Heaven Earth Hell

-

เขียนโดย LuvifrancSLawLia

วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 18.29 น.

  13 chapter
  11 วิจารณ์
  4,901 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2566 18.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) รอยยิ้มในวันนี้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
            “อยากโดนฉันต่อยขนาดนั้นเลยรึ??”   ซีสจ์จ้องตาเขม็ง   “ได้!!!”   ระเบิดไฟพวยพุ่งจากทุกส่วนของร่างกาย   สีสันที่ปรากฏต่อสายตาของวิลเลี่ยมคือสีเดียวกับที่กำลังลุกไหม้บนผิวดาบของเขา   ซีสจ์พุ่งเข้าใส่ในขณะที่วิลเลี่ยมทำเพียงยืนมองร่างที่กำลังเข้าถึงตัว   รอยยิ้มแห่งความอาฆาต   คิดว่ามันจะไปถึงแต่สุดท้ายคือฝันที่คิดไปเอง   มันถูกหยุดด้วยฝ่ามือสีดำ   เป็นแรงที่เท่าเทียมหรือมากกว่าแต่ที่แน่ๆ สามารถปัดเป่าสีไฟออกจากกำปั้นไปจนหมด   “....นี่มันไม่ใช่เรื่องของแก   ถอยออกไป”   ซีสจ์ถลึงตาใส่ร่างปริศนาผู้เข้ามาขัดขวางด้วยความอาฆาต   “ไม่ใช่เรื่องของผมหรือครับ?   เห็นได้ชัดว่านี่มันชั้นเรียนของผม”   การต่อล้อต่อเถียงของคนทั้งสองรังแต่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น   “แล้วแกจะเสียใจ!!!”   ซีสจ์รีดไฟบนกำปั้นก่อนจะลามไปทั่วแขนข้างนั้น   ใบหน้าที่ดุดันขึ้นกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ใครที่มองหน้าเขาหากไม่เกิดความหวาดกลัวจนเป็นบ้าก็แทบจะล้มพับทั้งยืน  
            “เป็นแค่อาจารย์ชั้นต่ำ   อย่าริอ่านมาขวางทาง   ไอ้สวะ!!!”   ซีสจ์สะบัดแขนออกจากกรงขังอันแข็งแกร่ง   รัวหมัดฮุคเข้าใส่ร่างตรงหน้าอย่างรวดเร็ว   รุนแรงและต่อเนื่อง   ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่หมัดจะสร้างรอยขีดข่วนให้กับชุดหรือร่างกายของนิโคลัส   สร้างความอับอายและน่าสมเพชจนนักเรียนคนหนึ่งหลุดขำออกมา   ซีสจ์ที่กำลังเลือดร้อนถลึงตาใส่นักเรียนผู้โชคร้ายด้วยแววตาอาฆาตแค้นก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งไปที่ร่างนั้น   เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันทีที่พวกนักเรียนเห็นว่าชายหัวร้อนกำลังวิ่งตรงเข้ามา   “ไอ้สวะ!!”   ซีสจ์กระโดดขึ้นฟ้า   ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในขณะที่ดวงตาสะท้อนภาพของนิโคลัสผู้ใช้มือข้างเดียวกำหมัดที่ลุกไหม้อย่างง่ายดาย   ซีสจ์เตะอัดเข้าใส่ร่างที่ประจันหน้าอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังถูกสกัดไว้ได้ด้วยหลังมืออีกข้างที่ตั้งการ์ดรับอย่างชำนาญแต่เพียงชั่วครู่   นิโคลัสเริ่มสังเกตเห็นถุงมือกำลังมีควันลอยขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาที่เบิกกว้าง  
            แรงระเบิดแผ่รัศมีออกจากขาของนักเรียนตัวเล็ก   ควันและกลิ่นไหม้ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ   “เป็นไงบ้างวะ?”   ซีสจ์ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง   จ้องกลุ่มควันที่กำลังบดบังการมองเห็นแต่เมื่อมันจางลง   เสียงหัวเราะของเขาก็พลันหยุดลงไปด้วย   แววตาที่มองทอดยาวออกไปกลับมาดุดันอีกครั้ง   “วู้ว!!   ไม่คิดเลยว่าจะมีกิฟท์ที่อันตรายแบบนี้ด้วย”   นิโคลัสสะบัดเสื้อหนังที่เต็มไปด้วยรอยไหม้   กระจายอยู่ทั่วบริเวณ   เหมือนกับคนไม่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดเมื่อครู่สักนิด   เขาจับปกเสื้อให้เข้าที่   เป็นจังหวะเดียวกับที่โทมัสสังเกตเห็นถุงมือมีรอยแหว่งขนาดใหญ่แต่ไม่มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำให้เห็นบนผิวหนัง  
            นิโคลัสเหลือบตามองซีสจ์   สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงออกถึงความสงสัยปนไม่พอใจ   เพียงชั่วขณะที่ทั้งสองเล่นเกมจ้องตากัน   ซีสจ์มีอาการประหลาด   ริมฝีปาก   แขนและขาสั่นด้วยความกลัว   โทมัสสังเกตและคอยเก็บรายละเอียดอย่างสุขุม   พวกนั้นยืนค้างอยู่กับที่พักใหญ่ก่อนที่ซีสจ์จะเริ่มง้างมือที่กำหมัดแน่นยกขึ้นอย่างยากลำบาก   “โอ้!   ด้วยสภาพแบบนั้นยังคิดที่จะสู้ต่ออีกหรือครับ?”   นิโคลัสส่งสายตาอันเยือกเย็นดุจหอกน้ำแข็งที่กำลังเล็งปลายแหลมจี้ที่คอของนักเรียนโอหัง   “...มัน...จะมาก...ไปแล้วนะเว้ย!!!!”   อาการสั่นเทาหายเป็นปลิดทิ้ง   ซีสจ์พุ่งเข้าใส่นิโคลัสด้วยไฟโทสะอันร้อนแรง
            เปลวไฟสีเหลืองปกคลุมร่างกายซีสจ์ในขณะที่นิโคลัสทำเพียงแค่ยกแขนขึ้นจับที่ปลายหมวก   ดึงมันลงจนบังนัยน์ตาจนมิด   ไม่มีการตั้งการ์ดรับการจู่โจมที่กำลังจะมาถึงแต่ผู้ชมต่างรู้สึกว่าชายผู้นั้นจะสามารถหยุดการโจมตีจากอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นเหมือนที่ผ่านมา  
            การจู่โจมอันหนักหน่วงถูกขัดด้วยการปรากฏตัวของร่างปริศนาที่กำลังหยุดยืนที่เบื้องหน้าของนิโคลัส   เด็กหนุ่มในเครื่องแบบนักเรียนทั่วไป   ส่วนสูงมากกว่านิโคลัส   ผมดำ   ใบหน้าเรียวหวานได้รูปแต่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก   แขนเรียวยาวของเขายกขึ้น   ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของซีสจ์ผู้กำลังวิ่งตรงเข้ามา   “นี่แก...?!!”   ซีสจ์หลุดอุทานออกมาได้แค่นั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนไร้สติและถูกนักเรียนคนนั้นรับไว้ได้ทันอย่างหวุดหวิด
            “ผมขอโทษแทนเพื่อนของผมด้วยนะครับ”   วินเซอร์โอบอุ้มร่างไร้สติด้วยแขนทั้งสองข้าง   เขาและนักเรียนใต้อาณัติของซีสจ์จากไปอย่างเงียบสงบ   นำพาบรรยากาศตึงเครียดให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง  
            “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”   วิลเลี่ยมเดินตรงมาหาซาคาเรียส   เปลวไฟบนผิวดาบสลายไป   “ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ”   ซาคาเรียสกล่าว   “ครับ”   วิลเลี่ยมยิ้ม   “ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ?”   เสียงจากร่างที่ถูกบดบังสร้างความประหลาดใจให้ทั้งซาคาเรียสและวิลเลี่ยม   โทมัสก้าวออกมา   สายตาที่มองมาที่พวกเขาจากทั่วทุกมุมมันมากเกินไปแต่ก็ไม่แปลกที่จะกลายเป็นจุดสนใจโดยฉับพลันอย่างงี้   โทมัสเดินนำออกจากโคลอสเซียม  
            “คนเมื่อกี้คือ….ผู้คุมประชาชนหรือครับ?”   เสียงกล่าวของโทมัสทำเอาวิลเลี่ยมหน้าถอดสีทันใด   เสียงหัวเราะดังออกมาคล้ายจะช่วยให้สถานการณ์ไม่ตึงเครียดจนเกินไป   “แหม   ผมละนึกว่าจะถูกคุณดุเรื่องที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องซะอีกนะครับ”   วิลเลี่ยมเกาหัว   ท่าทางและรอยยิ้มเหมือนกำลังพยายามเบี่ยงประเด็น   ไม่อยากกล่าวถึงสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้   “ทำไมผู้คุมประชาชนถึงต้องตามหาผมครับ?”   วิลเลี่ยมมองดวงตาคู่นั้นพลันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง   หลังเอนจนสัมผัสผิวกำแพง   “ถ้าให้เล่าที่นี่คงใช้เวลานาน   สนใจเปลี่ยนเป็นบ้านพักในป่าหลังนั้นแทนไหมครับ?   วันจันทร์ช่วงเที่ยง….”   “ก็ได้ครับ”   โทมัสตัดบท   เขาหันมองซาคาเรียส   สื่อสารผ่านทางสายตาและความเงียบอันไร้เสียงกล่าว   “ผมเรียกรถม้ามารอแล้วครับ   ตามผมมาเลยครับ”   ซาคาเรียสเดินนำไปสักพักก็หยุดลงเสียดื้อๆ   เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้   “คุณวิลเลี่ยมกลับยังไงหรือครับ?”  
            เย็นวันนั้นโทมัส   ซาคาเรียสและวิลเลี่ยมร่วมเดินทางกลับบ้านด้วยกัน   จริงอยู่ที่มีคนขับรถม้าให้แล้วแต่ซาคาเรียสไม่ชอบให้ใครขับแทนตนเองจึงนั่งแท่นควบ   ทุกวินาทีที่เดินผ่านภายนอกของรถม้าก็เหมือนกับการท่องมิติที่แตกต่างหากแต่อีกด้านกลับเป็นความเงียบที่แสนน่าอึดอัด   “คุณซาคาเรียสเป็นคนที่ยิ้มง่ายและอัธยาศัยดีนะครับ”   ทิ้งเวลาอยู่พักหนึ่ง    “ครับ”   วิลเลี่ยมพยายามไม่เหลือบมองขึ้นไปเพราะอาจเห็นใบหน้าเย็นชานั้นแต่ก็ฝืนไม่ได้ที่จะมองในบางครั้ง   “หลังจากนี้ไปคุณซาคาเรียสจะยังมีความสุขแบบนี้ไหมครับ?”   วิลเลี่ยมเอ่ย   “หมายความว่ายังไงหรือครับ?”   โทมัสขมวดคิ้ว   “คุณก็น่าจะเห็นแล้วนะครับว่าผู้คุมประชาชนคนนั้นได้หมายหัวคุณซาคาเรียสในฐานะเจ้าชายตัวจริง   แม้เจ้าชายตัวจริงจะถูกปกปิดไว้แต่หลังจากนี้ไปผมคิดว่าจะมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเกิดขึ้นไม่หยุดครับ”  
           
            ภายในห้องอาหารตามฤดูกาล   อาหารจำนวนมากถูกจัดแจงเป็นระเบียบบนโต๊ะอาหารทรงยาว   ตัวห้องมีการตกแต่งโดยจิตรกรชำนาญเพราะสามารถเนรมิตให้ทั้งห้องกลายเป็นสุสานของใบเมเปิ้ลที่ทับถมบนพื้น   ต้นเมเปิ้ลแต่งเติมบนผนังห้อง   กลายเป็นความลงตัวที่ทำให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารเกิดความรู้สึกเสมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางป่าเมเปิ้ลจริงๆ   หญิงสาวแต่งกายในชุดเดรสขาว   นั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะและอีกคน   ชายกำยำผู้สวมชุดหนังสีดำ   นิโคลัสที่ในยามปกติจะไม่มีใครได้เห็นใบหน้าภายใต้เครื่องประดับและอาภรณ์สีหม่นที่บดบังอวัยวะทุกส่วนอย่างมิดชิดแต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ร่างนั้นไม่ได้สวมหมวกและผ้าปิดปากตัวโปรด   เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาแม้จะดูมีอายุ   เส้นผมหยักศกสีน้ำทะเลยามอาบรัตติกาลตัดกับนัยน์ตาสีน้ำทะเลยามต้องทิวาที่ตัดกันอย่างลงตัว   
            “คุณนิโคลัสขอบคุณที่มานะคะ   เรารู้สึกเกรงใจเหลือเกินที่ต้องไหว้วานให้คุณทำงานควบถึงสองตำแหน่ง”   สเตฟานี่กล่าวทักทายผู้ร่วมโต๊ะอย่างสนิทสนม   “หามิได้ขอรับฝ่าบาท   การได้ถวายงานให้พระองค์ถือเป็นเกียรติสูงสุดและการได้สอนนักเรียนเป็นการผ่อนคลายจากงานประจำของกระผมเองด้วยขอรับฝ่าบาท”   นิโคลัสตอบกลับอย่างถ่อมตัว   “ได้ยินแบบนี้จึงค่อยโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง...”   ใบหน้าสวยได้รูปหากแต่คิ้วขมวดเข้าหากัน  
            “เรื่องราวในวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?”   น้ำเสียงของเธอดูเป็นกังวล   “กระผมไม่คิดว่าจะสามารถเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างละเอียด   ฉะนั้นหากทรงไม่รังเกียจ   จะทรงทอดพระเนตรด้วยตัวของพระองค์เองจะดีไหมขอรับฝ่าบาท?”   นิโคลัสยื่นมือไปด้านหน้า   เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางนิ้วลงบนฝ่ามือหยาบและหนาและหลับตาลง   ทันใดนั้นทุกคนในห้องอาหารรับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้องที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน   เสียงแตกร้าวที่ดังขึ้น   นัยน์ตาของผู้รับใช้ที่ยืนด้านหลังของเก้าอี้ของนิโคลัสเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีดเมื่อเห็นโต๊ะอาหารกำลังมีรอยร้าว   ผิวหลุดลอกและลอยขึ้นกลางอากาศ   ปลดปล่อยแสงสว่างออกมาจนแสบตา  
 
            เช้าวันต่อมา   มันคือวันหยุดของโทมัสและซาคาเรียส   พวกเขาจึงหาเรื่องชวนกันออกไปเที่ยวนอกเขตพระราชฐานเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก่อนการเริ่มเรียนในสัปดาห์ถัดไป   โทมัสสวมชุดคลุมผ้าปิดบังร่างกายทุกส่วนอย่างมิดชิด   ยืนอยู่ด้านหน้าของชานพระราชวัง   มีผู้รับใช้และราชินีสเตฟานี   ผู้เป็นมารดาไม่ไกลกัน   “แม่ได้จัดเตรียมองครักษ์คุ้มครองตลอดการเดินทางแล้ว   แม่ให้สัญญาว่าลูกจะไม่สังเกตเห็นพวกเขาแน่นอนจ่ะ”   โทมัสพยักหน้ารับหากแต่ไม่ส่งเสียงใดๆ   “ข้อตกลงคือก่อนพระอาทิตย์ตกจ่ะ”   เขาพยักหน้าเหมือนเดิม   ไม่นานรถม้าที่ถูกขับเคลื่อนโดยร่างผู้สวมชุดคลุมผ้าชนิดเดียวกันก็ได้เคลื่อนตัวมาจอดที่ด้านหน้าของชานอาคารและรับตัวเขาไป
            เส้นทางจากลานพระราชวังไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ค่อนข้างใช้เวลาแต่ที่สุดก็มาถึงยังลานจอดรถม้าของตลาดเอคเนลูโป   ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่พักอาศัยของมหาเศรษฐีและถูกเรียกกันติดปากกว่าตลาดคนรวย   “นายท่านจะไปที่ไหนก่อนดีขอรับ?”   ซาคาเรียสลดระดับศัพท์ในการสนทนาลงมาเป็นการสนทนาระหว่างขุนนางและข้ารับใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่สัญจรผ่าน   เกิดความเคลือบแคลงใจ   “เริ่มจากตลาดของเก่าก่อนก็แล้วกันครับ”   โทมัสตอบเสียงเรียบ   เส้นทางไปยังตลาดของเก่าต้องผ่านถนนสายหลักที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินมุ่งหน้าไปยังตลาดยามสาย   สองฝั่งคับคั่งไปด้วยอาคารบ้านเรือน   มีไม้ประดับบ้านปรากฏให้เห็นเป็นระยะ   ใช้เวลาอยู่นานและกว่าที่จะหลุดออกจากฝูงชน   เล่นเอาซะเหงื่อชุ่มหน้าและแผ่นหลัง   พ้นจากถนนเส้นหลักแล้วจึงพบกับถนนย่อยซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด   5   สาย   แต่ละสายมีป้ายบอกชื่อโซนการค้าซึ่งเป็นเอกฉันท์ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดของเก่า  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา