ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
3,999 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) Ridiculous things and tropical fruits
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ12
Ridiculous things and tropical fruits
หลายสัปดาห์ต่อมา การเรียนที่โฮมยังคงดำเนินไปตามปกติ รวมทั้งวิถีชีวิตของมารีที่เริ่มปรับตัวการการเรียนและการใช้ชีวิตอยู่ที่โอวล์ฟอสเทียร์ได้แล้ว แต่เธอและพวกเพื่อน ๆ รู้สึกว่าหัวตัวเองเริ่มโตขึ้นเพราะต้องแบกรับเนื้อหาปริมาณมากในสมอง
รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเพราะใกล้เข้าสู่ฤดูร้อน มวลดอกไม้หลากสีสันค่อย ๆ กลืนหายไปกับสีเขียวเข้มของใบไม้
ช่วงสัปดาห์กลางเดือนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นอีกช่วงที่มีความสำคัญ นั่นเพราะในตอนนี้มารีกับเพื่อน ๆ กำลังนั่งเหงื่อตกกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่มีทั้งให้กากบาทคำตอบที่ถูกต้องและเขียนบรรยายความรู้ที่ตัวเองได้รับมาตลอดสามเดือนแรกของการเรียนที่นี่
สถานที่สอบเป็นที่เดียวกับตอนที่พวกเด็ก ๆ สอบเข้า นั่นคือชั้นหนึ่งของอาคารฝั่งตะวันออก แต่ละวิชาจะใช้เวลาทำข้อสอบหนึ่งชั่วโมง สอบวันละสองวิชา จะเป็นช่วงเช้าหรือบ่ายก็แล้วแต่ทางโรงเรียนจะจัดตาราง เพราะยังมีพวกปีสองกับปีสามด้วย
เมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาบนผนังมาบรรจบที่เลขสิบสองพร้อมกัน เสียงระฆังหมดเวลาก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงถอนหายใจดังออกมาจากพวกนักเรียนอย่างพร้อมเพียงโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะหยิบกระดาษคำตอบไปส่งให้อาจารย์ลุดวิกที่นั่งคุมสอบ
“มารี ๆ ข้อยี่สิบตอบอะไรเหรอคะ”
ระหว่างที่เดินออกมาจากห้องสอบ ลูอานาที่ดูไม่ค่อยมั่นใจนักก็มาถามเธอ
“ไม่เห็นจะยากเลยเน่อ ก็แค่ใช้สูตรแล้วแทนค่า...” แต่คนที่เสนอหน้ากลับเป็นเจ้าไท หนุ่มหน้าหวานสาธยายวิธีทำอย่างละเอียด เล่นเอาสาวชาวเผ่าค้างนิ่งไป แม้จะใส่หน้ากากอยู่แต่มารีเดาได้เลยว่าใต้นั้นคงกำลังอ้าปากหวอ
จริง ๆ มารีก็อยากจะแย้งว่าที่พูดมามันผิดไปนิดหน่อยก็เถอะ แต่ปล่อยไว้ให้ช็อคตอนเห็นคะแนนแล้วกัน
หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ พวกเด็ก ๆ ก็ขึ้นมาที่ห้องชมรมหลังจากที่เข้าไม่ได้มาอาทิตย์กว่า ๆ เพราะกิจกรรมชมรมถูกสั่งให้พักชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบ แม้พวกนักเรียนร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าจะอ่านหนังสือเตรียมสอบกันคืนสุดท้ายแค่วันเดียวก็เถอะ
ถึงจะชื่อว่าเป็นชมรมสืบสวนปริศนา แต่ที่ผ่านมา กิจกรรมที่พวกเด็ก ๆ ทำส่วนใหญ่นั่นไม่ค่อยจะตรงกับจุดประสงค์ของชมรมสักเท่าไหร่นัก อย่างเดรโกกับไทมักจะชอบเล่นประลองเวทย์กัน ลูอานาชอบปรุงน้ำยาแปลก ๆ ขึ้นมา ส่วนมารีก็กินขนมกับดื่มน้ำชา ไม่ก็วาดรูปเล่นหรืออ่านหนังสือ แต่ที่ปรึกษาชมรมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะอาเทเนียเองก็มักจะมาร่วมวงน้ำชาด้วยบ่อย ๆ
ส่วนอาเรียนั้น เห็นว่าไปสมัครเป็นบรรณารักษ์และอยู่ประจำห้องสมุดข้างล่างนี่เอง ทีแรกเธอก็อยากจะมาเข้าชมรมของมารี แต่อาเทเนียให้เหตุผลไปว่าไม่รับสมาชิกเพิ่มแล้ว และมารีเองก็ไม่อยากให้เธอมายุ่งกับพวกเพี้ยน ๆ นี่หรอก
“อ้าสวรรค์...”
หนุ่มหน้าหวานเป็นคนแรกที่ทิ้งตัวลงบนพื้นห้องเย็น ๆ ตามด้วยลูอานา อากาศในห้องค่อนข้างร้อนอบอ้าวแม้จะเปิดหน้าต่าง เพราะว่าอยู่ชั้นสามและรับพลังงานความร้อนจากแสงแดดเต็ม ๆ เครื่องแบบแขนสั้นของทั้งสองชุ่มไปด้วยเหงื่อระหว่างเดินมาที่นี่
“นี่ยังไม่เข้าฤดูร้อนเต็มตัวเลยนะคะ หลังจากนี้จะขนาดไหนเนี่ย” ลูอานาที่นอนแผ่หลาบนพื้นเย็น ๆ พูดขึ้นมา “ร้อนพอ ๆ กับที่คาอิมานาเลยนะ”
“สู้สุวรรณภูมิไม่ได้หรอกเน่อ มีคำกล่าวกันว่าคนสุวรรณภูมิน่ะซ้อมลงนรกทุกวัน” เจ้าไทว่า “มารี เสกคาถาปรับอากาศให้หน่อยสิเน่อ”
“เอามายี่สิบอาร์เกนทัม”
“งืม”
มารีหยิบไม้กายสิทธิ์คริสตัลออกมา จากนั้นก็โบกสะบัดไม้กายสิทธิ์เป็นท่าทางเพื่อเสกคาถา ทันใดนั้นอากาศในห้องก็ลดฮวบ ทั้งสองหน่อครางออกมาอย่างผ่อนคลาย นอกจากเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนก็มีมารีเนี่ยแหละที่เสกคาถานี้เป็น เดิมทีเธอก็ตั้งใจจะสอนเพื่อน ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็โดนบอกมาว่ามันยากเกินไป
“ร้อน ๆ แบบนี้ก็อยากกินผลไม้เขตร้อนขึ้นมาเลยแฮะ พวกที่เปรี้ยว ๆ ถ้าเอามาลอยแก้วกินกับน้ำแข็งนี่สุดยอดเลยล่ะ” เจ้าไทที่จ้องไปที่เพดานเพ้อออกมา
“พูดแล้วก็อยากกินเหมือนกันเลยค่ะ ไม่ได้กินนานแล้วด้วย แต่ที่นี่หาซื้อไม่ได้เลยนะคะ ที่เอลเดนก็ราคาแพงเกิน” ลูอานาว่า “ถ้าใช้อิททิเนรันทัวร์ข้ามไปซื้อที่คาอิมานาได้ก็คงจะดี”
“นั่นสินะเน่อ ถ้าได้กลับไปสุวรรณภูมิคงจะดีเหมือนกัน” ไทถอนหายใจออกมา มารีสังเกตเห็นว่าหน้าของเขาดูจะหมองลงเล็กน้อย
ประตูห้องชมรมเปิดออกอีกครั้ง ทำให้ดวงตาทั้งสามคู่กันไปมองพร้อมกัน เดรโกรัสเดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูด ๆ ที่แขนขวาของเขาหิ้วกล่องกระดาษใบใหญ่เอาไว้
“อะไรน่ะคะ” ลูอานาที่ยังนอนอยู่ถามขึ้นมา
“ของฝากน่ะ” เดรโกรัสถอนหายใจ “ทำอะไรกันอะทั้งสองคน”
“มันเย็นดีน่ะเน่อ” เจ้าไทบอกก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาเพราะสนใจกล่องปริศนา “ใครส่งมาน่ะ เนื่องในโอกาสอะไรก๊ะ เอ๊ะหรือว่า...”
“ไม่ต้องคิดอะไรแปลก ๆ เลย แม่เราส่งมา” เดรโกว่า
“เห อะไรน้า เปิดเลยค่ะ เปิดเลย” ลูอานากระเด้งตัวขึ้นมาอีกคน และมองดูกล่องด้วยความสนใจ
เดรโกยกกล่องพัสดุมาตั้งที่โต๊ะตรงโซฟา มารีและคนที่เหลือมานั่งล้อมวงรอบ ๆ หนุ่มผมแดงค่อย ๆ แกะเชือกที่มัดกล่องเอาไว้ จากนั้นก็เปิดกล่องและเอามือล้วงลงไป
สิ่งแรกที่เขาหยิบขึ้นมาก็ทำเอาตาของเจ้าไทเป็นประกาย เพราะมันคือ...กะโหลกมนุษย์อันหนึ่ง
“กรี๊ดดดด!!”
ไม่ถึงเสี้ยววินาที สาวชาวเผ่าของเราก็ไปนั่งหลบมุมเอามือปิดหูตัวสั่นริก ๆ อยู่มุมห้อง และพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาถิ่นของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ใส่หน้ากากน่ากลัว ๆ นั่นตลอดเนี่ยนะแม่คุณ มารีมองตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมาหาเดรโกต่อ
สิ่งต่อมาที่เขาหยิบออกมาจากกล่องก็คือก้อนหิน โง่ ๆ หนึ่งก้อน และเสื้อคลุมเก่าหนึ่งตัวที่ถ้าพูดตรง ๆ คงเรียกว่าผ้าขี้ริ้ว และสิ่งสุดท้ายก็คือจดหมายทำจากกระดาษปาปิรัสเขียนด้วยเลือดสีแดงสดแบบหวัด ๆ ขาด ๆ หาย ๆ
“อยู่ที่อารจัน ตอนนี้สบายดี” เดรโกอ่านข้อความพลางถอนหายใจออกมา
“แม่เดรโกรสนิยมแปลกดีนะ” ไทหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
“ฆาตกรรมอำพรางเหรอ” มารีจับแว่นมองดูของบนโต๊ะด้วยหน้าเรียบเฉย
“เปล่าหรอก” หนุ่มผมแดงยักไหล่ ก่อนจะหยิบกะโหลกขึ้นมาและโชว์แผ่นกระดาษโน้ตเล็ก ๆ ที่ห้อยกับเชือกที่มัดติดกับกระดูกกรามอีกทีให้ดู มีข้อความเขียนว่าเจ้านี่คือปีศาจโครงกระดูกเดินได้ จากดันเจี้ยนสุสานโบราณที่อารจัน ดินแดนทะเลทรายอันไกลโพ้น
ก้อนหินโง่ ๆ นั้นมีข้อความบอกว่าเป็นชิ้นส่วนที่แตกออกมาของมหาพีระมิดซึ่งเป็นที่ตั้งของดันเจี้ยนนี้
ผ้าขี้ริ้วนั้น เป็นผ้าคลุมของปีศาจหมอผีที่เฝ้าประตูขุมทรัพย์อยู่ ซึ่งกว่าจะโค่นลงได้ก็แทบแย่
ส่วนจดหมายนั้นก็เขียนจากเลือดของสฟิงซ์ที่เฝ้าพีระมิดอยู่โดยใช้ปากกาโบราณทำจากต้นอ้อและกระดาษจากต้นกกซึ่งค้นพบในดันเจี้ยน
“มันก็มีเรื่องราวดีนะ แต่ว่า...”
“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนี่” มารีถอนหายใจออกมา พลางหยิบของแต่ละอย่างมาดู
“ถ้าส่งสมบัติมาให้ก็จะไม่ว่าเลยนะ” หนุ่มผมแดงหัวเราะออกมา “แต่ก็เข้าใจแหละว่าต้องยกส่วนนั้นให้กิลด์เพื่อเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ล่ะนะ”
“แม่เดรโกทำงานที่กิลด์ก๊ะ”
“อือ เป็นนักโบราณคดีน่ะ แล้วก็เป็นนักผจญภัยด้วย เวลานางไปลุยดันเจี้ยนที่ไหนก็จะส่งของแบบนี้มาให้เป็นของขวัญหรือของฝากน่ะ เป็นคนที่เก่งสุด ๆ แต่ก็อย่างที่เห็น...เซนส์เรื่องการให้ของฝากของนางแย่สุด ๆ เลย”
เป็นคุณแม่ที่น่าสนใจดีแฮะ
ระหว่างนั้นเอง เจ้านัวร์ก็เข้ามาในห้องและเดินมาหามารี ทันทีที่ลูอานาเห็น เธอก็ตะเกียกตะกายไปหาเขาเพื่อเยียวยาจิตใจทันที
“เมี้ยว” ดวงตาสีเหลืองหันมาจ้องมารีในระหว่างที่โดนลูอานาลูบไล้ขนนุ่ม ๆ
“โผล่มาแล้วสินะ” เธอว่า เจ้านัวร์ส่งเสียงเมี้ยวตามมาอีกครั้ง
“มีอะไรเหรอ” เดรโกที่มองนัวร์กับมารีถามงง ๆ
“ขอไปในเมืองหน่อยนะ เอาอะไรไหม” มารีลุกขึ้นยืน แต่หลังจากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาเลย
ณ ย่านการค้า มารีเดินตามนัวร์ที่วิ่งเหยาะ ๆ ด้วยหน้าบูด ๆ นั่นเพราะไอ้สามหน่อขอตามมาด้วย เห็นว่าจะแวะไปหาของหวานกินฉลองสอบเสร็จกันสักหน่อย แต่ละคนต่างกางร่มเพื่อปกป้องผิวอันบอบบางจากแสงแดดที่ไม่มีทีท่าว่าจะปราณีเลย ยิ่งช่วงหลังเที่ยงวันแบบนี้ด้วย
“สังเกตมานานแล้วล่ะ มารีฟังนัวร์ออกเหรอคะ” ลูอานาถามขึ้นมา
“อืม เจ้าของจะฟังสัตว์รับใช้ออกน่ะ”
“สุดยอดเลยนะเน่อ ไว้มีตังค์เยอะ ๆ ค่อยหานกฮูกมาใช้สักตัวดีกว่า หรือแมวดีนะ” เจ้าไทยกมือที่ว่างอีกข้างมาลูบคางครุ่นคิด
“แล้วมาทำอะไรในเมืองเหรอ” เดรโกถามขึ้นมา
“เรื่องส่วนตัว จบนะ”
มารีส่งหน้าตายด้านให้ หรือก็คือการพูดเป็นนัย ๆ ว่าอย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน
“แดดร้อนอยู่แท้ ๆ แต่รู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีเลยแฮะ”
มารีมาหยุดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านกระจกหน้าร้านเข้าไป ก็เห็นถ้วยโถโอชามรามไหมากมายวางอยู่เต็ม มีทั้งแบบทั่ว ๆไปหลากหลายขนาด และดีไซน์แบบผู้ดี๊ผู้ดีที่ราคาน่าจะแพง
“จะมาซื้อชุดน้ำชาเพิ่มเหรอคะ ในห้องชมรมเราก็เยอะแยะนะ”
ทว่าพอเห็นหน้าตายด้านของมารี แม่สาวชาวเผ่าก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ไปกินกันก่อนเลย เดี๋ยวตามไป” เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดประตูร้านเข้าไป
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินหายลับไปแล้ว มารีที่ทำเป็นเลือกของก็ค้อมศีรษะให้พนักงานเล็กน้อยและเดินออกจากร้านมาพร้อมกับนัวร์ แน่นอนว่าเธอทำเป็นเข้าร้านก็เพื่อให้เพื่อน ๆ แยกออกไปนั่นแหละ
เด็กสาวกับแมวดำเดินเตร่ไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นเองเธอก็สังเกตเห็นแมวขาวตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกำแพงและส่งตาสีฟ้าแป๋ว ๆ มา แน่นอนว่ามารีจำมันได้เพราะทุกครั้งที่มาย่านการค้าก็จะเจอมันตลอด
เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าทำไมมันต้องเหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้กับปลอกคอด้วย และคุณเธอก็เป็นแมวที่ไม่ยอมให้ใครเข้าหาเลย ครั้งนึงมารีพยายามเอาขนมมาล่อ เธอก็เมินหนีไปเสียอย่างนั้น
ในที่สุดมารีกับนัวร์ก็มาถึงที่หมาย ทั้งคู่หยุดยืนที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งที่แทบไม่มีอะไรสะดุดตา ไม่มีสินค้ามาโชว์หน้าร้าน ส่วนป้ายชื่อร้านก็ตัวเล็กและสีกลืนไปกับผนังจนมารีอ่านไม่ออก
เธอเก็บร่มและเปิดประตูร้านเข้าไปด้านใน มีเสียงกระดิ่งประตูดังขึ้นเบา ๆ
ถ้าเธอทำงานที่นี่คงรู้สึกดีใจมากที่มีลูกค้าหลงเข้ามา แต่สิ่งที่เธอเจอก็คือพนักงานที่เป็นชายแก่ ๆ นอนฟุบหลับอยู่กับเคาน์เตอร์ ภายในร้านเต็มไปด้วยของแปลก ๆ มากมาย อย่างเช่นตำราชื่อว่าวิธีการล่องหน 101 ที่เปิดเข้าไปก็ไม่มีตัวอักษรใด ๆ ในหน้ากระดาษเพราะเขียนด้วยหมึกล่องหน หรือไม้กวาดสำหรับบินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เพราะมันบินไม่ได้ หรืออุปกรณ์ป้องกันคาถาสว่างวาบที่จริง ๆ ก็เป็นแค่ที่แว่นกันแดด เป็นต้น
นี่มันไม่ต่างอะไรกับของฝากจากคุณแม่ของเดรโกเลยนี่หว่า
ไม่แปลกใจเลยที่เจ้านั่นจะมาเกิดในที่แบบนี้
“เมี้ยว” นัวร์มาหยุดตรงหน้าตู้ไม้หลังหนึ่ง มีข้อความเขียนเอาไว้ว่าเป็นตู้เสื้อผ้าเวทมนตร์ที่สามารถป้องกันฝุ่นและผ้าสีตกได้
ก็ปิดซะขนาดนี้ ฝุ่นมันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ แถมไม่โดนแดดด้วย สีมันจะไปตกได้ยังไงกัน
มารีถอนหายใจก่อนจะเปิดตู้ออกมา เธอเอี้ยวตัวไปหยิบปากกาหมึกล่องหน (ที่เขียนอะไรออกมาไม่ได้) ใกล้ ๆ กันแหย่เข้าไปที่ผนังตู้ด้านในและชักออกมา ไม่มีร่องรอยของการกัดกร่อนหรือกลิ่นไหม้
“รออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวรีบไปรีบกลับ” มารีหันไปบอกกับนัวร์ เขาส่งเสียงเมี้ยวให้หนึ่งที และไปนอนแผละที่มุมหนึ่ง เด็กสาวปีนเข้าไปในตู้และทะลุผนังตู้เข้าไป
เมื่อออกมา มารีก็พบว่าเธอมาโผล่ในซอยมืด ๆ มองไปไกล ๆ พอจะเห็นถนนที่มีไฟทาง อากาศร้อนชื้น ต่างกับที่โอวล์ฟอสเทียร์ที่ร้อนแห้ง ๆ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นควันของรถยนต์ปนกับกลิ่นไอทะเลลอยมาจาง ๆ
มารีโบกไม้กายสิทธิ์ไปหนึ่งที เครื่องแบบนักเรียนแขนยาวของเธอแปรเปลี่ยนเป็นชุดลำลองทั่ว ๆ ไป แบบที่พวกชาวต่างชาติมักใส่เวลามาเที่ยวประเทศเขตร้อน เธออามือตบ ๆ เสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหันกลับไปข้างหลังเพราะรู้สึกแปลก ๆ
“...”
มารีทำหน้าตายด้าน ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยและเดินเข้าไปใกล้ ๆ ไอ้บ้าสามคนที่พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเพราะคิดว่าคาถาหลอกสายตาจะใช้ได้ผล
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
มารีเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสามที่เดินคอตกจนมาถึงถนนใหญ่ จากนั้นก็เดินเลาะฟุตบาทไปเรื่อย ๆ ไม่ไกลนักก็สามารถมองเห็นหลังคาผ้าใบจำนวนมากตั้งเรียงราย และมีควันลอยฟุ้งขึ้นมา มวลชนมหาศาลเดินกันอย่างคึกคัก ในมือของแต่ละคนถือของกินที่เห็นแล้วน้ำลายไหลออกมาทันที
“ขอโทษนะที่แอบตามมา ไอ้สองตัวนี้มันเซ้าซี้น่ะสิ” เดรโกพูดขึ้นมา เขาเป็นคนเดียวที่หัวไม่โน แม้จะโดนมารีประเคนมะเหงกให้ไปคนละชุดก็ตาม
“ก็มันน่าสงสัยนี่นา” เจ้าไทที่หัวปูดเป็นลูกมะนาวและมีควันลอยฉุยว่า “จริงอย่างที่อาจารย์อาเทเนียเคยบอกไว้เลย คาถาหลอกสายตาใช้ไม่ได้ผลกับมารีสินะ”
“บอกแล้ว ไม่เชื่อกันเองนะ” หนุ่มผมแดงหัวเราะ ตอนนี้ทั้งสามคนโดนมารีเสกคาถาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป หน้ากากของลูอานากลายเป็นหน้ากากอนามัยกับแว่นกันแดดแทน ส่วนแว่นกันลมของเดรโกก็กลายเป็นแว่นกันแดดสีทึบ คาถานี้ไม่ใช่คาถาหลอกสายตา แต่เป็นการเปลี่ยนรูปทรงของเสื้อผ้าไปเลย
นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้สามตัวนี้ผ่านสายตาของนัวร์มาได้ยังไง หรือเจ้าแมวนั่นปล่อยให้มาก็ไม่รู้ กลับไปต้องไปคิดบัญชีสักหน่อย คิดแล้วมารีก็เดาะลิ้นออกมาเสียงดังจนเพื่อนทั้งสามสะดุ้ง
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถือว่ามาหาอะไรกินก็แล้วกัน” มารีถอนหายใจออกมา “อยู่ใกล้ ๆ ไว้ล่ะ ถ้าหลงก็อยู่ที่นี่ไปนะ”
“งือ” ลูอานาครางออกมาพลางลูบหัวที่โน
“เมื่อกี้เราเพิ่งข้าม เกท กันมาสินะ” หนุ่มผมแดงว่า มารีพยักหน้าให้นิ่ง ๆ
เกท คือชื่อเรียกของประตูมิติที่เชื่อมต่อระหว่างโลกเวทมนตร์กับโลกมนุษย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ว่ากันว่ามันเกิดมาจากการที่อาร์คานาพยายามทดลองเวทมนตร์สร้างประตูมิติแต่ผิดพลาดจนทำให้มิติของโลกเวทมนตร์รวนจนมาบรรจบกับมิติของโลกมนุษย์ และนั่นก็ทำให้มีมนุษย์เผลอข้ามเกทเข้ามาจำนวนมากเมื่อสองพันปีก่อนและนำมาสู่อารยธรรมของเหล่าผู้วิเศษตามที่อาจารย์อวาลินสอน
มารีใช้ประโยชน์จากเจ้าสิ่งนี้ในการเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองโลก ส่วนใหญ่ก็เพื่อการท่องเที่ยวนั่นแหละ
เกทมักจะเกิดในที่อับสายตา หรือที่ ๆ ไม่ได้รับความสนใจจากคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดบ่อยครั้งนัก และเราจะไม่มีวันรู้ว่าเกทเชื่อมต่อไปยังที่ใด มารีจึงต้องทำการทดสอบก่อนเสมอ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่มันพาไปปากปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับจนเกือบตกลงไปในลาวา
กระนั้น ก็ไม่ได้มีแต่มารีที่ใช้ประโยชน์ของเจ้าสิ่งนี้หรอก ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ใช้เกทในการข้ามไปข้ามมาเพื่อทำเรื่องแย่ ๆ อยู่ด้วยเหมือนกัน มารีถึงไม่อยากให้ใครมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้
ทั้งสี่เดินมาถึงถนนคนเดินตั้งอยู่บนถนนเลียบชายหาด มีของกินแนวสตรีทฟู้ดหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารทะเลสด ๆ เพื่อนทั้งสามมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นของกินแปลก ๆ ที่ตั้งเรียงราย
ในตอนนั้นเอง เจ้าไทก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ดวงตาสีน้ำชาของเขาเบิกกว้างและเป็นประกาย
“ที่นี่ก็มีเหรอ!!” หนุ่มหน้าหวานวิ่งเข้าไปดูผลไม้บนแผง มีผลไม้สีแดงที่มีขนหยิกหยอยสีเขียว ผลไม้สีม่วงกลมมีขั้วและกลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง ผลไม้สีแดงที่มีเปลือกเหมือนกับเกล็ดงู และที่แปลกสุดคือผลไม้ขนาดใหญ่สีเขียวตุ่น ๆ ที่มีผิวเป็นหนามทั้งลูก ลูอานากับมารีไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก ส่วนเดรโกนั้นดูจะไม่ค่อยไว้ใจ
“แน่ใจนะว่ากินได้” หนุ่มผมแดงยิ้มแห้ง ๆ “ไอ้อันที่เป็นสีม่วงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ที่เหลือนี่มันรู้สึกขนลุกแปลก ๆ”
“#$%^&*” แม่ค้าถามพวกเด็ก ๆ ด้วยภาษาท้องถิ่น แน่นอนว่ามารี เดรโกกับลูอานาฟังไม่ออก แต่ไทนั้น...
เด็กหนุ่มหน้าหวานชี้บอกด้วยภาษาแบบเดียวกันด้วยตาเป็นประกาย แก้มของเขากลายเป็นสีชมพูจาง ๆ
แม่ค้าพูดอะไรบางอย่าง ได้ยินดังนั้นไทก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหามารี
“เขาบอกว่าทุเรียนโลละร้อยแปดสิบ สละโลหกสิบ เงาะกับมุงคุโลสามสิบ ว่าแต่อะไรคือโลอะ”
“น่าจะหมายถึงกิโลกรัม เป็นหน่วยน้ำหนักของมนุษย์น่ะ” มารีเบ้ปากบอก
ไทหยิบสละ เงาะกับมังคุดอย่างละนิดละหน่อยแค่พอชิมเล่น และทุเรียนอีกหนึ่งลูก ซึ่งแม่ค้าบริการปอกและเอาใส่ถาดโฟมห่อด้วยแรปใสให้เลย เนื้อในของมันเป็นสีเหลืองอ่อน ส่งกลิ่นหอมหวานออกมา
มารีแอบสังเกตเห็นว่าเดรโกทำหน้ามุ่ย ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าทำไม
ไทหยิบเงินออกมาจากย่าม แต่ก็ต้องชะงักไปและหันมาหามารีอีกรอบ
“ที่นี่เขาใช้เงินอะไรกันอะ”
“...”
มารีถอนหายใจและเอากระเป๋าสตางค์ออกมา เธอหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้หลายใบ เจ้านี่เป็นกระเป๋าวิเศษที่สามารถแปลงเงินในกระเป๋าเป็นสกุลอะไรก็ได้ ขอเพียงแต่มีเงินค้างอยู่ในกระเป๋าก็พอ
แต่ถ้าเสกเงินขึ้นมาได้เองก็จะดีไม่น้อยเลย
มารีกับเพื่อน ๆ ซื้อของกินเล่นกันมาคนละนิดละหน่อย ส่วนใหญ่เป็นพวกขนมเพราะพวกเขากินอาหารกลางวันที่โรงเรียนมาแล้ว ทั้งสี่มานั่งตรงที่นั่งของสะพานที่ทอดลงมาในทะเลในจุดที่มีคนอยู่น้อย เสียงคลื่นซัดโขดหินของฐานสะพานดังเป็นระลอก ลมเย็น ๆ พัดปะทะร่างกาย มองไปฝั่งหนึ่งก็เห็นภูเขาลูกเตี้ย ๆ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงแปลกตาตั้งอยู่บนยอดเขา เมื่อมองไปที่ทะเลก็เห็นรูปร่างลาง ๆ ของภูเขาลูกใหญ่ที่ดูคล้ายกับท่อนบนของคนนอนหงายอยู่ ท้องฟ้ามืดสนิท เห็นประกายแสงของดวงดาวบนฟ้าประปราย
มารีวานให้เดรโกช่วยเสกคาถาทำความสะอาดเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก เพราะเธอไม่อยากชักไม้กายสิทธิ์ออกมาให้มันประเจิดประเจ้อ เขาเอามือไปจ่อ ๆ ที่ถุงผลไม้ มีแสงสีฟ้าเรือง ๆ ออกมาจากแหวนเวทมนตร์ที่นิ้วกลางและถุงผลไม้แวบหนึ่ง
“เอานี่ก่อนแล้วกันเน่อ เจ้านี่เรียกว่าเงาะ ข้างในจะมีเม็ดอยู่ กัดเฉพาะเนื้อแล้วก็คายเม็ดออกมา อาจจะมีเปลือกติดกับเนื้อไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มเนื้อสัมผัสล่ะ” ไทหยิบเงาะมาบิดปอกเปลือกและส่งให้แต่ละคน
แต่เอาจริง ๆ คนที่เคยกินเจ้านี่เป็นครั้งแรกคงมีแต่เดรโก เพราะลูอานาเองก็เป็นคนเขตร้อน และมารีเองก็เคยมาที่ประเทศนี้แล้ว
“หวานดีนะ แต่รูปลักษณ์มันก็...” หนุ่มผมแดงกอดอก แก้มข้างหนึ่งของเขาโป่งขึ้นจากผลเงาะ
“อันนี้มังคุด ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งผลไม้เลยเน่อ อันที่เม็ดลีบ ๆ ก็เคี้ยวไปได้เลย แต่อันไหนเม็ดใหญ่ก็อย่าฝืน ส่วนอันนี้สละ จะเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ข้างในจะมีเม็ดแข็ง ๆ อยู่ ไม่ต้องกินเข้าไปล่ะ” ต่อมา ไทก็บิดมังคุดและแกะเปลือกสละส่งให้เพื่อน ๆ
“อืม อันนี้สดชื่นดีแฮะ อันที่ชื่อสละก็หอมดีด้วย” เดรโกเลิกคิ้วและเอ่ยปากชม ดูท่าจะถูกใจสองอันนี้
และสุดท้ายคือบอสใหญ่...
“หึ ๆ เตรียมตัวให้ดี นี่คือราชาแห่งผลไม้ล่ะ” ไทแกะแรปของถาดทุเรียนและโชว์ให้เพื่อนชาย แต่มารีเดาปฏิกิริยาออกแล้ว
“อึก...อันนี้ขอผ่าน ไม่ไหวกับกลิ่นมันจริง ๆ” หนุ่มผมแดงเอามืออุดจมูก
“หึ ๆ มีแต่พวกอ่อนหัดเท่านั้นแหละที่เหม็นกลิ่นทุเรียน” ไทย้ายถาดทุเรียนไปที่มารีกับลูอานา ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพราะรู้สึกว่ามันหอม
“พวกอ่อนหัด” มารีหยิบชิ้นทุเรียนมาเคี้ยวตุ้ย ๆ และมองพ่อหนุ่มผมแดงด้วยสายตาเยาะเย้ย
“ใช่ค่ะ พวกอ่อนหัด” ลูอานาเล่นด้วยอีกคน
“อย่าแกล้งกันสิ”
“ว่าแต่ ไทฟังภาษาคนที่นี่ออกด้วยเหรอคะ” ลูอานาถาม
“อือ ถึงสำเนียงจะแปลก ๆ ก็เถอะ แต่ก็พอจะฟังออกอยู่ พวกตัวอักษรนี่ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเลย แต่ว่า...” เด็กหนุ่มหน้าหวานตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าอยู่ ๆ ก็ค้างไป และก็เริ่มมีน้ำตาผุดซึมออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอามารีและอีกสองคนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เหมือน...ได้กลับมาที่บ้านเกิดเลย”
ความเงียบเข้าปกคลุมไปชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงเสียงคลื่นและเสียงของสายลมที่พัดผ่านไปที่ดังรอบบริเวณ
“ไทเองก็เป็นคนสุวรรณภูมิสินะ ที่มาอยู่ที่เอลเดนก็เพราะลี้ภัยใช่ไหม” เดรโกพูดขึ้นมา
“อือ” อีกฝ่ายพยักหน้า พลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา
“เหมือนฉันเลยนะคะ พอเห็นทะเลกับได้ยินเสียงคลื่นแล้วก็ชวนให้คิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาเหมือนกัน” ลูอานาพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ พลางแง้มหน้ากากอนามัยและหยิบชิ้นทุเรียนเข้าปากเคี้ยวเงียบ ๆ
“ทำไมเหรอ” มารีถามเพื่อน ๆ เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองในโลกเวทมนตร์เท่าไรนัก
“เดิมสุวรรณภูมิปกครองด้วยระบอบกษัตริย์น่ะ เป็นหนึ่งในเจ็ดราชอาณาจักรใหญ่ของผู้วิเศษ” เดรโกบอก พลางลูบหัวของเพื่อนชาย “แต่ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมีการปฏิวัติล้มล้างการปกครองไปเป็นเผด็จการ แล้วก็ปิดประเทศไม่ให้คนเข้าออกมาตั้งแต่นั้น”
“พ่อแม่ของข้าน้อย...โดนพวกปฏิวัติจับเผาทั้งเป็น...” ใบหน้าของไทเริ่มบิดเบี้ยว น้ำตาไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้าไม่ได้ลุงช่วยไว้ ป่านนี้ก็คง...”
ลูอานาที่นั่งขนาบข้างไทอีกฝั่งยกมือขึ้นไปลูบหลังของเขาเบา ๆ
“ฉันเองก็เสียครอบครัวไปเพราะสงครามเหมือนกันค่ะ ทั้งพ่อ แม่ แล้วก็พี่สาว” ลูอานาพูดขึ้นมา เสียงของเธอเริ่มสั่นกว่าเดิม
ภาพของเสาไม้จำนวนมากที่มารีไปเจอตอนที่ไปช่วยลูอานาเมื่อคราวที่เรียนคาถาสร้างประตูมิติยังคงติดอยู่ในความทรงจำ พอนึกว่าทั้งสองคนนี้ต้องเจออะไรมา มันก็พลอยทำให้รู้สึกจุกอกไปด้วย
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ น่ากินจังเลยนะ”
“!?”
ในตอนนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาแซวพวกเด็ก ๆ เขามีผมเซอ ๆ สีดำ ดวงตาสีน้ำตาลแดง ใบหน้าหล่อเหลาแบบชาวเอเชียตะวันออก สวมชุดฮาวายทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น
ทว่านั่นกลับทำให้มารีเบิกตากว้าง เธอลุกขึ้นและชักไม้กายสิทธิ์จ่อใส่เขาทันที
“แหม ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะแย่งพวกเธอกินหรอกน่า” ชายหนุ่มยกมือและยิ้มอย่างขี้เล่น
ระหว่างนั้นเองมารีก็มองไปรอบ ๆ ก่อนที่ใจของเธอจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นั่นแพราะผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างฟุบหลับกันไปหมด บางคนก็ลงไปนอนอยู่ที่พื้น พวกเพื่อน ๆ ต่างมองด้วยความตกใจเช่นกัน
แต่ก็ยังมีคนที่ยืนอยู่หลายคน ทว่าพวกเขากลับแต่งกายด้วยเสื้อคลุมกับหมวกปีกกว้างสีดำ และสวมหน้ากากหนังที่มีจะงอยปากยื่นออกมาเหมือนนก เห็นดังนั้น ทั้งเดรโก ไท และลูอานาต่างก็ลุกขึ้นมาและชี้อุปกรณ์เวทมนตร์ของตัวเองใส่ฝั่งตรงข้ามทันที
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ทำให้หลับไปเฉย ๆ พวกฉันไม่ใช้พวกป่าเถื่อนขนาดนั้นสักหน่อย” ชายหนุ่มบอก “ขอโทษที่มาขัดจังหวะแล้วกัน กำลังดราม่าอะไรกันอยู่สินะ
“ต้องการอะไร” มารีแยกเขี้ยวถามอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่น มือของเธอเย็นและสั่นระริก
“รู้จักหมอนี่ด้วยเหรอ” เดรโกหันมากระซิบถาม
“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเธอสามคนเองอาจจะเคยฉันมาแล้ว แค่จำไม่ได้เพราะใส่หน้ากากนั่นแหละ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเลยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “โทวาดะ ไนโตะ สมาชิกของฝูงอีกา ยินดีที่ได้รู้จัก”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาบังใบหน้า ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ไหลออกมาจากมือและเข้าปกคลุมร่างกายทั้งหมด กลายเป็นเครื่องแบบเหมือนกับพวกคืนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่
มารีและเพื่อน ๆ กลืนน้ำลาย นั่นเพราะพวกเขารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าพวกนี้เป็นอย่างดี
ฝูงอีกา (Murder of Crows) คือกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมใหญ่ ๆ หลายครั้งของโลกเวทมนตร์ ซึ่งรวมทั้งการฆ่าล้างเผาพันธุ์ที่คาอิมานาและการปฏิวัติที่สุวรรณภูมิอีกด้วย
“สั้น ๆ เลยก็แล้วกัน ไปเอาตัวเอเลนามาให้พวกเรา แล้วพวกเธอจะได้กลับบ้านอย่างมีความสุข” ไนโตะกล่าว
“แล้วจะให้ไปหาจากไหน ทุกวันนี้ยังไม่มีใครหายัยนั่นเจอเลย” มารีขมวดคิ้วและยังคงจ่อไม้กายสิทธิ์ใส่อีกฝ่าย
“โกหกไม่เก่งเลยนะ ทั้งที่รอบก่อนเกือบจะโดนแมวเหมียวของฉันงาบไปแล้วอยู่แท้ ๆ”
แปลว่าเจ้าพวกนี้ก็มองทะลุเวทย์หลอกสายตาได้อย่างงั้นเหรอ
“อีกอย่าง เธอเองน่าจะรู้ดีที่สุดนะว่าแม่นั่นอยู่ไหน เมื่อก่อนเห็นอยู่ด้วยกันตลอดนี่” ดวงตาเบื้องหลังหน้ากากจับจ้องมาที่มารี นั่นทำให้พวกเพื่อน ๆ หันมามองเธอเช่นกัน
แต่ยังไม่ทันตั้งตัว อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงดังพรึบเหมือนใครสะบัดผ้าดังขึ้นมาข้างหลัง เมื่อมารีหันไปก็พบว่ามีพวกฝูงอีกาสองคนแตะไหล่ของเพื่อน ๆ ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะบิดเบี้ยวและหดหายวับไปพร้อมกับเสียงพรึบอีกครั้ง
“ฉันให้เวลาครึ่งชั่วโมง พาเอเลนามาที่นี่” ไนโตะกล่าว “คงรู้ดีนะว่าถ้ามาช้า เพื่อนของเธอจะโดนอะไร”
ร่างของชายหนุ่มบิดเบี้ยวและหายวับไปพร้อมกับพวกอีกาคนอื่น ๆ ไม่นานผู้คนรอบ ๆ ก็ฟื้นสติกลับมาและมองซ้ายมองขวางง ๆ
ไม้กายสิทธิ์ในมือของมารีหลุดร่วงลงจากมือและส่งเสียงดังกังวานออกมาเมื่อกระทบกับพื้น อยู่ดี ๆ แผลที่คอ ต้นแขน และต้นขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา
โทวาดะ ไนโตะ เป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง มันอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมต่อเนื่องและสังหารหมู่หลายคดี การจัดการเหยื่อของมันนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าที่มนุษย์ที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกจะคิดได้
และมันผู้นี้ได้สร้างฝันร้ายเอาไว้กับมารีจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้
Ridiculous things and tropical fruits
หลายสัปดาห์ต่อมา การเรียนที่โฮมยังคงดำเนินไปตามปกติ รวมทั้งวิถีชีวิตของมารีที่เริ่มปรับตัวการการเรียนและการใช้ชีวิตอยู่ที่โอวล์ฟอสเทียร์ได้แล้ว แต่เธอและพวกเพื่อน ๆ รู้สึกว่าหัวตัวเองเริ่มโตขึ้นเพราะต้องแบกรับเนื้อหาปริมาณมากในสมอง
รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเพราะใกล้เข้าสู่ฤดูร้อน มวลดอกไม้หลากสีสันค่อย ๆ กลืนหายไปกับสีเขียวเข้มของใบไม้
ช่วงสัปดาห์กลางเดือนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นอีกช่วงที่มีความสำคัญ นั่นเพราะในตอนนี้มารีกับเพื่อน ๆ กำลังนั่งเหงื่อตกกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่มีทั้งให้กากบาทคำตอบที่ถูกต้องและเขียนบรรยายความรู้ที่ตัวเองได้รับมาตลอดสามเดือนแรกของการเรียนที่นี่
สถานที่สอบเป็นที่เดียวกับตอนที่พวกเด็ก ๆ สอบเข้า นั่นคือชั้นหนึ่งของอาคารฝั่งตะวันออก แต่ละวิชาจะใช้เวลาทำข้อสอบหนึ่งชั่วโมง สอบวันละสองวิชา จะเป็นช่วงเช้าหรือบ่ายก็แล้วแต่ทางโรงเรียนจะจัดตาราง เพราะยังมีพวกปีสองกับปีสามด้วย
เมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาบนผนังมาบรรจบที่เลขสิบสองพร้อมกัน เสียงระฆังหมดเวลาก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงถอนหายใจดังออกมาจากพวกนักเรียนอย่างพร้อมเพียงโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะหยิบกระดาษคำตอบไปส่งให้อาจารย์ลุดวิกที่นั่งคุมสอบ
“มารี ๆ ข้อยี่สิบตอบอะไรเหรอคะ”
ระหว่างที่เดินออกมาจากห้องสอบ ลูอานาที่ดูไม่ค่อยมั่นใจนักก็มาถามเธอ
“ไม่เห็นจะยากเลยเน่อ ก็แค่ใช้สูตรแล้วแทนค่า...” แต่คนที่เสนอหน้ากลับเป็นเจ้าไท หนุ่มหน้าหวานสาธยายวิธีทำอย่างละเอียด เล่นเอาสาวชาวเผ่าค้างนิ่งไป แม้จะใส่หน้ากากอยู่แต่มารีเดาได้เลยว่าใต้นั้นคงกำลังอ้าปากหวอ
จริง ๆ มารีก็อยากจะแย้งว่าที่พูดมามันผิดไปนิดหน่อยก็เถอะ แต่ปล่อยไว้ให้ช็อคตอนเห็นคะแนนแล้วกัน
หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ พวกเด็ก ๆ ก็ขึ้นมาที่ห้องชมรมหลังจากที่เข้าไม่ได้มาอาทิตย์กว่า ๆ เพราะกิจกรรมชมรมถูกสั่งให้พักชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบ แม้พวกนักเรียนร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าจะอ่านหนังสือเตรียมสอบกันคืนสุดท้ายแค่วันเดียวก็เถอะ
ถึงจะชื่อว่าเป็นชมรมสืบสวนปริศนา แต่ที่ผ่านมา กิจกรรมที่พวกเด็ก ๆ ทำส่วนใหญ่นั่นไม่ค่อยจะตรงกับจุดประสงค์ของชมรมสักเท่าไหร่นัก อย่างเดรโกกับไทมักจะชอบเล่นประลองเวทย์กัน ลูอานาชอบปรุงน้ำยาแปลก ๆ ขึ้นมา ส่วนมารีก็กินขนมกับดื่มน้ำชา ไม่ก็วาดรูปเล่นหรืออ่านหนังสือ แต่ที่ปรึกษาชมรมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะอาเทเนียเองก็มักจะมาร่วมวงน้ำชาด้วยบ่อย ๆ
ส่วนอาเรียนั้น เห็นว่าไปสมัครเป็นบรรณารักษ์และอยู่ประจำห้องสมุดข้างล่างนี่เอง ทีแรกเธอก็อยากจะมาเข้าชมรมของมารี แต่อาเทเนียให้เหตุผลไปว่าไม่รับสมาชิกเพิ่มแล้ว และมารีเองก็ไม่อยากให้เธอมายุ่งกับพวกเพี้ยน ๆ นี่หรอก
“อ้าสวรรค์...”
หนุ่มหน้าหวานเป็นคนแรกที่ทิ้งตัวลงบนพื้นห้องเย็น ๆ ตามด้วยลูอานา อากาศในห้องค่อนข้างร้อนอบอ้าวแม้จะเปิดหน้าต่าง เพราะว่าอยู่ชั้นสามและรับพลังงานความร้อนจากแสงแดดเต็ม ๆ เครื่องแบบแขนสั้นของทั้งสองชุ่มไปด้วยเหงื่อระหว่างเดินมาที่นี่
“นี่ยังไม่เข้าฤดูร้อนเต็มตัวเลยนะคะ หลังจากนี้จะขนาดไหนเนี่ย” ลูอานาที่นอนแผ่หลาบนพื้นเย็น ๆ พูดขึ้นมา “ร้อนพอ ๆ กับที่คาอิมานาเลยนะ”
“สู้สุวรรณภูมิไม่ได้หรอกเน่อ มีคำกล่าวกันว่าคนสุวรรณภูมิน่ะซ้อมลงนรกทุกวัน” เจ้าไทว่า “มารี เสกคาถาปรับอากาศให้หน่อยสิเน่อ”
“เอามายี่สิบอาร์เกนทัม”
“งืม”
มารีหยิบไม้กายสิทธิ์คริสตัลออกมา จากนั้นก็โบกสะบัดไม้กายสิทธิ์เป็นท่าทางเพื่อเสกคาถา ทันใดนั้นอากาศในห้องก็ลดฮวบ ทั้งสองหน่อครางออกมาอย่างผ่อนคลาย นอกจากเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนก็มีมารีเนี่ยแหละที่เสกคาถานี้เป็น เดิมทีเธอก็ตั้งใจจะสอนเพื่อน ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็โดนบอกมาว่ามันยากเกินไป
“ร้อน ๆ แบบนี้ก็อยากกินผลไม้เขตร้อนขึ้นมาเลยแฮะ พวกที่เปรี้ยว ๆ ถ้าเอามาลอยแก้วกินกับน้ำแข็งนี่สุดยอดเลยล่ะ” เจ้าไทที่จ้องไปที่เพดานเพ้อออกมา
“พูดแล้วก็อยากกินเหมือนกันเลยค่ะ ไม่ได้กินนานแล้วด้วย แต่ที่นี่หาซื้อไม่ได้เลยนะคะ ที่เอลเดนก็ราคาแพงเกิน” ลูอานาว่า “ถ้าใช้อิททิเนรันทัวร์ข้ามไปซื้อที่คาอิมานาได้ก็คงจะดี”
“นั่นสินะเน่อ ถ้าได้กลับไปสุวรรณภูมิคงจะดีเหมือนกัน” ไทถอนหายใจออกมา มารีสังเกตเห็นว่าหน้าของเขาดูจะหมองลงเล็กน้อย
ประตูห้องชมรมเปิดออกอีกครั้ง ทำให้ดวงตาทั้งสามคู่กันไปมองพร้อมกัน เดรโกรัสเดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูด ๆ ที่แขนขวาของเขาหิ้วกล่องกระดาษใบใหญ่เอาไว้
“อะไรน่ะคะ” ลูอานาที่ยังนอนอยู่ถามขึ้นมา
“ของฝากน่ะ” เดรโกรัสถอนหายใจ “ทำอะไรกันอะทั้งสองคน”
“มันเย็นดีน่ะเน่อ” เจ้าไทบอกก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาเพราะสนใจกล่องปริศนา “ใครส่งมาน่ะ เนื่องในโอกาสอะไรก๊ะ เอ๊ะหรือว่า...”
“ไม่ต้องคิดอะไรแปลก ๆ เลย แม่เราส่งมา” เดรโกว่า
“เห อะไรน้า เปิดเลยค่ะ เปิดเลย” ลูอานากระเด้งตัวขึ้นมาอีกคน และมองดูกล่องด้วยความสนใจ
เดรโกยกกล่องพัสดุมาตั้งที่โต๊ะตรงโซฟา มารีและคนที่เหลือมานั่งล้อมวงรอบ ๆ หนุ่มผมแดงค่อย ๆ แกะเชือกที่มัดกล่องเอาไว้ จากนั้นก็เปิดกล่องและเอามือล้วงลงไป
สิ่งแรกที่เขาหยิบขึ้นมาก็ทำเอาตาของเจ้าไทเป็นประกาย เพราะมันคือ...กะโหลกมนุษย์อันหนึ่ง
“กรี๊ดดดด!!”
ไม่ถึงเสี้ยววินาที สาวชาวเผ่าของเราก็ไปนั่งหลบมุมเอามือปิดหูตัวสั่นริก ๆ อยู่มุมห้อง และพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาถิ่นของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ใส่หน้ากากน่ากลัว ๆ นั่นตลอดเนี่ยนะแม่คุณ มารีมองตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมาหาเดรโกต่อ
สิ่งต่อมาที่เขาหยิบออกมาจากกล่องก็คือก้อนหิน โง่ ๆ หนึ่งก้อน และเสื้อคลุมเก่าหนึ่งตัวที่ถ้าพูดตรง ๆ คงเรียกว่าผ้าขี้ริ้ว และสิ่งสุดท้ายก็คือจดหมายทำจากกระดาษปาปิรัสเขียนด้วยเลือดสีแดงสดแบบหวัด ๆ ขาด ๆ หาย ๆ
“อยู่ที่อารจัน ตอนนี้สบายดี” เดรโกอ่านข้อความพลางถอนหายใจออกมา
“แม่เดรโกรสนิยมแปลกดีนะ” ไทหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
“ฆาตกรรมอำพรางเหรอ” มารีจับแว่นมองดูของบนโต๊ะด้วยหน้าเรียบเฉย
“เปล่าหรอก” หนุ่มผมแดงยักไหล่ ก่อนจะหยิบกะโหลกขึ้นมาและโชว์แผ่นกระดาษโน้ตเล็ก ๆ ที่ห้อยกับเชือกที่มัดติดกับกระดูกกรามอีกทีให้ดู มีข้อความเขียนว่าเจ้านี่คือปีศาจโครงกระดูกเดินได้ จากดันเจี้ยนสุสานโบราณที่อารจัน ดินแดนทะเลทรายอันไกลโพ้น
ก้อนหินโง่ ๆ นั้นมีข้อความบอกว่าเป็นชิ้นส่วนที่แตกออกมาของมหาพีระมิดซึ่งเป็นที่ตั้งของดันเจี้ยนนี้
ผ้าขี้ริ้วนั้น เป็นผ้าคลุมของปีศาจหมอผีที่เฝ้าประตูขุมทรัพย์อยู่ ซึ่งกว่าจะโค่นลงได้ก็แทบแย่
ส่วนจดหมายนั้นก็เขียนจากเลือดของสฟิงซ์ที่เฝ้าพีระมิดอยู่โดยใช้ปากกาโบราณทำจากต้นอ้อและกระดาษจากต้นกกซึ่งค้นพบในดันเจี้ยน
“มันก็มีเรื่องราวดีนะ แต่ว่า...”
“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนี่” มารีถอนหายใจออกมา พลางหยิบของแต่ละอย่างมาดู
“ถ้าส่งสมบัติมาให้ก็จะไม่ว่าเลยนะ” หนุ่มผมแดงหัวเราะออกมา “แต่ก็เข้าใจแหละว่าต้องยกส่วนนั้นให้กิลด์เพื่อเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ล่ะนะ”
“แม่เดรโกทำงานที่กิลด์ก๊ะ”
“อือ เป็นนักโบราณคดีน่ะ แล้วก็เป็นนักผจญภัยด้วย เวลานางไปลุยดันเจี้ยนที่ไหนก็จะส่งของแบบนี้มาให้เป็นของขวัญหรือของฝากน่ะ เป็นคนที่เก่งสุด ๆ แต่ก็อย่างที่เห็น...เซนส์เรื่องการให้ของฝากของนางแย่สุด ๆ เลย”
เป็นคุณแม่ที่น่าสนใจดีแฮะ
ระหว่างนั้นเอง เจ้านัวร์ก็เข้ามาในห้องและเดินมาหามารี ทันทีที่ลูอานาเห็น เธอก็ตะเกียกตะกายไปหาเขาเพื่อเยียวยาจิตใจทันที
“เมี้ยว” ดวงตาสีเหลืองหันมาจ้องมารีในระหว่างที่โดนลูอานาลูบไล้ขนนุ่ม ๆ
“โผล่มาแล้วสินะ” เธอว่า เจ้านัวร์ส่งเสียงเมี้ยวตามมาอีกครั้ง
“มีอะไรเหรอ” เดรโกที่มองนัวร์กับมารีถามงง ๆ
“ขอไปในเมืองหน่อยนะ เอาอะไรไหม” มารีลุกขึ้นยืน แต่หลังจากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาเลย
ณ ย่านการค้า มารีเดินตามนัวร์ที่วิ่งเหยาะ ๆ ด้วยหน้าบูด ๆ นั่นเพราะไอ้สามหน่อขอตามมาด้วย เห็นว่าจะแวะไปหาของหวานกินฉลองสอบเสร็จกันสักหน่อย แต่ละคนต่างกางร่มเพื่อปกป้องผิวอันบอบบางจากแสงแดดที่ไม่มีทีท่าว่าจะปราณีเลย ยิ่งช่วงหลังเที่ยงวันแบบนี้ด้วย
“สังเกตมานานแล้วล่ะ มารีฟังนัวร์ออกเหรอคะ” ลูอานาถามขึ้นมา
“อืม เจ้าของจะฟังสัตว์รับใช้ออกน่ะ”
“สุดยอดเลยนะเน่อ ไว้มีตังค์เยอะ ๆ ค่อยหานกฮูกมาใช้สักตัวดีกว่า หรือแมวดีนะ” เจ้าไทยกมือที่ว่างอีกข้างมาลูบคางครุ่นคิด
“แล้วมาทำอะไรในเมืองเหรอ” เดรโกถามขึ้นมา
“เรื่องส่วนตัว จบนะ”
มารีส่งหน้าตายด้านให้ หรือก็คือการพูดเป็นนัย ๆ ว่าอย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน
“แดดร้อนอยู่แท้ ๆ แต่รู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีเลยแฮะ”
มารีมาหยุดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านกระจกหน้าร้านเข้าไป ก็เห็นถ้วยโถโอชามรามไหมากมายวางอยู่เต็ม มีทั้งแบบทั่ว ๆไปหลากหลายขนาด และดีไซน์แบบผู้ดี๊ผู้ดีที่ราคาน่าจะแพง
“จะมาซื้อชุดน้ำชาเพิ่มเหรอคะ ในห้องชมรมเราก็เยอะแยะนะ”
ทว่าพอเห็นหน้าตายด้านของมารี แม่สาวชาวเผ่าก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ไปกินกันก่อนเลย เดี๋ยวตามไป” เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดประตูร้านเข้าไป
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินหายลับไปแล้ว มารีที่ทำเป็นเลือกของก็ค้อมศีรษะให้พนักงานเล็กน้อยและเดินออกจากร้านมาพร้อมกับนัวร์ แน่นอนว่าเธอทำเป็นเข้าร้านก็เพื่อให้เพื่อน ๆ แยกออกไปนั่นแหละ
เด็กสาวกับแมวดำเดินเตร่ไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นเองเธอก็สังเกตเห็นแมวขาวตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกำแพงและส่งตาสีฟ้าแป๋ว ๆ มา แน่นอนว่ามารีจำมันได้เพราะทุกครั้งที่มาย่านการค้าก็จะเจอมันตลอด
เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าทำไมมันต้องเหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้กับปลอกคอด้วย และคุณเธอก็เป็นแมวที่ไม่ยอมให้ใครเข้าหาเลย ครั้งนึงมารีพยายามเอาขนมมาล่อ เธอก็เมินหนีไปเสียอย่างนั้น
ในที่สุดมารีกับนัวร์ก็มาถึงที่หมาย ทั้งคู่หยุดยืนที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งที่แทบไม่มีอะไรสะดุดตา ไม่มีสินค้ามาโชว์หน้าร้าน ส่วนป้ายชื่อร้านก็ตัวเล็กและสีกลืนไปกับผนังจนมารีอ่านไม่ออก
เธอเก็บร่มและเปิดประตูร้านเข้าไปด้านใน มีเสียงกระดิ่งประตูดังขึ้นเบา ๆ
ถ้าเธอทำงานที่นี่คงรู้สึกดีใจมากที่มีลูกค้าหลงเข้ามา แต่สิ่งที่เธอเจอก็คือพนักงานที่เป็นชายแก่ ๆ นอนฟุบหลับอยู่กับเคาน์เตอร์ ภายในร้านเต็มไปด้วยของแปลก ๆ มากมาย อย่างเช่นตำราชื่อว่าวิธีการล่องหน 101 ที่เปิดเข้าไปก็ไม่มีตัวอักษรใด ๆ ในหน้ากระดาษเพราะเขียนด้วยหมึกล่องหน หรือไม้กวาดสำหรับบินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เพราะมันบินไม่ได้ หรืออุปกรณ์ป้องกันคาถาสว่างวาบที่จริง ๆ ก็เป็นแค่ที่แว่นกันแดด เป็นต้น
นี่มันไม่ต่างอะไรกับของฝากจากคุณแม่ของเดรโกเลยนี่หว่า
ไม่แปลกใจเลยที่เจ้านั่นจะมาเกิดในที่แบบนี้
“เมี้ยว” นัวร์มาหยุดตรงหน้าตู้ไม้หลังหนึ่ง มีข้อความเขียนเอาไว้ว่าเป็นตู้เสื้อผ้าเวทมนตร์ที่สามารถป้องกันฝุ่นและผ้าสีตกได้
ก็ปิดซะขนาดนี้ ฝุ่นมันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ แถมไม่โดนแดดด้วย สีมันจะไปตกได้ยังไงกัน
มารีถอนหายใจก่อนจะเปิดตู้ออกมา เธอเอี้ยวตัวไปหยิบปากกาหมึกล่องหน (ที่เขียนอะไรออกมาไม่ได้) ใกล้ ๆ กันแหย่เข้าไปที่ผนังตู้ด้านในและชักออกมา ไม่มีร่องรอยของการกัดกร่อนหรือกลิ่นไหม้
“รออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวรีบไปรีบกลับ” มารีหันไปบอกกับนัวร์ เขาส่งเสียงเมี้ยวให้หนึ่งที และไปนอนแผละที่มุมหนึ่ง เด็กสาวปีนเข้าไปในตู้และทะลุผนังตู้เข้าไป
เมื่อออกมา มารีก็พบว่าเธอมาโผล่ในซอยมืด ๆ มองไปไกล ๆ พอจะเห็นถนนที่มีไฟทาง อากาศร้อนชื้น ต่างกับที่โอวล์ฟอสเทียร์ที่ร้อนแห้ง ๆ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นควันของรถยนต์ปนกับกลิ่นไอทะเลลอยมาจาง ๆ
มารีโบกไม้กายสิทธิ์ไปหนึ่งที เครื่องแบบนักเรียนแขนยาวของเธอแปรเปลี่ยนเป็นชุดลำลองทั่ว ๆ ไป แบบที่พวกชาวต่างชาติมักใส่เวลามาเที่ยวประเทศเขตร้อน เธออามือตบ ๆ เสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหันกลับไปข้างหลังเพราะรู้สึกแปลก ๆ
“...”
มารีทำหน้าตายด้าน ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยและเดินเข้าไปใกล้ ๆ ไอ้บ้าสามคนที่พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเพราะคิดว่าคาถาหลอกสายตาจะใช้ได้ผล
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
มารีเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสามที่เดินคอตกจนมาถึงถนนใหญ่ จากนั้นก็เดินเลาะฟุตบาทไปเรื่อย ๆ ไม่ไกลนักก็สามารถมองเห็นหลังคาผ้าใบจำนวนมากตั้งเรียงราย และมีควันลอยฟุ้งขึ้นมา มวลชนมหาศาลเดินกันอย่างคึกคัก ในมือของแต่ละคนถือของกินที่เห็นแล้วน้ำลายไหลออกมาทันที
“ขอโทษนะที่แอบตามมา ไอ้สองตัวนี้มันเซ้าซี้น่ะสิ” เดรโกพูดขึ้นมา เขาเป็นคนเดียวที่หัวไม่โน แม้จะโดนมารีประเคนมะเหงกให้ไปคนละชุดก็ตาม
“ก็มันน่าสงสัยนี่นา” เจ้าไทที่หัวปูดเป็นลูกมะนาวและมีควันลอยฉุยว่า “จริงอย่างที่อาจารย์อาเทเนียเคยบอกไว้เลย คาถาหลอกสายตาใช้ไม่ได้ผลกับมารีสินะ”
“บอกแล้ว ไม่เชื่อกันเองนะ” หนุ่มผมแดงหัวเราะ ตอนนี้ทั้งสามคนโดนมารีเสกคาถาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป หน้ากากของลูอานากลายเป็นหน้ากากอนามัยกับแว่นกันแดดแทน ส่วนแว่นกันลมของเดรโกก็กลายเป็นแว่นกันแดดสีทึบ คาถานี้ไม่ใช่คาถาหลอกสายตา แต่เป็นการเปลี่ยนรูปทรงของเสื้อผ้าไปเลย
นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้สามตัวนี้ผ่านสายตาของนัวร์มาได้ยังไง หรือเจ้าแมวนั่นปล่อยให้มาก็ไม่รู้ กลับไปต้องไปคิดบัญชีสักหน่อย คิดแล้วมารีก็เดาะลิ้นออกมาเสียงดังจนเพื่อนทั้งสามสะดุ้ง
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถือว่ามาหาอะไรกินก็แล้วกัน” มารีถอนหายใจออกมา “อยู่ใกล้ ๆ ไว้ล่ะ ถ้าหลงก็อยู่ที่นี่ไปนะ”
“งือ” ลูอานาครางออกมาพลางลูบหัวที่โน
“เมื่อกี้เราเพิ่งข้าม เกท กันมาสินะ” หนุ่มผมแดงว่า มารีพยักหน้าให้นิ่ง ๆ
เกท คือชื่อเรียกของประตูมิติที่เชื่อมต่อระหว่างโลกเวทมนตร์กับโลกมนุษย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ว่ากันว่ามันเกิดมาจากการที่อาร์คานาพยายามทดลองเวทมนตร์สร้างประตูมิติแต่ผิดพลาดจนทำให้มิติของโลกเวทมนตร์รวนจนมาบรรจบกับมิติของโลกมนุษย์ และนั่นก็ทำให้มีมนุษย์เผลอข้ามเกทเข้ามาจำนวนมากเมื่อสองพันปีก่อนและนำมาสู่อารยธรรมของเหล่าผู้วิเศษตามที่อาจารย์อวาลินสอน
มารีใช้ประโยชน์จากเจ้าสิ่งนี้ในการเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองโลก ส่วนใหญ่ก็เพื่อการท่องเที่ยวนั่นแหละ
เกทมักจะเกิดในที่อับสายตา หรือที่ ๆ ไม่ได้รับความสนใจจากคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดบ่อยครั้งนัก และเราจะไม่มีวันรู้ว่าเกทเชื่อมต่อไปยังที่ใด มารีจึงต้องทำการทดสอบก่อนเสมอ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่มันพาไปปากปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับจนเกือบตกลงไปในลาวา
กระนั้น ก็ไม่ได้มีแต่มารีที่ใช้ประโยชน์ของเจ้าสิ่งนี้หรอก ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ใช้เกทในการข้ามไปข้ามมาเพื่อทำเรื่องแย่ ๆ อยู่ด้วยเหมือนกัน มารีถึงไม่อยากให้ใครมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้
ทั้งสี่เดินมาถึงถนนคนเดินตั้งอยู่บนถนนเลียบชายหาด มีของกินแนวสตรีทฟู้ดหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารทะเลสด ๆ เพื่อนทั้งสามมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นของกินแปลก ๆ ที่ตั้งเรียงราย
ในตอนนั้นเอง เจ้าไทก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ดวงตาสีน้ำชาของเขาเบิกกว้างและเป็นประกาย
“ที่นี่ก็มีเหรอ!!” หนุ่มหน้าหวานวิ่งเข้าไปดูผลไม้บนแผง มีผลไม้สีแดงที่มีขนหยิกหยอยสีเขียว ผลไม้สีม่วงกลมมีขั้วและกลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง ผลไม้สีแดงที่มีเปลือกเหมือนกับเกล็ดงู และที่แปลกสุดคือผลไม้ขนาดใหญ่สีเขียวตุ่น ๆ ที่มีผิวเป็นหนามทั้งลูก ลูอานากับมารีไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก ส่วนเดรโกนั้นดูจะไม่ค่อยไว้ใจ
“แน่ใจนะว่ากินได้” หนุ่มผมแดงยิ้มแห้ง ๆ “ไอ้อันที่เป็นสีม่วงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ที่เหลือนี่มันรู้สึกขนลุกแปลก ๆ”
“#$%^&*” แม่ค้าถามพวกเด็ก ๆ ด้วยภาษาท้องถิ่น แน่นอนว่ามารี เดรโกกับลูอานาฟังไม่ออก แต่ไทนั้น...
เด็กหนุ่มหน้าหวานชี้บอกด้วยภาษาแบบเดียวกันด้วยตาเป็นประกาย แก้มของเขากลายเป็นสีชมพูจาง ๆ
แม่ค้าพูดอะไรบางอย่าง ได้ยินดังนั้นไทก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหามารี
“เขาบอกว่าทุเรียนโลละร้อยแปดสิบ สละโลหกสิบ เงาะกับมุงคุโลสามสิบ ว่าแต่อะไรคือโลอะ”
“น่าจะหมายถึงกิโลกรัม เป็นหน่วยน้ำหนักของมนุษย์น่ะ” มารีเบ้ปากบอก
ไทหยิบสละ เงาะกับมังคุดอย่างละนิดละหน่อยแค่พอชิมเล่น และทุเรียนอีกหนึ่งลูก ซึ่งแม่ค้าบริการปอกและเอาใส่ถาดโฟมห่อด้วยแรปใสให้เลย เนื้อในของมันเป็นสีเหลืองอ่อน ส่งกลิ่นหอมหวานออกมา
มารีแอบสังเกตเห็นว่าเดรโกทำหน้ามุ่ย ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าทำไม
ไทหยิบเงินออกมาจากย่าม แต่ก็ต้องชะงักไปและหันมาหามารีอีกรอบ
“ที่นี่เขาใช้เงินอะไรกันอะ”
“...”
มารีถอนหายใจและเอากระเป๋าสตางค์ออกมา เธอหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้หลายใบ เจ้านี่เป็นกระเป๋าวิเศษที่สามารถแปลงเงินในกระเป๋าเป็นสกุลอะไรก็ได้ ขอเพียงแต่มีเงินค้างอยู่ในกระเป๋าก็พอ
แต่ถ้าเสกเงินขึ้นมาได้เองก็จะดีไม่น้อยเลย
มารีกับเพื่อน ๆ ซื้อของกินเล่นกันมาคนละนิดละหน่อย ส่วนใหญ่เป็นพวกขนมเพราะพวกเขากินอาหารกลางวันที่โรงเรียนมาแล้ว ทั้งสี่มานั่งตรงที่นั่งของสะพานที่ทอดลงมาในทะเลในจุดที่มีคนอยู่น้อย เสียงคลื่นซัดโขดหินของฐานสะพานดังเป็นระลอก ลมเย็น ๆ พัดปะทะร่างกาย มองไปฝั่งหนึ่งก็เห็นภูเขาลูกเตี้ย ๆ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงแปลกตาตั้งอยู่บนยอดเขา เมื่อมองไปที่ทะเลก็เห็นรูปร่างลาง ๆ ของภูเขาลูกใหญ่ที่ดูคล้ายกับท่อนบนของคนนอนหงายอยู่ ท้องฟ้ามืดสนิท เห็นประกายแสงของดวงดาวบนฟ้าประปราย
มารีวานให้เดรโกช่วยเสกคาถาทำความสะอาดเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก เพราะเธอไม่อยากชักไม้กายสิทธิ์ออกมาให้มันประเจิดประเจ้อ เขาเอามือไปจ่อ ๆ ที่ถุงผลไม้ มีแสงสีฟ้าเรือง ๆ ออกมาจากแหวนเวทมนตร์ที่นิ้วกลางและถุงผลไม้แวบหนึ่ง
“เอานี่ก่อนแล้วกันเน่อ เจ้านี่เรียกว่าเงาะ ข้างในจะมีเม็ดอยู่ กัดเฉพาะเนื้อแล้วก็คายเม็ดออกมา อาจจะมีเปลือกติดกับเนื้อไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มเนื้อสัมผัสล่ะ” ไทหยิบเงาะมาบิดปอกเปลือกและส่งให้แต่ละคน
แต่เอาจริง ๆ คนที่เคยกินเจ้านี่เป็นครั้งแรกคงมีแต่เดรโก เพราะลูอานาเองก็เป็นคนเขตร้อน และมารีเองก็เคยมาที่ประเทศนี้แล้ว
“หวานดีนะ แต่รูปลักษณ์มันก็...” หนุ่มผมแดงกอดอก แก้มข้างหนึ่งของเขาโป่งขึ้นจากผลเงาะ
“อันนี้มังคุด ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งผลไม้เลยเน่อ อันที่เม็ดลีบ ๆ ก็เคี้ยวไปได้เลย แต่อันไหนเม็ดใหญ่ก็อย่าฝืน ส่วนอันนี้สละ จะเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ข้างในจะมีเม็ดแข็ง ๆ อยู่ ไม่ต้องกินเข้าไปล่ะ” ต่อมา ไทก็บิดมังคุดและแกะเปลือกสละส่งให้เพื่อน ๆ
“อืม อันนี้สดชื่นดีแฮะ อันที่ชื่อสละก็หอมดีด้วย” เดรโกเลิกคิ้วและเอ่ยปากชม ดูท่าจะถูกใจสองอันนี้
และสุดท้ายคือบอสใหญ่...
“หึ ๆ เตรียมตัวให้ดี นี่คือราชาแห่งผลไม้ล่ะ” ไทแกะแรปของถาดทุเรียนและโชว์ให้เพื่อนชาย แต่มารีเดาปฏิกิริยาออกแล้ว
“อึก...อันนี้ขอผ่าน ไม่ไหวกับกลิ่นมันจริง ๆ” หนุ่มผมแดงเอามืออุดจมูก
“หึ ๆ มีแต่พวกอ่อนหัดเท่านั้นแหละที่เหม็นกลิ่นทุเรียน” ไทย้ายถาดทุเรียนไปที่มารีกับลูอานา ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพราะรู้สึกว่ามันหอม
“พวกอ่อนหัด” มารีหยิบชิ้นทุเรียนมาเคี้ยวตุ้ย ๆ และมองพ่อหนุ่มผมแดงด้วยสายตาเยาะเย้ย
“ใช่ค่ะ พวกอ่อนหัด” ลูอานาเล่นด้วยอีกคน
“อย่าแกล้งกันสิ”
“ว่าแต่ ไทฟังภาษาคนที่นี่ออกด้วยเหรอคะ” ลูอานาถาม
“อือ ถึงสำเนียงจะแปลก ๆ ก็เถอะ แต่ก็พอจะฟังออกอยู่ พวกตัวอักษรนี่ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเลย แต่ว่า...” เด็กหนุ่มหน้าหวานตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าอยู่ ๆ ก็ค้างไป และก็เริ่มมีน้ำตาผุดซึมออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอามารีและอีกสองคนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เหมือน...ได้กลับมาที่บ้านเกิดเลย”
ความเงียบเข้าปกคลุมไปชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงเสียงคลื่นและเสียงของสายลมที่พัดผ่านไปที่ดังรอบบริเวณ
“ไทเองก็เป็นคนสุวรรณภูมิสินะ ที่มาอยู่ที่เอลเดนก็เพราะลี้ภัยใช่ไหม” เดรโกพูดขึ้นมา
“อือ” อีกฝ่ายพยักหน้า พลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา
“เหมือนฉันเลยนะคะ พอเห็นทะเลกับได้ยินเสียงคลื่นแล้วก็ชวนให้คิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาเหมือนกัน” ลูอานาพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ พลางแง้มหน้ากากอนามัยและหยิบชิ้นทุเรียนเข้าปากเคี้ยวเงียบ ๆ
“ทำไมเหรอ” มารีถามเพื่อน ๆ เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองในโลกเวทมนตร์เท่าไรนัก
“เดิมสุวรรณภูมิปกครองด้วยระบอบกษัตริย์น่ะ เป็นหนึ่งในเจ็ดราชอาณาจักรใหญ่ของผู้วิเศษ” เดรโกบอก พลางลูบหัวของเพื่อนชาย “แต่ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมีการปฏิวัติล้มล้างการปกครองไปเป็นเผด็จการ แล้วก็ปิดประเทศไม่ให้คนเข้าออกมาตั้งแต่นั้น”
“พ่อแม่ของข้าน้อย...โดนพวกปฏิวัติจับเผาทั้งเป็น...” ใบหน้าของไทเริ่มบิดเบี้ยว น้ำตาไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้าไม่ได้ลุงช่วยไว้ ป่านนี้ก็คง...”
ลูอานาที่นั่งขนาบข้างไทอีกฝั่งยกมือขึ้นไปลูบหลังของเขาเบา ๆ
“ฉันเองก็เสียครอบครัวไปเพราะสงครามเหมือนกันค่ะ ทั้งพ่อ แม่ แล้วก็พี่สาว” ลูอานาพูดขึ้นมา เสียงของเธอเริ่มสั่นกว่าเดิม
ภาพของเสาไม้จำนวนมากที่มารีไปเจอตอนที่ไปช่วยลูอานาเมื่อคราวที่เรียนคาถาสร้างประตูมิติยังคงติดอยู่ในความทรงจำ พอนึกว่าทั้งสองคนนี้ต้องเจออะไรมา มันก็พลอยทำให้รู้สึกจุกอกไปด้วย
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ น่ากินจังเลยนะ”
“!?”
ในตอนนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาแซวพวกเด็ก ๆ เขามีผมเซอ ๆ สีดำ ดวงตาสีน้ำตาลแดง ใบหน้าหล่อเหลาแบบชาวเอเชียตะวันออก สวมชุดฮาวายทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น
ทว่านั่นกลับทำให้มารีเบิกตากว้าง เธอลุกขึ้นและชักไม้กายสิทธิ์จ่อใส่เขาทันที
“แหม ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะแย่งพวกเธอกินหรอกน่า” ชายหนุ่มยกมือและยิ้มอย่างขี้เล่น
ระหว่างนั้นเองมารีก็มองไปรอบ ๆ ก่อนที่ใจของเธอจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นั่นแพราะผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างฟุบหลับกันไปหมด บางคนก็ลงไปนอนอยู่ที่พื้น พวกเพื่อน ๆ ต่างมองด้วยความตกใจเช่นกัน
แต่ก็ยังมีคนที่ยืนอยู่หลายคน ทว่าพวกเขากลับแต่งกายด้วยเสื้อคลุมกับหมวกปีกกว้างสีดำ และสวมหน้ากากหนังที่มีจะงอยปากยื่นออกมาเหมือนนก เห็นดังนั้น ทั้งเดรโก ไท และลูอานาต่างก็ลุกขึ้นมาและชี้อุปกรณ์เวทมนตร์ของตัวเองใส่ฝั่งตรงข้ามทันที
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ทำให้หลับไปเฉย ๆ พวกฉันไม่ใช้พวกป่าเถื่อนขนาดนั้นสักหน่อย” ชายหนุ่มบอก “ขอโทษที่มาขัดจังหวะแล้วกัน กำลังดราม่าอะไรกันอยู่สินะ
“ต้องการอะไร” มารีแยกเขี้ยวถามอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่น มือของเธอเย็นและสั่นระริก
“รู้จักหมอนี่ด้วยเหรอ” เดรโกหันมากระซิบถาม
“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเธอสามคนเองอาจจะเคยฉันมาแล้ว แค่จำไม่ได้เพราะใส่หน้ากากนั่นแหละ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเลยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “โทวาดะ ไนโตะ สมาชิกของฝูงอีกา ยินดีที่ได้รู้จัก”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาบังใบหน้า ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ไหลออกมาจากมือและเข้าปกคลุมร่างกายทั้งหมด กลายเป็นเครื่องแบบเหมือนกับพวกคืนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่
มารีและเพื่อน ๆ กลืนน้ำลาย นั่นเพราะพวกเขารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าพวกนี้เป็นอย่างดี
ฝูงอีกา (Murder of Crows) คือกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมใหญ่ ๆ หลายครั้งของโลกเวทมนตร์ ซึ่งรวมทั้งการฆ่าล้างเผาพันธุ์ที่คาอิมานาและการปฏิวัติที่สุวรรณภูมิอีกด้วย
“สั้น ๆ เลยก็แล้วกัน ไปเอาตัวเอเลนามาให้พวกเรา แล้วพวกเธอจะได้กลับบ้านอย่างมีความสุข” ไนโตะกล่าว
“แล้วจะให้ไปหาจากไหน ทุกวันนี้ยังไม่มีใครหายัยนั่นเจอเลย” มารีขมวดคิ้วและยังคงจ่อไม้กายสิทธิ์ใส่อีกฝ่าย
“โกหกไม่เก่งเลยนะ ทั้งที่รอบก่อนเกือบจะโดนแมวเหมียวของฉันงาบไปแล้วอยู่แท้ ๆ”
แปลว่าเจ้าพวกนี้ก็มองทะลุเวทย์หลอกสายตาได้อย่างงั้นเหรอ
“อีกอย่าง เธอเองน่าจะรู้ดีที่สุดนะว่าแม่นั่นอยู่ไหน เมื่อก่อนเห็นอยู่ด้วยกันตลอดนี่” ดวงตาเบื้องหลังหน้ากากจับจ้องมาที่มารี นั่นทำให้พวกเพื่อน ๆ หันมามองเธอเช่นกัน
แต่ยังไม่ทันตั้งตัว อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงดังพรึบเหมือนใครสะบัดผ้าดังขึ้นมาข้างหลัง เมื่อมารีหันไปก็พบว่ามีพวกฝูงอีกาสองคนแตะไหล่ของเพื่อน ๆ ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะบิดเบี้ยวและหดหายวับไปพร้อมกับเสียงพรึบอีกครั้ง
“ฉันให้เวลาครึ่งชั่วโมง พาเอเลนามาที่นี่” ไนโตะกล่าว “คงรู้ดีนะว่าถ้ามาช้า เพื่อนของเธอจะโดนอะไร”
ร่างของชายหนุ่มบิดเบี้ยวและหายวับไปพร้อมกับพวกอีกาคนอื่น ๆ ไม่นานผู้คนรอบ ๆ ก็ฟื้นสติกลับมาและมองซ้ายมองขวางง ๆ
ไม้กายสิทธิ์ในมือของมารีหลุดร่วงลงจากมือและส่งเสียงดังกังวานออกมาเมื่อกระทบกับพื้น อยู่ดี ๆ แผลที่คอ ต้นแขน และต้นขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา
โทวาดะ ไนโตะ เป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง มันอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมต่อเนื่องและสังหารหมู่หลายคดี การจัดการเหยื่อของมันนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าที่มนุษย์ที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกจะคิดได้
และมันผู้นี้ได้สร้างฝันร้ายเอาไว้กับมารีจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ