ม.ปลายสายเวทย์

-

เขียนโดย TheBoyOnTheMoon

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.

  19 ตอน
  1 วิจารณ์
  2,079 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) An easterner, an islander, and another world people

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

02

An easterner, an islander, and another world people

 

เอลเดน เป็นเมืองใหญ่ของผู้วิเศษทางทวีปตะวันตก ผู้คนที่นี่มีลักษณะร่างสูง ผิวขาว มีผมทั้งสีน้ำตาลอ่อน แดง และบลอนด์ มีใบหน้าแบบชาวยุโรป พวกผู้ชายแต่งกายด้วยชุดสูทสวมหมวกท็อปแฮตโทนสีสุภาพและมักถือไม้เท้า ส่วนผู้หญิงจะสวมชุดกระโปรงสุ่มไก่และสวมหมวกที่มีการประดับด้วยดอกไม้

ตัวบ้านเรือนถูกสร้างด้วยอิฐสีแดง และมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา มองไปรอบ ๆ จะเห็นปล่องไฟสูงหลายปล่อง ซึ่งกำลังปล่อยควันดำออกมาจนอดคิดไม่ได้ว่าในอีกร้อยหรือสองร้อยปีจะเกิดภาวะโลกร้อนไหม

มารีใช้บริการรถม้านั่งมาถึงอาคารขนาดใหญ่แถบชานเมืองเอลเดน ตัวอาคารถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง ก่อขึ้นมาจากอิฐสีแดงและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาเช่นเดียวกับสิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ ภายในถือว่ามีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ตู้ขายของอัตโนมัติ และอีกมากมาย

เด็กสาวหยุดที่หน้าเคาน์เตอร์เช็คอินแบบเดียวกับสนามบิน มารียื่นตั๋วพร้อมหนังสือเดินทางให้กับพนักงาน จากนั้นก็ยกกระเป๋าเดินทางชั่งน้ำหนัก เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วกระเป๋าก็ถูกส่งไปตามสายพาน ซึ่งไม้กายสิทธิ์และอุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหมดก็ต้องถูกโหลดไปกับกระเป๋าเดินทางด้วย เพราะถือว่าเป็นของอันตราย

“เกทเก้านะคะ บอร์ดดิงสิบเอ็ดโมงครึ่ง” พนักงานส่งหนังสือเดินทางพร้อมตั๋วคืนให้กับมารี เธอค้อมศีรษะเล็กน้อยและเดินออกมาพร้อมกับนัวร์

เมื่อผ่านเคาน์เตอร์เช็คอินมาแล้ว ต่อไปก็คือการตรวจร่างกาย มารีวางกระเป๋าสะพายข้าง ถอดเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ และรองเท้าใส่ถาดไหลไปตามสายพาน เจ้าหน้าที่ใช้ไม้กายสิทธิ์จ่อรอบ ๆ ตัวของเธอ พอเสร็จจากจุดตรวจสัมภาระก็เดินไปประทับตราหนังสือเดินทางที่ ตม. ก็ถือว่าเสร็จสิ้น

สาวน้อยกับแมวดำเดินไปที่เกท ระหว่างทางก็มีร้านค้าปลอดภาษีตั้งสินค้าล่อตาล่อใจมากมาย แต่พอดูราคาก็ได้แต่เหงื่อตก เพราะแม้จะปลอดภาษีก็ยังถือว่าแพงมาก ร้านอาหารต่าง ๆ ด้านในเองก็เช่นกัน 

เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ก็ปรากฏต่อหน้า แม้แต่เจ้านัวร์ยังทำตาโตเมื่อเห็น

วาฬตัวยักษ์หลายตัวกำลังลอยอยู่ใกล้กับพื้น ร่างกายของมันถูกห่อหุ้มด้วยเกราะโลหะ ที่แผ่นหลังของมันถูกทำเป็นดาดฟ้าเรียบ ๆ ไปถึงโคนหาง และสร้างส่วนอาคารสำหรับบรรทุกผู้โดยสารเอาไว้

หากใครสงสัยว่าโลกนี้มีทั้งเวทมนตร์ และพวกผู้วิเศษก็น่าจะขี่ไม้กวาดหรือใช้เวทย์เคลื่อนย้ายมาได้เหมือนนิยายหลาย ๆ เล่ม แล้วทำไมจะต้องขี่วาฬกันด้วย

แน่นอนว่าโลกนี้ก็มีของแบบนี้ แต่มันมีเหตุผลอยู่สองข้อ

หนึ่งคือเวทมนตร์เคลื่อนย้ายและไม้กวาดไม่สามารถใช้ข้ามประเทศได้ เพราะมันผิดกฎหมาย อย่างที่มารีไม่สามารถบินเข้าเมืองเอลเดนได้ก่อนหน้านี้

สองคือมารียังไม่ได้เรียนคาถาหายตัวและคาถาสร้างประตูมิติ  และแน่นอนว่ามันใช้ข้ามประเทศไม่ได้เช่นกัน

“...”

เมื่อมาถึงเกท มารีก็ถอนหายใจออกมา เพราะที่นั่นมีคนจับจองที่นั่งเต็มหมดเลย เป็นบรรยากาศที่เธอไม่ชอบมากที่สุด

ในระหว่างที่กวดสายตาไป ก็ดูเหมือนจะมีที่หนึ่งที่พอจะนั่งได้ แต่ดันมีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ เบาะที่ว่าง 

แม้จะไม่สันทัดกับการขอนั่งกับแปลกหน้านัก แต่ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่ ๆ และมารีก็ไม่อยากจะยืนหรอก

“...ขอนั่งด้วยได้ไหม”

ผู้ที่นั่งอยู่เป็นเด็กสาวรูปงาม ไว้ผมยาวสีเงินสลวย และมีดวงตาสีฟ้าสดใส แต่ทว่าใบหน้าที่งดงามนั้นกลับดูไม่ค่อยจะรับแขกสักเท่าไหร่

และเจ้าตัวก็เอากระเป๋ามาวางตรงที่ ๆ มันว่างอยู่เสียอย่างนั้น

“...”

มารีกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเดินหนีไป แล้วก็ต้องมายืนพิงเสาพลางกินขนมไปเซ็ง ๆ

ผ่านมาได้ราวครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงประกาศดังขึ้น

ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ สายการบินเวลูกาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OF1104 พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางสู่ท่าอากาศยานนานาชาติโอวล์ฟอสเทียร์ ขอเรียนเชิญท่านผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่องได้ ณ ประตูทางออกหมายเลขเก้า ขอบคุณค่ะ 

มารีและนัวร์เดินจากเกทไปตามสะพานเทียบ บนหลังของวาฬมีพนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มดูดียืนทักทายด้วยรอยยิ้ม เธอแสดงตั๋วกับหนังสือเดินทางให้พวกเขาดูและเดินเข้าไปในส่วนที่นั่ง ซึ่งถูกวางเอาไว้สองฝั่งเว้นทางเดินตรงกลาง ฝั่งละสามที่นั่ง

ผู้โดยสารหลายคนเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวเอลเดนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ นอกนั้นก็มีพวกผู้ใหญ่บ้าง เด็กกว่าบ้างประปราย บางแถวก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บางแถวก็นั่งกันเงียบ ๆ มารีเดินมาเจอที่นั่งของเธอในที่สุด

“หวัดดีเน่อ”

ในแถวของเธอ มีคนมาจับจองพื้นที่ริมหน้าต่างก่อนแล้ว ดูจากใบหน้าและการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นชาวทวีปตะวันออก มีผิวสีน้ำผึ้ง ท่อนล่างสวมผ้าสีน้ำตาลที่พันเป็นกางเกง ท่อนบนสวมเสื้อผ้าไหมแขนยาวโทนสีเหลืองพันผ้าสีน้ำตาลอีกผืนไว้ที่เอว ผมหยักศกสีดำของเขาไว้ยาวมัดเป็นมวยบนกระหม่อม ร่างกายค่อนข้างบอบบางและอ้อนแอ้น ใบหน้านั้นดูจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง

มารีค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนจะนั่งลงที่เบาะตรงกลางเงียบ ๆ และรัดเข็มขัดให้แน่น ส่วนเจ้านัวร์ก็กระโดดขึ้นไปบนตักของเด็กหนุ่มเกาะหน้าต่างดูวิวทิวทัศน์ 

“น่าฮักขนาด ขอจับได้ก่อ”

“อืม”  มารีพยักหน้านิ่ง ๆ และหยิบหนังสือพิมพ์เมื่อครู่มาอ่านต่อ ในตอนนี้ภาพในหนังสือพิมพ์กลับมาขยับได้อีกครั้ง รวมทั้งตัวอักษรก็กลายเป็นตัวอักษรของโลกนี้

…ทางการได้เรียกร้องให้ใครก็ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวไปของเจ้าหญิงออกมาแจ้ง พร้อมเสนอรางวัลมูลค่ามหาศาลสำหรับข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่อาจนำไปสู่การกลับมาอย่างปลอดภัยของพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่การสืบสวนก็ยังคงมืดแปดด้าน

ในขณะที่การค้นหาเจ้าหญิงยังคงดำเนินต่อไป ความหวังก็ยังคงมีอยู่ว่าสักวันหนึ่งพระองค์จะถูกพบและได้พบกับผู้ที่พระองค์รักอีกครั้ง

ทั้งนี้ หากใครพบเห็นเด็กสาววัยรุ่น อายุราว 15 ปี ผมสีเงิน ตาสีฟ้า ผิวขาว โครงหน้าแบบชาวเรฟลอเดีย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สถานทูตเรฟลอเดียประจำประเทศของท่านได้ ซึ่งทางการยืนดีมอบเงินรางวัลให้จำนวนสองแสนออรัม...

ในระหว่างนั้นก็มีคนที่ตรงสเปคตามที่ระบุเอาไว้ในหนังสือพิมพ์มายืนตรงแถวที่นั่งของเธอ ติดอย่างเดียวคือคน ๆ นี้คือยายขี้งกที่ไม่ยอมให้เธอนั่งด้วยก่อนหน้านี้

“...”

เธอมองดูเลขที่นั่งซึ่งน่าจะตรงกับเบาะที่ว่างอยู่ ก่อนจะหันมาสบตากับมารีที่ทำตาปริบ ๆ ให้

“...”

มารีหยิบกระเป๋าสะพายข้างขึ้นมาวางตรงที่นั่งที่ว่างแทน แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์ต่อโดยไม่สนใจ ทิ้งให้อีกฝ่ายทำตาถลึงใส่ กระนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เด็กสาวสะบัดหน้าหนีและเดินดุ่ยจากไป

พอตัวปัญหาลับจากสายตา มารีก็ถอนหายใจและหันไปมองเด็กหนุ่มข้าง ๆ เพราะรู้สึกว่าเงียบไป

“ฟี้~”

ตอนนี้เจ้าตัวคอเอียงไปพิงหน้าต่างและนอนกรนไปแล้ว เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวหรือยังไงกัน

ผ่านไปสักพักก็มีคนป่าเพศหญิงสวมหน้ากากไม้น่ากลัว เจาะเป็นตากับปากกลม ๆ ปะด้านในแต่ละรูด้วยผ้าสีดำทำให้มองไม่เห็น มายืนตรงล็อกที่นั่งของมารี เธอมีร่างสูงโย่ง ผิวเข้ม ผมดำสนิทตัดสั้นเป็นทรง ไว้ปอยยาวหนึ่งข้างห้อยลงมาถักเป็นเปียย้อมสีเขียวที่ปลาย ข้อมือและข้อเท้าสวมกำไล และใส่เสื้อผ้าเผยเนื้อหนังสไตล์ชาวเกาะ

“ขอโทษทีค่ะ พอดีโดนไล่ให้มานั่งตรงนี้” เธอพูดผ่านหน้ากากด้วยเสียงอู้อี้

มารียกกระเป๋าสะพายข้างออกให้ เด็กสาวที่มาใหม่นั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะมองไปที่เด็กหนุ่มอีกฝั่ง 

“ใครอะคะ” น้ำเสียงอู้อี้ดังมาจากในหน้ากาก และชี้ไปที่เด็กหนุ่มที่หลับอยู่

“...ไม่รู้”

“ไม่ได้มาด้วยกันเหรอคะ”

“...เปล่า”

มารีไม่ได้พูดอะไรต่อ ก็เลยมีแต่เสียงกรนจากเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้จักคำว่ามารยาทดังขึ้นมาหลังจากนั้น

“ลูอานา คาฮานานูอิ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เด็กสาวผิวเข้มแนะนำตัว

“...” มารียังคงจ้องไปที่หนังสือพิมพ์ ดวงตาสีเปลือกไม้หันไปหาอีกฝ่ายแวบหนึ่งและกลับมาที่หนังสือ “มารี โอแคลร์”

แล้วทุกอย่างก็กลับมาเดดแอร์อีก... ตอนนี้ลูอานาเริ่มจะมีอาการเหงื่อตกแล้ว

 

สักพักพนักงานบนเครื่องก็ประกาศว่าวาฬกำลังจะเทคออฟและให้สวมเข็มขัดให้แน่น หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกหวิว ๆ มารีมองออกไปข้างนอกหน้าต่างก็เห็นว่าพื้นดินกำลังค่อย ๆ เลื่อนลง บรรยากาศในเครื่องค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงวาฬที่ร้องออกมาเป็นระยะ ๆ เท่านั้น 

“กะ...กินอะไรไหมคะ”

หลังจากบินได้ระดับความสูงและได้รับสัญญาณให้ถอดเข็มขัดได้แล้วนั้น สาวในหน้ากากก็ยื่นอาหารและขนุกขนมให้ เป็นอาหารสไตล์ชาวเกาะ มีทั้งข้าวหมกกะทิกับไก่ย่างหอม ๆ ห่อมาในใบตอง หมูหมักซอสย่างในใบบอน ปลาย่างหอม ๆ และขนมที่มีส่วนประกอบจากผลไม้เขตร้อนน่ารับประทาน 

และด้วยกลิ่นแสนจะยั่วยวน ก็ทำให้พ่อหนุ่มฝั่งริมหน้าต่างเด้งตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม 

“กิ๋นละน้า...”

ทว่ายังไม่ทันจะได้คว้าอาหาร เจ้าตัวก็โดนสาวชาวเกาะเอาคทาไม้ยันหัวเอาไว้

ตอนนี้วาฬกำลังบินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเขตทะเลทราย ท้องฟ้าสดใสเป็นสีฟ้าตัดกับผืนทรายอ้างว้างสีขาวตุ่น ๆ เจ้านัวร์ส่งเสียงร้องแง้ว ๆ และชี้อุ้งเท้าหน้าไปข้างนอก เมื่อมองตามไปก็เห็นวาฬทะเลทรายขนาดยักษ์กระโจนขึ้นมาและกระแทกกับทรายจมลงไป สร้างความตื่นตาให้กับพวกมารี และผู้โดยสารฝั่งเดียวกัน

“ข้าน้อยคนเย็นใจซื่อชื่อว่าไทเน่อ” ระหว่างที่กำลังกินข้าวเหนียวหมูที่ห่อมาในใบตองนั้น พ่อหนุ่มฝั่งขวามือก็แนะนำตัวด้วยสำเนียงเหน่อแปลก ๆ เสียงของเขายังคงแหลมห้าวแบบเด็กผู้ชาย

“ไทเน่อ?”

“ไทเฉย ๆ ไม่ใช่ไทเน่อเน่อ”

“ตกลงนายชื่ออะไรกันแน่คะ” ลูอานาเอียงคอ

“ไท” สุดท้ายพ่อหนุ่มก็พูดห้วน ๆ ออกมาด้วยหน้าเซ็ง 

“ไทเฉย ๆ เหรอ ไม่มีนามสกุลเหรอคะ”

“อื้อ บ้านฉันไม่มีนามสกุลใช้กันล่ะเน่อ”

“แล้วจะแยกคนชื่อเหมือนกันยังไงอะคะ” 

“ก็จะมีคำต่อท้ายน่ะ อย่างนายทองดีฟันขาว นางทองกวาวฟันดำ ไอ้หำลูกยายเมี่ยง อะไรแบบนี้น่ะเน่อ”

คนสุวรรณภูมิสินะ ระหว่างที่นั่งฟังการสนทนาข้ามหัวไปมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ มารีก็ชำเลืองมองดูหนุ่มหน้าหวาน ประเทศนี้ตั้งอยู่ในทวีปตะวันออกไกล มีวัฒนะธรรมแบบเดียวกับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถบพม่า ไทย ลาว และกัมพูชาในยุคโบราณ

“ชาวเกาะใต้สินะ ข้าน้อยเคยไปเยือนมาครั้งสองครั้งล่ะเน่อ” หนุ่มหน้าหวานชี้ไปที่ลูอานา 

ชาวเกาะใต้ ก็คงจะเป็นคาอิมานา ราชอาณาจักรที่เต็มไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ และขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟมากที่สุดในโลกผู้วิเศษ ประกอบด้วยชาวเผ่าต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นว่ากันว่ากินเนื้อคน

หวังว่าแม่สาวคนนี้จะไม่ใช่นะ... 

“เครื่องเทศที่นั่นล่ะสุดยอดเลยเน่อ ข้าน้อยสั่งมาใช้บ่อย ๆ เลยล่ะ ส่วนเธอ...แต่งตัวไม่เหมือนคนที่ไหนเลยแฮะ” ไทมองมาที่มารีและค้างไป

“จริงด้วยนะคะ” ลูอานาหันมามองมารีเช่นกัน

“...”

เอาจริงๆ ไอ้คนที่ควรจะรู้สึกว่ามาอยู่ท่ามกลางคนที่แต่งตัวแปลก ๆ มันควรจะเป็นมารีมากกว่านะ 

และอีกอย่าง พวกพี่มาโผล่ที่เอลเดนได้ยังไง...

 “...มาจากฝรั่งเศส” มารีตอบเรียบ ๆ แม้จะยังสงสัยว่าชาวตะวันออกไกลกับชาวเกาะใต้มาทำอะไรที่แดนตะวันตก

“ที่ไหนอะคะ...”

“...ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป”

“...ไม่เคยได้ยินเลยค่ะ” สาวชาวเกาะกระพริบตาปริบ ๆ แต่อีกฝั่งนั้น...

“ฝรั่งเศส...ยุโรป...คนจากต่างโลกก๊ะ!!”

อยู่ดี ๆ ไทก็พรวดเข้ามาจับมือมารีและจ้องด้วยดวงตาสีสนิมกลมโตเป็นประกาย เล่นเอาเธอหน้าเหวอจนเจ้านัวร์ต้องรีบเข้ามาคั่นกลางเอาไว้เพื่อปกป้องเจ้านาย

“จะ...จะว่าอย่างนั้นก็ได้” มารีหลบสายตา

“สุดยอดเลย! ข้าน้อยเคยอ่านหนังสือเจอว่าจริง ๆ แล้วมีโลกอีกใบที่คู่ขนานกับโลกของเราอยู่ แต่เป็นที่อยู่ของพวกมนุษย์ที่ไม่มีเวทมนตร์สินะ เธอเป็นมนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้ หรือว่าเป็นผู้วิเศษมาแต่กำเนิด หรือว่า...”

“นี่ ๆๆ” ลูอานาต้องรีบเอาคทามายันหัวอีกฝ่ายก่อนที่คุณท่านจะเข้าไปสิงร่างมารี คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ หันมามองด้วยสายตาเอือม ๆ 

“ครั้งแรกเลยนะที่ข้าน้อยได้เจอคนจากต่างโลกน่ะ” ไทพูดอย่างตื่นเต้น “เห็นว่าพวกนั้นถึงจะไม่มีเวทมนตร์แต่ก็มีของเจ๋ง ๆ เยอะเลย เธอมีไอ้ของที่เรียกว่า ซาม้าดโฟน ด้วยหรือเปล่า”

“...นี่เหรอ” มารีหยิบอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเหมาะมือออกมา พอกดปุ่มข้าง ๆ ก็ทำให้หน้าจอสว่าง และมีไอคอนหลายอย่างปรากฏขึ้นมา เธอจิ้ม ๆ ลงไป ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงดังออกมาจากอุปกรณ์นี้ พร้อมกับมิวสิควีดิโอปลายยุคแปดศูนย์ของผู้ชายชาวอังกฤษคนหนึ่งเต้นส่ายไปมากับแท่นไมโครโฟน

“ร้ายกาจ!!”

ไทตาลุกวาวยิ่งกว่าเดิม แต่ก่อนที่เขาจะคว้ามันมาดู มารีก็รีบเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อโค้ท เจ้าหนุ่มก็เลยได้แต่ทำตาปริบ ๆ 

ถ้าเทียบกันแล้ว โลกของมนุษย์เราตอนนี้กับโลกเวทมนตร์ถือว่ามีความต่างกันในเรื่องของสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีพอสมควร ในขณะที่โลกเราเข้าสู่ยุค 5G กันแล้ว แต่โลกเวทมนตร์ตอนนี้ยังดูเหมือนยังถูกสตัฟฟ์เอาไว้ในช่วงปลายยุคพันแปดร้อยอยู่เลย

แน่นอนว่ามารีที่ข้ามไปข้ามมาระหว่างสองโลกนี้บ่อย ๆ ย่อมรู้สึกเฉย ๆ แต่สำหรับคนที่อยู่โลกเวทมนตร์นี้มาทั้งชีวิตก็คงจะตื่นเต้นเป็นธรรมดา

มาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะมีเอ๊ะกันบ้างว่าไอ้สามคนนี้คุยกันรู้เรื่องได้อย่างไรเพราะดูแล้วน่าจะมาจากคนละมุมโลก และคนละโลกกันอีก

 ง่าย ๆ เลยก็คือที่นี่คือโลกเวทมนตร์ พวกเขามีภาษาและตัวอักษรกลางที่ใช้สื่อสารกันนอกจากภาษาแม่ของบ้านเกิด ถ้าให้เทียบก็คล้ายกับการที่มนุษย์เราในหลายประเทศใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันนั่นแล

ไม่เหมือนกับในหนังฮีโรทีมกอบกู้จักรวาลบางเรื่องที่ตัวละครแต่ละตัวมาจากดาวคนละดวง แต่ดันพูดภาษาอังกฤษกันได้ปร๋อ 

ความพิเศษของภาษาเวทมนตร์ก็คือไม่ว่าคุณจะเป็นชนชาติใด พูดภาษาอะไร หรือมาจากโลกใด ภาษาเวทมนตร์จะทำการแปลให้ผู้ฟังได้ยินเป็นภาษาแม่ของตัวเองทันที และตัวอักษรต่าง ๆ ก็จะแปลเป็นตัวอักษรและคำในภาษาแม่ของผู้ที่อ่านมันได้อีกด้วย 

 

หลายชั่วโมงผ่านไป วาฬก็มาถึงจุดหมายในที่สุด เหล่าหนุ่มสาวเดินออกมาจากสะพานเทียบไปรอที่สายพานรับกระเป๋า เมื่อได้มา มารีก็เปิดกระเป๋าเดินทางหยิบไม้กายสิทธิ์ใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทเป็นอย่างแรก ตามด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์หลาย ๆ อย่าง เช่น ไม้กวาด หม้อปรุงยา ฯลฯ เอาใส่กระเป๋าสะพาย ถามว่าทำไมไม่เอากระเป๋าเดินทางใส่ไปด้วยล่ะจะได้ไม่ต้องถือ คำตอบก็คือกระเป๋านี้สามารถใส่ของที่มีความกว้างพอดีกับปากกระเป๋าเท่านั้น

เชื่อเถอะ ถ้าทำได้ เธอทำไปนานแล้ว 

ท่าอากาศยานปลายทางนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่พอสมควร มีการตกแต่งภายในอย่างเป็นระเบียบ และยังมีการปลูกต้นไม้เอาไว้เป็นจำนวนมากทำให้ดูสดชื่นสบายตา และยังคงมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเหมือนตอนที่เธอขึ้นวาฬมา ผู้โดยสารทุกคนต้องยื่นหนังสือเดินทางเพื่อประทับตราอีกครั้งจึงจะเข้าเมืองได้

เมื่อออกมา ภาพตรงหน้าก็คือเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสไตล์เรเนซองส์ที่ดูหนักแน่นมั่นคง แต่ก็แฝงด้วยรายละเอียดอ่อนช้อย โทนสีส่วนใหญ่คือขาวหม่น ๆ กับหลังคาสีน้ำเงิน ระหว่างสิ่งปลูกสร้างและตามถนนปูจากอิฐที่สะอาดสะอ้านก็มีต้นไม้และดอกไม้ที่ถูกปลูกเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใสเห็นดวงอาทิตย์กำลังไปทางขอบฟ้าทิศตะวันตกเพราะเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ

ที่นี่คือสาธารณรัฐโอวล์ฟอสเทียร์ เป็นนครอิสระไม่ขึ้นกับอาณาจักรใด ๆ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเวทมนตร์ที่ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต

แต่สำหรับมารีและพวกหนุ่มสาวที่มาที่นี่นั้น พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะท่องเที่ยวแต่อย่างใด

“พักกันคนละที่สินะคะ” ลูอานาดูเอกสารของตัวเอง 

“แล้วเจอกันเน่อ” ไทที่ดูอิ่มเอมเพราะได้รู้เรื่องหลาย ๆ อย่างของโลกมนุษย์โบกมือลา ก่อนจะเดินสะพายย่ามจากไป ลูอานาเองก็โบกมือลามารีและจากไปเช่นกัน

เด็กสาวกับแมวดำเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหิน ตอนนี้ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ตามข้างทางกำลังออกดอกสีขาวบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมา ยามเมื่อลมพัด กลีบดอกก็หลุดร่วงลงมาราวกับหิมะ

มารีแวะซื้อเครื่องดื่มที่ร้านแห่งหนึ่งเพื่อเติมพลัง มันถูกเรียกว่า “โทปิก้าโพชั่น” ตามชื่อของสัตว์วิเศษชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่จะออกไข่เป็นก้อนกลม ๆ นิ่ม ๆ สีดำขนาดหัวแม่โป้งจำนวนมาก โดยโทปิก้ามักจะถูกนำมาเป็นส่วนผสมของยาวิเศษหลายชนิด ซึ่งปรุงโดยการนำโทปิก้าตากแห้งมาบดเป็นผงและผสมกับน้ำ จะได้น้ำยาสีน้ำตาลอ่อนและส่งกลิ่นหอมหวาน

แต่เครื่องดื่มนี้ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แค่ทำเลียนแบบโดยการนำน้ำชามาผสมกับนมและน้ำตาลทรายแดง ราดลงไปบนวุ้นสีดำกลม ๆ หยุ่น ๆ ที่ทำเลียนแบบไข่ของโทปิก้า ซึ่งเครื่องดื่มนี้กำลังได้รับความนิยมกันมากในหมู่ผู้วิเศษ และสามารถหาซื้อได้ในหลายเมือง

รู้หรือไม่ว่ามนุษย์เราก็นิยมด้วย แต่เราแค่เรียกมันว่า “ชานมไข่มุก”   

มารีสั่งแบบหวานน้อยมา น่าทึ่งที่ภาชนะทั้งหมดทำจากกระดาษ ทั้งแก้ว ฝาปิดและหลอด ไม่มีอะไรเป็นพลาสติกเลย เธอดื่มมันไประหว่างที่เดินชมดอกไม้ด้านบน

“...อร่อยจัง”

โครมม!!

แต่ยังไม่จะได้เพลิดเพลินกับรสชาติหวาน ๆ นุ่ม ๆ ของน้ำชาแบบเต็มที่ แก้วที่น่าสงสารก็ร่วงลงไปแตกกระจายกับพื้นดังแผละ เพราะมารีดันเดินชนเข้ากับใครบางคน

“...”

“...”

มารีก้มมองของเหลวสีน้ำตาลที่เจิ่งนองเต็มพื้นกับเม็ดไข่มุกดำ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นของว่างของนัวร์ไปแล้ว ก่อนจะหันมามองไอ้บ้าที่มาเดินชนเธอ

“นี่ ยังไม่คิดจะขอโทษอีกเหรอ” แต่กลายเป็นว่าฝ่ายจำเลยกลับกล่าวหาเธอเสียอย่างนั้น ทำเอาคิ้วของเด็กสาวเชิดขึ้นทันที

“...คนที่ต้องพูดแบบนี้ต้องเป็นฉันไม่ใช่เหรอ”

“หา?” อีกฝ่ายยังไม่ยอม “ฉันยืนอยู่เฉย ๆ แล้วเธอก็มาเดินชนฉันนะ”

“...”

“เมี้ยว” นัวร์ร้องใส่เธอเหมือนกับจะบอกว่า...จริง

“...” พอนึก ๆ ดู เมื่อครู่เธอกำลังทำอะไรนะ 

กำลังเดินชมวิวไปดูดชานมไป ส่วนอีกฝ่ายดูเหมือนจะกำลังยืนอ่านป้ายแผนที่ของเมืองอยู่...

“...” ใบหน้ากับใบหูขาว ๆ เริ่มกลายเป็นสีชมพู และแดงขึ้นเรื่อย ๆ

มารีรีบหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาโบก น้ำชาที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นก็พลันลอยกลับเข้ามาอยู่ในแก้วราวกับกดเล่นภาพย้อนกลับ แล้วแก้วก็ลอยกลับเข้ามาอยู่ในมือเธอเหมือนเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“...ขอโทษค่ะ” เด็กสาวกล่าวก้มหัวเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินลากกระเป๋าดุ่ย ๆ หนีไปทันที      

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา