ม.ปลายสายเวทย์
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) Ridiculous things and tropical fruits
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ12
Ridiculous things and tropical fruits
หลายสัปดาห์ต่อมา การเรียนที่โฮมยังคงดำเนินไปตามปกติ รวมทั้งวิถีชีวิตของมารีที่เริ่มปรับตัวการการเรียนและการใช้ชีวิตอยู่ที่โอวล์ฟอสเทียร์ได้แล้ว แต่เธอและพวกเพื่อน ๆ รู้สึกว่าหัวตัวเองเริ่มโตขึ้นเพราะต้องแบกรับเนื้อหาปริมาณมากในสมอง
รู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเพราะใกล้เข้าสู่ฤดูร้อน มวลดอกไม้หลากสีสันค่อย ๆ กลืนหายไปกับสีเขียวเข้มของใบไม้
ช่วงสัปดาห์กลางเดือนแบบนี้ก็ถือว่าเป็นอีกช่วงที่มีความสำคัญ นั่นเพราะในตอนนี้มารีกับเพื่อน ๆ กำลังนั่งเหงื่อตกกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่มีทั้งให้กากบาทคำตอบที่ถูกต้องและเขียนบรรยายความรู้ที่ตัวเองได้รับมาตลอดสามเดือนแรกของการเรียนที่นี่
สถานที่สอบเป็นที่เดียวกับตอนที่พวกเด็ก ๆ สอบเข้า นั่นคือชั้นหนึ่งของอาคารฝั่งตะวันออก แต่ละวิชาจะใช้เวลาทำข้อสอบหนึ่งชั่วโมง สอบวันละสองวิชา จะเป็นช่วงเช้าหรือบ่ายก็แล้วแต่ทางโรงเรียนจะจัดตาราง เพราะยังมีพวกปีสองกับปีสามด้วย
เมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาบนผนังมาบรรจบที่เลขสิบสองพร้อมกัน เสียงระฆังหมดเวลาก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงถอนหายใจดังออกมาจากพวกนักเรียนอย่างพร้อมเพียงโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะหยิบกระดาษคำตอบไปส่งให้อาจารย์ลุดวิกที่นั่งคุมสอบ
“มารี ๆ ข้อยี่สิบตอบอะไรเหรอคะ”
ระหว่างที่เดินออกมาจากห้องสอบ ลูอานาที่ดูไม่ค่อยมั่นใจนักก็มาถามเธอ
“ไม่เห็นจะยากเลยเน่อ ก็แค่ใช้สูตรแล้วแทนค่า...” แต่คนที่เสนอหน้ากลับเป็นเจ้าไท หนุ่มหน้าหวานสาธยายวิธีทำอย่างละเอียด เล่นเอาสาวชาวเผ่าค้างนิ่งไป แม้จะใส่หน้ากากอยู่แต่มารีเดาได้เลยว่าใต้นั้นคงกำลังอ้าปากหวอ
จริง ๆ มารีก็อยากจะแย้งว่าที่พูดมามันผิดไปนิดหน่อยก็เถอะ แต่ปล่อยไว้ให้ช็อคตอนเห็นคะแนนแล้วกัน
หลังกินข้าวกลางวันเสร็จ พวกเด็ก ๆ ก็ขึ้นมาที่ห้องชมรมหลังจากที่เข้าไม่ได้มาอาทิตย์กว่า ๆ เพราะกิจกรรมชมรมถูกสั่งให้พักชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบ แม้พวกนักเรียนร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าจะอ่านหนังสือเตรียมสอบกันคืนสุดท้ายแค่วันเดียวก็เถอะ
ถึงจะชื่อว่าเป็นชมรมสืบสวนปริศนา แต่ที่ผ่านมา กิจกรรมที่พวกเด็ก ๆ ทำส่วนใหญ่นั่นไม่ค่อยจะตรงกับจุดประสงค์ของชมรมสักเท่าไหร่นัก อย่างเดรโกกับไทมักจะชอบเล่นประลองเวทย์กัน ลูอานาชอบปรุงน้ำยาแปลก ๆ ขึ้นมา ส่วนมารีก็กินขนมกับดื่มน้ำชา ไม่ก็วาดรูปเล่นหรืออ่านหนังสือ แต่ที่ปรึกษาชมรมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะอาเทเนียเองก็มักจะมาร่วมวงน้ำชาด้วยบ่อย ๆ
ส่วนอาเรียนั้น เห็นว่าไปสมัครเป็นบรรณารักษ์และอยู่ประจำห้องสมุดข้างล่างนี่เอง ทีแรกเธอก็อยากจะมาเข้าชมรมของมารี แต่อาเทเนียให้เหตุผลไปว่าไม่รับสมาชิกเพิ่มแล้ว และมารีเองก็ไม่อยากให้เธอมายุ่งกับพวกเพี้ยน ๆ นี่หรอก
“อ้าสวรรค์...”
หนุ่มหน้าหวานเป็นคนแรกที่ทิ้งตัวลงบนพื้นห้องเย็น ๆ ตามด้วยลูอานา อากาศในห้องค่อนข้างร้อนอบอ้าวแม้จะเปิดหน้าต่าง เพราะว่าอยู่ชั้นสามและรับพลังงานความร้อนจากแสงแดดเต็ม ๆ เครื่องแบบแขนสั้นของทั้งสองชุ่มไปด้วยเหงื่อระหว่างเดินมาที่นี่
“นี่ยังไม่เข้าฤดูร้อนเต็มตัวเลยนะคะ หลังจากนี้จะขนาดไหนเนี่ย” ลูอานาที่นอนแผ่หลาบนพื้นเย็น ๆ พูดขึ้นมา “ร้อนพอ ๆ กับที่คาอิมานาเลยนะ”
“สู้สุวรรณภูมิไม่ได้หรอกเน่อ มีคำกล่าวกันว่าคนสุวรรณภูมิน่ะซ้อมลงนรกทุกวัน” เจ้าไทว่า “มารี เสกคาถาปรับอากาศให้หน่อยสิเน่อ”
“เอามายี่สิบอาร์เกนทัม”
“งืม”
มารีหยิบไม้กายสิทธิ์คริสตัลออกมา จากนั้นก็โบกสะบัดไม้กายสิทธิ์เป็นท่าทางเพื่อเสกคาถา ทันใดนั้นอากาศในห้องก็ลดฮวบ ทั้งสองหน่อครางออกมาอย่างผ่อนคลาย นอกจากเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนก็มีมารีเนี่ยแหละที่เสกคาถานี้เป็น เดิมทีเธอก็ตั้งใจจะสอนเพื่อน ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็โดนบอกมาว่ามันยากเกินไป
“ร้อน ๆ แบบนี้ก็อยากกินผลไม้เขตร้อนขึ้นมาเลยแฮะ พวกที่เปรี้ยว ๆ ถ้าเอามาลอยแก้วกินกับน้ำแข็งนี่สุดยอดเลยล่ะ” เจ้าไทที่จ้องไปที่เพดานเพ้อออกมา
“พูดแล้วก็อยากกินเหมือนกันเลยค่ะ ไม่ได้กินนานแล้วด้วย แต่ที่นี่หาซื้อไม่ได้เลยนะคะ ที่เอลเดนก็ราคาแพงเกิน” ลูอานาว่า “ถ้าใช้อิททิเนรันทัวร์ข้ามไปซื้อที่คาอิมานาได้ก็คงจะดี”
“นั่นสินะเน่อ ถ้าได้กลับไปสุวรรณภูมิคงจะดีเหมือนกัน” ไทถอนหายใจออกมา มารีสังเกตเห็นว่าหน้าของเขาดูจะหมองลงเล็กน้อย
ประตูห้องชมรมเปิดออกอีกครั้ง ทำให้ดวงตาทั้งสามคู่กันไปมองพร้อมกัน เดรโกรัสเดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูด ๆ ที่แขนขวาของเขาหิ้วกล่องกระดาษใบใหญ่เอาไว้
“อะไรน่ะคะ” ลูอานาที่ยังนอนอยู่ถามขึ้นมา
“ของฝากน่ะ” เดรโกรัสถอนหายใจ “ทำอะไรกันอะทั้งสองคน”
“มันเย็นดีน่ะเน่อ” เจ้าไทบอกก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาเพราะสนใจกล่องปริศนา “ใครส่งมาน่ะ เนื่องในโอกาสอะไรก๊ะ เอ๊ะหรือว่า...”
“ไม่ต้องคิดอะไรแปลก ๆ เลย แม่เราส่งมา” เดรโกว่า
“เห อะไรน้า เปิดเลยค่ะ เปิดเลย” ลูอานากระเด้งตัวขึ้นมาอีกคน และมองดูกล่องด้วยความสนใจ
เดรโกยกกล่องพัสดุมาตั้งที่โต๊ะตรงโซฟา มารีและคนที่เหลือมานั่งล้อมวงรอบ ๆ หนุ่มผมแดงค่อย ๆ แกะเชือกที่มัดกล่องเอาไว้ จากนั้นก็เปิดกล่องและเอามือล้วงลงไป
สิ่งแรกที่เขาหยิบขึ้นมาก็ทำเอาตาของเจ้าไทเป็นประกาย เพราะมันคือ...กะโหลกมนุษย์อันหนึ่ง
“กรี๊ดดดด!!”
ไม่ถึงเสี้ยววินาที สาวชาวเผ่าของเราก็ไปนั่งหลบมุมเอามือปิดหูตัวสั่นริก ๆ อยู่มุมห้อง และพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาถิ่นของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ใส่หน้ากากน่ากลัว ๆ นั่นตลอดเนี่ยนะแม่คุณ มารีมองตาปริบ ๆ ก่อนจะหันมาหาเดรโกต่อ
สิ่งต่อมาที่เขาหยิบออกมาจากกล่องก็คือก้อนหิน โง่ ๆ หนึ่งก้อน และเสื้อคลุมเก่าหนึ่งตัวที่ถ้าพูดตรง ๆ คงเรียกว่าผ้าขี้ริ้ว และสิ่งสุดท้ายก็คือจดหมายทำจากกระดาษปาปิรัสเขียนด้วยเลือดสีแดงสดแบบหวัด ๆ ขาด ๆ หาย ๆ
“อยู่ที่อารจัน ตอนนี้สบายดี” เดรโกอ่านข้อความพลางถอนหายใจออกมา
“แม่เดรโกรสนิยมแปลกดีนะ” ไทหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
“ฆาตกรรมอำพรางเหรอ” มารีจับแว่นมองดูของบนโต๊ะด้วยหน้าเรียบเฉย
“เปล่าหรอก” หนุ่มผมแดงยักไหล่ ก่อนจะหยิบกะโหลกขึ้นมาและโชว์แผ่นกระดาษโน้ตเล็ก ๆ ที่ห้อยกับเชือกที่มัดติดกับกระดูกกรามอีกทีให้ดู มีข้อความเขียนว่าเจ้านี่คือปีศาจโครงกระดูกเดินได้ จากดันเจี้ยนสุสานโบราณที่อารจัน ดินแดนทะเลทรายอันไกลโพ้น
ก้อนหินโง่ ๆ นั้นมีข้อความบอกว่าเป็นชิ้นส่วนที่แตกออกมาของมหาพีระมิดซึ่งเป็นที่ตั้งของดันเจี้ยนนี้
ผ้าขี้ริ้วนั้น เป็นผ้าคลุมของปีศาจหมอผีที่เฝ้าประตูขุมทรัพย์อยู่ ซึ่งกว่าจะโค่นลงได้ก็แทบแย่
ส่วนจดหมายนั้นก็เขียนจากเลือดของสฟิงซ์ที่เฝ้าพีระมิดอยู่โดยใช้ปากกาโบราณทำจากต้นอ้อและกระดาษจากต้นกกซึ่งค้นพบในดันเจี้ยน
“มันก็มีเรื่องราวดีนะ แต่ว่า...”
“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนี่” มารีถอนหายใจออกมา พลางหยิบของแต่ละอย่างมาดู
“ถ้าส่งสมบัติมาให้ก็จะไม่ว่าเลยนะ” หนุ่มผมแดงหัวเราะออกมา “แต่ก็เข้าใจแหละว่าต้องยกส่วนนั้นให้กิลด์เพื่อเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ล่ะนะ”
“แม่เดรโกทำงานที่กิลด์ก๊ะ”
“อือ เป็นนักโบราณคดีน่ะ แล้วก็เป็นนักผจญภัยด้วย เวลานางไปลุยดันเจี้ยนที่ไหนก็จะส่งของแบบนี้มาให้เป็นของขวัญหรือของฝากน่ะ เป็นคนที่เก่งสุด ๆ แต่ก็อย่างที่เห็น...เซนส์เรื่องการให้ของฝากของนางแย่สุด ๆ เลย”
เป็นคุณแม่ที่น่าสนใจดีแฮะ
ระหว่างนั้นเอง เจ้านัวร์ก็เข้ามาในห้องและเดินมาหามารี ทันทีที่ลูอานาเห็น เธอก็ตะเกียกตะกายไปหาเขาเพื่อเยียวยาจิตใจทันที
“เมี้ยว” ดวงตาสีเหลืองหันมาจ้องมารีในระหว่างที่โดนลูอานาลูบไล้ขนนุ่ม ๆ
“โผล่มาแล้วสินะ” เธอว่า เจ้านัวร์ส่งเสียงเมี้ยวตามมาอีกครั้ง
“มีอะไรเหรอ” เดรโกที่มองนัวร์กับมารีถามงง ๆ
“ขอไปในเมืองหน่อยนะ เอาอะไรไหม” มารีลุกขึ้นยืน แต่หลังจากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาเลย
ณ ย่านการค้า มารีเดินตามนัวร์ที่วิ่งเหยาะ ๆ ด้วยหน้าบูด ๆ นั่นเพราะไอ้สามหน่อขอตามมาด้วย เห็นว่าจะแวะไปหาของหวานกินฉลองสอบเสร็จกันสักหน่อย แต่ละคนต่างกางร่มเพื่อปกป้องผิวอันบอบบางจากแสงแดดที่ไม่มีทีท่าว่าจะปราณีเลย ยิ่งช่วงหลังเที่ยงวันแบบนี้ด้วย
“สังเกตมานานแล้วล่ะ มารีฟังนัวร์ออกเหรอคะ” ลูอานาถามขึ้นมา
“อืม เจ้าของจะฟังสัตว์รับใช้ออกน่ะ”
“สุดยอดเลยนะเน่อ ไว้มีตังค์เยอะ ๆ ค่อยหานกฮูกมาใช้สักตัวดีกว่า หรือแมวดีนะ” เจ้าไทยกมือที่ว่างอีกข้างมาลูบคางครุ่นคิด
“แล้วมาทำอะไรในเมืองเหรอ” เดรโกถามขึ้นมา
“เรื่องส่วนตัว จบนะ”
มารีส่งหน้าตายด้านให้ หรือก็คือการพูดเป็นนัย ๆ ว่าอย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน
“แดดร้อนอยู่แท้ ๆ แต่รู้สึกหนาวขึ้นมาทันทีเลยแฮะ”
มารีมาหยุดที่หน้าร้านแห่งหนึ่ง เมื่อมองผ่านกระจกหน้าร้านเข้าไป ก็เห็นถ้วยโถโอชามรามไหมากมายวางอยู่เต็ม มีทั้งแบบทั่ว ๆไปหลากหลายขนาด และดีไซน์แบบผู้ดี๊ผู้ดีที่ราคาน่าจะแพง
“จะมาซื้อชุดน้ำชาเพิ่มเหรอคะ ในห้องชมรมเราก็เยอะแยะนะ”
ทว่าพอเห็นหน้าตายด้านของมารี แม่สาวชาวเผ่าก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ไปกินกันก่อนเลย เดี๋ยวตามไป” เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดประตูร้านเข้าไป
เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินหายลับไปแล้ว มารีที่ทำเป็นเลือกของก็ค้อมศีรษะให้พนักงานเล็กน้อยและเดินออกจากร้านมาพร้อมกับนัวร์ แน่นอนว่าเธอทำเป็นเข้าร้านก็เพื่อให้เพื่อน ๆ แยกออกไปนั่นแหละ
เด็กสาวกับแมวดำเดินเตร่ไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นเองเธอก็สังเกตเห็นแมวขาวตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกำแพงและส่งตาสีฟ้าแป๋ว ๆ มา แน่นอนว่ามารีจำมันได้เพราะทุกครั้งที่มาย่านการค้าก็จะเจอมันตลอด
เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าทำไมมันต้องเหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้กับปลอกคอด้วย และคุณเธอก็เป็นแมวที่ไม่ยอมให้ใครเข้าหาเลย ครั้งนึงมารีพยายามเอาขนมมาล่อ เธอก็เมินหนีไปเสียอย่างนั้น
ในที่สุดมารีกับนัวร์ก็มาถึงที่หมาย ทั้งคู่หยุดยืนที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งที่แทบไม่มีอะไรสะดุดตา ไม่มีสินค้ามาโชว์หน้าร้าน ส่วนป้ายชื่อร้านก็ตัวเล็กและสีกลืนไปกับผนังจนมารีอ่านไม่ออก
เธอเก็บร่มและเปิดประตูร้านเข้าไปด้านใน มีเสียงกระดิ่งประตูดังขึ้นเบา ๆ
ถ้าเธอทำงานที่นี่คงรู้สึกดีใจมากที่มีลูกค้าหลงเข้ามา แต่สิ่งที่เธอเจอก็คือพนักงานที่เป็นชายแก่ ๆ นอนฟุบหลับอยู่กับเคาน์เตอร์ ภายในร้านเต็มไปด้วยของแปลก ๆ มากมาย อย่างเช่นตำราชื่อว่าวิธีการล่องหน 101 ที่เปิดเข้าไปก็ไม่มีตัวอักษรใด ๆ ในหน้ากระดาษเพราะเขียนด้วยหมึกล่องหน หรือไม้กวาดสำหรับบินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เพราะมันบินไม่ได้ หรืออุปกรณ์ป้องกันคาถาสว่างวาบที่จริง ๆ ก็เป็นแค่ที่แว่นกันแดด เป็นต้น
นี่มันไม่ต่างอะไรกับของฝากจากคุณแม่ของเดรโกเลยนี่หว่า
ไม่แปลกใจเลยที่เจ้านั่นจะมาเกิดในที่แบบนี้
“เมี้ยว” นัวร์มาหยุดตรงหน้าตู้ไม้หลังหนึ่ง มีข้อความเขียนเอาไว้ว่าเป็นตู้เสื้อผ้าเวทมนตร์ที่สามารถป้องกันฝุ่นและผ้าสีตกได้
ก็ปิดซะขนาดนี้ ฝุ่นมันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ แถมไม่โดนแดดด้วย สีมันจะไปตกได้ยังไงกัน
มารีถอนหายใจก่อนจะเปิดตู้ออกมา เธอเอี้ยวตัวไปหยิบปากกาหมึกล่องหน (ที่เขียนอะไรออกมาไม่ได้) ใกล้ ๆ กันแหย่เข้าไปที่ผนังตู้ด้านในและชักออกมา ไม่มีร่องรอยของการกัดกร่อนหรือกลิ่นไหม้
“รออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวรีบไปรีบกลับ” มารีหันไปบอกกับนัวร์ เขาส่งเสียงเมี้ยวให้หนึ่งที และไปนอนแผละที่มุมหนึ่ง เด็กสาวปีนเข้าไปในตู้และทะลุผนังตู้เข้าไป
เมื่อออกมา มารีก็พบว่าเธอมาโผล่ในซอยมืด ๆ มองไปไกล ๆ พอจะเห็นถนนที่มีไฟทาง อากาศร้อนชื้น ต่างกับที่โอวล์ฟอสเทียร์ที่ร้อนแห้ง ๆ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นควันของรถยนต์ปนกับกลิ่นไอทะเลลอยมาจาง ๆ
มารีโบกไม้กายสิทธิ์ไปหนึ่งที เครื่องแบบนักเรียนแขนยาวของเธอแปรเปลี่ยนเป็นชุดลำลองทั่ว ๆ ไป แบบที่พวกชาวต่างชาติมักใส่เวลามาเที่ยวประเทศเขตร้อน เธออามือตบ ๆ เสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหันกลับไปข้างหลังเพราะรู้สึกแปลก ๆ
“...”
มารีทำหน้าตายด้าน ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยและเดินเข้าไปใกล้ ๆ ไอ้บ้าสามคนที่พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเพราะคิดว่าคาถาหลอกสายตาจะใช้ได้ผล
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
มารีเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสามที่เดินคอตกจนมาถึงถนนใหญ่ จากนั้นก็เดินเลาะฟุตบาทไปเรื่อย ๆ ไม่ไกลนักก็สามารถมองเห็นหลังคาผ้าใบจำนวนมากตั้งเรียงราย และมีควันลอยฟุ้งขึ้นมา มวลชนมหาศาลเดินกันอย่างคึกคัก ในมือของแต่ละคนถือของกินที่เห็นแล้วน้ำลายไหลออกมาทันที
“ขอโทษนะที่แอบตามมา ไอ้สองตัวนี้มันเซ้าซี้น่ะสิ” เดรโกพูดขึ้นมา เขาเป็นคนเดียวที่หัวไม่โน แม้จะโดนมารีประเคนมะเหงกให้ไปคนละชุดก็ตาม
“ก็มันน่าสงสัยนี่นา” เจ้าไทที่หัวปูดเป็นลูกมะนาวและมีควันลอยฉุยว่า “จริงอย่างที่อาจารย์อาเทเนียเคยบอกไว้เลย คาถาหลอกสายตาใช้ไม่ได้ผลกับมารีสินะ”
“บอกแล้ว ไม่เชื่อกันเองนะ” หนุ่มผมแดงหัวเราะ ตอนนี้ทั้งสามคนโดนมารีเสกคาถาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นแบบนักท่องเที่ยวทั่วไป หน้ากากของลูอานากลายเป็นหน้ากากอนามัยกับแว่นกันแดดแทน ส่วนแว่นกันลมของเดรโกก็กลายเป็นแว่นกันแดดสีทึบ คาถานี้ไม่ใช่คาถาหลอกสายตา แต่เป็นการเปลี่ยนรูปทรงของเสื้อผ้าไปเลย
นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้สามตัวนี้ผ่านสายตาของนัวร์มาได้ยังไง หรือเจ้าแมวนั่นปล่อยให้มาก็ไม่รู้ กลับไปต้องไปคิดบัญชีสักหน่อย คิดแล้วมารีก็เดาะลิ้นออกมาเสียงดังจนเพื่อนทั้งสามสะดุ้ง
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว ถือว่ามาหาอะไรกินก็แล้วกัน” มารีถอนหายใจออกมา “อยู่ใกล้ ๆ ไว้ล่ะ ถ้าหลงก็อยู่ที่นี่ไปนะ”
“งือ” ลูอานาครางออกมาพลางลูบหัวที่โน
“เมื่อกี้เราเพิ่งข้าม เกท กันมาสินะ” หนุ่มผมแดงว่า มารีพยักหน้าให้นิ่ง ๆ
เกท คือชื่อเรียกของประตูมิติที่เชื่อมต่อระหว่างโลกเวทมนตร์กับโลกมนุษย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ว่ากันว่ามันเกิดมาจากการที่อาร์คานาพยายามทดลองเวทมนตร์สร้างประตูมิติแต่ผิดพลาดจนทำให้มิติของโลกเวทมนตร์รวนจนมาบรรจบกับมิติของโลกมนุษย์ และนั่นก็ทำให้มีมนุษย์เผลอข้ามเกทเข้ามาจำนวนมากเมื่อสองพันปีก่อนและนำมาสู่อารยธรรมของเหล่าผู้วิเศษตามที่อาจารย์อวาลินสอน
มารีใช้ประโยชน์จากเจ้าสิ่งนี้ในการเดินทางไปมาระหว่างทั้งสองโลก ส่วนใหญ่ก็เพื่อการท่องเที่ยวนั่นแหละ
เกทมักจะเกิดในที่อับสายตา หรือที่ ๆ ไม่ได้รับความสนใจจากคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดบ่อยครั้งนัก และเราจะไม่มีวันรู้ว่าเกทเชื่อมต่อไปยังที่ใด มารีจึงต้องทำการทดสอบก่อนเสมอ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่มันพาไปปากปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับจนเกือบตกลงไปในลาวา
กระนั้น ก็ไม่ได้มีแต่มารีที่ใช้ประโยชน์ของเจ้าสิ่งนี้หรอก ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ใช้เกทในการข้ามไปข้ามมาเพื่อทำเรื่องแย่ ๆ อยู่ด้วยเหมือนกัน มารีถึงไม่อยากให้ใครมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้
ทั้งสี่เดินมาถึงถนนคนเดินตั้งอยู่บนถนนเลียบชายหาด มีของกินแนวสตรีทฟู้ดหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารทะเลสด ๆ เพื่อนทั้งสามมองซ้ายมองขวาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นของกินแปลก ๆ ที่ตั้งเรียงราย
ในตอนนั้นเอง เจ้าไทก็ไปสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ดวงตาสีน้ำชาของเขาเบิกกว้างและเป็นประกาย
“ที่นี่ก็มีเหรอ!!” หนุ่มหน้าหวานวิ่งเข้าไปดูผลไม้บนแผง มีผลไม้สีแดงที่มีขนหยิกหยอยสีเขียว ผลไม้สีม่วงกลมมีขั้วและกลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง ผลไม้สีแดงที่มีเปลือกเหมือนกับเกล็ดงู และที่แปลกสุดคือผลไม้ขนาดใหญ่สีเขียวตุ่น ๆ ที่มีผิวเป็นหนามทั้งลูก ลูอานากับมารีไม่ได้แสดงอาการอะไรมาก ส่วนเดรโกนั้นดูจะไม่ค่อยไว้ใจ
“แน่ใจนะว่ากินได้” หนุ่มผมแดงยิ้มแห้ง ๆ “ไอ้อันที่เป็นสีม่วงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ที่เหลือนี่มันรู้สึกขนลุกแปลก ๆ”
“#$%^&*” แม่ค้าถามพวกเด็ก ๆ ด้วยภาษาท้องถิ่น แน่นอนว่ามารี เดรโกกับลูอานาฟังไม่ออก แต่ไทนั้น...
เด็กหนุ่มหน้าหวานชี้บอกด้วยภาษาแบบเดียวกันด้วยตาเป็นประกาย แก้มของเขากลายเป็นสีชมพูจาง ๆ
แม่ค้าพูดอะไรบางอย่าง ได้ยินดังนั้นไทก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหามารี
“เขาบอกว่าทุเรียนโลละร้อยแปดสิบ สละโลหกสิบ เงาะกับมุงคุโลสามสิบ ว่าแต่อะไรคือโลอะ”
“น่าจะหมายถึงกิโลกรัม เป็นหน่วยน้ำหนักของมนุษย์น่ะ” มารีเบ้ปากบอก
ไทหยิบสละ เงาะกับมังคุดอย่างละนิดละหน่อยแค่พอชิมเล่น และทุเรียนอีกหนึ่งลูก ซึ่งแม่ค้าบริการปอกและเอาใส่ถาดโฟมห่อด้วยแรปใสให้เลย เนื้อในของมันเป็นสีเหลืองอ่อน ส่งกลิ่นหอมหวานออกมา
มารีแอบสังเกตเห็นว่าเดรโกทำหน้ามุ่ย ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าทำไม
ไทหยิบเงินออกมาจากย่าม แต่ก็ต้องชะงักไปและหันมาหามารีอีกรอบ
“ที่นี่เขาใช้เงินอะไรกันอะ”
“...”
มารีถอนหายใจและเอากระเป๋าสตางค์ออกมา เธอหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้หลายใบ เจ้านี่เป็นกระเป๋าวิเศษที่สามารถแปลงเงินในกระเป๋าเป็นสกุลอะไรก็ได้ ขอเพียงแต่มีเงินค้างอยู่ในกระเป๋าก็พอ
แต่ถ้าเสกเงินขึ้นมาได้เองก็จะดีไม่น้อยเลย
มารีกับเพื่อน ๆ ซื้อของกินเล่นกันมาคนละนิดละหน่อย ส่วนใหญ่เป็นพวกขนมเพราะพวกเขากินอาหารกลางวันที่โรงเรียนมาแล้ว ทั้งสี่มานั่งตรงที่นั่งของสะพานที่ทอดลงมาในทะเลในจุดที่มีคนอยู่น้อย เสียงคลื่นซัดโขดหินของฐานสะพานดังเป็นระลอก ลมเย็น ๆ พัดปะทะร่างกาย มองไปฝั่งหนึ่งก็เห็นภูเขาลูกเตี้ย ๆ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงแปลกตาตั้งอยู่บนยอดเขา เมื่อมองไปที่ทะเลก็เห็นรูปร่างลาง ๆ ของภูเขาลูกใหญ่ที่ดูคล้ายกับท่อนบนของคนนอนหงายอยู่ ท้องฟ้ามืดสนิท เห็นประกายแสงของดวงดาวบนฟ้าประปราย
มารีวานให้เดรโกช่วยเสกคาถาทำความสะอาดเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก เพราะเธอไม่อยากชักไม้กายสิทธิ์ออกมาให้มันประเจิดประเจ้อ เขาเอามือไปจ่อ ๆ ที่ถุงผลไม้ มีแสงสีฟ้าเรือง ๆ ออกมาจากแหวนเวทมนตร์ที่นิ้วกลางและถุงผลไม้แวบหนึ่ง
“เอานี่ก่อนแล้วกันเน่อ เจ้านี่เรียกว่าเงาะ ข้างในจะมีเม็ดอยู่ กัดเฉพาะเนื้อแล้วก็คายเม็ดออกมา อาจจะมีเปลือกติดกับเนื้อไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มเนื้อสัมผัสล่ะ” ไทหยิบเงาะมาบิดปอกเปลือกและส่งให้แต่ละคน
แต่เอาจริง ๆ คนที่เคยกินเจ้านี่เป็นครั้งแรกคงมีแต่เดรโก เพราะลูอานาเองก็เป็นคนเขตร้อน และมารีเองก็เคยมาที่ประเทศนี้แล้ว
“หวานดีนะ แต่รูปลักษณ์มันก็...” หนุ่มผมแดงกอดอก แก้มข้างหนึ่งของเขาโป่งขึ้นจากผลเงาะ
“อันนี้มังคุด ขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีแห่งผลไม้เลยเน่อ อันที่เม็ดลีบ ๆ ก็เคี้ยวไปได้เลย แต่อันไหนเม็ดใหญ่ก็อย่าฝืน ส่วนอันนี้สละ จะเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ข้างในจะมีเม็ดแข็ง ๆ อยู่ ไม่ต้องกินเข้าไปล่ะ” ต่อมา ไทก็บิดมังคุดและแกะเปลือกสละส่งให้เพื่อน ๆ
“อืม อันนี้สดชื่นดีแฮะ อันที่ชื่อสละก็หอมดีด้วย” เดรโกเลิกคิ้วและเอ่ยปากชม ดูท่าจะถูกใจสองอันนี้
และสุดท้ายคือบอสใหญ่...
“หึ ๆ เตรียมตัวให้ดี นี่คือราชาแห่งผลไม้ล่ะ” ไทแกะแรปของถาดทุเรียนและโชว์ให้เพื่อนชาย แต่มารีเดาปฏิกิริยาออกแล้ว
“อึก...อันนี้ขอผ่าน ไม่ไหวกับกลิ่นมันจริง ๆ” หนุ่มผมแดงเอามืออุดจมูก
“หึ ๆ มีแต่พวกอ่อนหัดเท่านั้นแหละที่เหม็นกลิ่นทุเรียน” ไทย้ายถาดทุเรียนไปที่มารีกับลูอานา ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เพราะรู้สึกว่ามันหอม
“พวกอ่อนหัด” มารีหยิบชิ้นทุเรียนมาเคี้ยวตุ้ย ๆ และมองพ่อหนุ่มผมแดงด้วยสายตาเยาะเย้ย
“ใช่ค่ะ พวกอ่อนหัด” ลูอานาเล่นด้วยอีกคน
“อย่าแกล้งกันสิ”
“ว่าแต่ ไทฟังภาษาคนที่นี่ออกด้วยเหรอคะ” ลูอานาถาม
“อือ ถึงสำเนียงจะแปลก ๆ ก็เถอะ แต่ก็พอจะฟังออกอยู่ พวกตัวอักษรนี่ไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ เสื้อผ้าก็ไม่เหมือนเลย แต่ว่า...” เด็กหนุ่มหน้าหวานตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าอยู่ ๆ ก็ค้างไป และก็เริ่มมีน้ำตาผุดซึมออกมาเสียอย่างนั้น ทำเอามารีและอีกสองคนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เหมือน...ได้กลับมาที่บ้านเกิดเลย”
ความเงียบเข้าปกคลุมไปชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงเสียงคลื่นและเสียงของสายลมที่พัดผ่านไปที่ดังรอบบริเวณ
“ไทเองก็เป็นคนสุวรรณภูมิสินะ ที่มาอยู่ที่เอลเดนก็เพราะลี้ภัยใช่ไหม” เดรโกพูดขึ้นมา
“อือ” อีกฝ่ายพยักหน้า พลางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา
“เหมือนฉันเลยนะคะ พอเห็นทะเลกับได้ยินเสียงคลื่นแล้วก็ชวนให้คิดถึงบ้านเกิดขึ้นมาเหมือนกัน” ลูอานาพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ พลางแง้มหน้ากากอนามัยและหยิบชิ้นทุเรียนเข้าปากเคี้ยวเงียบ ๆ
“ทำไมเหรอ” มารีถามเพื่อน ๆ เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองในโลกเวทมนตร์เท่าไรนัก
“เดิมสุวรรณภูมิปกครองด้วยระบอบกษัตริย์น่ะ เป็นหนึ่งในเจ็ดราชอาณาจักรใหญ่ของผู้วิเศษ” เดรโกบอก พลางลูบหัวของเพื่อนชาย “แต่ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมีการปฏิวัติล้มล้างการปกครองไปเป็นเผด็จการ แล้วก็ปิดประเทศไม่ให้คนเข้าออกมาตั้งแต่นั้น”
“พ่อแม่ของข้าน้อย...โดนพวกปฏิวัติจับเผาทั้งเป็น...” ใบหน้าของไทเริ่มบิดเบี้ยว น้ำตาไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้าไม่ได้ลุงช่วยไว้ ป่านนี้ก็คง...”
ลูอานาที่นั่งขนาบข้างไทอีกฝั่งยกมือขึ้นไปลูบหลังของเขาเบา ๆ
“ฉันเองก็เสียครอบครัวไปเพราะสงครามเหมือนกันค่ะ ทั้งพ่อ แม่ แล้วก็พี่สาว” ลูอานาพูดขึ้นมา เสียงของเธอเริ่มสั่นกว่าเดิม
ภาพของเสาไม้จำนวนมากที่มารีไปเจอตอนที่ไปช่วยลูอานาเมื่อคราวที่เรียนคาถาสร้างประตูมิติยังคงติดอยู่ในความทรงจำ พอนึกว่าทั้งสองคนนี้ต้องเจออะไรมา มันก็พลอยทำให้รู้สึกจุกอกไปด้วย
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ น่ากินจังเลยนะ”
“!?”
ในตอนนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาแซวพวกเด็ก ๆ เขามีผมเซอ ๆ สีดำ ดวงตาสีน้ำตาลแดง ใบหน้าหล่อเหลาแบบชาวเอเชียตะวันออก สวมชุดฮาวายทับเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้น
ทว่านั่นกลับทำให้มารีเบิกตากว้าง เธอลุกขึ้นและชักไม้กายสิทธิ์จ่อใส่เขาทันที
“แหม ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะแย่งพวกเธอกินหรอกน่า” ชายหนุ่มยกมือและยิ้มอย่างขี้เล่น
ระหว่างนั้นเองมารีก็มองไปรอบ ๆ ก่อนที่ใจของเธอจะหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นั่นแพราะผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างฟุบหลับกันไปหมด บางคนก็ลงไปนอนอยู่ที่พื้น พวกเพื่อน ๆ ต่างมองด้วยความตกใจเช่นกัน
แต่ก็ยังมีคนที่ยืนอยู่หลายคน ทว่าพวกเขากลับแต่งกายด้วยเสื้อคลุมกับหมวกปีกกว้างสีดำ และสวมหน้ากากหนังที่มีจะงอยปากยื่นออกมาเหมือนนก เห็นดังนั้น ทั้งเดรโก ไท และลูอานาต่างก็ลุกขึ้นมาและชี้อุปกรณ์เวทมนตร์ของตัวเองใส่ฝั่งตรงข้ามทันที
“ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ทำให้หลับไปเฉย ๆ พวกฉันไม่ใช้พวกป่าเถื่อนขนาดนั้นสักหน่อย” ชายหนุ่มบอก “ขอโทษที่มาขัดจังหวะแล้วกัน กำลังดราม่าอะไรกันอยู่สินะ
“ต้องการอะไร” มารีแยกเขี้ยวถามอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่น มือของเธอเย็นและสั่นระริก
“รู้จักหมอนี่ด้วยเหรอ” เดรโกหันมากระซิบถาม
“รู้จักเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเธอสามคนเองอาจจะเคยฉันมาแล้ว แค่จำไม่ได้เพราะใส่หน้ากากนั่นแหละ” ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเลยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “โทวาดะ ไนโตะ สมาชิกของฝูงอีกา ยินดีที่ได้รู้จัก”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาบังใบหน้า ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ไหลออกมาจากมือและเข้าปกคลุมร่างกายทั้งหมด กลายเป็นเครื่องแบบเหมือนกับพวกคืนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่
มารีและเพื่อน ๆ กลืนน้ำลาย นั่นเพราะพวกเขารู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าพวกนี้เป็นอย่างดี
ฝูงอีกา (Murder of Crows) คือกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมใหญ่ ๆ หลายครั้งของโลกเวทมนตร์ ซึ่งรวมทั้งการฆ่าล้างเผาพันธุ์ที่คาอิมานาและการปฏิวัติที่สุวรรณภูมิอีกด้วย
“สั้น ๆ เลยก็แล้วกัน ไปเอาตัวเอเลนามาให้พวกเรา แล้วพวกเธอจะได้กลับบ้านอย่างมีความสุข” ไนโตะกล่าว
“แล้วจะให้ไปหาจากไหน ทุกวันนี้ยังไม่มีใครหายัยนั่นเจอเลย” มารีขมวดคิ้วและยังคงจ่อไม้กายสิทธิ์ใส่อีกฝ่าย
“โกหกไม่เก่งเลยนะ ทั้งที่รอบก่อนเกือบจะโดนแมวเหมียวของฉันงาบไปแล้วอยู่แท้ ๆ”
แปลว่าเจ้าพวกนี้ก็มองทะลุเวทย์หลอกสายตาได้อย่างงั้นเหรอ
“อีกอย่าง เธอเองน่าจะรู้ดีที่สุดนะว่าแม่นั่นอยู่ไหน เมื่อก่อนเห็นอยู่ด้วยกันตลอดนี่” ดวงตาเบื้องหลังหน้ากากจับจ้องมาที่มารี นั่นทำให้พวกเพื่อน ๆ หันมามองเธอเช่นกัน
แต่ยังไม่ทันตั้งตัว อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงดังพรึบเหมือนใครสะบัดผ้าดังขึ้นมาข้างหลัง เมื่อมารีหันไปก็พบว่ามีพวกฝูงอีกาสองคนแตะไหล่ของเพื่อน ๆ ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะบิดเบี้ยวและหดหายวับไปพร้อมกับเสียงพรึบอีกครั้ง
“ฉันให้เวลาครึ่งชั่วโมง พาเอเลนามาที่นี่” ไนโตะกล่าว “คงรู้ดีนะว่าถ้ามาช้า เพื่อนของเธอจะโดนอะไร”
ร่างของชายหนุ่มบิดเบี้ยวและหายวับไปพร้อมกับพวกอีกาคนอื่น ๆ ไม่นานผู้คนรอบ ๆ ก็ฟื้นสติกลับมาและมองซ้ายมองขวางง ๆ
ไม้กายสิทธิ์ในมือของมารีหลุดร่วงลงจากมือและส่งเสียงดังกังวานออกมาเมื่อกระทบกับพื้น อยู่ดี ๆ แผลที่คอ ต้นแขน และต้นขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา
โทวาดะ ไนโตะ เป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง มันอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมต่อเนื่องและสังหารหมู่หลายคดี การจัดการเหยื่อของมันนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่าที่มนุษย์ที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกจะคิดได้
และมันผู้นี้ได้สร้างฝันร้ายเอาไว้กับมารีจนกลายเป็นแบบทุกวันนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ