวีซ่านักเรียน และใบมอบตัวเข้าเป็นนักเรียน

รุ่นพี่ให้แต่ละคนกรอกข้อมูลในใบมอบตัว และลงลายมือชื่อเป็นอย่างแรก มารีอ่านรายละเอียดคร่าว ๆ ในเอกสารก็จะมีกฎและข้อห้ามต่าง ๆ ของโรงเรียน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกไล่ออกทันที รวมทั้งการไม่เรียกร้องค่าเสียหายกรณีประสบอุบัติเหตุภายในโรงเรียนโดยไม่มีอาจารย์เป็นผู้ดูแล หรือจากการออกสหกิจด้วย

ข้อดีอย่างหนึ่งของที่นี่คือไม่มีค่าธรรมเนียมหรือค่าเทอม บางทีก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาเอาเงินที่ไหนมาเป็นเงินเดือนอาจารย์กับพัฒนาโรงเรียนกัน

ถัดจากใบมอบตัวคือใบขอวีซ่านักเรียน เพื่อเปลี่ยนสิทธิ์ในการอยู่ที่โอวล์ฟอสเทียร์จากสิบห้าวันเป็นสามปีครึ่ง มารีกรอกข้อมูลตามพาสปอร์ตของเธอลงไปและลงลายมือชื่อกำกับ

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัยนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกพี่ได้ พี่อยู่ห้อง 301 หลังจากนี้ที่นี่คือบ้านของพวกเธอนะ ช่วยกันดูแลด้วย” 

หลังจากเก็บรวบรวมเอกสารและแนะนำกฎในหอแล้ว รุ่นพี่ก็ปล่อยตามอัธยาศัย

ทีแรกก็นึกว่าจะให้อยู่กันเป็นรูมเมทห้องละหลายคน แต่คงเพราะจำนวนนักเรียนหญิงที่ไม่มากประกอบกับรุ่นพี่ส่วนใหญ่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ที่หอนี้ก็เลยมีห้องว่างเหลือเฟือ โดยหอพักหนึ่งชั้นจะมีห้องพักอยู่สี่ห้อง มารีได้ห้องหมายเลข 103 อยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนลูอานาขอแลกกุญแจกับนักเรียนอีกคนเพื่อมาอยู่ข้าง ๆ ห้องมารี

เมื่อเปิดประตูเข้ามา ก็พบกับห้องพักขนาดค่อนข้างมินิมอล กว้างพอจะวางเตียงนอนเดี่ยวปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า และชั้นวางของทำจากไม้สีเข้มเอาไว้ได้ มีพื้นที่ทางเดินกว้างพอจะเดินจากทางประตูหน้าผ่านเตียงไปเปิดหน้าต่างหลังห้อง ห้องน้ำและห้องอาบน้ำอยู่ทางซ้ายมือติดกับประตูหน้า ซึ่งก็ไม่ได้เก่าหรือสกปรกตามที่มารีจินตนาการไว้เลย ถ้าให้เทียบแล้วก็ดูดีพอ ๆ กับโรงแรมที่เธอพักเมื่อสองคืนก่อน เพียงแต่แคบกว่าและก็ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ

เจ้านัวร์กระโดดขึ้นไปบนเตียงและรีบจับจองพื้นที่ มารีเดินไปเปิดผ้าม่านและหน้าต่างให้แสงสว่างกับอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง เมื่อมองออกไปก็เห็นวิวทิวทัศน์ของป่ากับทิวเขาช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที 

เด็กสาวเปิดกระเป๋าเดินทางและตู้เสื้อผ้า เธอโบกไม้กายสิทธิ์เล็กน้อย ทำให้เสื้อผ้าและรองเท้าในกระเป๋าลอยเข้าไปเก็บในตู้อย่างเป็นระเบียบ

จากนั้นก็เปิดกระเป๋าสะพายข้าง หยิบกระถางต้นลิ้นมังกรสูงประมาณหนึ่งฟุตออกมาวางบนโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบโคมไฟทรงกลมรูปพระจันทร์วางไว้ข้างเตียง และหยิบกระจกเงาบานใหญ่มาแขวนใกล้ ๆ กับตู้เสื้อผ้า

ในระหว่างที่มารีเพลิดเพลินไปกับการจัดห้อง สักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังมา พอเปิดให้ก็สะดุ้งเล็กน้อยเพราะเจอลูอานาที่ยังสวมหน้ากากคนป่ายืนอยู่ 

“อะ...เอาของพวกนี้มาจากไหนน่ะคะ” ลูอานาหัวเราะแหะ ๆ  “เสร็จยังเหรอคะ...ว่าจะชวนไปเที่ยวในเมืองน่ะค่ะ มีของที่อยากจะได้เพิ่มนิดหน่อย”

 

ถ้าต้องการอะไรเพิ่ม ก็ให้ไปที่ย่านการค้าเสีย

สองสาวเดินจากโรงเรียนเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบ  มีทั้งชาวเมืองในชุดแต่งกายแบบยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และนักท่องเที่ยวในชุดประจำชาติของตนเองเดินกันประปราย บนท้องฟ้าก็มีคนขี่ไม้กวาดบินไปบินมา

จริง ๆ จะนั่งรถไฟใต้ดินหรือบินไปก็ได้ แต่เพราะระยะทางไม่ไกลมาก วิวสวย แถมยังช่วยเผาพลาญแคลอรี มารีเลยตัดสินใจเดินไปกับเพื่อนใหม่

“ที่ ๆ มารีอยู่เป็นแบบไหนเหรอคะ” ลูอานาถาม

“...คล้าย ๆ แบบนี้ แต่มีรถวิ่งบนถนนน่ะ”

“รถ?”

“เป็นพาหนะของมนุษย์ เป็นกล่องมีสี่ล้อ วิ่งไปบนถนน” มารีใช้ไม้กายสิทธิ์วาดรูปรถง่าย ๆ ให้ดู เมื่อเธอโบกไม้ไปหนึ่งที ภาพรถที่วาดจากเส้นแสงก็วิ่งออกไปและเลือนหายไป

“เห...สุดยอดเลยนะคะ” ลูอานาว่า พลางมองดูทิวไม้ “ที่บ้านเกิดฉันไม่มีอะไรสักกะอย่าง อย่าว่าแต่แบบนี้เลย มีแต่เกาะภูเขาไฟหน้าตาเหมือนเต่าอยู่ไกล ๆ กับแนวปะการัง...”

“ว่าแต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่เอลเดนน่ะ” มารีถามด้วยความสงสัย

“เป็นผู้ลี้ภัยจากสงครามภายในประเทศค่ะ ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็เลยมาอยู่ที่ชุมชนผู้อพยพชาวคาอิมานาที่เอลเดนค่ะ” ลูอานาบอก ก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้น 

เห็นแบบนั้น มารีจึงไม่กล้าถามอะไรต่อ จากนั้นสาวชาวเผ่าก็เล่าเรื่องอื่น ๆ ของตัวเองให้ฟังตลอดทาง จนกระทั่งทั้งสองมาถึงย่านการค้าซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณหนึ่งกิโลเมตร ที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และเป็นที่ตั้งของสนามบิน

เนื่องจากสิ่งของที่จำเป็น พวกตำรา วัตถุดิบปรุงยา และเมล็ดพืชวิเศษ ทางโรงเรียนได้จัดหาเอาไว้ให้แล้ว สิ่งที่นักเรียนจะต้องหาเพิ่มเติมก็คือพวกสมุดโน้ตและเครื่องเขียน ทั้งสองคนจึงแวะร้านหนังสือร้านแรกที่เจอ

เมื่อเข้ามา ภายในร้านให้บรรยากาศสบาย ๆ ด้วยการตกแต่งแบบโมเดิร์นมินิมอล นอกจากหนังสือหลากหลายประเภทแล้ว ก็ยังมีเครื่องเขียน และอุปกรณ์สำหรับงานฝีมืออยู่ด้วย ที่มารีชอบที่สุดคือมีโซนที่ทำเป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง ให้คนที่ซื้อหนังสือมานั่งอ่านได้เลย ในระหว่างที่ลูอานาเลือกเครื่องเขียน มารีก็เดินดูหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่น่าสนใจ พอได้ของที่ต้องการก็นำไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ ซึ่งเจ้าของร้านนั้นไม่ใช่ผู้วิเศษแต่เป็นเอลฟ์สาวท่าทางเป็นมิตร

มารีแวะอ่านพาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์บนชั้นวาง ที่นั่นเองก็ดูเหมือนจะมีเด็กสาวมนุษย์สัตว์เพศหญิงอายุราว ๆ เด็ก ม.ต้น และมีใบหูกับหางแมวสีขาวกำลังนั่งยอง ๆ อ่านอยู่เช่นกัน

ทำไมต้องเหน็บก้านโรสแมรีไว้กับโชคเกอร์ที่คอด้วยน่ะ มารีกระพริบตาปริบ ๆ เพราะบังเอิญไปสะดุดตาเข้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ระหว่างนั้นก็เริ่มเห็นนักเรียนใหม่มาเลือกซื้อของหลายคนแล้ว แต่จะว่าไป...

“ไม่เห็นหมอนั่นเลยนะคะ” ลูอานาที่หิ้วถุงกระดาษมาหามองซ้ายมองขวา  ตั้งแต่ตอนออกมาจากหอ มารีก็ไม่เห็นไทเลย 

 

สองสาวเดินเล่นไปในย่านการค้า แวะไปลองเสื้อผ้าใหม่ ๆ บ้าง แวะดูของแต่งห้องกระจุกกระจิกบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็เกือบจะเที่ยงแล้ว

“กินอะไรดีคะ” ลูอานาลูบหน้าท้องที่เปลือยเปล่าเห็นร่องสิบเอ็ด เธอเองก็จัดว่าเป็นคนที่หุ่นดีมาก ๆ และตัวสูงกว่ามารีเสียอีก

“กินสเต๊กกันไหม” มารีเสนอ สาวชาวเผ่าพยักหน้า 

เมื่อเข้ามาในร้าน ก็เจอผู้คนจำนวนมากนั่งกันเต็ม ยังดีที่พอมีที่ว่างอยู่ สองสาวจึงนั่งลงและหยิบเมนูมาดู กลิ่นหอม ๆ ของเนื้อย่างจากในครัวโชยออกมา ช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับคนที่กำลังกินอาหาร และทำร้ายจิตใจคนที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟด้วยความหิวโหย 

“เอาสเต๊กเนื้อกวางมีเดียมแรร์ค่ะ” มารีสั่งเมนูกับพนักงานที่เป็นคนแคระเพศชายหนวดเฟิ้มสูงเท่ากับโต๊ะที่เธอนั่ง ส่วนลูอานาสั่งเป็นสเต๊กปลา พนักงานทวนออร์เดอร์อีกรอบ แล้วก็เดินไปที่โต๊ะอื่นด้วยท่าเดินตลก ๆ 

“โอ้ อยู่นี่เอง” 

สักพัก ประตูร้านอาหารก็เปิดเข้ามาอีกครั้ง ไอ้คนที่มารีกับลูอานาพูดถึงก่อนหน้านี้ปรากฏตัวออกมาในที่สุด หนุ่มไทยิ้มแป้น และขอมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่เหมือนเขาจะไม่ได้มาคนเดียว

“เพื่อนใหม่เหรอคะ” ลูอานาชี้ไปที่ข้าง ๆ ไท เมื่อมารีเห็นหน้าเขาชัด ๆ ก็ชะงักไป 

“อ๊ะ เจอกันอีกแล้ว”

หนุ่มผมแดงที่ชื่อเดรโกหรืออะไรสักอย่างยกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มเห็นเขี้ยว เห็นดังนั้นมารีก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาว ๆ และพึมพำในใจว่า...

หายนะ...

                

“เดรโกรัส ทีโอดอร์ ดันเต้ จะเรียกเดรโก หรือดันเต้ก็ได้” หนุ่มผมแดงแนะนำตัว วันนี้เขาก็ยังคงสวมแว่นกันลมแปลก ๆ เอาไว้

“ลูอานา คาฮานานูอิค่ะ” สาวชาวเผ่าแนะนำตัว

มารีไม่ได้พูดอะไร เธอใช้มีดหั่นสเต๊กเนื้อกวางซึ่งด้านนอกเป็นสีน้ำตาลส่วนด้านในเป็นสีแดงฉ่ำเอาเข้าปาก แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูจาง ๆ 

“คุณเอแคลร์สินะ ชื่อเหมือนขนมที่ชอบกินเลย” เมื่อนั่งลง หนุ่งผมแดงก็ทักด้วยรอยยิ้ม

“โอแคลร์” มารีมองค้อนผ่านแว่นตาไปที “เรียกมารีก็ได้”

“อื้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ คุณซุ่มซ่าม”

“...”

“หืม?” 

ไทกับลูอานาเอียงคองง แต่มารีไม่ตอบอะไร เธอหั่นสเต๊กเข้าปากด้วยหน้าที่แดงขึ้นกว่าเมื่อครู่ และเลี่ยงสายตาจากหนุ่มผมแดง

ระหว่างนั้นอาหารของอีกสองหนุ่มก็ตามมา ไทสั่งเป็นสปาเก็ตตีคาโบนาราเบคอน ส่วนเดรโกสั่งเป็นสเต๊กเนื้อหมีสุกปานกลาง

 “นี่ กินอย่างนั้นไม่ลำบากก่อ” ไทถามลูอานา เพราะเธอใช้วิธีแย้มหน้ากากด้วยมือข้างหนึ่งแล้วตักอาหารเข้าปากด้วยอีกมือ 

“จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อแต่งงานแล้วเท่านั้นค่ะ เป็นประเพณีของเกาะ ไม่อย่างนั้นพระเจ้าจะสาปให้ขี้เหร่ค่ะ” ลูอานาบอก และใช้ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อปลาเข้าปากอีกคำ

“ไม่ต้องให้โดนพระเจ้าสาบก็ขี้เหร่อยู่แล้วกระมัง”

“จะให้ปักที่หัวหรือหัวใจดีคะ” ลูอานาหยิบตุ๊กตาฟางขึ้นมา และเอามีดหันสเต็กมาจ่อ ไอ้ตัวแสบสะดุ้งก่อนจะไปหลบหลังเก้าอี้

“ที่นี่ไม่ใช่คาอิมานาสักหน่อย พระเจ้าคงไม่รู้หรอกน่า เสียดายความสวยออก” เดรโกช่วยเสริม ลูอานาชะงักไปหนึ่งที ก่อนจะเก็บตุ๊กตาฟางเอามือมาเล่นปอยผมเปียเขิน ๆ มารีเคี้ยวสเต๊กเนื้อตุ้ย ๆ มองด้วยหน้าตายด้าน

ว่าแต่ทำไมคุณพี่ไม่ถอดแว่นแปลก ๆ ออกด้วยล่ะ

แต่สุดท้าย หลังกินข้าวกลางวันกันเสร็จและเดินจากย่านการค้ากลับมาที่โรงเรียน ลูอานาก็ไม่ยอมถอดหน้ากากออกเลย เช่นเดียวกับเดรโกที่ไม่ถอดแว่นตาเช่นกัน ทิ้งให้เป็นปริศนาคาใจของมารีและไทต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา