ม.ปลายสายเวทย์
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Road and bridge
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ03
Road and bridge
วันรุ่งขึ้น หลังจากกินอาหารเช้าของโรงแรมที่เข้าพักเมื่อคืนเสร็จ มารีก็ออกมาพร้อมกับนัวร์ เธอสวมชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทและกระโปรงดำทรงสุภาพ ผมสีมะฮอกกานียาวถูกมัดรวบเป็นหางกระรอกให้เรียบร้อย
“ฝากด้วยนะ”
“เมี้ยว”
ทั้งสองคนแยกกันไปคนละทาง มารีเดินไปตามถนนของเมืองพลางชมบรรยากาศสวย ๆ แน่นอนว่าที่โลกเวทมนตร์ไม่มีการใช้รถยนต์กันเพราะสามารถเดินทางทางอากาศได้ จึงไม่ต้องคอยระวังหน้าระวังหลังว่าจะมีรถมาชน
แค่ต้องระวังตัวเองไม่ให้ชมวิวเพลินจนไปชนชาวบ้านชาวช่องเท่านั้นเอง
แต่ไม่ใช่แค่มารีที่ออกมาจากโรงแรม เหล่าคนหนุ่มสาวที่เดินทางมาเมื่อวานนี้ก็ด้วย ทำให้ภาพตรงหน้าคือขบวนของคนจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้าไปที่แห่งหนึ่งพร้อมกัน และที่นั่นก็คือ
“Owlfostier High School of Magical Education”
ตัวอักษรถูกสลักเอาไว้ด้วยอักษรละติน และใช้คำแบบภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาราชการของที่นี่
มารีมาหยุดที่หน้าป้ายหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ มองเข้าไปคือสะพานที่นำไปสู่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ ด้านหลังรายล้อมด้วยป่าที่เต็มไปด้วยต้นสนขนาดยักษ์สีเขียวเข้ม และทิวเขาทอดตัวสลับกันเป็นชั้น ๆ
ที่นี่คือสถาบันการศึกษาเวทมนตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโอวล์ฟอสเทียร์ ที่ซึ่งเป็นเป้าหมายของผู้วิเศษรุ่นเยาว์ทั่วโลก แม้จะก่อตั้งมาแค่ห้าร้อยกว่าปี แต่ก็มีคณาจารย์ที่เป็นระดับหัวกะทิ มีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงหลายคน รวมทั้งสิทธิ์พิเศษในการเข้ามหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องสอบ หรือทำงานในหลาย ๆ ที่ได้ทันทีหลังจบการศึกษา
คนส่วนใหญ่จะเรียกที่นี่ย่อ ๆ กันว่า “โฮม”(H.O.M.E – High school Of Magical Education)
แน่นอนว่าการจะเข้ามาเป็นนักเรียนที่นี่ได้ก็ต้องผ่านการทดสอบกันก่อน ไม่เหมือนโรงเรียนเวทมนตร์คาถาบางแห่งที่เข้ากันง่ายแสนง่าย ที่เมื่อเกิดมาก็มีชื่อใส่เอาไว้ในลิสต์ พออายุถึงเกณฑ์ก็มีนกฮูกส่งจดหมายเชิญถึงบ้าน (หรือบางกรณีอาจจะส่งผู้รักษากุญแจตัวโต ๆ มา ถ้าคุณไปอยู่กับญาติที่เป็นมนุษย์สมองทึ่ม) และไปนั่งใส่หมวกวิเศษเก่า ๆ เพื่อให้มันคัดไปอยู่ตามบ้านแต่ละหลัง
ที่นี่ หนุ่มสาวทุกคนที่จบมัธยมศึกษาตอนต้นด้วยคะแนนโดดเด่น หรือมีความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่งเช่นมารี จะได้รับจดหมายเชิญให้มาสอบที่สถาบันแห่งนี้
แม้จะฟังดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีเพียงแค่ยี่สิบคนเท่านั้นที่จะได้เข้าเป็นนักเรียนที่นี่ และไม่ใช่แค่จำนวนการรับสมัครที่น้อยเท่านั้น ความยากของบททดสอบของสถาบันนี้ยังถูกยกให้เป็นบททดสอบที่ยากที่สุดยิ่งกว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกผู้วิเศษเสียอีก
มารีเดินข้ามสะพานมาถึงตัวอาคารของโรงเรียน เป็นอาคารสไตล์เรเนซองส์สีเทาหม่นกับหลังคาสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับสิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ในเมือง ตัวอาคารมีลักษณะเป็นอาคารสามชั้นสี่หลังเชื่อมกันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่มุมทั้งสี่และกึ่งกลางของแต่ละอาคารถูกทำให้ใหญ่ขึ้นมากว่าปกติและทำหลังคาเป็นทรงเด่นกว่าข้าง ๆ ในส่วนตรงกลางเป็นลานกว้างมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายคนโอบตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหนึ่งต้น ถูกล้อมด้วยที่นั่งทำจากหิน ซึ่งกำลังถูกจับจองโดยผู้เข้าสอบที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านโน้ตและหนังสือ
“โอ้ เจอกันอีกแล้วเน่อ” เสียงมาจากหนุ่มไทนั่นเอง เขายังคงสวมชุดแบบเดิมที่ใส่มาเมื่อวานจนชวนให้นึกว่าเมื่อคืนนี้นอนทั้งชุดนี้หรือเปล่า
“อยู่นี่เอง” ลูอานามาสมทบอีกคน เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ เป็นชุดสไตล์ชนเผ่าสีสันสดใส ที่น่าจะใส่ในโอกาสพิเศษเท่านั้น และยังคงสวมหน้ากากไม้เอาไว้อยู่
“โอ้ เสื้อลอยได้”
“อยากโดนสาปไหมคะ” สาวน้อยหยิบตุ๊กตาฟางที่มีเข็มปักอยู่ขึ้นมา เล่นเอาเจ้าตัวแสบสะดุ้งโหยง
ทั้งสามหามุมร่ม ๆ นั่งติวความรู้ช่วงโค้งสุดท้าย โดยช่วงเช้าจะเป็นการสอบข้อเขียน ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการสอบภาคปฏิบัติและสัมภาษณ์
ความยากอีกอย่างหนึ่งในการสอบเข้าโฮมก็คือไม่มีใครรู้ว่าข้อสอบจะออกมาแบบไหน เพราะจะถูกลบความทรงจำทั้งหมดเมื่อออกมาจากห้องสอบ และมาตรการความปลอดภัยในการเข้าสอบนั้นก็เข้มงวดมาก ๆ สิ่งที่ผู้เข้าสอบจะเอาเข้าไปได้ก็คือร่างกาย ความรู้ในสมอง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ
“ผู้เข้าสอบทุกท่าน กรุณาไปยังสนามสอบ ณ เวลานี้ค่ะ”
เสียงระฆังดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงประกาศดังก้อง ไทยืดเส้นยืดสายสบาย ๆ ส่วนลูอานานั้น แม้จะใส่หน้ากากอยู่แต่อาการก็บอกชัดเลยว่าเธอประหม่า
ทางด้านมารีนั้น ถึงข้างนอกจะหน้านิ่งเป็นหินก็เถอะ แต่ตอนนี้ข้างในคือโหวงเหวงไปหมดแล้ว
เมื่อผ่านประตูขนาดใหญ่ที่ร่ายเวทย์ตรวจจับอุปกรณ์โกงข้อสอบมาได้ ก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะเล็กเชอร์ตั้งเรียงเป็นแถว ๆ บนเพดานมีเทียนนับร้อย ๆ เล่มลอยอยู่เพื่อให้ความสว่างร่วมกับแสงจากหน้าต่าง
แล้วทำไมไม่แขวนโคมไฟไว้กันนะ
ผู้เข้าสอบแต่ละคนสามารถนั่งที่โต๊ะใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งตามชื่อหรือหมายเลขโต๊ะ มารีจึงเลือกนั่งใกล้กับเพื่อนใหม่ทั้งสองคน
ไทยังคงดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างกับว่าพร้อมจะเป็นนักเรียนที่นี่แล้ว ในขณะที่ลูอานากุมมืออ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า
“ผู้เข้าสอบทุกท่านโปรดฟัง สำหรับช่วงเช้าจะเป็นการทำแบบทดสอบข้อเขียน จำนวน 3 ชั่วโมง ให้ท่านตอบข้อคำถามที่ปรากฏให้ถูกต้อง เริ่มทำข้อสอบได้ทันทีเมื่อชุดข้อสอบและเครื่องเขียนปรากฏบนโต๊ะ...”
เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงประกาศจบลง ปรากฏปึกกระดาษกับปากกาขนนกบนโต๊ะของผู้เข้าสอบทุกโต๊ะ มารีรีบหยิบปากกาขนนกและเปิดข้อสอบทันที
ผ่านไปได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง มารีตอบคำถามไปได้แค่สองข้อ ระหว่างนั้นเธอก็แอบเหลือบสายตามองดูเพื่อนทั้งสอง
แม้จะผิวเข้ม แต่ตอนนี้ลูอานาตัวซีดจนจะกลายเป็นชาวยุโรปไปแล้ว
ส่วนไทนั้น แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ที่หน้าผากดันมีเหงื่อเกาะเต็ม
มารีถอนหายใจออกมา ก่อนจะดึงสมาธิกลับมาจดจ่อกับข้อคำถามต่อ
แต่ถ้าสอบไม่ติดขึ้นมา คน ๆ นั้นจะรู้สึกยังไงกันนะ...
รู้สึกว่าถ้าสอบไม่ติด ก็มีเวลาให้นอนร้องไห้ที่นี่อีกหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็สามารถเดินทางกลับได้ หรือจะอยู่เที่ยวต่อได้ไม่เกินสิบห้าวัน แต่ต้องรับผิดชอบเรื่องที่พักและอาหารเอง
สิบห้าวันก็อาจจะพอมีโชคอยู่บ้าง ถึงจะสอบไม่ติดก็ยังพอมีเวลาล่ะนะ
หลังการสอบข้อเขียนจบลง รายชื่อผู้ผ่านก็ปรากฏบนกระดานที่ตั้งอยู่รอบต้นไม้ใหญ่ที่ลานกว้างของโรงเรียนทันที จนนึกไม่ออกเลยว่าเขานับคะแนนกันยังไง โดยชื่อของผู้ที่ผ่านจะเรียงตามลำดับตัวอักษรของชื่อ มิใช่ตามคะแนน
บรรยากาศตอนนี้มีทั้งคนที่สมหวังและคนที่ผิดหวัง ซึ่งก็ต้องเดินคอตกร้องไห้ออกไปตามระเบียบและไปทำเรื่องเดินทางกลับกับเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน เห็นว่าทางโรงเรียนจะรับผิดชอบค่าเดินทางขากลับให้ด้วย
สำหรับมื้อเที่ยง ทางโรงเรียนก็มีอาหารกล่องแจกให้ ซึ่งตัวกล่องและฝาทำจากไม้สีอ่อนดูทนทาน ซึ่งเมื่อกินเสร็จแล้วจะต้องนำไปคืนเพื่อนำไปล้างและใช้งานต่อ ในกล่องแบ่งเป็นช่อง ๆ ช่องที่ใหญ่ที่สุดมีข้าวผัดไข่โป๊ะด้วยเนื้อสัตว์ราดซอสใส่ไว้ ช่องอื่น ๆ มีสลัดผัก และผลไม้ล้างปาก
“พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตา กลับไปลูกช้างจะถวายหมูป่าให้สิบตัวนะเจ้าค้า”
ลูอานาโล่งอกเมื่อรู้ว่าตัวเองผ่านข้อเขียนมาได้ เธอเคี้ยวอาหารไปน้ำตาไหลไป (โดยที่ยังสวมหน้ากากอยู่) ส่วนมารีกับไทนั้นก็นั่งเคี้ยวข้าวกล่องตุ้ย ๆ อยู่ข้าง ๆ เพราะทั้งคู่ยังได้ไปต่อในรอบบ่ายเช่นกัน
ไม่มีใครพูดถึงข้อสอบเลย เพราะทุกคนโดนคาถาลบความทรงจำเมื่อเดินผ่านประตูห้องสอบออกมา เป็นการป้องกันคนจำคำตอบไปเก็งข้อสอบของปีต่อไปนั่นเอง
แต่สิ่งที่จำได้คือ...มันยากจริง ๆ
“อยากเข้าเรียนขนาดนั้นเลยก๊ะ” ไทกระพริบตาปริบ ๆ ถาม
ลูอานาพยักหน้า “แต่ดูทางนั้นจะไม่ค่อยจะกระตือรือร้นเท่าไหร่เลยนะคะ”
“หึ คนที่อ่านหนังสือมาดีแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าหรอกเน่อ” ไทพูดอวด
แล้วไอ้ที่เหงื่อแตกพลั่ก ๆ ในห้องสอบมันคืออะไรอะ...
“หลอกด่าฉันเหรอคะ” ลูอานาจ้องไปที่ไท แต่เจ้าตัวแสบทำไม่รู้ไม่ชี้
แล้วทั้งสองคนก็หันมาหามารี แน่นอนว่าเธอรู้ทันทีว่าจะโดนถามอะไร
“...มีคนอยากให้มาเป็นลูกศิษย์อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดน่ะ”
“นั่นสินะคะ” ลูอานาว่า “ก็น่าจะเหมือนกับทุกคนที่มาที่นี่แหละเนอะ ฉันเองก็ยังอยากเจอเขาสักครั้งเลย”
อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด คือมหาจอมเวทย์อัจฉริยะที่อยู่มาเกือบพันปี เป็นผู้ที่สามารถใช้มหาเวทย์ได้ทุกรูปแบบ รวมถึงเวทมนตร์ชั้นสูง เธอคือผู้ที่กำหนดวิธีการร่ายเวทมนตร์มาตรฐานเพื่อให้ผู้วิเศษรุ่นใหม่ใช้เรียนตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษาในโรงเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงตำราเวทมนตร์มากมายที่ใช้เรียนกันในโรงเรียนทั่วโลกผู้วิเศษ
แน่นอนว่าสถาบันโฮมก็ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยเธอ ว่ากันว่าตัวอาคารทั้งหมดก็ถูกสร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์ของเธอเพียงคนเดียวด้วย และปัจจุบันเธอก็รับหน้าที่ผู้อำนวยการของสถาบันแห่งนี้ ซึ่งยังไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงมาเลยตลอดห้าร้อยปี
เมื่อหมดเวลาพักเที่ยง เสียงระฆังก็ดังขึ้น
ช่วงเช้าว่าที่หนักแล้ว ภาคปฏิบัติช่วงบ่ายนั้นหนักหน่วงยิ่งกว่า
ผู้เข้าสอบแต่ละคนได้รับเสื้อคลุมมีฮู้ดยาวสีขาวขลิบทองที่สามารถป้องกันความร้อนจากไฟ แรงกระแทกและคาถารุนแรงได้ และหน้ากากรูปนกฮูกสีขาวแบบปิดทั้งใบหน้าจากผู้คุมสอบ และให้สวมก่อนเข้าห้อง
“จะมีพิธีอะไรหรือเปล่าเน่อ หรือจะให้สู้กับมังกรถึงให้ใส่ชุดป้องกันขนาดนี้” ไทในชุดเต็มยศพูดอย่างตื่นเต้น ส่วนลูอานานั้นสวมแต่ชุดเพราะเธอมีหน้ากากอยู่แล้ว
แต่มารีรู้สึกตงิด ๆ
สนามสอบข้อเขียนเมื่อเช้าถูกเปลี่ยนเป็นห้องโล่ง ๆ และมีพื้นยกสูงขึ้นมาเป็นเวทีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนแคทวอล์กแคบ ๆ บนพื้นมีการวาดลวดลายเป็นดวงจันทร์เต็มดวงตรงกลาง และเสี้ยวลงเรื่อย ๆ ออกมาแต่ละด้าน
เมื่อเข้ามา ผู้เข้าสอบแต่ละคนจะต้องจับฉลาก เพื่อไปยังเวทีตามหมายเลขที่ระบุ
“...เอาจริงดิ”
มารีก็คิ้วกระตุกเมื่อรู้ว่ากำลังจะเจออะไร
นั่นเพราะภาคบ่ายคือการประลองเวทย์นั่นเอง คนที่แพ้ก็คือสอบตกทันที เป็นการหารครึ่งผู้เข้าสอบที่มักง่ายแบบมากถึงมากที่สุด
ในระหว่างที่นั่งรอ มารีก็มองดูเหล่าคู่ประลองที่สู้กันแบบไม่ยั้งมือ แต่ก็ไปเจอะเข้ากับคู่หนึ่งที่ไม่ธรรมดา
นั่นเพราะฝ่ายหนึ่งยิงคาถามเต็มที่ ทว่าอีกคนกลับยืนรับคาเฉย ๆ โดยไม่มีการปัดป้องหรือทำอะไรนอกจากเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
แล้วไอ้คนบ้าคนนั้นก็แค่ดึงไม้กายสิทธิ์ของคู่ต่อสู้ออก ทำเอาคนที่โดนดึงถึงกับยืนอึ้งอยู่พักใหญ่ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่สะกิดเรียกก็คงจะยืนอยู่อย่างนั้น
“...”
ไม่ใช่แค่เขาหรอก ทุกคนที่นั่งดูอยู่รวมถึงมารีก็อิหยังวะด้วยเช่นกัน
“คู่ต่อไปเชิญ”
เมื่อคู่บนเวทีทางนี้จบลง มารีกับผู้เข้าสอบอีกคนก็ถูกเรียกขึ้นมาแทน
มารีและอีกฝ่ายเดินมาที่ตรงกลางของพื้นที่ประลอง และทำพิธีการตามธรรมเนียม ทั้งสองยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาตรงหน้าและวาดไปข้างตัว โค้งคำนับให้กันและกัน กลับหลังหันเดินไปสุดทาง และหันกลับมาตั้งท่าเตรียมพร้อม
มารียืนด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแบบนักดาบ มือหนึ่งพาดหลัง มือหนึ่งจับไม้กายสิทธิ์ไว้มั่น หัวใจของเธอเต้นรัวจนได้ยินเสียงในอก
“แพ้ชนะ ตัดสินกันที่การปลดอาวุธเท่านั้น ห้ามใช้คำสาปเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะปรับตกทันที” ผู้คุมสอบยกธงสีแดงขึ้นมาคั่นกลางระหว่างผู้ประลอง
พรึ่บ!
เมื่อธงถูกสะบัด ก็เป็นสัญญาณว่าใส่กันได้เต็มที่
ทีแรก ต่างฝ่ายต่างยืนมองเชิงกันอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั้งอีกฝ่ายเริ่มรุกก่อน
ลำแสงสีสันต่าง ๆ พุ่งถาโถมใส่กันราวกับโชว์ดอกไม้ไฟ มารีต้องปัดป้องและตอบโต้คู่ต่อสู้ที่ฝีมือถือว่าไม่ธรรมดาเลย
แต่แม้จะถูกรุกอย่างหนักหน่วง เด็กสาวก็ยังคงยืนในท่าเดิมอย่างมั่นคง ดวงตาจับจ้องท่าทางของคู่ต่อสู้เพื่อหาช่องโหว่ ยิ่งอีกฝ่ายยิงคาถามามากเท่าไหร่ พลังกายของเขาก็จะยิ่งถูกเผาผลาญไปเท่านั้น มารีเริ่มสังเกตแล้วว่าอีกฝ่ายหอบหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“เรฟุลเจโอ”
เมื่อสบโอกาส มารีตวัดไม้กายสิทธิ์อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม้กายสิทธิ์สว่างวาบเหมือนปาระเบิดแฟลช และทำให้อีกฝ่ายชะงักไป
“ซูรีปพิโอ”
เมื่อได้จังหวะ เด็กสาวก็ตวัดไม้กายสิทธิ์เป็นท่าทางอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีม่วงจากไม้กายสิทธิ์ของมารีมุ่งเข้าใส่มือของคู่ต่อสู้ ส่งผลให้อาวุธของอีกฝ่ายหลุดลอยจากมือมาหาเธอ และเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้จบลงแล้ว
มีเสียงปรบมือมาจากผู้เข้าสอบที่นั่งรออยู่ คู่ต่อสู้อีกฝ่ายคุกเข่าล้มตึงและเอามือกุมหน้าสะอึกสะอื้น มารีไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงได้แต่เดินเอาไม้กายสิทธิ์ของอีกฝ่ายไปวางไว้ใกล้ ๆ และเดินตามคนคุมสอบไป เมื่อเดินผ่านประตูออกมา ความทรงจำเมื่อครู่ก็หายไปจนหมดแบบเดียวกับเมื่อเช้า
มารีที่ถอดชุดประลองออกเรียบร้อย ถูกเจ้าหน้าที่พามานั่งคอยที่ระเบียงทางเดินเพื่อรอเข้าห้องสัมภาษณ์ ไม่รู้ว่าเพื่อนใหม่ทั้งสองคนจะผ่านมาได้หรือเปล่า
“อ้าว ยัยซุ่มซ่ามนี่”
ตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ทักทายมารี เขาคือคนที่เดินชน...ไม่สิ ถูกเธอเดินชนต่างหาก
เขาเป็นหนุ่มร่างสูงกำยำ ผิวขาว มีกระนิดหน่อยที่สันจมูก ไว้ผมสีแดงเพลิงตัดสั้นเป็นทรงแต่ก็ยังชี้โด่ชี้เด่ สวมชุดเสื้อเชิตขาวผูกเนกไทสีเขียว กับกางแกงขายาวสีดำและรองเท้าคัทชู แต่ที่แปลกก็คือเขาสวมแว่นตากันลมแบบนักบินสมัยสงครามโลกสีทึบเอาไว้ดูน่าสงสัย วันที่มารีเจอเขาครั้งแรกก็ใส่แบบนี้เช่นกัน
โลกมันจะกลมอะไรขนาดน้านน
มารีไม่พูดอะไรและทำเป็นไม่เห็นเขา เด็กหนุ่มเดินมายืนตรงหน้าเธอและยื่นมือมาให้
“เดรโกรัส ทีโอดอร์ ดันเต้ ส่วนเธอ...”
“...ไม่อยากรู้จักค่ะ”
“...”
“คุณโอแคลร์ เชิญ”
คนคุมสอบเรียกมารี เด็กสาวจึงลุกขึ้นและปล่อยให้หนุ่มผมแดงมือค้างเก้ออยู่อย่างนั้น
ห้องสัมภาษณ์เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ผนังเป็นหินสีขาวและปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ไม่มีอะไรเลยอยู่ในห้องนอกจากความว่างเปล่า มารีเดินเข้ามายืนอยู่ตรงกลางแบบงง ๆ
“เชิญนั่งก่อน”
เมื่อประตูห้องสัมภาษณ์ปิดลง ก็มีเสียงของหญิงสาวดังก้องขึ้นมา แต่มารีแน่ใจว่าเธอไม่ได้ยินเสียงนี้ด้วยหู แต่เธอได้ยินจากหัวเหมือนเวลาที่เราพูดกับตัวเองในใจ หรือเรา ๆ ท่าน ๆ ที่กำลังอ่านนิยายแบบในตอนนี้
ว่าแต่จะให้นั่งยังไงล่ะ มารียังสับสนเพราะในห้องนี้มันไม่มี...
อยู่ดี ๆ ก็มีเก้าอี้ไม้ปรากฏขึ้นมาเสียอย่างนั้น เด็กสาวจึงค่อย ๆ นั่งลงแบบงง ๆ และไม่ลืมกล่าวขอบคุณตามมารยาท
“ชาหน่อยไหม”
มารีกระพริบตาปริบ ๆ ก็ในห้องนี้มันไม่มี...
มีชุดน้ำชาพร้อมคุกกี้น่าอร่อย ส่งกลิ่นหอม ๆ ลอยเข้าจมูกปรากฏบนโต๊ะข้าง ๆ เธอ
“...ไม่ค่ะ” มารีปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“งั้นเหรอ...อืม...งั้นเมื่อคืนหลับสบายดีไหม”
“...ก็ดีค่ะ”
“อาหารการกินล่ะ ถูกปากมั้ย”
“...ค่ะ”
แล้วการสัมภาษณ์ก็ดำเนินไป แต่ดูจะเป็นการชวนคุยสารทุกข์สุกดิบมากกว่าการสอบสัมภาษณ์ไปแล้ว
“ช่วยจริงจังหน่อยเถอะค่ะ...อาจารย์” พอเจอหลายคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนเลย มารีก็ยกมือกุมขมับกับความชิวของอาจารย์คนนี้
“แหะ ๆ ลืมตัวไปหน่อย” ผู้สัมภาษณ์หัวเราะ “ถ้างั้นก็ง่าย ๆ เลย เราอยากเรียนที่นี่หรือเปล่าล่ะ”
เล่นถามกันโต้ง ๆ แบบนี้เลยเหรอ
“...ค่ะ” มารีกระพริบตาปริบ ๆ มันจะมีไอ้บ้าคนไหนที่ผ่านมาถึงตรงนี้แล้วบอกไม่อยากมาเรียนไหม
“ดี งั้นเจอกันวันเปิดเทอมนะ”
“...”
ตอนนี้มีแค่คำเดียวที่โผล่าเข้ามาในหัวของมารี นั่นคือ...อิหยังวะ
สุดท้ายการสัมภาษณ์ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มารีเดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์งง ๆ แม้จะถูกลบความทรงจำไปว่าโดนถามอะไรไปบ้าง แต่เธอยังคงจำน้ำเสียงของผู้สัมภาษณ์ได้อยู่
พอมาดูกระดานประกาศผลก็แอบใจหวิว ๆ เพราะจากผู้เข้าสอบจำนวนหลายร้อย ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่คน และชื่อผู้ผ่านสอบค่อย ๆ ผุดขึ้นมาตามคนที่เดินลงมจากห้องสอบ
ในตอนนี้ มีชื่อของมารีปรากฏอยู่ในนั้นแล้ว
เด็กสาวมองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นก็แอบกำหมัดเยสเงียบ ๆ
“กรี๊ด!”
เมื่อลูอานามาสมทบ เธอก็รีบดูผลสอบและกระโดดโหยงด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งมากอดมารีที่ยังยืนอยู่
“ก็ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ยเรา”
สักพักไทก็ลงมาจากห้องสอบ ชื่อของเขาปรากฏอยู่บนกระดานเช่นกัน เจ้าหนุ่มเท้าสะเอวยิ้มอย่างอย่างภูมิใจและเอาแขนเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
ไม่นานนักผู้เข้าสอบทั้งหมดก็ออกมาจากห้องสอบ ตอนนี้เหลือแค่ยี่สิบคนพอดี ทั้งหมดมาอยู่ตั้งแถวที่มุมหนึ่งของสนามตามคำสั่งของคณะกรรมการคุมสอบ
ในตอนนั้น ก็มีร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีขาวเดินมาตรงหน้าแถว ไม้กายสิทธิ์หินอ่อนลายสีทองในมือโบกเล็กน้อย ทำให้พื้นดินใต้เท้าที่ยืนอยู่ยกสูงขึ้นเพื่อให้ทุกคนมองเห็น
“ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่สอบผ่านทุกท่าน ดิฉัน อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด อาจารย์ใหญ่ของสถาบันการศึกษาเวทมนตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โอวล์ฟอสเทียร์ค่ะ”
พอได้ยินชื่อ ผู้เข้าสอบทุกคนก็ตาเป็นประกายทันที
เจ้าของเสียงคือสตรีผู้สง่างาม เธอมีผมยาวสีขาวบริสุทธิ์และดวงตาสีเหลืองทอง เมื่อเธอผายมือทั้งสองข้างออก ก็ชวนให้นึกถึงนกเค้าแมวหิมะตัวโตที่กำลังสยายปีก
ติดอย่างเดียวคือส่วนสูงของเธอ...ดูยังไงก็เด็ก ม.ต้นชัด ๆ
“นับตั้งแต่วันนี้ วินาทีนี้เป็นต้นไป พวกท่านคือศิษย์ของสถาบันอันทรงเกียรติของเรา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านตรงนี้จะมีพื้นที่ในสมองว่างมากพอที่จะรับสรรพวิชาความรู้ที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งใจที่จะถ่ายทอดให้ และหวังเป็นอย่างยิ่งจะยังอยู่กันพร้อมหน้ากันแบบนี้หลังจบการศึกษา ถ้าไม่ตายหรือเสียสติกันไปเสียก่อน...”
“...”
ท่อนแรกก็ดีนะ แต่ท่อนหลังทำไมมันแปลก ๆ
ดวงตาสีเหลืองทองจับจ้องมาที่ผู้สอบได้แต่ละคนพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ แสนอบอุ่น ไร้เดียงสา
“เอาเป็นว่าสำหรับวันนี้ก็ขอให้ทุกคนกลับที่พักและพักผ่อนให้เต็มที่นะคะ พรุ่งนี้มาเจอกันที่นี่แปดโมงเช้า อย่าลืมเก็บข้าวของแล้วก็เช็คเอาท์จากโรงแรมกันด้วยน้า ใครลืมอะไร ทางโรงเรียนไม่รับผิดชอบด้วยนะคะ”
พูดเสร็จเจ้าตัวก็โบกไม้กายสิทธิ์อีกครั้งให้พื้นกลับมาในระดับเดิม แล้วมหาจอมเวทย์ตัวจ้อยก็เดินออกไป ทิ้งให้หลายคนได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ
“ตัวจริงเป็นงี้เหรอคะเนี่ย” ลูอานายังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช้คนที่ผ่านโลกมาพันกว่าปีได้เลย
“ไม่แน่นะ นี่อาจจะเป็นเวทมนตร์ลดอายุก็ได้นะ” ไทว่า “มีแต่จอมเวทย์ระดับสูงที่สามารถร่ายเวทย์นี้ได้สำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งยาวิเศษเชียวนะ”
พอพูดแบบนั้น ผู้เข้าสอบรอบข้างก็ร้องโหเหมือนจะเห็นด้วย แม้มารีจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ก็เถอะ
ถึงจะถูกลบความทรงจำไปว่าโดนสัมภาษณ์อะไรไปบ้าง แต่มารียังจำน้ำเสียงชิว ๆ ไปกันเองแบบนี้ได้
พอรู้ว่าเธอถูกใครสัมภาษณ์มาหยก ๆ มารีก็ถอนหายใจยาว ๆ ออกมาทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ